Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 133 ฤดูใบไม้ร่วงที่อุดมสมบูรณ์(1)
ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้แห้งแล้ง
มันเป็นฤดูที่รวงข้าวสาลีสีทองสมควรจะมีมากมายจนล้นเหลือเฟือ แต่ถึงอย่างนั้นทุ่งข้าวกลับถูกทิ้งร้าง
……มีศพของทหารและผู้คนมากมายที่ตายจากความหิวโหยกระจายไปทั่วถนน
ลูกชายผู้อุทิศตนในการขุดหลุมฝังศพให้พ่อ ลูกชายคนนั้นก็ตายในเวลาต่อมา เขาติดกาฬโรคจากศพ ขณะเดียวกันบุคคลที่ทอดทิ้งครอบครัวกลับใช้ชีวิตของตัวได้ต่อไป
เหล่าผู้จงรักภักดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้านได้จากไปก่อน กาฬโรคนั้นอาละวาดไปทั่วทั้งเมือง และประชาชนต่างเป็นกังวลกับเรื่องนั้นมาก
ผู้คนที่มีศีลธรรมน้อยหน่อยก็หนีไปยังมุมอื่นของทวีปเพื่อเอาชีวิตรอด ความชั่วร้ายกลับกลายเป็นคุณงามความดี การเอาชีวิตรอดกลับกลายเป็นเรื่องตลกขำขัน
ปัญหาคือ การมีแรงงานไม่เพียงพอ ข้าวสาลีนั้นเฉาตายก่อนจะได้เติบโตเต็มที่ ความอดอยากครั้งใหญตามหลังมาจากกาฬโรค
……ผู้ปกครองของมนุษยชาตินั้นถึงกับงุนงงกับหายนะที่ไม่เคยมีมาก่อน
พวกเขาเข้าใจดีว่า ชาวนาจะตายไปเป็นจำนวนมากในระหว่างการระบาด พวกเขาเข้าใจดีว่า จะมีคนงานน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ได้แปลว่า จะมีปากกินข้าวน้อยลงหรอกหรือ?
ในการป้อนข้าวให้กับครอบครัวสิบคน กับ ครอบครัวที่มีสามคน ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า อย่างไหนง่ายกว่ากัน แต่ถึงอย่างนั้น เหตุใดจึงยังคงมีผู้คนตายจากการหิวโหยไปทั่วทั้งทวีปกัน?
ปัญหาคือ ตัวผู้ปกครองเองนั่นแหละ
เมื่อถึงคราวที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้บุกเข้ามา ผู้ปกครองแต่ละชาตินั้นได้ประกาศชัดเจนเพื่อเกณฑ์ทหารให้ได้มากๆ
– การแจกจ่ายสมุนไพรดำนั้นจะมีการแจกโดยให้เหล่าทหารก่อน
– หากปรารถนาที่จะได้รับการรักษา จงมาสมัครเป็นทหารเสีย!
มันเป็นสิ่งที่ในตรรกะที่ให้รางวัลที่เหมาะสมแก่ผู้ที่เข้าร่วมสู้กับจอมมารเพื่อมนุษยชาติ ตัวตรรกะนั้นมิได้มีข้อผิดพลาดใดเลย แต่กระนั้นผู้ปกครองมิได้คาดคิดถึงผลกระทบของการประกาศเช่นนั้นซึ่งทำให้ผู้คนนั้นต้องล้มตายราวกับแมลง หลังเวลาผ่านไป
“วันนี้เสบียงก็ยังไม่มา!”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กทุบโต๊ะและตะโกนออกมา
“ท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่สัญญาว่าจะให้การสนับสนุนกองทัพของพวกเรา ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างชาติ!”
“กระผมต้องขอประทานอภัยด้วย ฝ่าบาท”
เหงื่อเย็นไหลผ่านแผ่นหลังของทูตที่มาจากราชอาณาจักรอนาโตเลีย
“หากท่านจะให้เวลาพวกเราอีกสักสามวัน พวกเรา…….”
