Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 86 ยุคสมัยแห่งแผนการ(1)
“พวกเราถอย”
มาร์คกราฟฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์ก ประกาศออกมา
ภาพมังกรกระดูกสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเทา เพียงแค่วลีเดียว อัศวินทหารม้าหมูป่าแดงทั้ง 100 นาย หันหลังกลับโดยไม่ตั้งคำถามกับการตัดสินใจของเขา
แล้วผู้ช่วยของเขาก็พูดขึ้น
“นายท่านครับ นั่นคือ บาร์บาทอสครับ พวกนั้นจะต้องเป็นกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราอย่างแน่นอน”
“พวกเขาใช้ราชาแห่งเหล่ากระดูกทั้งหลายได้ด้อยประสิทธิภาพยิ่ง”
คำพูดของเขานั้นไหลออกมาอย่างเย็นชา เสียงของเขานั้นเบาจนถูกกลบด้วยเสียงย่ำเท้าของม้า
แต่ผู้ที่จะได้ยินอย่างชัดเจนนั้นเป็นทหารม้าที่ได้ฝึกประสาทหูดีกว่าคนธรรมดา
“พวกมันไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประสิทธิภาพ พวกมันมุ่งเป้าไปที่เหตุผลอันชอบธรรม บาร์บาทอสนั้นต้องการเข้าไปยุ่งกับสงครามที่มีความชอบธรรม”
“เข้าใจแล้วครับ แล้วทำไมถึงต้องเป็นพันธมิตรเสี้ยวจันทราด้วย?”
“เราต้องรายงานเรื่องนี้ไปให้ถึงองค์จักรพรรดิ”
ผู้ช่วยของเขายิ้มอย่างมีเลศนัย
“แล้วพระจักรพรรดิจะตอบกลับมาหรือครับ?”
“ข้าไม่ได้คาดหวังอะไรกับคนในวังหลวงนักหรอก แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าชายผู้เป็นมกุฏราชกุมารก็ยังอยู่ที่นั่นด้วย เขาต้องควบคุมทั้งกองทัพไว้ในมือ”
ดวงตาของผู้ช่วยเบิกกว้าง
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า พวกเราควรส่งข่าวบอก มกุฏราชกุมารก่อนจะบอก องค์จักรพรรดิอีกหรือครับ?”
“เว้นระยะห่างการรายงานไว้ สามชั่วโมง สามชั่วโมงเพียงพอที่จะให้เจ้าชายมกุฏราชกุมารมาสมทบพร้อมกำลังทหาร”
มาร์คกราฟ มันเป็นเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ที่มอบให้กับตระกูลของมาร์คกราฟโดยชดเชยกับการที่ต้องคอยปกป้องชายแดน
พวกเขาสามารถที่จะมีกำลังทหารได้มากเท่าที่จะสามารถมีได้อย่างถูกกฏหมายรวมถึงหน้าที่ต่างๆด้วย พวกเขานั้นเป็นเหมือนราชาในดินแดนของตนเอง
เป็นธรรมดาที่ฝ่ายวังหลวงแห่งจักรวรรดิเองจะเชื่อว่า มาร์คกราฟนั้นสามารถจะปฏิวัติขึ้นมาเมื่อใดก็ได้
ส่วนสาเหตุที่มาร์คกราฟไม่เคยได้รับข้อหาทรยศมากว่า 500 ปี นั้นง่ายมาก พวกเขาสนับสนุนทายาทที่ถูกต้องตามกฏหมายเสมอ
ไม่ว่าเจ้าชายมกุฏราชกุมารจะมีบุคลิกต่ำช้าเพียงไหน แม้แต่จะไร้น้ำยาแค่ไหน
มาร์คกราฟก็ยังคงให้การสนับสนุนอยู่ดีเพราะเขานั้นเป็นทายาทที่ถูกต้อง
เมื่อรักษาทัศนคติอย่างนั้นได้ต่อเนื่อง มาร์คกราฟจึงได้ออกห่างจากการต่อสู้ทางการเมืองในวังหลวง
“เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิจะสูญเสียอำนาจทันทีหลังจากสงครามนี้จบลง”
“เธอไม่ใช่เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิ จงเรียกเธอว่า เป็นเอิร์ล เอวาเทรีย”
โรเซนเบิร์กตอบกลับไปด้วยคำพูดที่โหดร้าย
เจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งจักรวรรดินั้นคล้ายกับบิดาของเขามากยิ่ง ทั้งในเรื่องที่เขานั้นไร้ความสามารถ
ไม่ใช่แค่เรื่องไร้ความสามารถอย่างเดียว ยังมีนิสัยที่เน่าเฟะด้วยเช่นกัน
นี่คือ ความลับที่แบ่งปันในในหมู่กลุ่มเล็กๆของชนชั้นสูงระดับบนๆเท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่เจ้าชายลำดับหนึ่งได้ข่มขืนพี่สาวตัวเอง พี่สาวร่วมสายเลือด หลังจากที่ข่มขืนมาอย่างต่อเนื่อง เจ้าหญิงลำดับหนึ่งก็ฆ่าตัวตาย แต่ก็ประกาศต่อสาธารณะว่า เธอตายด้วยโรคแทน
ผู้ช่วยจึงลอบถามอย่างระวัง
“นายท่านจักรวรรดิ์ฮับบวร์กจะมีโอกาสล่มสลายไหม?”
“เป็นไปได้”
ถ้ามีชนชั้นสูงตั้งแต่กำเนิดมาได้ยินบทสนทนานี้เข้า คงต้องช็อคอย่างแน่นอน
มันสมเหตุสมผล ที่สามชั่วอายุคนของตระกูลจะถูกตัดสินโทษจากการที่ใส่ร้ายราชสกุลและกบฏ
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยก็ดี,มาร์คกราฟโรเซนเบิร์ก หรือแม้แต่กองทหารม้าทั้งร้อยนายนั้น ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย สำหรับพวกเขาแล้ว จักรวรรดินั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องมือชิ้นหนึ่ง
“มันมี สองเส้นทาง
ทางหนึ่งคือ การที่จักรวรรดิจะอยู่ต่อไปได้ ในสถานการณ์นั้น เอิร์ล เอวาเทียจะต้องยึดอำนาจจากมกุฏราชกุมาร เพื่อครองบัลลังก์ จักรวรรดิจะตกสู่ความระส่ำระส่ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะฟื้นตัวกลับคืนมาได้โดยเร็ว
แต่ถึงอย่างนั้น มาร์คกราฟก็จะพบแต่ความวิบัติ”
“แล้วอีกหนทางหนึ่งล่ะครับ?”
“เป็นหนทางที่จักรวรรดิจะล่มสลาย”
เอิร์ลโรเซนเบิร์กยังคงรักษาน้ำเสียงเยือกเย็นไว้
“หลังจากที่มกุฏราชกุมารขึ้นครองบัลลังก์ กลไกการทำงานภายในของจักรวรรดิจะเสื่อมโทรมและพังพินาศลงด้วยตัวมันเอง
ถึงอย่างนั้นเหล่าตระกูลทั้งหลายก็ยังคงรักษาเกียรติที่ไม่ทรยศหักหลังชาติในฐานะที่เรามุ่งเป้าไปที่การปกป้องมนุษยชาติไว้ได้
ถึงแม้จักรวรรดิจะล่มสลายแล้วมีชาติใหม่ประเทศใหม่เข้ามาแทนที่ ความจงรักภักดีของเราจะเป็นที่รู้จักกันทั่ว”
อนาคตของจักรวรรดิ หรือ อนาคตของมาร์คกราฟ หรือว่า อนาคตของมวลมนุษยชาติ
…….ผู้ช่วยเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นในหัว
“ถ้าหากเอิร์ลเอวาเทรียสามารถที่จะยึดอำนาจได้ ท่านจะทำอย่างไรครับ?”
