Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 93 ราชา และ นายพลของเขา(6)
ในโลกนี้ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าใดนัก หนึ่งในความไม่สะดวกสบายนั้นก็คือ ดนตรี
มันมีบางช่วงเวลาของชีวิตที่ต้องการดนตรี มันจะสมบูรณ์แบบมากหากได้ เพลงGeorges Bizet ของ Habanera มาเปิดในห้อง ณ ตอนนี้
หรืออาจจะเป็น Maurice Ravel ของ Boleroก็ได้!
ผมอยากให้ลอร่ากุมมือแล้วเต้นไปด้วยกัน แล้วผมจะทำได้ยังไงล่ะถ้าไม่ได้ฟังเพลงไปด้วย? ผมก็เลยฮัมด้วยตัวเองแทน
“ทำไมถึงเป็นอนาธิปไตยคะ ? อะไรคือ สิ่งที่นายท่านต้องจากการอนาธิปไตย?”
“ทั้งหมดนั้นก็เพื่อการเอาชีวิตรอด”
ผมพูดไปด้วยแล้วพยายามเต็มที่ที่จะรักษาจังหวะของดนตรีไว้
“อย่างที่เธอก็รู้ดี ข้านั้นอ่อนแอ ข้าไม่มีพลังที่จะแข็งแกร่งขึ้น
เทียบกับข้าแล้ว จอมมารตนอื่นล่ะ? แล้วประเทศของมนุษย์ล่ะ?
พวกนั้นแข็งแกร่งเกินไป จึงต้องดึงพวกเขาลงมาในบึง ตกลงสู่ความอลหม่าน”
“และระหว่างนั้นนายท่านก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งของกองกำลัง…….”
ถูกต้อง
บาร์บาทอสอ่านเจตนาของผมผิดไปโดยสิ้นเชิง เธอคิดว่า ผมจะตั้งใจลดจำนวนจอมมารลงเพื่อให้กองทัพพันธมิตรนั้นสำเร็จ !?
ทัพพันธมิตรต้องสำเร็จและล้มเหลวในเวลาเดียวกันเพื่อให้ทั้งกองทัพมนุษย์และจอมมารนั้นสร้างสมดุลอันงดงาม
พอฝ่ายที่ราบ ฝ่ายภูเขาและฝ่ายเจ้าหญิงลำดับสามนั้นได้เซ็นสัญญาแล้ว จอมมารบาร์บาทอสนั้นก็จะกลายเป็นเจ้าของดินแดนส่วนหนึ่งในทวีปทันที
จอมมารและราชวงศ์ของพวกมนุษย์นั้นไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่เข้าใจความหมายที่มีนัยสำคัญของเรื่องนี้……
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเป็นโอกาสทองของผู้กล้าผู้ชั่วร้ายแห่งอนาธิปไตย
มนุษย์และปีศาจจะร่วมมือกันแบบไม่เลือกหน้าเพื่อให้ได้ดินแดนหรือเพื่อป้องกันดินแดนของตน
ใหม่ๆอาจจะยากหน่อย แต่สักพักก็จะง่ายเอง
ถ้าเจ้าหญิงลำดับสามและผู้บัญชาการภาค 6 ร่วมมือกันแล้วได้รับผลประโยชน์ที่จับต้องได้
เหล่าพวกราชสกุลก็จะเข้ามาแย่งผลประโยชน์กันวุ่นวาย
และคุณก็แทบไม่ต้องกังวลเรื่องที่ราชวงศ์จะไม่ยอมกระโดดลงไปสู่วังวนอนาธิปไตยเพราะกลัวความเห็นประชาชน
ผมเต็มใจเตะตูดพวกเขาให้ตกลงมาร่วมวงเอง
นี่เป็นบริการพิเศษจากผมเลยล่ะ เชิญรับมันได้ฟรีๆเลย
ลอร่ามองผมด้วยแววตาที่ลึกเหมือนมหาสมุทร
“มนุษย์และปีศาจจะตายกันในจำนวนนับไม่ถ้วน”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าอยากให้พวกเขาทั้งหมดตาย ตายให้มากยิ่งกว่านี้”
“เกิดโศกนากฏกรรมขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน พวกสามัญชนจะเร่ร่อนในดินแดนหลังสูญเสียครอบครัวและเพื่อนสนิทมิตรสหาย”
“โชคร้ายหน่อยนะ ข้าจะร้องไห้ให้พวกเขา
