บทที่ 317 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (5)
ต่อจากสาธารณรัฐทิวทันก็เป็นสหภาพคัลมา(Union state Kalmar)
สหภาพคัลมานั้นตั้งอยู่ทางมุมเหนือสุดของทวีป
จึงเป็นที่รู้จักกันในนามว่า สิงโตแห่งแดนเหนือ
เขาเป็นชาติพันธุ์นักรบผู้กู่ก้องร้องคำรามท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายทารุณ
ในอดีตพวกเขาเคยล่องเรือเช่นเดียวกับพวกไวกิ้ง เที่ยวปล้นฆ่าไปทั่วทุกหัวมุมทวีปป
และมาตอนนี้, นักรบโหดเหี้ยมก็ได้รวมตัวเป็นหนังแผ่นผืนเดียวกัน
ดาบของพวกเขาหายไป แต่ทดแทนด้วยทักษะการในค้าและการต่อรอง
พวกเขานั้นเป็นทั้งนักรบและพ่อค้าควบคู่กัน
คุณลักษณะที่ดูไม่เข้ากันได้นั้นเป็นลักษณะของชาวคัลมา
แต่ก็เอาเถอะ ไม่ว่าจะด้วยมีดดาบหรือการค้า ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังปล้นอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ดี ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลย
ทูตของคัลมาเอ่ยขึ้น
“ท่านเค้าท์พาลาทีน สาธารณรัฐเสนอให้ลดภาษีการค้าขอรับ”
ดูเหมือนสาธารณรัฐตั้งใจจะโยนเหยื่อล่อ
“ลดภาษีการค้าอย่างนั้นรึ หึ……?”
“เงื่อนไขดีพอตัวเลยครับ
ส่วนสาเหตุที่ผมนำมาบอกท่านนั่นก็เนื่องจาก ผมปรารถนาว่าท่านจะมอบลอะไรตอบแทนกลับมาให้บ้างน่ะครับ ,ท่านเค้าท์พาลาทีน”
ดังนั้นแล้วโปรดเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่ามาให้ด้วย ,พวกเราปรารถนาเช่นนั้น
ซื่อสัตย์และกล้าหาญ
เป็นความประทับใจแรกที่ผมได้รับจากสหภาพคัลมา
ผมเอียงแก้วบรั่นดีด้วยมือข้างหนึ่ง
“จากที่เจ้าบอกข้ามานี่ ดูเหมือนคัลมาเองก็ดูจะคิดเรื่องรายละเอียดของเงื่อนไขมาแล้วนี่”
“ครับ ,ที่พวกเราปรารถนาคือ ตลาดการค้าขนาดใหญ่”
ท่านทูตจิบไปหนึ่งอึก
“การลดภาษีการค้าของสาธารณรัฐนั้นอาจดูน่าประทับใจ
แต่ถึงอย่างไรก็ดี สาธารณรัฐเองก็ไม่ได้เป็นตลาดขนาดใหญ่นัก
สำหรับพวกเราแล้ว จักรวรรดิฮับบวร์กต่างหากเป็นตลาดที่เราปรารถนามากกว่า
…….และหวังว่า เงื่อนไขจะดีกว่า”
การลดภาษีการค้าคือ หนึ่งในเงื่อนไขที่อีกฝ่ายต้องการ
ในบรรดาชาติทั้งหลายบนทวีป ก็มีสหภาพคัลมา สาธารณรัฐบัทตาเวีย และราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย เป็นที่เลื่องชื่อเรื่องธุรกิจการค้าขาย
คัลมาร์นั้นพยายามเป็นหนึ่งด้วยการลดกำแพงภาษีลง
“ข้าเดาว่า อีกหนึ่งในเงื่อนไขคือ การไม่ลดภาษีการค้านั่นให้กับบัทตาเวียหรือซาร์ดิเนียสินะ”
“อย่างที่คิดไว้จริงๆ ท่านเค้าท์พาลาทีนเข้าใจอะไรได้ไว”
“อืมหืมมม”
ผมยิ้มออกมา
“ถือว่าไม่เลว”
“ไม่เลวหรือครับ……? ขออภัยในความหยาบคายของผม, ท่านได้โปรดอธิบายได้ไหมว่าท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ทูตคัลมาขมวดคิ้วย่น
ดูเหมือนท่าทีของผมจะสร้างความกวนใจเขาล่ะมั้ง?