“หากพวกเราจะต้องถูกปฏิบัติเยี่ยงตระกูลผู้ทรยศ ข้ายอมล่มสลายอย่างอลังการยังดีเสียกว่า”
ดวงตาสีเทาของเอิร์ลเปล่งประกายแสงสลัว
“ข้าจะสร้างทัพพันธมิตรกับมาร์คกราฟอื่นแล้วโจมตีเข้าไปที่ภูเขาดำ พวกเราอาจโดนปิดล้อมโดยสมบูรณ์และอาจถูกฆ่าล้างหมด
แต่ถึงอย่างนั้น ชื่อเสียงตระกูลของเรายังคงจารึกผ่านประวัติศาสตร์ในฐานะผู้ปกป้องมนุษยชาติ
ณ จุดนั้นเอง ที่พวกเขาจะเป็นหนี้พวกเรา หากแม้นตระกูลเราจะล่มสลายไปก็ไม่เป็นไร”
รอยยิ้มที่หยามเหยียดปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก
“เจ้าน่ะมีได้ชีวิตเดียว มันดีที่สุดต่อตระกูลหากจะให้มันจบลงอย่างงดงาม”
Ο
* * *
เด็กหนุ่ม ผมทอง ผู้เคยเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการแดงอยู่ในคอกม้า
มันเป็นคอกม้าชายขอบของเมืองที่โทรมมาก มันแทบไม่มีใครมาใช้งานเลย แถมยังถูกคลุมซ่อนไว้ คอกม้าแห่งนี้เป็นสถานที่ที่บางกลุ่มใช้เพื่อแบ่งปันข้อมูลลับๆแก่กัน
ชายหนุ่มหยิบลูกแก้วคริสตัลที่ซ่อนในมุมหนึ่งของคอกออกมา พอเขาร่ายเวทย์ ลูกแก้วคริสตัลก็เปล่งประกาย
ไม่นานหลังจากนั้นแสงสีฟ้าก็แผ่ออกมา แสงนั้นสร้างม่านขึ้นและปรากฏภาพหญิงผู้หนึ่งฉายไปที่ลูกแก้ว
เด็กหนุ่มพูดกับลูกแก้วนั้น
“พี่สาว โรเซนเบิร์กกลับมาแล้ว”
“ตอนนี้เลยหรือ?”
“อืม หากนับเวลาที่ผมต้องใช้ในการมาที่นี่ด้วยก็ราว 20 นาทีแล้วที่เขากลับมา”
หญิงผู้นั้นตะคอก
“องค์หญิงคงไม่ได้รับแจ้งเรื่องนั้นแน่ๆ ฉันเดาว่า โรเซนเบิร์กน่ะจะต้องอุทิศตนรับใช้ไอ้นักเลงนั่น เหมือนอดีตที่เคยเป็นมานั่นแหละ”
“อืม แต่ถึงอย่างนั้น…… เขาก็ดูไม่ใช่คนเลวอะไรนี่”
ผู้หญิงจ้องไปที่ชายหนุ่ม เขาจึงได้แต่ยิ้มลำบากใจ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมควรทำยังไงดี?”
“เฮ่อ……. องค์หญิงแห่งจักรวรรดิเองก็ต้องการให้นายน่ะไปพร้อมกับทหารม้า”
“ยะ-อย่างบอกนะ ว่าท่านจะสั่งให้ผมไปสู้กับพันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะ?”
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับอ้อนวอนขอชีวิต ผู้หญิงคนนั้นจึงถอนใจออกมา
“นี่ นายคาดหวังอะไรจากกำลังทหารม้าเพียง 100 นายกัน?
ทัพพันธมิตรน่ะจะข้ามผ่านป้อมปราการแดงแล้วผ่าทางเหนือของทวีปเป็นชิ้นๆ ที่นั่นมีผู้อพยพอยู่
นายจงไปที่นั่นรวมเอาพวกผู้อพยพเข้าด้วยกันแล้วสร้างทัพทหารอาสาขึ้น
โดยนายจะต้องทำตัวเป็นหัวหน้าของกองทัพนั้น เราจะเตรียมเงินทุนที่จำเป็นให้ภายในหนึ่งสัปดาห์
“เดี๋ยวก่อนพี่สาว คือ ผมน่ะไม่ใช่คนที่เหมาะกับการจะเป็นแม่ทัพเลย ก็รู้นี่?”
