Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 327 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (15)
บทที่ 327 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (15)
บาร์บาทอสยอมจากไปโดยง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
“ผู้เป็นรักษาการณ์ไม่ควรจะเอาแต่เที่ยวเล่นนี่เนอะ ?”
ไอ้คำพูดนี้มันไม่น่าจะออกมาจากปากคนที่เอาแต่เที่ยวเล่นเลยจริงๆ
ถึงจะเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้น แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก ที่เธอรีบออกไปไวๆก็เพราะเห็นว่า ผมนั้นยังป่วยอยู่
แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่บาร์บาทอสก็ไม่ได้พูดออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรักเธอ
หากผมจะแต่งงาน มันไม่ดีหรือไงหากได้แต่งกับคนอย่างบาร์บาทอส ?
ผมวาดฝันถึงชีวิตคู่ในหัว ทุกอย่างมันก่อร่างขึ้นมาได้ทันที
หากพวกเรามีลูกด้วยกัน บาร์บาทอสคงไม่ยอมเป็นคนเลี้ยงลูกอย่างแน่นอน เธอคงจะโยนการเลี้ยงลูกไปให้คนอื่นแทนทันทีที่รู้ว่ามันเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ก็รู้ๆกันอยู่นี่นะ
ดังนั้นแล้วผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แต่คนรอบข้างก็จะคอยห้ามผมไม่ให้ทำอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะยังไง แต่พวกเราไม่ยอมให้ ท่านเป็นผู้สั่งสอนเด็กคนนี้แน่ๆ !”,พวกเธอก็คงจะพูดออกมาพร้อมกันอย่างเป็นเอกฉันท์
ผมเองก็คงจะตะโกนกลับไปว่า แล้วให้ผมเลี้ยงดูลูกตัวเองนี่มันแย่ตรงไหนกันเนี่ย แต่ก็คงไม่มีใครยอมฟังผมหรอก…….
แล้วใครกันล่ะจะเป็นคนดูแลเด็กคนนี้ ?
ผมเองก็ไม่แน่ใจนักเหมือนกัน อาจจะเป็นระบบที่ให้ใครต่อใครหลายคนมาช่วยๆกันเลี้ยงก็ได้มั้ง
ลอร่า, คนที่มีงานทำน้อยที่สุดและบางทีก็ว่างงานไปเลย อาจจะมาเล่นกับเด็กคนนี้ ลาพิส,เดซี่ และอิวาร์ อาจแวะเวียนมาหาบ้างหลังเลิกงานแล้ว
แต่พอเด็กคนนี้โตขึ้นมาสักหน่อยก็คงจะเริ่มไปตามเจเรมิมาดูแลด้วย
พวกเธอก็จะทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นเด็กแสนซุกซนเสียจนสร้างความปั่นป่วนในดินแดนจอมมาร
อิวาร์ก็คงตะโกนว่า ‘นายน้อยคะ, นายน้อยคะ!’, แต่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรๆดีขึ้น
แถมแทนที่จะช่วยกันห้ามปรามเด็กคนนี้ บาร์บาทอสกลับเอาแต่หัวร่อคิกคักแล้วสรรเสริญการกระทำนั้นแทน ผมที่นั่งอยู่ข้างๆเธอก็ได้แต่ถอนใจ
ช่างเป็นความฝันอันงดงามอะไรอย่างนี้
จอมมารไม่อาจมีลูกหลานได้ ดังนั้นทั้งหมดจึงเป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฏบนใบหน้าผม…… ทำไมกันนะ?
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ตัวทั้งนั้นว่า อะไรที่ต่อให้โตขึ้น ตัวเองก็ไม่มีทางเป็นได้
ผมไม่อาจเป็นฮีโร่,นักปฏิวัติ หรือจิตรกร เส้นทางของผมนั้นชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว
ตัวอย่างก็เช่น ผมอาจไม่สามารถเป็นสุดยอดผู้นำได้ก็จริง แต่ผมสามารถเป็นนักปลุกปั่น ปลุกระดมและ ชักจูงผู้คนได้
ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นบุคคลผู้ปลุกปั่น ผู้ปลุกระดม และชักจูงผู้คน
ไม่ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการหรือไม่ มันไม่สำคัญ มันเป็นตัวตนของผม
จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมจะต้องเสียอกเสียใจกับเรื่องดังกล่าว
ผมเองก็ไม่ได้อยากจะเกิดมาเป็นแบบนี้เพราะอยากเป็น ชีวิตของผมนั้นโดนขีดเส้นทางให้เดินไปตามทางที่ไม่ต้องการ…….