“ครั้งที่แล้วเจ้าก็ขอเวลาสี่วัน ก่อนหน้านั้นก็ขอเวลาหนึ่งสัปดาห์ คราวนี้จะขออีกสามวันอย่างนั้นหรือ? หาาาา
เป็นแบบนั้นนี่ เจ้าคงจะไม่บอกใช่ไหมว่าจะส่งเสบียงให้ตอนสงครามจบ”
สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นแต่กับจักรวรรดิฮับบวร์กเท่านั้น ฉากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับทุกค่ายในกองทัพมนุษย์
การสงครามกับกองทัพพันธมิตรนั้นส่งผลกระทบตีกลับในช่วงสิ้นสุดฤดูใบไม้ผลิ แต่เดิมหากยืดเวลารบออกไป พวกเขานั้นเชื่อว่า จะสามารถทนได้เพราะช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงจะมาถึง ทุกชาติต่างวางแผนจัดการเสบียงด้วยความเชื่อเช่นนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น จำนวนพืชพรรณที่เก็บเกี่ยวได้นั้นนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับที่คาดไว้ นั่นก็มีสาเหตุมาจากกำลังคนในหมู่บ้านที่ทำฟาร์มนั้นแทบจะไม่มีเหลือเลย
ประชากรนั้นได้ลดลงไปมากจากกาฬโรค คนทำงานที่ยังแข็งแรงอยู่กลับต้องไปร่วมกองทัพเพื่อให้ได้สมุนไพรดำมา ผู้ที่ยังเหลืออยู่ในหมู่บ้านจึงเป็นคนแก่ที่ไม่มีแรงหรือผู้หญิง ผลผลิตการเก็บเกี่ยวในปีนี้จึงเหลือครึ่งเดียว
……ไม่สิ หมู่บ้านหลายต่อหลายแห่งเก็บเกี่ยวได้เพียง 20% เท่านั้น
นักปกครองที่ฉลาดก็รู้ตัวแล้วว่า พวกเขานั้นกำลังตกลงสู่วังวนแห่งความตกต่ำ
กองทัพนั้นจำเป็นต้องสู้รบกับฝ่ายกองทัพจอมมาร
กำลังคนจะต้องดึงไปจากพื้นที่เพาะปลูกเพื่อรักษากำลังทหาร แต่พอเอากำลังคนออกไปจากที่เพาะปลูก ผลผลิตทางการเกษตรก็ลดลง พอผลผลิตทางการเกษตรลด เสบียงของกองทัพก็มีปัญหา
ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะรักษากองกำลังทหารของตนเองได้อยู่ดี…….
หลังจากส่งทูตตัวแทนกลับไปแล้ว เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธกุมทึ้งผมของตน ผมสีเงินงามของเธอหลุดออกมา
“นี่มันแย่มาก กองทัพพันธมิตรไม่ใช่ปัญหาแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปรากฐานของชาติจะต้องพังย่อยยับ……!”
เธอบ่นกับตัวเองด้วยความกังวลอย่างมาก
เร็วๆมานี้ การนั่งครุ่นคิดทั้งคืนของเจ้าหญิงจักรวรรดินั้นกลับบ่อยขึ้น ทั้งเรื่องการรบกับกองทัพพันธมิตร ปัญหาเสบียง การเมืองในระบบจักรวรรดิ การเคลื่อนไหวเพื่อก่อกบฏของฝ่ายเจ้าชายลำดับสอง และอื่นๆอีกมากมาย
มันมีอะไรมากมายให้ต้องคิด แต่เหตุผลจริงๆของเธอที่ทำให้เธอนอนไม่หลับ คือ ฝันร้าย
น้องชายของเธอมักจะปรากฏในฝันเมื่อใดก็ตามที่เธอกำลังจะหลับ ดวงตาของเขานั้นหลุดออกมาและมีเลือดไหลออกมาจากเบ้าตาที่กลวงโบ๋ไม่หยุด น้องชายของเธอนั้นยังคงกรีดร้องซ้ำไปซ้ำมาว่า
‘พี่สาว ผมมองไม่เห็น ช่วยผมด้วย’
เธอตื่นตกใจและยังคงตามหาดวงตาของน้องชายตัวเองที่อยู่บนพื้น แต่พื้นนั้นก็นองไปด้วยเลือด ทำให้ยากที่จะหาเจอว่า ดวงตาของน้องชายเธออยู่ที่ไหน
เธอยังคงลุยบึงเลือดอย่างสิ้นหวังต่อไป แต่ทั้งร่างกาย แขน และขาของเธอต่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด
จนในที่สุดเธอหาตาของเขาเธอ พอหันหลังกลับไปก็พบว่า น้องชายตัวเองได้จมหายไปในทะเลเลือดแล้ว…….นั่นเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวเอามากๆ
“ฝ่าบาท ราชินีแห่งบริททานี่ได้มาถึงแล้ว”
เสียงทหารประกาศจากนอกเต๊นท์ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิแอบดีใจอยู่ลึกๆจึงตอบกลับไป
“บอกให้เข้ามาข้างในได้เลย”
“ถึงไม่บอก ยังไงข้าก็เข้ามาอยู่แล้ว”
หญิงคนหนึ่งดันประตูทางเข้าของเต๊นท์แล้วเดินเข้ามา ผมของเธอนั้นเป็นสีแดงดั่งเลือดปลิวสยาย
เฮนริเอตต้า บริททานี่ เธอเป็นราชวงศ์ผู้ปกครองราชอาณาจักรบริททานี่
“เธอดูเหนื่อยๆนะ ได้นอนบ้างไหม?”