ชายหนุ่มดูสิ้นหวัง
“ผมอาจจะได้รับชื่อเสียงบ้างนะ หากผมนำทัพพวกสามัญชนได้
แต่ผมจะมีชื่อเสียงน้อยกว่านั้นหากนำทัพพวกกเฬรากข้างถนน
แต่ผมนะเป็นนายพลที่พาทหารไปพ่ายศึก เป็นนายพลที่เสียป้อมปราการแดง”
“ไม่ยาก นายก็แค่ปลอมเป็นใครสักคนก็ได้นี่”
หญิงคนนั้นยิ้มกว้างออกมา
“นายพูดเองนี่ว่า ไม่มีใครรอดเลยนอกจากนายกับทหารม้าพวกนั้น ทหารทั้งหมดที่ป้องกันป้อมปราการตายกันหมด
ก็ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ยากเลยที่ ถ้าจะปลอมเป็นใครสักคน แล้วใช้ชื่อเสียงเรียงนามของคนๆที่เป็นผู้บัญชาการมีชื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องกองกำลัง
มีเพียงผู้บัญชาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถนำทหารของตนแล้วรอดชีวิตจากป้อมปราการแดงได้ นายเองก็แค่สร้างภาพลักษณ์พวกนั้นขึ้นมา”
“…….”
ชายหนุ่มใช้มือแตะคางขณะที่กำลังใช้ความคิด
“……เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมทำได้
อืม ผมคงต้องอธิบายกับเหล่าทหารม้าที่เหลือว่า ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืมชื่อของหนึ่งในผู้ตายเพื่อรวบรวมกองกำลังทหารอาสาสมัคร
มันไม่ยากนักหรอกที่จะโน้มน้าวพวกเขา หากพูดไปว่า มันเป็นไปเพื่อการแก้แค้นให้พวกพ้อง”
“ก็ดี ว่าแต่จะเลือกใช้ชื่ออะไรล่ะ?”
“เคิร์ซ”
ชายหนุ่มแสยะยิ้ม
“ผมจะใช้ชื่อ เคิร์ซ ชไลเออมาร์ช”
“รักษาการณ์ผู้บัญชาการแห่งป้อมปราการแดง งั้นเหรอ?
เอาล่ะ ก็เหมาะสมดีนะ ฉันจะใส่ข้อมูลระบุตัวตนพร้อมกับเงินทุนไปด้วย
แต่ชื่อมันออกจะน่ารักไปสักหน่อยสำหรับคนแบบนายอะนะ”
“หยาบคายชะมัดเลย มีปัญหากับคนแบบผมรึไง……?”
ทั้งสองบุคคลที่พูดคุยกันอยู่นั้นต่างเป็นเงาของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ
พวกเขานั้นอุทิศทุกสิ่งอย่างที่มีทั้งหมดเพื่อความอยู่รอดของจักรวรรดิและความยิ่งใหญ่ของเจ้าหญิง
ทั้งสองต่างไม่มีทั้งชื่อหรือตัวตน พวกเขาสามารถเป็นได้ทั้งพ่อค้า,คนปรุงยา และมือสังหารเมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ
“ไม่ต้องมาแกล้งทำใสซื่อน่า หยะแหยงชะมัด นายน่ะตั้งใจจะกำจัดเขาทิ้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยวิธีไหนสักวิธีใช่ไหม? ”
“ก็นะ ประมาณนั้นแหละ…… แต่กลับรู้สึกสูญเปล่าชะมัดเลย”
ชายหนุ่มถอนใจออกมา
“เขาเป็นคนดีนะ แต่ไม่สนใจฝ่ายองค์หญิงเลย น่าเสียดายชะมัด ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องกำจัดผู้ที่ปฏิเสธการสาบานตนแสดงความจงรักภักดีกับผู้ปกครองจักรวรรดิตัวจริง”
เขาบ่นพึมพัม
“ถือเป็นโชคดี ที่ทัพพันธมิตรเคลื่อนทับมาได้จังหวะดีมาก
ดังนั้นกองทัพป้องกันเลยถูกกำจัดทิ้งโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรเลย
อืมม ถ้าผมทำอะไรพลาดไป แล้วเคิร์ซ ชไลเออมาร์ชอาจอยู่ในแนวหลังแล้วรอดชีวิตไปได้ แต่พอผมบอกไปว่า ศัตรูอาจเป็นพวกแนวหน้าของทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราแล้ว
…….โอ้ พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่ปักหลักสู้จนได้ข้อสรุปอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่”
ผู้หญิงนั้นมองชายหนุ่มด้วยแววตาไม่พอใจนัก
“สุดท้าย นายก็ฆ่าพวกเขาด้วยเจตนาเดียวกันอยู่ดี
เอาจริงๆนะ นายนี่มันชั่วช้าอย่างที่ไม่มีขอบเขตจริงๆ”
“อู่ว ผมไม่ใช่คนฆ่าพวกเขาสักหน่อย พวกเขาพาตัวเองไปสู่ความตายต่างหาก อย่าเอาภาพลักษณ์แปลกๆมาโยนให้ผมซี่…….”
ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัว จากในมุมมองของเธอแม้ภายนอกเจ้าหนุ่มนี่จะดูปกติดี แต่ข้างในนั้นเน่าเฟะเหลือเกิน
แม้จะเก่งกาจมีทักษะอย่างไม่อาจโต้แย้งได้ ทั้งยังภักดีจากใจจริงต่อเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ์
ทั้งความสามารถและความภักดีนั้นมากพอที่จะมองข้ามนิสัยห่วยๆของเขาไปได้
“ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าทำได้ดี นายก็มีงานให้ทำอีกนิดหน่อยนะ แต่อย่าลืมรายงานด้วยล่ะถึงสิ่งที่โรเซนเบิร์กจะทำน่ะ”
“กองทัพของมาร์คกราฟนั้นไม่อาจเลี่ยงการสู้รบกับทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราและองค์หญิงก็กำลังจะกลับมาแล้วด้วย
หลังจากที่ได้รับอำนาจการบัญชาการทหาร และควบคุมสถานการณ์ได้ในคราวเดียว
……. อย่างที่คิดจริงๆ องค์หญิงน่ะยังคงมีพรสวรรค์เหมือนเช่นเคย
วีรสตรีแห่งช่วงกลียุคนั้นเป็นวลีที่เหมาะเจาะกับเจ้าหญิงแห่งจักรววรดิสุดๆ”
“แน่นอน แน่นอน ขอให้โชคดี อย่าไปโดนใครแทงหลังเข้าก่อนล่ะ”
พอผู้หญิงกำลังทำท่าจะหายตัวไปจากลูกแก้วคริสตัล ชายหนุ่มก็หยุดเธอทันที
“อ้า พี่สาว เดี๋ยวก่อน มีบางอย่างที่ผมอยากถาม”
“เรื่องอะไรน่ะ?”
“เรื่องที่องค์หญิงท่านน่ะ คือ ท่านรู้เรื่องการโจมตีของทัพพันธมิตรตั้งแต่เนิ่นๆได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“มันแปลกมาก เธอรู้เร็วเกินไป แม้เงาอย่างพวกเราจะมีความสามารถก็ตาม แต่พวกเราไม่มีสปายในฝ่ายทัพจอมมาร”
“เคิร์ซ”
“ครับ?”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มสดใส
“อย่าห่วงเลย เดี๋ยวนายได้เจ็บตัวแน่”
แสงจากลูกแก้วคริสตัลหายวับไป คอกม้ามืดลง
ชายหนุ่มทอดถอนใจอยู่คนเดียว
* * *
Ο
กองทัพภาค 6 ของกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้ยึดเส้นทางผ่านภูเขาดำ ⎯⎯ ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งฝ่ายจอมมาร
แม้แต่ครึ่งของทหารที่ยังไม่ได้เดินทัพเลยก็ตาม
แม้ความจริงที่ว่า ฝ่ายกองทัพภาค 6 นั้นได้สร้างเส้นทางไปสู่ทวีปแล้วก็ไม่ใช่ข่าวน่ายินดีสำหรับจอมมารผู้เปี่ยมไปด้วยความทรนง
แต่ถึงจอมมารที่อยากทำตัวเฉื่อยแฉะก็ยังเร่งเตรียมกองกำลังทหาร
กองทัพภาค 2 และ 3 ไม่สนใจว่าใครจะเป็นผู้นำทัพไปก่อน หลังจากฉลองการแยกทัพแล้ว
กองทัพภาค 4 มีหน้าที่หลักๆคือ สนับสนุนจากแนวหลังจึงยังคงนิ่งเฉยอยู่