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคนกลุ่มน้อยบางคนที่เผลอหลงไปกับแนวคิดเช่นนั้น
พวกนั้นไม่เคยลองพยายามหา ‘ตัวตน’ ของตัวเองจากภายใน หากแต่มองหาจากที่อื่นแทน
พวกนั้นเชื่อว่า ตัวตนของตัวเองน่าจะมีอยู่ที่ไหนสักแห่งใต้ผืนฟ้าครามนี้
คนผู้ยึดติดกับสิ่งมองไม่เห็นใต้ผืนฟ้า
ตัวอย่างก็เช่น มนุษยชาติ
ชาติ
โลก
ผมอาจหยอกล้อและดูหมิ่นพวกนั้นได้ ผมสามารถทำได้ตามที่อยากทำ
แต่การที่มนุษยชาติทำแบบนั้นกับตัวเอง มันดีแน่แล้วหรือ?
มันใช่สิ่งที่สมควรทำแล้วหรืออย่างไร?
การต้มตุ๋นกัน,การฆ่าแกงกัน การย่ำยีข่มขืน — นั่นสมควรเป็นภาพลักษณ์โฉมหน้าของโลกใบนี้หรือ?
ควรปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้จริงๆน่ะหรือ?
เสียงส่วนน้อยกลับค่อยเบาลงเพราะไม่ได้รับการสนับสนุน
ไม่เป็นไรอยู่แล้วหาก ผมจะเป็นคนมีอารมณ์ขัน หรือจะเป็นคนเห็นแก่ตัว
แต่มนุษยชาติไม่ควรจะเป็นไปอย่างนั้น
ถึงแม้ว่า ผมนั้นจะชั่วร้ายเห็นแก่ตัวเพียงใด อนาคตอันใกล้และภาพลักษณ์ของมนุษยชาติสมควรที่จะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามสิ
คนพวกนั้นแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมกับพูดว่า ‘ไม่ล่ะ’ ไปพร้อมๆกัน
เมื่อกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชพบว่า ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
, เจ้าพวกนั้นก็จะถามตัวเองว่า, ‘มนุษยชาติจะทำอะไรได้บ้างเนี่ย?’ แทนที่จะถามว่า , ‘ฉันควรทำอะไร?’.
เมื่อเกิดการฆ่าล้างกันขึ้นตรงหน้าพวกเขา พวกเขาก็ได้แต่พูดว่า ‘ฉันต้องหนีไปจากที่นี่’ และก็ ‘มนุษยชาติไม่มีทางให้อภัยกับเรื่องนี้แน่’ ไปพร้อมๆกัน
แล้วเจ้าพวกนั้นก็ทำให้คำพูดประโยคหลังกลายเป็นความจริงขึ้นมา
พวกนั้นมันพวกบ้าโรคจิตด้วยกันทั้งนั้น
เจ้าพวกนั้นน่ะ เอาแต่พร่ำสอนถึงแต่เรื่องที่ไม่มีอยู่จริงอย่างเช่น มนุษยชาติหรือไม่ก็โลกทั้งผองเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับว่า มันเป็นความจริงอย่างนั้นแหละ
พวกเขาทำราวกับว่า นั่นเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง แล้วแบบนี้จะไม่ให้นับว่าเป็นความหลงผิด หรือความสติแตกไปได้อย่างไรกัน ?
มันช่างเป็นความงดงามอันน่ารังเกียจเสียจริง ในบรรดาความป่วยไข้ทั้งหมดที่มี อยู่บนโลก ทุกคนต่างมีไอ้เจ้าโรคนี้อยู่กับตัวตั้งแต่แรกเกิดแล้ว …….
“ดันทาเลี่ยน”
ผมลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นพื้นขาวบริสุทธิ์ขยายตัวไม่สิ้นสุดอยู่ตรงหน้าผม
นี่ผมหลับแล้วเหรอ ?
ผมรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในความฝันเพราะเคยมาที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่ง
“……ไพมอน”
ปรากฏรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของหญิงผู้มีผมสีแดง
“ข้าต้องขออภัยที่พานายมาที่นี่ทั้งที่ยังเหนื่อยอ่อนอยู่ ”
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็คิดว่า การที่ตัวเองนอนถึงสิบวันนั้นก็มากเกินพอแล้ว ”
ผมยักไหล่
“การนอนส่วนที่เหลือ ข้าจะเก็บไว้นอนอีกทีก็ตอนลงโลงก็แล้วกัน ”
“…….”
