Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 168 โลกที่จอมมารเท่านั้นที่รู้ (5)
“ฟู่ววว”
ผมเหยียดยืดร่างกาย ลมเย็นในยามค่ำทำเอาปอดผมสดชื่น
ความรู้สึกที่ได้ทำงานเสร็จนี่ช่างสบายยิ่งนัก กระดาษหลายต่อหลายแผ่นอยู่ในมือผม ผมโต้รุ่งเพื่อที่จะเขียนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสงครามกลางเมืองของฟรานเคีย
จะพูดว่ามันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในชีวิตของผมก็ไม่ผิดนัก สงครามกลางเมืองและการปฏิวัตินั้นไม่ใช่อีเว้นท์ธรรมดาๆ มันต้องการเครื่องมือที่ละเอียดละออและซับซ็อน ผมจึงแบ่งเครื่องมือที่ว่านั่นเป็นสามส่วนแล้วจับมันมารวมกัน
เครื่องมือชิ้นแรกก็คือ ต้นฉบับที่มีราวๆ 15 แผ่น
หัวข้อของต้นฉบับคือ <แด่ประเทศชาติอันนิจนิรันดร์> ต้นฉบับดังกล่าวเปิดย่อหน้าดังนี้
Ο
– หากแม้นราคาที่ข้าจะต้องจ่ายนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าต้องทำลายความเข้าใจผิดที่ผูกมัดข้าไว้
ข้าต้องประกาศให้โลกใบนี้รู้ถึง ความจริงแท้และยอมปฏิบัติตาม นี่คือ พันธกิจที่จะมอบให้กับสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจเหตุเข้าใจผลทุกตน
เอกสารฉบับนี้เขียนด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณ
กระดาษที่ผมจะเผยแพร่ไปออกนั้นไม่ได้มีไว้ให้กับพวกสามัญชน สามัญชนนั้นต้องการอารมณ์ที่เข้มข้นรุนแรงมากกว่าตรรกะที่สอดคล้องกัน
หน้ากากที่เรียกว่า ตรรกะนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโน้มน้าวให้พวกนักศึกษาหนุ่มสาวที่มีวัฒนธรรมได้ดีกว่าพวกเหล่าขุนนาง
พวกเขาแตกต่างไปจากสามัญชนตรงที่มีวัฒนธรรม ถึงพวกเขาจะมีอารมณ์อยู่บ้างก็เถอะ แต่พวกเขาก็มี ‘จุดเดือด’ ที่สูงกว่าสามัญชนทั่วไป ตรรกะนั้นเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้มีอารยนั้นไปถึงจุดเดือดที่ว่าได้ง่ายขึ้น
– ชาวนานั้นเป็นดั่งทาสใต้การปกครองของชนชั้นสูง บางครั้งพวกเขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของลอร์ดเจ้าของที่ดิน ดังเช่นที่พวกเรารู้กัน ไม่มีทางหรอกที่จะหลงลืมข้อเท็จจริงนี้ไปได้
นั่นเพราะรายได้ของพวกเรามาจากระบบทาสนั่นเอง ดังนั้นพวกเราจึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจแม้พวกเราจะรู้อยู่แล้วว่า ระบบดังกล่าวนั้นโหดร้ายและอยุติธรรมแค่ไหน…….
– ‘หากข้าได้รับมรดกจากพ่อแม่มา ข้าจะแจกจ่ายที่ดินให้แก่ชาวนา’
ใครบ้างไม่เคยตั้งปณิธานเช่นนั้นในตอนเด็ก? แล้วเหตุใดคนผู้หนึ่งที่เปี่ยมด้วยความภูมิใจในตอนหัวรุ่ง กลับยอมละทิ้งมันในตอนย่ำค่ำเล่า?