ข้าอาจจะร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือดแต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาของข้าไม่ใช่น้ำตาของชนชั้นสูง”
สามัญชนนั้นไม่อ่อนแอหรอก อนาธิปไตยจะเป็นโอกาสให้แก่สามัญชนด้วยเช่นกัน
ก่อจราจลให้มากเท่าที่ต้องการเลย ก่อการปฏิวัติให้มากขึ้นเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ สร้างความโกลาหลให้ถึงขีดสุด
ยุคแห่งความรุนแรงนั้นจะสร้างผลกำไรกลับมาให้ผม
ผมรู้เรื่องนั้นดี ใน<Dungeon Attack> โลกมนุษย์ก็ประกอบไปด้วยผู้สนับสนุนราชวงศ์และสนับสนุนสาธารณรัฐ ผมจะจุดไฟวางเพลิงฝั่งนั้นด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างก็เช่น จะเกิดอะไรขึ้น หากผมอ่านคำแถลงการณ์คอมมิวนิสใต้ชื่อของนิรนาม ยุคสมัยนี้จะรับมือการหนังสือที่ไม่อาจต้านนั่นได้อย่างไร?
(TTL : สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ นิยายในฉบับรูปเล่มก็จะโดนแบนจนไม่มีเล่ม 7 น่ะสิ!)
มันอาจจะถูกฝังไปอย่างเงียบๆ แต่ผลลัพธ์ของมันก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ……สิ่งที่ควรค่าแก่การทดสอบ
“ความประทับใจที่มีต่อข้าเปลี่ยนไปงั้นรึ?”
“ไม่ค่ะ ตัวฉันยังคงยืนหยันในปณิธานของนายท่าน”
“แหม ตัวข้านี่ ข้ามีข้ารับใช้ผู้ไม่เคารพที่กำลังทดสอบนายตนด้วย”
เอาล่ะ เมื่อกี้ข้ามึนหัวไปหน่อยเพราะได้กลิ่นเนื้อมนุษย์เผา ลอร่านั้นต้องการทดสอบความตั้งใจของข้า
“นายท่านน่ะบิดเบี้ยว ท่านเป็นบุคคลที่ไม่ลังเลเลยที่จะก่อการที่โหดเหี้ยมเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่สุดท้ายท่านก็กลับต้องเสียน้ำตาตอนที่ท่านเป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งนั้นด้วยตนเอง
ผู้คนนั้นต้องกล้าที่จะยืนยันการมีตัวตนของตนเอง
นั่นไม่ใช่ความผิดของฉัน
โศกนาฏกรรมพวกนั้นมันเกิดขึ้นเพราะพวกเขาทำตัวของพวกเขาเอง
ท่านต้องกล้าหาญได้เช่นนั้นค่ะ”
ลอร่าเดินเข้ามาหาผม
“ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในวันแรกที่พวกเราเจอกัน
ท่านบอกกับฉันว่า นั่นเป็นดั่งความหยิ่งยโสของผู้แข็งแกร่ง เป็นสิทธิพิเศษที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะเพลิดเพลินไปกับมันได้
แล้วถ้าอย่างนั้นแล้ว ศิลปะของการดำรงชีวิตของผู้อื่นแอมีมีอยู่หรือ……?
พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการยืนมองภาพอันน่าหวาดกลัวตรงหน้าที่
พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเอง
พวกเขาไม่อาจกลบเกลื่อนมันด้วยข้ออ้างหรือข้อแก้ตัว
พวกเขาต้องรับโศกนาฏกรรมทั้งหมด
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาจะสามารถเดินหน้าต่อโดยไม่ถูกน้ำหนักของมันกดทับ นั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่า? และมันจะรักษามันไปได้ต่อไปไหม ?”