อ้าว? ทั้งที่ผมยิงมุกตลกแท้ๆ แต่สีหน้าของไพมอนกลับหม่นหมอง ดูเหมือนเธอเศร้าเสียใจหรือสำนึกผิดต่ออะไรบางอย่าง
“ความเชื่อมั่นของสาธารณรัฐบัทตาเวียดิ่งลงเหว สาธารณรัฐฮับบวร์กโดนกดดันอย่างหนัก และรัฐบาลใหม่ของฟรานเคียเองก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะรวมทวีปนี้ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีฝ่ายใดสามารถเป็นแกนนำของฝ่ายนิยมสาธารณรัฐได้อีกแล้ว
……เป็นอย่างที่นายต้องการแล้วล่ะ , ดันทาเลี่ยน”
“…….”
“นายทำแบบนี้ทำไม?”
ริมหางตาของไพมอนเริ่มแฉะชื้น
“ข้าแค่เพียงต้องการสันติภาพ
ข้าแค่อยากเห็นคำว่า สันติภาพ อันน่าเบื่อหน่ายนั่น เกิดขึ้นมา……. นายเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครนี่ แล้วทำไม ทำไมกันล่ะ ……?”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเธอนั้นดูไม่ได้เลย
เธอแสดงอารมณ์ออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งสีหน้าและน้ำเสียง ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากรับอารมณ์ที่ทิ่มแทงนั้นทั้งหมด
“นายจำเป็นต้องทำร้ายตัวเองขนาดนี้จริงๆหรือ ……? ข้าน่ะ,ข้าน่ะไม่ได้อยากให้นายต้องเจ็บตัว ……!”
“ข้าเองก็เหมือนกัน, ไพมอน”
ผมเดินเข้าไปหาเธอ
“ข้าไม่อยากเห็นเธอต้องเจ็บตัว
ข้าไม่อยากเห็นเธอกับบาร์บาทอสต้องมาเข่นฆ่ากันเอง นั่นแหละคือ สาเหตุ…….”
“อย่าเข้ามาใกล้ข้า!”
ผมหยุดฝีเท้า
“นายน่ะมันทั้งเห็นแก่ตัวและไร้ยางอายสิ้นดี!
นายน่ะทำเหมือนไม่รู้อะไร แต่จริงๆนายรู้ดียิ่งกว่าใคร…….
ทำไมนายถึงไม่ยอมรับการตายของผู้หญิงอย่างข้า แต่กลับให้คนนับหมื่นต้องตายได้?
นายก็น่าจะไม่เป็นอะไรสักหน่อย หากจะปล่อยให้เลดี้ผู้นี้น่ะตายๆไปอย่างที่นางต้องการ……พบกับความฉิบหายไปอย่างโง่ๆ……!”
ตอนนั้นเองสิ่งเดียวที่ผมได้ยินมีแต่เสียงร้องไห้
ผมไม่ทั้งเข้าไปใกล้ๆเธอหรือพูดอะไรออกมา
ผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ไพมอนจะรู้สึกอย่างไร ตอนที่เธอรู้ว่า ผมทำร้ายตัวเอง
ไพมอนนั้นเป็นบุคคลผู้สูงส่งและมีจิตใจที่บอบบาง เธอคงต้องปวดร้าวแน่ๆ
การที่เธอรับรู้ว่า ผมได้ทำร้ายตัวเองคงสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอยิ่งกว่าการที่รู้ว่าแผนของเธอพังพินาศเสียอีก
แม้ทั้งๆที่ผมรู้ดีว่า ไพมอนจะต้องเจ็บปวดใจแน่ๆ แต่ไม่หรอก ผมแทงตัวเองเพราะรู้ว่า ไพมอนย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวด
นั่นก็เพื่อให้เธอรู้สึกผิด และทำให้เธอยอมเลิกล้มแผนการการแบ่งแยกกองทัพจอมมารด้วยความตั้งใจของตัวเอง
ผมมันเป็นคนประเภทนี้นี่แหละ
คนที่เหยียบหยัน ล้อเล่นกับความเชื่อใจของผู้อื่น
“…….”
ผมชักมีดส่วนตัวออกมาเงียบๆ
เมื่อผมรู้ว่าอยู่ในห้วงฝัน ผมก็มาอยู่ที่นี่พร้อมกับชุดเสื้อผ้าที่คุ้นเคย ซึ่งผมมักพกมีดติดตัวตลอดเวลา
“……ดันทาเลี่ยน?”
การกระทำคงผมนี้คงดูแปลกสำหรับไพมอนสินะ?