“ไม่เลย…….มันไม่ใช่เวลาที่จะมานอนหลับ”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก และราชินิแห่งราชอาณาจักรบริททานี่
ทั้งสองต่างได้เป็นเพื่อนกันในระหว่างสงครามครั้งนี้ ฮีโร่ทั้งสองนั้นเดิมก็พอรู้จักกันและกันมาก่อน หากมนุษยชาติได้เป็นใหญ่เหนือทั้งทวีปนี้ ฮีโร่ทั้งสองอาจจะต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ที่มีหนึ่งเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะพยายามพูดคำหวานป้อยออย่างไร สถานการณ์ของฝ่ายมนุษย์นั้นไม่ดีเลย พวกเขานั้นมีปัญหาขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก
กาฬโรคนั้นฉีกทึ้งพวกเขาให้ขาดเป็นชิ้นจากด้านใน ขณะที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราโจมตีจากภายนอก แถมความอดอยากยังช่วยกันทำให้มันแย่ลงไปอีก
―มีโอกาสที่มนุษยชาตินั้นจะถูกทำลายโดยกองทัพพันธมิตรในครั้งนี้
ฮีโร่หญิงทั้งสองต่างมีข้อสรุปที่ชวนสิ้นหวังอย่างเดียวกัน ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ยังพอใจที่ได้แบ่งปันความคิดเห็นของกันและกัน
หากต้องเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายย่อมเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้มาเป็นพันธมิตรกันก็นับว่า เป็นผู้ที่ไว้ใจได้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ถึงสัปดาห์ดีนัก ทั้งราชินีและเจ้าหญิงจักรวรรดิก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
“ข้าขอถามตรงๆนะ อลิเซ่ ฝ่ายเธอน่ะมีเสบียงเหลือไหม?”
ไม่มีการเจรจาพาที เธอมุ่งเข้าประเด็นทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะ นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่า สถานการณ์ของราชินีเองก็เหมือนๆกัน เจ้าหญิงจักรวรรดิคิดอย่างนั้น
“ไม่ พวกเราไม่มีพอเลย…….ต่อให้พยายามรักษาเสบียงอย่างถึงที่สุดก็อยู่ได้แค่เพียงเดือนเดียว”
“เดือนเดียว หรือ? เหมือนพวกเราเลยสิ ฝ่ายเราก็อาจจะได้สักเดือนครึ่ง ถ้าไม่นับเสบียงสำรองเผื่อตอนที่กลับอาณาจักรเรา”
ทั้งสองคนต่างถอนใจออกมาในเวลาเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่พวกเธอได้วางแผนไว้ก่อนแล้วทั้งคู่ แต่พอเห็นอย่างนั้นทั้งสองต่างอดมองกันและกันแล้วหัวเราะออกมาไม่ได้
เจ้าหญิงจักรวรรดิคิดว่ามันแปลกดี ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอกลับสามารถจริงใจกับคนตรงหน้าได้มากกว่าพวกผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอเองเสียอีก
อาจเป็นเพราะภาระที่ต่างต้องแบกชะตากรรมทั้งชาติไว้บนบ่าเหมือนกันหรือเปล่า? เจ้าหญิงจักรวรรดิได้แต่โกรธที่มาเจอราชินีเฮนริเอตต้าช้าไป