“ข้าพูดว่า มันไม่เลวนักหรอก เงื่อนไขแบบนั้น; แต่ข้าก็ไม่อาจพูดได้เหมือนกันว่า มันเป็นอะไรที่ดีที่สุด”
“……ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านอยากจะบอก ,ท่านเค้าท์พาลาทีน”
ทูตย่อมต้องไม่สบายใจเป็นแน่อยู่แล้ว
เมื่อนักการเมืองอีกชาติหนึ่งชี้จุดอ่อนที่บอกได้ทันทีเลยว่า เงื่อนไขนี้มันยังไม่ดีเท่าที่ควร
แต่จริงๆเขาก็แค่เข้าใจเรื่องนั้นผิดไปน่ะ้
อดทนไว้ก่อนน่า เดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจมันเอง ไม่นานนี้หรอก
“แรงจูงใจเบื้องหลังเงื่อนไขของเจ้านั้นโจ่งแจ้งเกินไป เจ้าตั้งใจจะเปิดตัวในฐานะศัตรูของซาร์ดิเนียและบัทตาเวีย
ดังนั้นแล้วหากพวกเราดึงเจ้ามาเป็นพันธมิตร พวกเราก็จะไปยั่วโทสะทั้งสองชาติพร้อมๆกัน
ซึ่งนั่นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่สมดุลเท่าเทียมกัน”
“ท่านกำลังจะบอกว่า ชาติพวกผมนั้นไม่ให้การร่วมมือกันกับจักรวรรดิหรือครับ?”
ทูตถามด้วยน้ำเสียงขุ่นข้อง
ผมหัวเราะเบาๆและส่ายหัว
“ไม่ใช่เลย
ก็อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้า ปัญหาคือ เจตนาของเจ้าน่ะมันทื่อตรงเสียจนใครๆก็เห็น
อืมมม ถ้าเป็นในแง่การเมืองข้าว่า คงต้องบอกว่า มันยังขาดความงดงาม ”
“…….”
“หากบรรลุเงื่อนไขการค้านี้ ซาร์ดิเนียกับบัทตาเวียไม่มีทางนิ่งเฉยอยู่แน่
พวกนั้นย่อมหาทางโจมตีประเทศที่ทำการค้ากับพวกเรา
เห็นกันได้ชัดเลยว่าจะเกิด สงครามการลดภาษีการค้าขึ้น
และข้าก็เชื่อว่า มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ประเทศของท่านต้องการด้วย ถูกไหม?”
ทูตจากคัลมาวางแก้วลงบนโต๊ะ
“นักรบอย่างพวกเราไม่กลัวการเผชิญหน้า!
ไม่ว่าจะเป็นการดวลหรือการค้า เจ้าพวกสมองตายนับหมื่นแห่งซาร์ดิเนียหรือพวกขี้ครวญครางบัทตาเวียเองไม่อาจทำให้เรากลัวได้”
มีความเชื่อมั่นน่ะมันก็ดี แต่ความเชื่อมั่นที่ว่า ควรตั้งอยู่บนหลักเหตุและผลด้วย
ชาติจะกลายเป็นกลุ่มของความพังพินาศไปในทันที หากปล่อยให้ความเชื่อมั่นที่ตั้งอยู่บนอารมณ์มาพัวพันกับการเมืองระดับชาติ
เหตุก็เพราะ พอแผนการเมืองพลาดเข้า ก็ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสมเหตุสมผล แถมยังพยายามวินิจฉัยจากมุมมองทางอารมณ์เสียด้วย
ทำไมเราถึงแพ้ชาติศัตรู?
เพราะความกล้าหาญในฐานะนักรบยังไม่พอ
เพราะความจงรักภักดียังไม่พอ
หรือไม่ก็เพราะมีชาติอื่นวางแผนชั่วอยู่เบื้องหลัง…….