นั่นก็เพราะชีวิตของพวกเรา จำต้องจ่ายเงิน 300 ไลบร้าทุกๆปี มันทำให้พวกเรารู้สึกว่า ระบบทาสเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมาอีกครั้ง
– หากพวกเราต้องเปิดเผยชีวิตตนต่อสาธารณะ โดยมากก็จะเป็นไปตามนี้:
ชีวิตนั้นมิได้เป็นไปดั่งใจเรา พวกเราแค่ใช้ชีวิตไปตามที่มันเป็นไป พวกเราสูญเสียการควบคุม สูญเสียความสามารถในการควบคุมชีวิตตน
– จะไม่รับรู้ถึงความย้อนแย้งนี้ได้อย่างไรกัน? จนถึงตอนนี้ผู้คนต่างเชื่อว่า ระบบทาสนั้นจะทำให้คนทั่วไปอยู่ใต้ชนชั้นสูง;
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ความจริงแล้วมันกลับตรงกันข้าม ชนชั้นสูญกลับเป็นตัวตนที่อยู่ภายใต้ระบบทาส ดังนั้นจึงไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่หนทางที่ถูกต้องตามที่พวกเขาเชื่อได้
– ในวันนี้ประเด็นเรื่อง ‘ศักดิ์ศรีและระดับการของชนชั้นปกครองนับวันก็ยิ่งอ่อนแอลงไปทุกที’ ได้กลายเป็นหัวข้อที่พูดกันไปทั่ว
สาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นกิใช่เหตุใดเลยนอกจากความย้อนแย้งในระบบทาส
พูดอีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ที่ควรเป็นเจ้านายกลับอยู่ใต้การควบคุมของทาสไปเสียอย่างนั้น…….
“ยอดไปเลย! บทพูดนี้มันยิ่งใหญ่มาก”
ขนาดผมเองยังรู้สึกโดนใจขณะที่อ่านทวนต้นฉบับตัวเองเลย นี่มันอัญมณีแท้ๆ
สิ่งนี้ไม่ใช่เอกสารทางวิชา มันแทบไม่ต่างจากบทพูดสุนทรพจน์ โดยเป็นบทพูดที่เชิญชวนอีกฝ่าย ดังนั้นคุณต้องเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายนั้นชื่นชอบและต้องการอะไร กลุ่มเป้าหมายของต้นฉบับนั้นคือ พวกนักวิชาการหนุ่มสาว
พวกชนชั้นสูงหนุ่มสาวน่ะ คือ ไอ้เวรที่ยึดติดกับชื่อเสียงเกียรติยศ
พวกเขากลัวการตกเป็นทาสมากกว่าอะไรทั้งนั้นและยังเชื่อว่าตัวเองต้องบุกเบิกชีวิตด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่พวกเขารู้จักอย่าง เสรีภาพก็ไม่มีอยู่ในชีวิตของชนชั้นสูงเหมือนกัน
หากคุณเกิดเป็นลูกชายคนแรก คุณก็ต้องรับสืบทอดทุกอย่างอย่างแน่นอน หากนักปกครองจะก่อสงคราม คุณก็ต้องยอมรับแผนการนั้นๆ
ลูกชายคนที่สองและสามโดยมากก็มักเป็นอัศวินและเดินทางเตร่ไป ความรับผิดชอบทั้งหมดอยู่ที่ตัวพวกเขาเอง ผมชี้ให้เห็นถึงประเด็นนั้น
Ο
– พระเจ้าได้บัญชาให้พวกเราเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราถึงได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่นี่มานานนับพันปี
แต่ถึงกระนั้น หากพวกเรามองย้อนกลับไป พวกเราไม่ได้เป็นเจ้าผู้ปกครองดินแดน หากแต่เป็นทาสของดินแดน นั่นคือ ผลลัพธ์ที่พวกเราจากการที่รู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่กลับไม่ใส่ใจมัน
– มันเป็นประเด็นที่ประชุมกันนับครั้งไม่ถ้วนว่าทำไมสามัญชนทั้งหลายถึงยังคงจนและความพยายามที่จะออกนโยบายออกมาเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ยังคงเงียบเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกมาพร้อมกับสิทธิ และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อทำให้ชีวิตชาวนาดีขึ้น
กล่าวอีกนัยได้ว่า มันเป็นการเอาดินแดนของพวกเราไปให้ชาวนาพวกนั้น”
ทีแรกผมแสดงให้พวกเขาเห็นถึง ความภาคภูมิใจ ผมวิพากย์พวกเขาว่า พวกเขาได้ทรยศความภาคภูมิใจนั่นอย่างไร