กองทัพภาค 5 นั้นมีจอมมารเพียง 2 ตน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำพิธีแยกทัพให้วุ่นวาย จึงแยกกองกำลังกันเงียบๆ
หากไม่นับ กองทัพภาค 7 ที่มีแต่บาอัลกับกองทัพส่วนตัวของเขา ก็มีอีก กองทัพภาคหนึ่งเหลืออยู่
ฝ่ายภูเขาที่นำทัพโดยไพมอน
เธอยังคงมองแผนที่อย่างใกล้ชิด จอมมารที่สูงสุดเป็นลำดับสองของฝ่ายเธอ คือ ลำดับ 12 สิตริ(Rank 12 Sitri) ยังคงพูดเพ้อเจ้ออยู่ข้างๆเธอ
“อ๋า ท่านพี่สาว พวกจอมมารตัวอื่นมันกวนใจฉันจริงๆ มันเอาแต่พูดว่า ที่ฝ่ายภูเขาเราช้าเนี่ยเพราะมีจำนวนมาก
และยังคงถามย้ำอยู่นั่นแหละ ว่าพวกเรายังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้างไหม ฉันล่ะอยากจะกระซวกตูดพวกมันจริงๆ”
สิตรินั้นเปี่ยมไปด้วยเพลิงราคะ เธอนั้นมีทั้งอวัยวะเพศชายและหญิง แต่เดิมทีเธอเกิดมามีอวัยวะเพศหญิงอย่างเดียว
แต่หลังจากไปผ่านการผ่าตัดที่ซับซ้อนเข้าแล้วเธอก็มีอวัยวะเพศชายด้วยเช่นกัน จากจุดนี้ไปก็ไม่มีอะไรแปลกแล้วล่ะ
ในโลกปีศาจก็มีมากมายหลายกรณีเหมือนกันที่มีบุคคลที่ตั้งใจจะกลายเป็นกะเทยสองเพศอย่างสิตริ
ปัญหามันอยู่ตรงที่เธอนั้นไม่แยกแยะแม้แต่กับก็อบลิน ออร์คหรือแม้แต่เผ่าอื่นๆ
ถ้าเธอตกเป็นทาสของกามราคะไปแล้ว แม้แต่ปีศาจที่ปกติใจกว้างทางรสนิยมก็ยังคงเกลียดชังกับพฤติกรรมเช่นนั้น
มันก็มีผู้หญิงผู้ชายในโลกปีศาจเหมือนกันที่เอนจอยไปกับการเป็นฝ่ายรับแล้วให้มอนสเตอร์เป็นฝ่ายรุก
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยกับกลุ่มบุคคลที่เอนจอยกับการที่ให้มอนสเตอร์เป็นฝ่ายรับ
พอเรื่องนี้แดงขึ้นมา สิตริก็ประกาศว่า ‘มันปกติไม่ใช่รึไง ก็ถ้ารับแล้วก็ต้องรู้จักตอบแทนคืนบ้าง’ และสิ่งนั้นเป็นที่วิพากย์วิจารณ์กันมากในสังคมโลกปีศาจ
แน่นอนว่า คำวิจารณ์ของเธอนั้นก็แค่เพียงสร้างความสับสนกับผู้คน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น
“พี่! นี่พี่ฟังฉันอยู่รึเปล่า?”
“แน่นอน ข้าจะไม่ฟังเจ้าได้ยังไง สิตริ?”
สิตริหน้ามุ่ย
“บางทีฉันก็ไม่เข้าใจความคิดพี่เลยนะ ว่าพี่จะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ไปบอกความลับพวกมนุษย์ว่า กองทัพพันธมิตรเนี่ยได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว?”
“ได้อะไร อย่างนั้นเหรอ?”
ไพมอนยิ้มสดใส
“เยอะเลยล่ะ ได้มาเยอะเลยล่ะ”