ไพมอนยังคงมองผมทั้งที่มีน้ำตาบนใบหน้า
ผมหันคมมีดมาที่ตัวเอง ถ้าพูดให้ชัดก็คือผมจรดปลายมีดที่คอตัวเอง
ดวงตาของไพมอนเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือมาทางผม
“ไม่!”
ผมเสือกมีดเข้าที่ลำคอก่อนที่นิ้วของไพมอนจะมาถึงตัวผม
ผมได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด
มันคล้ายกับโดนดึงลิ้นออกมาแล้วตาก็เบลอๆไป
ผมตื่นขึ้นมาจากความฝัน
ดินแดนสีขาวบริสุทธิ์นั้นหายไปแล้ว ผมกลับคืนสู่ห้องของตัวเองโดยร่างกายจริงยังคงพักผ่อนอยู่
ผมบีบรอบคอตัวเองก่อนจะพยายามกระเสือกกระสนดันตัวลุกจากเตียง
ผมนอนติดเตียงมากว่าสิบวันรวด ดังนั้นร่างกายจึงไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งนัก
ผมจึงพยายามลากตัวเองไปที่พื้น เพื่อหนีออกจากเตียง
นายไม่ควรขยับร่างกายนะ
,คล้ายกับร่างกายของผมกำลังบอกผมอย่างนั้น
หัวเข่าไม่มีแรง ร่างกายของผมปฏิเสธที่จะยืนขึ้น
ถือเป็นโชคดีที่มีของที่ผมพอใช้ในการค้ำตัวเหมือนอย่างกับไม้เท้าอยู่ใกล้ๆ แท่งสีเงินที่ใช้เพื่อเปิดและปิดม่านนั่นเอง
“คึ…….”
ผมใช้แท่งเปิดม่านเป็นดั่งไม้เท้า ดันร่างกายบางส่วน
แขนขาสั่นไปหมด จนเกินกว่าจะทนไหว
แต่ผมเคยอาการหนักกว่านี้มาก่อนแล้ว
ถ้าแค่ระดับนี้ ผมทนได้สบายๆ
ผมเตาะแตะไปที่ประตู ซัคคิวบัสนั้นแสดงภาพฝันให้ได้แต่กับคนที่อยู่ใกล้ๆเท่านั้น
เธอปรากฏตัวในความฝันผมนั่นก็หมายถึง เธออยู่ที่ไหนสักแห่งในอาคารหลังนี้นี่แหละ
ผมสะดุดอยู่ห้าครั้งขณะที่พยายามออกจากเตียงไปที่ประตู
มันคงง่ายกว่าแหละหากจะใช้การคลานเอา แต่ผมกลับรู้สึกว่า หากตัวเองนอนแนบพื้นตอนนี้มีหวังได้หมดสติไปแน่ๆ
ผมจึงยังประคองสัมปชัญญะที่เหลืออยู่
และเมื่อผมเปิดประตูออก—
ผมก็พบไพมอนนั่งอยู่นอกห้อง
ดูเหมือนเธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี เธอมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
ใบหน้าที่เคยงดงามนั้นกลับต้องบูดเบี้ยวจนชวนให้ผมหัวเราะ
แต่ถึงอย่างนั้นในโลกความจริง ผมก็เหลือแรงแค่เพียงขยับยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
ผมพยายามเค้นคำพูดออกมา ขณะที่เอนตัวพิงไม้เท้าชั่วคราว
“เธอ……มันคนขี้ขลาด, ไพมอน”
“…….”
“เธอกลัวที่จะพบกับข้าเป็นการส่วนตัว
หรือข้าควรจะขอโทษเขาดี?
ข้าควรทำหน้าแบบไหนเวลาพบกับเขา……?
เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร เธอก็เลยมาหาข้าในฝันแทน
เอาจริงๆนะ เธอนี่มันเป็นยัยคนขี้ขลาดที่น่าหัวเราะชะมัด…….”
อันที่จริง ผมรู้แล้วว่าเธอไม่ใช่พวกนักอุดมคติโดยสันดาน
หากเธอเป็นพวกนักอุดมคติตัวจริง เธอคงจะฝืนบังคับให้คนอื่นเชื่อในสิ่งเดียวกันกับที่เธอเชื่อไปแล้ว
ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ที่ที่ราบบรูโน่ เธอยอมเสียสละเวทย์มนตร์ทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือผม
ทำไมกัน? เธอจะทำเรื่องบ้าๆพรรค์นั้นไปทำไมกัน?
“เธอน่ะไม่ต้องการจะเสียสละใครทั้งนั้น…….ไม่ว่าจะเป็นปีศาจตนไหน หรือแม้แต่ข้า…….