พอเริ่มนำเสนอไปตามนั้นก็ลงรายละเอียดในร่างคร่าวๆถึงวิธีที่จะฟื้นฟูความภาคภูมิใจกลับมา สิ่งสำคัญคือ การพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนข้อความราวกับกำลังอยู่ในการสั่งสอน
ผมตำหนิพวกเขาไปตรงๆขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขาหลงผิดว่า มีสิทธิที่จะทำได้หากพยายามมากพอ
ผมกระตุ้นให้พวกเขานับถือตัวเองและผลักดันให้ออกมาลงมือทำ
ด้วยการจุดไฟในใจให้ลุกโชนอย่างแบบนั้น ― แต่ละบรรทัดที่เขียนด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณจึงเป็นการปลุกระดมด้วยตรรกะที่ดูเข้าทีฉาบอยู่บนหน้า
ผมการันตีได้เลยว่าแค่นี้ก็เพียงพอที่จะชังจูงพวกเหล่าชนชั้นสูงแล้ว
และสุดท้าย
– ที่ดินไม่ควรเป็นของส่วนบุคคล
– เช่นเดียวกับน้ำ อากาศ และแสงอาทิตย์ ที่ไม่ควรเป็นสินค้าสำหรับซื้อขาย
– มนุษย์ทุกคนสมควรได้รับผลประโยชน์จากผืนดินเท่าเทียมกัน
เจ้าสิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นความจริง
พูดอีกอย่างก็คือ มันแค่ทำให้เกิดความประทับใจว่า สิ่งนี้เป็นข้อสรุปของทุกอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ด้วยเหตุนี้เองผู้คนจะรับข้อความพวกนี้ไปในฐานะข้อสรุปที่สมเหตุสมผลแทนที่จะคิดว่ามันเป็นคำพูดยุยง
แน่นอนว่าแค่นี้มันไม่เพียงพอจะจูงใจบางคนได้
‘ดังนั้นผมต้องเพิ่มเครื่องมือบางอย่างเข้าไปอีก’
ผมยังคงสอบทานต้นฉบับของผมขณะที่ยิ้มกรุ้มกริ่ม น่าสนใจเสียจริง มันไม่มีจุดผิดตรงไหนในงานเขียนผมเลย ผมไม่เคยต้องแก้แกรมม่านับตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้เลย
มันเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ผมมีทักษะทางภาษา แต่เอาเถอะจะเป็นอะไรไม่สำคัญนักหรอก
Ο
– การได้รับการแบ่งจ่ายที่ดินนั้นต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ชาวนาควรมีที่ดินเป็นของตนเอง จ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นข้อตกลงร่วม โดยระดมเงินทุนร่วมนั้นเป็นกองทุนเพื่อชาวนาด้วยกัน
– ราคาค่าเช่าจะถูกกำหนดโดยรัฐบาลท้องถิ่นของเหล่าชาวนา
ใช่แล้วล่ะ ผมให้คำแนะนำในส่วนของรายละเอียด
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ชำนิชำนาญในเรื่องนโยบาย แล้วผมจะอธิบายลึกไปในรายละเอียดได้อย่างไร? นั่นแหละ สาเหตุที่ผมใช้คำเท่ๆอย่างคำว่า ‘ข้อตกลงร่วม, , ‘เงินทุนร่วม’ และ ‘รัฐบาลท้องถิ่น’
ผมทำให้สิ่งที่พูดดูมีอะไรน่าประทับใจ
ตามปรกติคำนามที่เฉพาะเจาะจงจะมีพลังในการบั่นทอนกำลังใจผู้คน แต่หากเปลี่ยนประโยคที่ว่า
‘ชีวิตมันห่วยแตก’ ให้กลายเป็น ‘แต่เดิมแล้วชีวิตนั้นไร้เหตุผล’
พอเปลี่ยนให้เป็นแบบนั้นก็จะฟังดูเหมือนลึกซึ้ง พวกขุนนางชอบโวหารแบบนี้ พวกหนุ่มสาวก็ด้วยเช่นกัน
สิ่งนี้มันจะกระตุ้นความภาคภูมิใจของพวกเขา ทั้งยังปิดซ่อนคำพูดยุยงส่งเสริมด้วยการให้รายละเอียดคำอธิบายว่าจะเปลี่ยนข้อสรุปที่ฟังดูมีเหตุผลให้กลายเป็นจริงได้ด้วยคำสวยๆ
สิ่งนี้แหละที่จะโน้มน้าวใจชนชั้นสูงได้ คราวนี้ถึงหมัดเด็ด
– มันเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ผ่านปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา ไม่มีทางเลยที่พวกเราจะล่วงรู้ถึงความสำคัญของปัญหาหรือเข้าใจมันได้ ชายที่ชื่อ ฮันส์เกิดมาทำไม? ทำไมข้าถึงทำในสิ่งที่น่ารังเกียจ? ทำไมบางคนล้มตายไปส่วนข้ายังคงมีชีวิตอยู่? ทำไมข้าถึงหันเหไปจากความเป็นจริง?