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็มีตัวเลือกแค่อย่างเดียวเหลือแล้ว”
“ใช่ สงครามรวดเร็วและเด็ดขาด”
ราชินีเฮนริเอตต้าพยักกหน้า
ผู้นำหญิงทั้งสองแต่เดิมตั้งใจที่จะทำสงครามยืดเยื้อ พวกเขารู้ดีว่า จุดอ่อนใหญ่สุดของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราคือ เรื่องอาหารของพวกมัน มันยากที่จะรักษากองกำลังมอนสเตอร์ได้โดยที่ไม่มีศพของมนุษย์
หากพวกเขานั้นเลี่ยงการต่อสู้ได้มากพอจนกระทั่งกองทัพมอนสเตอร์ล้มตายกันไปเองจะดีกว่า
―นั่นเป็นแผนการเดิม
“ใครจะไปคิดล่ะว่า เสบียงของพวกเราจะหดหายไปถึง ห้าสิบเปอร์เซ็น ข้าเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน”
ราชินีเฮนริเอตต้าเปิดปากขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว กองทัพมนุษย์นั้นจบลงที่เป็นฝ่ายมีปัญหาเรื่องเสบียงเสียเอง
อย่างมาก คือ หนึ่งเดือน พวกเธอต้องจบสงครามนี้ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งสิ่งนี้จะสร้างความเครียดความกดดันอย่างหนักให้กับทหาร ทิวทิศน์ของนรกจะปรากฏต่อหน้าพวกเขา…….
“แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเดียว”
ราชินีเฮนริเอตต้าหรี่ตาขณะที่มองไปยังเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ
“ว่ากันตามตรง สถานการณ์ฝั่งเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ? รู้สึกเหมือนจะมีการปฏิวัติขึ้นในฮับบวร์กไหม?”
“การปฏิวัติ อย่างนั้นรึ……?”
เจ้าหญิงอลิซาเบธคร่ำครวญออกมา เธออยากจะปฏิเสธด้วยการพูดว่า ไร้สาระน่า เหลือเกิน หากอีกฝ่ายเป็นนักปกครองธรรมดาคงโต้กลับไปในทันที
แต่ราชินีแห่งบริททานี่นั้นเป็นบุคคลพิเศษ ไม่มีประโยชน์ที่จะปั้นน้ำเป็นตัวต่อหน้าเธอ
“ข้าบอกได้แค่ว่า พวกเราน่ะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงอย่างมาก ถึงอย่างนั้นข้าก็ร่วมมือกับพวกสาธารณรัฐแล้วห้าปี ดังนั้นฝ่ายสาธารณรัฐส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้การปกครองต่างให้การสนับสนุนข้า”
“ถึงจะอันตรายแต่เธอก็จัดการมันได้ ดูเหมือนสำหรับเธอจะเป็นอย่างนั้นนะ……ข้าล่ะอิจฉาเธอจริง สถานการณ์ทางฝ่ายเรานี่เลวร้ายสุดๆ”
ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มอย่างขมขื่น
“อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ ข้าเป็นผู้ปกครองหญิง ด้วยการให้การร่วมมือและสนับสนุนของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายที่ช่วยผลักดันตำแหน่งข้าขึ้นมาได้
ก็คงไม่เป็นกล่าวเกินจริงไปหาจะบอกว่า อำนาจที่ข้ามีนั้นดำรงไว้ผ่านเหล่าชนชั้นสูง ก็เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่นั่นแหละ”
เธอรินไวน์ในขวดใส่แก้ว
“ไม่เป็นไรใช่ไหม หากเธอจะดื่มเหล้าไวน์สักหน่อย?”