ลอร่าเดินมาหาผมอีกก้าว
“นายท่านมิได้ตัวคนเดียว ตัวฉันเดินไปบนเส้นทางนี้กับท่านด้วย
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเส้นทางผ่านป่าที่ไม่มีใครเดินมาก่อน
มันเป็นเส้นทางที่รองเท้าฟางจะถูกหนามทิ่มตำ
นายท่าน หญิงสาวผู้นี้เกรงว่า อนาคตเบื้องหน้าของพวกเราจะแปดเปื้อนไปด้วย ถ้อยที่น่าฟังในท้ายที่สุด”
“นั่นแหละ สาเหตุที่ทำไมข้าถึงเลือกอนาธิปไตย
ตรวจสอบไม่ได้ ไม่มีความปลอดภัยใดหนุนหลัง
และพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนี้เพื่อพิสูจน์วิธีการของชีวิตพวกเรา”
พวกเราชนแก้วกันเงียบๆ เสียงแก้วไม่เพียงพอที่จะทำลายความเงียบของออฟฟิศ
หากจะมีอะไรที่ลึกไปกว่าความเงียบ ก็คงเป็นแก่นกลางของความเงียบนั่นเอง
แล้วเราก็เอ่ยขึ้นมา
“แด่ดันทาเลี่ยน”
“แด่ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่”
พวกเรากระดกแก้ว ช้า แต่ไม่หยุด พวกเราดื่มวิสกี้ขณะที่ต่างมองตากันและกัน
ปากของเรานั้นเติมเต็ม ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องมีคำพูดใดต่อกันอีก
เหล้าของเธอไหลสู่คอของผม
ณ จุดนั้นพวกเราได้ตัดเส้นทางสู่ใจกลางอนาธิปไตย หากผมเดินไปบนเส้นทางคนเดียว มีโอกาสสูงมากที่ผมจะหลงทาง
แต่หากมีสองคน หากจำนวนคนที่ร่วมทางกันกลายเป็นสาม สี่หรือมากกว่านั้น
ไม้ป่าจำนวนมากก็จะถูกย่ำถางมากขึ้นมากขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นทางเส้นหนึ่ง ถนนที่นับเชื่อถือ
โชคดีไม่นะ บาร์บาทอส เธอน่ะเชื่อว่าผมเป็นจอมมารทั่วไป
จึงเชื่อใจผมเต็มที่ เธอเชื่อว่าผมเป็นสหายที่เดินไปด้วยอุดมการณ์เดียวกันกับเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นผมจะไม่ได้รับอะไรเลยหากทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราสำเร็จไปด้วยดี
เธอนั้นมองข้ามเรื่องนี้ไป
……. ได้โปรดมองข้ามเรื่องนี้ต่อไปเถอะ
ตามปรกติแล้ว คนรักนั้นเป็นดั่งกุหลาบงามสำหรับราชา
จำนวนของเหล่าราชาผู้ร่วงหล่นไปสู่ความล่มสลายอันเนื่องจากคนรักนั้นในประวัติศาสตร์มีมากมายนับไม่ถ้วน
หากเธอตั้งใจทำให้ผมเป็นคนรักของเธอแล้ว ก็คงต้องพยายามแก้ปัญหากับการที่มีชื่อของเธอปรากฏเต็มหน้าหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้น
เอาล่ะ ตอนนี้เราก็มีพันธมิตรที่ดีแล้ว
ต่อจากนี้เราก็ต้องจัดการกับ,มาร์คกราฟ,มกุฏราชกุมาร และเหล่าทัพทหารหลวง
การต่อสู้อันแสนชุลมุลนี้ที่จะเป็นการเปิดม่านอนาธิปไตย
เรามาพยายามสร้างมันด้วยกันนับแต่นี้เถอะ
Ο
* * *
“พี่! นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!?”