ซึ่งการทำแบบนั้นมันไม่แก้ปัญหาอะไรเลย สุดท้ายเจ้าพวกนั้นก็ไปวนเวียนอยู่กับเรื่องความกล้าหาญ ความจงรักภักดี
อารมณ์นั้นต้องใช้แน่ในการพยายามปลุกปั่นให้ฝูงชนลุกฮือขึ้นมา
แต่หากเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ คุณก็ต้องใช้ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลในการเจรจาด้วย
“ทูตเอ๋ย, เจ้าคิดว่า วิธีการที่ทำให้เจ้าชนะได้โดยไม่เสียเลือดแม้สักหยดนั้น เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมหรือไม่?”
“ผมไม่ทราบว่าก่อนเลยว่า ท่านเป็นนักกลยุทธครับ,ท่านเค้าท์พาลาทีน
หรือท่านจะมีทางออกอื่นอยู่อีก?”
ผมฉีกยิ้ม
“ข้าได้ยินมาว่า ปัญหาใหญ่ในการแล่นเรือทางทะเลที่สร้างความลำบากนั่นก็คือ พวกมอนสเตอร์”
“อ่าครับ? ใช่ครับ มันย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ทว่า…….”
่ท่านทูตแสดงท่าทางไม่ชัดเจนออกมา
มีมอนสเตอร์มากมายอยู่ในน้ำ มันเป็นภัยร้ายคุกคามสำหรับเหล่าพ่อค้า
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ไม่อาจพูดออกมาตรงๆได้หรอกว่า
‘ใช่ครับ มอนสเตอร์เป็นอุปสรรคในการค้าของพวกเรามากๆ และผมก็ปรารถนาให้มันถูกกำจัดให้หมดสิ้นไปเลย’
ต่อหน้าจอมมารได้หรอกนะ
“อย่างที่เจ้าทราบอยู่แล้ว พวกเราสามารถควบคุมมอนสเตอร์ได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ
ถ้าเจ้าลองคิดเรื่องนี้ดูให้ดี……ก็มีทางเป็นไปได้อยู่ที่ จะทำให้พวกนั้นน่ะ เลือกที่จะไม่โจมตี ‘เรือพ่อค้าบางลำ’น่ะ ”
“……!”
่
ทูตจากคัลมาถึงกับตัวแข็งทื่อ
พวกเราตกอยู่ในความเงียบกันพักหนึ่ง
ท่ามกลางความกดดันในความเงียบนั้น ท่านทูตดูตัวสั่นจนแทบจะหมดสติ
“ทะ-ท่านเค้าท์พาลาทีน, นี่ก็หมายความว่า?”
“เราปรารถนาที่จะทำการค้ากับทุกชาติ
เพื่อยืนยันเจตนาของฝ่ายเรา
เราตั้งใจที่จะเอามอนสเตอร์ที่รู้ประสีประสาพวกนั้นมาอยู่ใต้อาณัตพวกเรา
จึงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมพวกนั้นทั้งหมด”
ผมรินบรั่นดีใส่แก้วในมือของท่านทูต
“แผนของจักรวรรดิจึงจะทำตามนี้:
พวกเราจะขายตราสัญลักษณ์ที่มอนสเตอร์พวกนั้นสังเกตเห็นได้ง่าย
ให้พวกเจ้าติดไว้ข้างเรือ
เอาล่ะ จริงๆก็มีอีกหลายวิธีที่พวกเราใช้ได้เหมือนกัน”
“…….”
“แต่เพื่อเป็นการทดสอบไอเดียนี้ เราวางแผนที่จะขายตราสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้นให้กับบางชาติ ก่อน”
ท่านทูตยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว
ดูเหมือนเขาจะกดข่มความตื่นเต้นที่แสดงออกมาบนใบหน้าไม่ไหวแล้ว
“หรือก็คือ ท่านตั้งใจจะขายตราสัญลักษณ์พวกนั้นไปตามลำดับ……โดยให้กับพ่อค้าที่อยู่ในเงื่อนไขข้อตกลงของฝ่ายพวกเราก่อน?”