“พระเจ้าสร้างเหล้าไวน์มาเพื่อให้ดื่มในเวลาแบบนี้แหละ”
“หืมม ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ข้าขอแก้วหนึ่งด้วย”
ราชินีเฮนริเอตต้านั้นดูประหลาดใจ
“โอ้ะ? แต่เธอเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือ ว่าการดื่มตอนกลางคืนมันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“ข้าไม่คิดจะรักษาสุขภาพโดยปล่อยให้เพื่อนของข้าโดดเดี่ยวหรอก”
“เพื่อน ?เพื่อนอย่างนั้นหรือ? ”
ราชินีทวนคำพูดของอีกฝ่ายตอนที่ได้รินไวน์ให้กับเจ้าหญิงจักรวรรดิ ทั้งสองยิ้มให้กันแล้วชนแก้วดังเคร้ง ราชินีนั้นทำให้ลำคอชุ่มชื่นก่อนจะพูดต่อ
“ข้าเจอคนจากสาธารณรัฐบัตตาเวียอย่างลับๆและได้ฟังมาว่า สาธารณรัฐทำงานอย่างไรและมีการปฏิรูปแบบไหนที่จำเป็นทำมีให้เกิดขึ้น
……แต่มันไม่มีทางเลยล่ะ มันเกินกว่าระดับที่เหล่าชนชั้นสูงในประเทศของข้าจะเข้าใจได้ ข้าเชื่อว่า ยุครุ่งเรืองจะต้องมาถึงอย่างในเร็ววันอย่างไม่ต้องสงสัย”
สีหน้าของเจ้าหญิงจักรวรรดิกลับเคร่งเครียดขึ้นมา
“แล้วมีอะไรที่เธอทำได้บ้าง? หรืออย่างน้อย เธอก็ต้องพยายามที่จะต้องปฏิรูป ความโกรธแค้นของพวกทหารสามัญชนนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น
พวกทหารฝ่ายชนชั้นสูงก็เริ่มกังวลด้วยเช่นกัน พวกเขาค่อนข้างกลัวว่าทหารสามัญชนจะมาพยายามโค่นล้มพวกเขา”
“แล้วฝ่ายของเธอเองก็เป็นเหมือนกันหรือเปล่าล่ะ?”
ราชินีเฮนริเอตต้าถอนใจออกมา
“พวกสามัญชนปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ชนชั้นสูงพยายามจะรักษาสถานะทางสังคมไว้
มันเหมือนกับกองทัพเองก็มีกองทัพสองฝ่ายอยู่ภายใน เธอจะเรียกว่า กองกำลังเดียวกันไม่ได้หรอก
เธอรู้ไหมว่า การฝึกทหารตอนนี้ก็เป็นปัญหามาสักพักแล้วเหมือนกัน?
ทหารน่ะจำเป็นต้องสู้รบท่ามกลางความเป็นความตาย ฉันได้สั่งประหารทหารหนีทัพไปสามนายแล้ว”
แต่ความจริงเป็นสิบสองนะ ราชินีบอกเพิ่ม
ถ้าหากมีทหารหนีทัพมากเกินไปมันจะกระทบต่อขวัญกำลังใจทหาร
ที่ประหารต่อสาธารณะแค่สาม ในขณะที่อีกเก้าคนนั้นแอบประหารลับๆ นั่นเป็นคำสั่งโดยตรงจากตัวเธอในฐานะราชินีเอง
“กองทัพถึงกับต้องบอกจำนวนคนหนีทัพหลอกๆ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วล่ะ…….”
ทั้งสองต่างดื่มไวน์ในความเงียบ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิขมอยู่ในปาก แต่ไม่ได้เป็นเพราะไวน์
ขวัญกำลังใจไม่มีทางเพิ่มขึ้นได้ แล้วพวกเขาจะเสียสละชีพไปเพื่ออะไร? พวกเขาได้สู้เพื่อมนุษยชาติจริงหรือ? หรือเพื่อครอบครัวของพวกเขาเอง?