หญิงสาวผลักประตูห้องทำงานส่วนพระองค์ของมกุฏราชกุมาร เธอคือเจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก อลิซาเบธ
พวกองค์รักษ์เองก็ไม่สามารถที่จะหยุดเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิได้จึงได้แต่เดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้
ถึงแม้คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของราชสกุล แต่ตามปรกติแล้วก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องทำงานส่วนตัวของมกุฏราชกุมารโดยมิได้รับอนุญาต
แต่ถึงอย่างนั้น ใครที่มาขวางเธอก็จะเจอกับ
‘ข้ามาที่นี่เพื่อถกปัญหาสำคัญที่เกี่ยวกับจักรวรรดิ! นี่นายคิดจะกุมชะตาของจักรวรรดิหรือยังไง!?’ ดังนั้นพวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้
“แหม แหม เอิร์ลเอวาเทรีย เธอควรจะรักษาความสูงส่งของชั้นสูงไว้บ้าง”
ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถอนใจออกมา
มันเป็นเสียงถอนใจที่ตั้งใจยั่วโมโหอีกฝ่าย เขาคือ ชายอายุ 26 ปี ที่เป็นมกุฏราชกุมารแห่งฮับบวร์ก
รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวาร์ก( Rudolf von Habsburg)
“เพราะเธอทำตัวหุนหันพลันแล่นอย่างนั้นในที่สาธารณะ ความเห็นที่มีต่อราชวงศ์เราก็เลยแย่ลงทุกวันยังไงล่ะ”
“หากให้เทียบระดับความหุนหลันพลันแล่นแล้ว ข้าไม่มีทางเทียบท่านได้หรอก”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธเดินเข้าหามกุฏราชกุมารด้วยการสาวเท้ายาวๆ
จากนั้นเธอก็ทุบโต๊ะด้วยมือ กระดาษแผ่นหนึ่งติดมากับมือเธอด้วย
มกุฏราชกุมารรูดอล์ฟยกคิ้วขวาขึ้น
“นั่นอะไร?”
“นี่คือ รายชื่อของกองกำลังผสมของทหารหลวงที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
รายชื่อของนายพลที่เข้าร่วมเขียนอยู่ในนี้
ข้าขอถามท่านอีกครั้ง พี่ข้า นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
ครึ่งหนึ่งของกองกำลังหลักไม่ถูกเขียนอยู่ในนี้!”
รูดอล์ฟนั้นมองเจ้าหญิงจักรวรรดิด้วยแววตาสงสาร
“นี่ยังไม่ชัดอีกหรือ? ใครจะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเมืองหลวงในขณะที่กองทัพของเรายกทัพไปล่ะ? มันก็สมเหตุสมผลดีที่จะทิ้งครึ่งหนึ่งไว้”
“ป้องกันเมืองหลวง ท่านพูดว่าอย่างนั้นหรือ?”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิหัวเราะเยาะ
“ทุกประเทศต่างถูกทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรารุกราน จะมีชาติไหนที่บ้าคลั่งในช่วงเวลานี้ยกทัพบุกโจมตีประเทศอื่นอีก?
ที่นี่คือ จักรวรรดิที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต้องขอบใจพวกจอมมารพวกนั้น ”
“ก็เพราะเหตุนี้นั่นแหละ”
รูดอล์ฟพูดอย่างมั่นใจ
“ทุกคนต่างคิดเช่นนั้น ไม่มีใครคิดหรอกว่า
พวกราชวงศ์จะโจมตีชาติอื่นขณะที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรากำลังรุกราน นั่นเป็นสามัญสำนึกโดยแท้
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นโอกาสทองของผู้ปกครองเจ้าเล่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย
หากพวกเราปล่อยเมืองหลวงให้ว่างไร้ทหารโดยเชื่อว่า ชาติอื่นไม่กล้ามารุกรานตอนเวลาอย่างนี้หรอก
มันก็ไม่ต่างจากการเชื้อเชิญให้พวกเขามาฟาดท้ายทอยเรานั่นแหละ”
“เฮอะ! รุกรานประเทศอื่นในขณะที่ประเทศตัวเองก็ป้องกันประเทศไปด้วย?
พวกผู้ปกครองพวกนั้นต้องเสียสติไปแล้ว
ข้าไม่อยากจินตนาการเลยว่า บุคคลแบบนั้นจะสามารถขึ้นมาเป็นผู้ปกครองประเทศได้”
ขณะที่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิกำลังทำเสียงล้อเลียน
มกุฏราชกุมารก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปรกติ
“ข้าก็เชื่อเช่นนั้น แต่ถึงอย่างนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะมองเห็นโลกนี้ได้กระจ่างกันเล่า?