– การพยายามทำความเข้าใจทั้งหมดนี้ พูดอีกอย่าง การพยายามทำความเข้าใจชะตากรรมที่ได้รับจากพระเจ้านั้นไม่อาจทำได้ด้วยพลังของข้าแต่ผู้เดียว แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นไปได้ที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่สลักฝังลึกไว้ในจิตสำนึกของข้า พวกเราต่างรู้เรื่องนี้ดี
– ดังนั้นหากเรายังคงครุ่นคิดต่อไปไม่จบสิ้น ก็ยังคงมีอะไรที่น่าตื่นตะลึงเกิดขึ้นในหัวจิตหัวใจเรา
ผืนฟ้าที่เป็นที่ตั้งของดวงดาวอันพร่างพราวและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวข้า
ยามที่ข้าเห็นและรู้สึกได้ถึงมันจาก ณ จุดนั้น
ข้าจะยืนหยัดที่จะเดินต่อไปในโลกอันกว้างใหญ่ ไม่มีประมาณเพื่อความรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่นั่น…….
“C’est si bon! C’est si bon! (มันยอดมาก! มันยอดมาก!)”
อยู่ๆผมก็อุทานออกมาเหมือนเป็นสุภาพบุรุษชาวฝรั่งเศสจนผมเองก็ยังอึ้ง ความสามารถทางวรรณกรรมนี้แทบจะยกระดับผมให้กลายเป็นดาวเด่นได้เลยหากผมเกิดในปารีส
ส่วนสุดท้ายนั้นครอบคลุมทั้งเรื่องศาสนาและจริยธรรม ทุกคนนั้นต่างมีด้านที่กระตุ้นเร้ากับเรื่องศาสนาและจริยธรรมด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่คนที่เย็นชาที่สุด ก็ยังกลายเป็นผู้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้หากถูกจุดไฟจริยธรรมขึ้นมา
เริ่มต้นพูดถึงตรรกะแต่จบลงด้วยจริยธรรม
คึ
“ข้าล่ะ อึ้งทึ่งในพรสวรรค์ของข้าเหลือเกิน…….”
ผมมองขึ้นไปบนฟากฟ้าด้วยความรู้สึกสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง ผมสามารถมองเห็นราตรีที่ย่างผ่านภูเขาด้วยความตกตะลึงในพรสวรรค์ของผม ในที่สุดผมก็สามารถทำให้ท้องฟ้าทั้งผืนหวาดกลัวผมได้…….
พรสวรรค์นี้……
อัจฉริยภาพนี้……
แม้แต่ผมยังกลัวตัวเองเลย…….
ผมอ่านทวนสอบทานต้นฉบับแรกของผมเสร็จ
ผมตั้งใจจะทำให้เป็นใบปลิวแล้วกระจายไปในหมู่ชนชั้นสูง มันไม่สำคัญหรอกว่า พวกเขาจะเป็นพวกนิยมกษัตริย์หรือพวกนิยมสาธารณรัฐ
รวมถึงต้นฉบับที่ชนชั้นสูงจะเข้ามามีส่วนร่วมในการระดมทุนจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่น สิ่งนี้จะเหมาะกับตำแหน่งของขุนนางทั้งหลาย พวกนิยมกษัตริย์ที่มีความรู้สึกเหมือนดั่งอัศวินผู้พิทักษ์ย่อมต้องถูกล่อลวงอย่าไม่ต้องสงสัย
“อืมมฮืมมมม”
ผมฮัมเพลงขณะที่หยิบกระดาษกองอื่นขึ้นมา
นี่คือ อุปกรณ์ชิ้นที่สองที่ผมเตรียมไว้เพื่อสงครามกลางเมืองและการปฏิวัติ ต้นฉบับนี้แหละ
ถึงมันออกจะดราม่ามากไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับการพูดสุนทรพจน์ที่ที่ราบบรูโน่ มันเป็นการประกาศว่าให้ขุนนางทั้งหมดควรถูกจับตัวมาประหารให้หมด โดยพิมพ์เป็นเล่มเล็กๆแล้วเผยแพร่ออกไปในหมู่ขุนนาง
แน่ล่ะว่า ต้องไปในเฉพาะหมู่ขุนนางนิยมสาธารณรัฐ
“เรามาหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการแบ่งแยกกันแต่เนิ่นดีกว่า”
มันคงเป็นปัญหาแน่หากพวกมนุษย์นั้นตั้งพันธมิตรใหญ่ขึ้นภายใต้ชื่อของ สาธารณรัฐ