“ถูกต้องแล้ว
แต่จะบอกอย่างนั้นเลยก็ไม่ถูก มันไม่ใช่ ความตั้งใจของทางจักรวรรดิเอง มันเป็นความตั้งใจของชาติท่านที่จะมาเข้าร่วมกับการทดลองที่แสนอันตรายของพวกเรานี้”
ผมยิ้มกว้าง
“ท่านทูต, หากการทดลองนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เหล่าเมืองอิสระทั้งหลายบนทวีปนี้
ก็จะมาซื้อมาขาย กันเป็นล่ำเป็นสันในธุรกิจการค้า
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเลา หากเจ้าพวกนั้นเกิดรู้ขึ้นมาว่า
‘หากติดตราสัญลักษณ์ที่ลงทะเบียนใต้สัญญาของสหภาพคัลมา แล้วจะไม่ต้องห่วงว่าจะโดนโจมตีทางน้ำ’ กันล่ะ
?
“……!”
ท่านทูตถึงกับอ้าปากค้าง
ถูกต้องแล้วล่ะ
ใช่ว่าจะคุ้มครองได้แต่เรือของคัลมาเพียงอย่างเดียว
หากแต่ยังเป็นสิ่งที่กระตุ้นเร้าคู่การค้าของคัลมาร์ อย่าง บัทตาเวียและซาร์ดิเนียด้วย
คัลมาจะได้รับประโยชน์ที่ชาติอื่นไม่อาจลอกเลียนแบบหรือทำตามได้
“ต่อสาธารณะแล้ว บัทตาเวียกับซาร์ดิเนียคงไม่อาจก่นด่าท่าน
เนื่องจากชาติของท่านทำไปด้วยนโยบายการทดลองของจักรวรรดิเรา
เจ้าพวกนั้นย่อมต้องมองประเทศท่านด้วยแววตาอิจฉาตาร้อนเป็นแน่”
ทูตถึงกับกลืนน้ำลาย
“แล้วท่านจะขายตราสัญลักษณ์เท่าไหร่ครับ?”
“ยิ่งขายแพง ก็ยิ่งดีกับประเทศชาติของท่านมากกว่านะ ท่านทูต”
ทูตคัลมาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“……ขอประทานอภัยด้วย, แต่ผมตามไม่ทัน
ทำไมยิ่งขายแพงจะยิ่งดีกับพวกเรามากกว่า?”
“หากถูกเกินไป คนอื่นก็จะมองว่า พวกเราสมรู้ร่วมคิดกันในการซื้อขาย
แต่หากแพงเกินไป พวกนั้นก็ทำได้แค่ว่า ประเทศชาติของเจ้าช่างโง่เขลานัก ที่เอาเงินไปลงทุนกับสิ่งที่ไม่มีการรับรองยืนยันแล้วอย่างนั้น
พูดง่ายๆ เจ้ากำลังแบกรับความเสี่ยงใหญ่…….”
คัลมาเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงจากการบุกเบิกการทำสิ่งนี้
และนั่นก็ทำให้ยากที่จะเป็นเหตุให้ซาร์ดิเนียและบัทตาเวียประณามได้
ถึงแม้จะไม่ต่อว่า ประณามออกสื่อ ถึงอย่างไรเสีย พวกคัลม่าก็เป็นฝ่ายเดียวที่ได้ประโยชน์ โดยไม่ต้องออกแรงเพิ่มเลย
“ท่านทูต ,
ไม่ว่าที่ท่านซื้อมาจะราคาแงแค่ไหน แต่ก็ถือว่า ถูกอยู่ดีหากเทียบกับสิ่งที่จะได้รับจากพวกเมืองอิสระ
แถมท่านยังสามารถขายต่อตราสัญลักษณ์ที่ซื้อไปจากพวกเราได้ด้วย
ด้วยราคาที่เหมาะสมน่ะนะ”
“ทะ-ท่านอนุญาตให้พวกเรานำไปขายต่อพวกนั้นหรือครับ?”