นี่ก็เป็นการเฝ้าระวังไว้ก่อน นี่เป็นความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับสืบทอดบัลลังค์ที่จะรับรู้ถึงความเป็นไปได้ทุกอย่าง
เอิร์ล เอวาเทีรย อย่าบ่นอย่างไร้เหตุผลเรื่องนี้อีกต่อไปเลย”
หึ ความเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ?
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธพ่นลมออกจมูก
ถึงจะเอาหัวไปซุกทรายแบบนกกระจอกเทศ*ก็ควรมีข้อจำกัดบ้าง
นายพลทุกนายที่เป็นของเจ้าหญิงฝ่ายจักรวรรดินั้นไม่มีอยู่ในรายชื่อเข้าร่วมกองกำลังของมกุฏราชกุมารเลย
เขาอ้างเห็นว่า เป็นไปเพื่อปกป้องเมืองหลวง
แต่แม้แต่เด็กน้อยก็รู้ว่า นี่มันเหตุผลทางการเมืองชัดๆ
เจตนาของมกุฏราชกุมารนั้นชัดแจ้งยิ่งกว่าอะไร
เขาพยายามจะเอาชื่อเสียงทั้งหมดจากการเอาชนะจอมมารไปเป็นของตน
นานกว่า 200 ปีแล้วนับแต่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งสุดท้าย
นี่เป็นโอกาสที่จะได้รับเหรียญตราที่ชื่อว่า ‘ราชาผู้ช่วยเหลือมนุษยชาติจากมหันตภัยร้าย’ ที่โผล่มาเองในรอบ 200 ปี
มกุฏราชกุมารไม่เก็บงำความละโมบ แต่ปกติแล้วเขาก็ควรจะดึงนายพลจากฝ่ายเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิไปสักสองหรือสามคนเพื่อรักษาหน้า
แต่คราวนี้เขาจัดกองกำลังประกอบขึ้นมาโดยมีแต่คนของเขาเท่านั้น
ในสถานการณ์ที่ทหารหลวงทั้งหมดไม่เพียงพอที่จะเผชิญกับภัยคุกคาม แต่หมอนี่กลับยังสร้างความขัดแย้งภายในเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมา
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอยากจะถ่มถุยความโง่เขลานั้น
“อย่างนั้นก็ได้ ตามที่เลดี้ผู้นี้รู้เป็นอย่างดีว่าพี่มีความสามารถในการวางแผนมากแค่ไหน ข้าก็จะยอมรับการตัดสินใจของท่านเงียบๆ”
“……นี่เจ้าล้อเลียนข้ารึ!?”
มกุฏราชกุมารทุบโต๊ะด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมยืนขึ้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
สามปีที่แล้วนั้น เป็นช่วงเวลาที่มกุฏราชกุมารนำทัพบุกไปในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อกำราบการก่อกบฏในภูมิภาคหนึ่ง
แม้กองทหารของเขานั้นจะมีจำนวนมากกว่าฝ่ายต่อต้านถึงสองเท่า เขาก็ยังแพ้
ความจริงแล้ว กองกำลังกบฏนั้นมีกำลังใจในการรบมากขึ้นหลังจากได้รับชัยชนะ
เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิที่ตอนนั้นอายุ 14 ปี ได้กวาดล้างกลุ่มกบฏด้วยกองกำลังที่น้อยกว่าถึง สามเท่า
เหตุการณ์นั้นทำให้ชื่อเสียงของมกุฏราชกุมารตกต่ำลงอย่างมากในขณะที่นำพาให้ชื่อเสียงของกองทหารเจ้าหญิงนั้นพุ่งสูง
อลิซาเบธจึงเสียดสีรูดอล์ฟโดยหมายถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
“ทำเป็นสูงส่งและทรงอำนาจอย่างกับพวกโง่ แล้วมาเก็บกวาดศัตรูที่ข้าจัดการจนอ่อนแอแล้ว……!”