หากราชอาณาจักรกลายเป็นสาธารณรัฐแล้ว พลังอำนาจของประเทศนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก มันเกิดขึ้นกับฝรั่งเศสในโลกเก่าของผมด้วยเช่นกัน ผู้คนที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติด้วยตัวเอง
ทหารหาญต่างสมัครใจลุกขึ้นมาปกป้องประเทศ และทหารเหล่านั้นก็ถูกบังคับให้ปกป้องจักรพรรดิ มันก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ฝ่ายไหนจะแข็งแกร่งกว่า
พวกมนุษย์จะยังคงแบ่งแยกกันอยู่ดีแม้ ฝ่ายนิยมสาธารณจะเป็นฝ่ายชนะ ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะโค่นจักรวรรดิลงและตอนนี้ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าอย่างสาธารณรัฐจะขึ้นมาแทนอย่างนั้นเรอะ? มันไม่ตลกเลยล่ะ
ผมต้องชักจูงให้เกิดการแบ่งฝ่ายในกลุ่มสาธารณรัฐ ทั้งพวกสุดโต่ง ทั้งพวกสายกลาง กวาดล้างชนชั้นสูงให้หมดหรือให้ยกโทษพวกเขา,สาธารณรัฐสำหรับชนชั้นสูงหรือสาธารณรัฐประชาธิปไตย ……ผมต้องแบ่งแยกให้เป็นหน่วยย่อยอุดมการณ์เล็กๆแล้วให้ขัดแย้งกันเอง
ผมแสยะยิ้ม
“ข้าจะดีใจมาก หากพวกแกน่ะสู้กันไปสัก 400 ปี เนื่องจากความต่างทางอุดมการณ์”
เอาละ ผมเองก็หวังจะให้สิทธิกับพวกสามัญชนด้วยเช่นกัน ผู้คนในทวีปทั้งหลายต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำ
ผมแค่ดึงการปฏิวัติที่ยังไงเสียพวกแกก็ต้องก่อขึ้นมาในสักวันหนึ่งในอนาคตอยู่แล้ว
ยิ่งกว่านี้ผมยังเปิดโอกาสให้พวกเขาสร้างกลุ่มก๊วนของตัวเองด้วย!
พวกเขาสมควรจะสร้างอนุเสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ดันทาเลี่ยนด้วยซ้ำ
ตรงนี้แหละที่เป็นอุปกรณ์ชิ้นที่สอง
เครื่องมือสองชิ้นแรกมุ่งเน้นไปที่ชนชั้นสูงและผู้มีวัฒนธรรม ส่วนเครื่องมือชิ้นที่สามนี้จะมุ่งเน้นไปที่สามัญชนคนธรรมดาทั่วไป มันไม่ใช่บทพูดสุนทรพจน์ ไม่ใช่คำปราศรัยหรือหนังสือตำราเล่มใด
มันก็แค่เพลงง่ายๆ
จากเครซี จนถึง สงครามไฮเดรนเยีย
จากโพลิเทีย จนถึง อกินคอร์ท
ภูเขาดำนั้นย่อมด้วยเลือดและน้ำตา
พวกเรานั้นต้องเดินด้วยเท้าเปล่า
จงมุ่งหน้าไป ลูกชายลูกสาวแห่งแดนดิน
ร้องตะโกนจนคอแหบแห้ง
โมงยามแห่งความรุ่งโรจน์กำลังมา!
จากป้อมปราการแดงถึงที่ราบเอล์ม
โบเอเทีย และ นีเมีย
จงฟังเสียงกรีดร้องของศัตรู
ที่ดังก้องสะท้อนทั้งภูเขาและแม่น้ำ!
จงชูธงสงครามที่เปื้อนเลือด!
จงชูธงสงครามที่เปื้อนเลือด!
ศัตรูกำลังย่างเข้ามาใกล้
เพื่อเอาหัวภรรยาและคนรักของเจ้าไป!
กระชับหอกไว้ให้มั่น,สหาย!
ไปยืนที่แนวหน้านั่น!
โอ้ องค์เทพี โปรดไถ่บาปให้แก่ทุกขุนเขาและแม่น้ำ!
โอ้ องค์เทพี โปรดอนุญาตให้ความยุติธรรมร่ำร้อง!
ให้เลือดของศัตรูเราไหลหลั่ง
สู่ผืนดินที่แห้งแล้งของพวกเรา!
“เจ้านี่มันต้องได้ผลแน่”
ผมยิ้ม มันเป็นเพลงแห่งการปฏิวัติ ผมไม่แน่ใจว่า มันจะขับร้องออกมาอย่างไร แต่ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนในบริษัทเคียนคุสก้ามอบให้นักแต่งเพลงผู้มีชื่อเสียงแห่งโลกปีศาจจัดการ
ผมหวังว่า พวกนักปฏิวัติของพวกมนุษย์จะพอใจกับของขวัญน้อยๆชิ้นนี้
(TTL : เป็นตอนที่แปลนาน และหัวหมุนอย่างไม่น่าเชื่อ @_@ )