ท่านทูตเสียกิริยาโดยสิ้นเชิง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจน
“มีมากมายในโลกเลยนะที่ทำบนโต๊ะไม่ได้ แต่ทำใต้โต๊ะได้น่ะ”
“ระ-เรื่องนี้ผมตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้
ผมจะรีบส่งรายงานกลับประเทศโดยทันที”
“ได้เลย แต่อย่านานเกินไปนักล่ะ ท่านทูต”
ผมพูดอย่างเป็นกันเอง
“เนื่องจากพวกเราก็เสนอแบบเดียวกันนี้กับบัทตาเวียและซาร์ดิเนียเช่นกัน”
อันนี้หลอกน่ะ
สหภาพคัลมาตอบรับในรุ่งเช้าวันถัดมา
ตัวสหภาพสัญญากับฮับบวร์กว่า จะให้การสนับสนุนเต็มที่โดยแลกกับสิทธิ์การผูกขาดตราสัญลักษณ์
คัลเมอร์ได้รับสิทธิ์ผูกขาดการซื้อขายตราสัญลักษณ์ป้องกันมอนสเตอร์ทางทะเล ยาวนานถึง 11 ปี
ผมเชื่อว่า การได้รับการสนับสนุนด้านอื่นนอกจากการขายสินค้านั้น มีราคาค่างวดยิ่งกว่า
อิวาร์ถึงกับอึ้งยามที่เธอได้รู้ว่าการเจรจาในครั้งนี้จบลงเช่นนี้ได้อย่างไร
“ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก!
นอกจากพวกนั้นจะซื้อของจากเราไปแล้ว พวกนั้นยังขอร้องให้เราขายด้วยราคาที่พวกเราได้เปรียบอีกด้วย
ฉันไม่ทราบเลยว่า ฝ่าบาทมีหัวทางธุรกิจด้วย”
“ข้ามีอาจารย์ดีนะ”
แน่นอนว่า หมายถึงซัคคิวบัสผมชมพูคนนั้น
พวกเราชนแก้วกันเบาๆดังกริ้ง
—คะแนนตอนนี้ 4:2.
* * *
ราชอาณาจักรทิวทัน และสหภาพคัลมาให้การสนับสนุนจักรวรรดิของพวกเรา
แม้จะยังมิได้เปิดเผยรายละเอียด แต่ความจริงที่ว่า พวกนั้นให้การสนับสนุนก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนบรรยากาศมวลรวม
จักรวรรดิฮับบวร์กได้รับการสนับสนุนจากสองชาติภายในเวลาไม่ถึง 15 วัน
ย่อมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการทูตของจักรวรรดิที่เหนือธรรมดา
ผู้แทนคนอื่นๆต่างทั้งสงสัยและประหลาดใจกันมาก
– เงื่อนไขอะไรกันที่ทำให้ชาติพวกนั้นยอมเสนอการสนับสนุนพวกเราได้เร็วถึงขนาดนี้?
พวกนั้นตั้งตาคอยต่อไปว่า จักรวรรดิจะนำเสนออะไรให้กับพวกเขาอีก
และผลก็คือ การสู้รบทางการทูตมาถึงจุดที่ฝ่ายสาธารณรัฐฮับบวร์กเสียเปรียบเป็นที่สุด
เหล่าทูตจากทุกชาติต่างหยุดเจรจาลับๆกับสาธารณรัฐชั่วคราว
เห็นได้ชัดเลยว่า พวกเขาไม่อยากเจรจาอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้เจรจากับฝ่ายจักรวรรดิก่อน
ถึงทูตของสาธารณรัฐจะวิ่งเต้นยื่นเงื่อนไขดีๆ ที่จะไปพบทูตชาติโน้นทีชาตินี้ที แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงยืนกราวแน่วแน่
ชาติอื่นๆที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำธุรกิจการค้า ให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวของจักรวรรดิ
“เงื่อนไขดีที่ยิ่งกว่าที่ท่านได้เสนอให้กับคัลมา!”
“ขออนุญาตอนาโตเลียของพวกเราก้าวไปด้วยกัน…….”
“พวกเรายินดีทำได้ทุกอย่างเพื่อจะได้รับการค้าดีๆจากจักรวรรดิ”
สงครามทางการทูตนั้นใส่หนักสุดกำลังไปจนกระทั่งถึงช่วงจบฤดู
ผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยพัดกระพือโหมไฟ ย่อมต้องเป็น ท่านเค้าท์พาลาทีนแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก ,ดันทาเลี่ยน
สงครามการทูตยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนต่างขนานนาม ‘จอมมารผู้นั้น’ ด้วยอีกชื่อหนึ่ง
ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มีส) ดันทาเลี่ยน
(TTL : ชื่อตอนนี่คือ สมญานามใหม่พรี่ดันนี่เอง)
MANGA DISCUSSION