……ความสงสัยนั้นแพร่กระจายไปในหมู่ทหารเหมือนดั่งสปอร์ ยิ่งความสงสัยมากเท่าไหล่ กองทหารก็ยิ่งอ่อนล้า ซึ่งนั่นส่งผลอย่างมากต่อความเข้มแข็งของกองกำลังด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ช่วยรักษาเกียรติไว้ได้ก็คือ การที่พวกเขาแบ่งจ่ายสมุนไพรดำไปก่อนหน้า ทหารต่างรับมันไปเหมือนดั่งได้รับความกรุณา พวกเขาไม่มีทางที่จะไว้ใจชนชั้นสูงแต่พวกเขาก็ไม่ลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองที่มอบสมุนไพรดำให้กับพวกเขา นั้นเป็นสามัญสำนึกของคนส่วนมาก
“หากข้าผลักดันการปฏิรูป พวกชนชั้นสูงก็จะปฏิวัติ แต่หากข้าไม่ผลักดันการปฏิรูป พวกสามัญชนก็จะรวมตัวกันแล้วก่อหวอด
เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะสูญเสียการสนับสนุนจากฝั่งทหาร นี่มันเป็นตัวเลือกที่น่ากระอักกระอ่วนเหลือเกิน”
ราชินีร่ำร้องออกมา
“ทุกอย่างคงต่างออกไปหากอำนาจของข้ามั่นคงกว่านี้”
เจ้าหญิงจักรวรรดิเห็นใจปัญหาของราชินี หากอำนาจสูงสุดไม่มากพอ พอพยายามที่จะผลักดันการปฏิรูปก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลการปฏิวัติ
ถึงอย่างไรก็ดี เฮนริเอตต้านั้นก็เป็นผู้หญิงที่ไต่ขึ้นตำแหน่งสู่บัลลังค์ ส่วนอลิซาเบธนั้นทำรัฐประหารในฐานะเจ้าหญิงลำดับสาม
อำนาจของพวกเธอที่มีนั้นห่างไกลคำว่า แข็งแรง
พูดให้ชัด พวกเธอต้องขอบคุณเสน่ห์ที่เกิดจากบุคลิกส่วนตัวมากกว่า
10 ปี หากพวกเธอมีเวลาอีก 10 ปี อำนาจของพวกเธอก็จะมั่นคง และมีเสถียรภาพมากกว่านี้
พวกเธออาจจะสร้างฮีโร่ที่มาจากสามัญชน เพื่อสร้างข้ออ้างที่จะป้องกันไม่ให้พวกชนชั้นสูงกล่าวหาเรื่องประสิทธิภาพ
แล้วก็จะผลักดันการปฏิเสธโดยการใช้ฮีโร่คนนั้นเป็นหุ่นเชิด พอเป็นอย่างนั้นพวกชนชั้นสูงก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก อำนาจของพวกเธอก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อได้รับการสนับสนุนมากมายจากสามัญชน ชาติของพวกเธอก็จะยิ่งมั่งคั่งและทรงพลัง
ทำไมมันถึงมาเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นได้ตอนนี้ล่ะ? เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นได้แต่คิดแล้วคิดอีก คิดถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่มันก็เปล่าประโยชน์กับการคิดสิ่งที่ล่วงไปแล้ว แต่นับเป็นโชคไม่ดีนัก แค่เพียง 10 ปี อีกเพียง 10 ปี เท่านั้นที่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ทำไมมันถึงมาเกิดขึ้นตอนนี้ล่ะ……?
ผู้ปกครองสองคนพูดคุยกันจนมืดค่ำ มันเป็นยิ่งกว่าการประชุมทางการเสียอีก เรื่องที่ทั้งสองคุยกันเป็นเรื่องปัญหาที่ได้เจอ ทั้งราชินีและเจ้าหญิงจักรวรรดิต่างอยู่ที่จุดสูงจุดของประเทศชาติ
พวกเธออยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจสามารถพูดได้อย่างอิสระกับคนอื่นในเรื่องปัญหาของตน ดังนั้นต่างฝ่ายจึงสามารถพูดกันได้อย่างตรงไปตรงมาต่อกัน
ราชินีเฮนริเอตต้าพูดพลางลุกขึ้น
“ข้า ข้าจะกำจัดกองทหารของตัวเอง”
“อะไรนะ?”
“การปฏิรูปไม่มีทางเกิดขึ้นได้โดยที่ชนชั้นสูงไม่ปฏิวัติ ดังนั้นข้าจะใช้การรบครั้งนี้เป็นข้ออ้างในการฆ่าเหล่าสามัญชน ทหารของข้าที่มีอยู่และมาจากราชอาณาจักรของข้าเท่านั้นที่ได้ยิ่ง ‘สุนทรพจน์นั้น’ ข้าจะถอนรากถอนโคนเมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติทิ้งก่อน”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอยากที่จะโต้แย้งกลับไป แต่เธอยังคงปิดปาก ในดวงตาของราชินีมิได้มีแต่ความเศร้าหากแต่ยังเต็มไปด้วยความโกรธ
เธอนั้นอยู่คู่กันกับชาติที่มั่งคั่งและทรงอำนาจมานานกว่าใครๆ ผู้คนต่างคิดว่า ชาติของตนมันมีปกติเป็นเช่นนั้น
ราชินีรู้สึกเดือดดาลกับความจริงที่ว่าเธอจำต้องฆ่าผู้คนของตนด้วยสองมือตัวเอง
“ราชวงศ์นั้นเป็นดั่งบิดาแห่งเหล่าสามัญชน นั่นก็หมายถึง ตอนนี้ข้ากำลังจะฆ่าลูกๆหลานๆของตน
คนนั้นชื่ออะไรนะ ดันทาเลี่ยนใช่ไหม? ไอ้ระยำที่ที่ทำให้ข้าต้องทำเรื่องที่ต่ำทรามเช่นนี้ ……วันหนึ่งข้าต้องล้างแค้นให้ได้”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ราชินีจะออกไปจากเต๊นท์
“…….”