“น่าสนใจนี่ ก็หลังจากท่านพ่ายแพ้ไปแล้ว บารอนสี่คนกับไว้ส์เค้าท์เจ็ดคนต่างก็ไปเข้าร่วมกับพวกกบฏ
ถ้าหากรู้จักเรื่องกำลังพลดี ก็รู้ว่า กองกำลังพวกเขาเพิ่มขึ้นสองเท่า
ต่อให้เป็นคนไม่รู้หนังสือก็ตาม ข้าไม่เคยเห็นหนังสือกลศึกเล่มไหนสอนว่า การทำให้ศัตรูเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นการทำให้พวกมันอ่อนแอลง”
รูดอล์ฟเหวี่ยงมือ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้น
“…….”
ผู้เห็นเหตุการณ์และองค์รักษ์รอบข้างต่างถอยไป รูดอล์ฟเพิ่งตบเจ้าหญิงแห่งจักรวรรด
คอของเจ้าหญิงไม่ได้เลยตามแรงของเขาเลยแม้แต่น้อยแม้จะใส่สุดแรงแล้ว เธอเพียงแต่มองมกุฏราชกุมารอย่างเย็นชา
“ไสหัวไปจากที่นี่เสีย! ชะตาของประเทศขึ้นอยู่กับกลยุทธทางการทหาร!
เจ้ากำลังจะก่ออาชญากรรมต่อต้านหลังการที่ไม่เพียงมีในชาติของเรา แต่เป็นชะตากรรมมนุษยชาติที่กำลังคับขัน
หากข้าลงโทษเจ้าตอนนี้รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้น ดังนั้นข้าจะทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้เพราะเราเป็นญาติ”
อลิซาเบธกับรูดอล์ฟนั้นจ้องมองกันและกันอยู่สักพักใหญ่ เป็นฝ่ายเจ้าหญิงที่หันหน้าออกไปก่อน
เธอหันกลับอย่างไร้ความลังเลและปล่อยให้ผ้าคลุมของเธอสะบัดขณะที่ออกไปจากห้องทำงาน
มกุฏราชกุมารเดือดดาลในขณะที่เขานั่งลง เขาระบายความโกรธออกมา
“นังเสแสร้งนั่น!!”
เธออาจมาที่นี่เพื่อหวังได้ความสำเร็จเช่นกัน ถึงอย่างนั้นเธอเองก็ซ่อนเจตนาด้วยการใช้คำอย่างกลยุทธหรืออะไรจำพวกนั้น
มกุฏราชกุมารดูถูกอลิซาเบธ มีคนที่โง่เขลาและตาบอดอยู่ในจักรวรรดินี้เยอะเหลือเกิน!
เด็กผู้หญิงแบบนั้นจะถูกยกขึ้นมาเป็นความหวังสุดท้ายแห่งจักรวรรดิได้อย่างไรกัน!?
ถึงเธอจะฉลาดสักเล็กน้อยแต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิง หน้าที่ทั้งหมดที่มีคือ ควรรับใช้เขา มกุฏราชกุมาร
พี่สาวของเธอนั้นไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้วพยายามปีนขึ้นมา จนกระทั่งเขากระแทกองค์ชาติใส่ช่องสังวาสของเธอหลายต่อหลายครั้งถึงได้รู้ที่รู้ทางแล้วฆ่าตัวตายไป
เมื่อไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิคนนี้แล้ว เขาจะไปหาเธออแล้วทำให้เธอรู้จักที่ทางของตนเอง
เธออาจจะเป็นนังคนหยิ่งยโสแต่รูปลักษณ์ของเธอนั้นน่าประทับใจมาก มันคงจะเป็นบุญเป็นคุณยิ่งหากจะสั่งสอนเธอบ้าง
มกุฏราชกุมารเก็บงำความโกรธลงขณะที่มองไปสู่อนาคต
—–
*นกกระจอกเทศมีนิสัยเมื่อเจอภัยมาถึงจะวิ่งไปหาทรายแล้วเอาหัวซุกทรายไว้