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเธอถึงเลือกที่จะกำจัดตัวเองทิ้งแทน
ให้โลกใบนี้ได้กำจัดจอมมารทิ้งไปสักตนหนึ่ง”
“…….”
“สงครามนั้นเกิดขึ้นเพราะตัวตนสุดจะเห็นแก่ตัวที่รู้จักกันในชื่อว่า จอมมาร…….
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอจึงตัดสินใจบูชายัญตัวเอง เพราะเธอไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวด
……จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดเสียเอง”
ไม่มีทางรู้ได้เลยว่านิสัยที่ยึดติดเรื่องนั้นมาพร้อมกับการเป็นซัคคิวบัสตั้งแต่เกิดของเธอหรือเปล่า?
หรือมันอาจเป็นเพราะอุปนิสัยลึกๆที่แท้จริงของไพมอนกันแน่
“เธอตั้งใจจะก่อปัญหา ก่อนที่ฝ่ายที่ราบจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ในอีกห้าสิบปีข้างหน้า ……?
มันก็ฟังดูดี ใช้ได้นี่ แต่เธอเองไม่เคยเชื่อเลยว่า เธอน่ะจะเป็นผู้ชนะ
ก็เห็นๆกันอยู่แล้วนี่ว่า จอมมารทุกตัวยกเว้นเธอจะร่วมมือกัน
แล้วเธอจะเอาชนะเจ้าพวกนั้นทุกตนได้ยังไงกันล่ะ?”
“ขะ-ข้า…….”
“เธอคงคิดอยู่แล้วสินะ ถึงแพ้ก็ไม่เป็นไร
ถ้าเธอพ่ายแพ้ไป เธอก็พ่ายแพ้ด้วยตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลของเธอสินะ”
ย้อนกลับไปในช่วงสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
หากเข้าใจถึงมุมมอง ความรู้สึกนึกคิดของไพมอน ผมคงจะไม่ปล่อยให้บาร์บาทอสมีโอกาสได้หายใจหายคออย่างแน่นอน
ผมจะรุมกระหนาบนางทันทีหลังเป็นพันธมิตรกับอลิซาเบธ
ส่วนการอ้างความชอบธรรมนั่นน่ะ มันง่ายเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้น ไพมอนเองกลับให้เวลาหลายต่อหลายวันกับบาร์บาทอสในการยอมแพ้
ในอดีตที่ผ่านมา ผมคิดว่านั่นเป็นเพราะไพมอนนั้นมั่นใจในตัวเอง และมั่นใจในชัยชนะเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงหรอก เรื่องมันก็ง่ายๆก็แค่เธอไม่อาจผลักอุดมการณ์ของตัวเองไปให้คนอื่นนั่นแหละ
……. นั่นคือ ต่อให้เธอรู้ว่า การฆ่าล้างเป็นสิ่งจำเป็น แต่เธอก็ไม่อาจลงมือทำได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นก็เพราะเธอน่ะไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่า สิ่งที่เธอทำนั้นถูกหรือผิดกันแน่
ก็เหมือนกันกับสถานการณ์ในฉากเหตุการณ์ของเกมนั่นแหละ
ทั้งที่เธอมีโอกาสฆ่าฮีโร่ได้แล้ว แต่เธอก็พลาดไป ทำไมกัน??
นั่นเพราะเธอพบว่า ฮีโร่น่ะเป็นคนดีมีคุณธรรม
ทั้งที่เธอเองก็รู้ดีว่า ตัวเธอต้องฆ่าฮีโร่เพื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ
สุดท้ายแล้ว เธอก็เลือกที่จะจบชีวิตตัวเองแทน
ไพมอนเอ๋ย , เธอน่ะมีความเห็นอกเห็นใจมากเกินกว่าจะก่อการนองเลือดบนทวีปนี้
“หากข้าพูดอะไรผิดไป ก็จงฆ่าข้าเสียตรงนี้เลย”
ผมมองไปยังดวงตาของเธอ
“ข้าขอรับรองกับเธอเลยว่า ต่อจากนี้ข้าจะยังคงทำตัวเป็นอุปสรรคบนเส้นทางของเธอต่อไป ข้าน่ะเป็นตัวอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของเธอ
……. จงพิสูจน์ให้ข้าเห็นสิ ว่าเธอน่ะมีความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของเธอมากพอที่จะฆ่าข้า!”
(TTL : แย่ว่ะ พรี่ดัน ตื่นมาก็บุลลี่ไพมอนเลย!)