อลิซาเบธนั้นตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดเมื่ออีกฝ่ายจากไป เธอยังคงนึกถึงตัวตนที่เฮนริเอตต้านั้นพูดถึง
จอมมารลำดับ 71 ดันทาเลี่ยน เธอจำคำพูดของเขาได้
– นั่นคือ ลมหายใจสุดท้ายของเด็กชาย ทำไมกันล่ะ? เขาไม่ได้โกรธแค้นหรือขุ่นเคืองต่อผู้ที่ฆ่าเขาเลยด้วยซ้ำ
– เด็กชายนั้นไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าทำไม พี่สาวผู้เป็นที่รักของเขานั้นถึงได้ฆ่าเขา เด็กชายคนนั้นรักพี่สาวของเขาจากใจจริง
– เธอน่ะมันเลวทราม น่าขยะแขยง เป็นเศษขยะที่ชื่อว่าฆาตกร
ในฐานะอัจฉริยะ เธอจดจำคำพูดของดันทาเลี่ยนได้ทุกคน เพราะอย่างนั้นความเจ็บปวดจากถ้อยคำเหล่านั้นจึงแจ่มชัดเช่นกัน
ไม่มีทางที่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธจะไม่มีทางสับสนในเมื่อเธอตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะฝันร้ายเกี่ยวกับน้องชายตัวเอง
ชายคนนั้นรู้ทุกอย่างได้อย่างไรกัน? ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?
“……ดันทาเลี่ยน”
เธอพึมพัมออกมา แต่ถึงกระนั้นคำถามที่ไม่มีคำตอบของเธอก็พาให้เธอจมอยู่กับความสงสัย ภาพลักษณ์ของดันทาเลี่ยนปรากฏขึ้นในความฝันยามที่เจ้าหญิงจักรวรรดิหลับ
แต่ก็เป็นดังคาดสุดท้ายเจ้าหญิงก็ยังคงฝันถึงน้องชายของเธออีกครั้งและตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่มือทั้งสองยังเปื้อนด้วยเลือด
“โรเบิร์ต พี่ขอโทษ มันเป็นความผิดของพี่ พี่ขอโทษ โรเบิร์ต พี่ขอโทษ…….”
อลิซาเบธเอาหน้าซุกหมอน เช็ดคราบน้ำตา เธอยังคงนอนกัดฟันพลางร้องไห้เงียบๆโดยไม่ให้คนข้างนอกได้ยิน
สงครามปิดท้าย ณ ที่ราบบรูโน่เกิดขึ้นในวันต่อมา
กองทัพภาคที่ 1 ของฝ่ายพันธมิตรเสี้ยวจันทรา กับ ราชอาณาจักรบริททานี่นั้นเข้าปะทะกันอย่างเต็มกำลัง
กองทัพมอนสเตอร์ที่นำโดยจอมมารสิตรินั้นเต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บมากมาย แต่ก็สำเร็จในการปิดล้อมกองทหารราชอาณาจักรบริททานี่
พวกเขาโดนกวาดล้างหมด การรบนั้นรุนแรงมีเพียงราชินีแห่งบริททานี่และข้ารับใช้ผู้ใกล้ชิดเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตไปได้
ในวันนั้นเอง ราชินีทิ้งกองทัพฝ่ายมนุษย์แล้วกลับประเทศตน ว่ากันว่า ราชินีแห่งบริททานี่นั้น ร้องไห้ให้กับเหล่าทหารเหล่านั้นตลอดทางที่กลับไปยังประเทศตัวเอง
ส่งท้ายจากผู้แต่ง
ในขณะที่ราชินี เฮนริเอตต้าและ เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธกำลังหลั่งเลือดเสียน้ำตา ดันทาเลี่ยนกับลอร่าก็กำลังฆ่าเวลาด้วยกิจกรรมลามกอย่างเพลิดเพลิน