Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 174 โลกที่จอมมารเท่านั้นที่รู้ (11)
“……หน้า”
ผมกลับพูดสะดุด
มันไม่ควรเป็นคำพูดของนักแสดงที่ผ่านมากว่าสิบบทบาทบนเวทีและได้คำนวนทุกอย่างไว้แล้ว อารมณ์ของผมมันพองโตขึ้นมา
“เงยหน้าขึ้น”
เธอทำตามที่ผมบอก ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องกลับมาที่ผม
“ข้าอยากถามเจ้า เหตุใดถึงปรารถนาให้ตนเองกลายเป็นขยะเช่นนั้น?”
“ตัวตนอันยิ่งใหญ่คะ นั่นเป็นเพราะหนูรักตัวเองอย่างมากค่ะ”
ปากของเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย
“หนูรักตัวเองมากเสียจนไม่อาจโกหกตัวเองได้ วันหนึ่งหนูมาคิดๆดูนะคะ การบังคับให้ลุคตายอาจเป็นบาป แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่เพื่อปกป้องหมู่บ้าน หนูไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”
เดซี่หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่นี่นะ อาจจะช่วยได้ก็ได้ หนูอาจตายเพื่อช่วยชีวิตลุคไว้ แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็จะไม่ทำ นี่เป็นตัวเลือกที่หนูเลือก หนูเลือกให้ลุคตาย หนูไม่อยากจะหลอกตัวเองเรื่องนั้น”
“…….”
“ต่อจากนั้นพอหนูฆ่าพี่ชายตัวเองแล้ว วิญญาณหนูก็จะย้อมไปด้วยเลือด หนูก็ต้องใช้ชีวิตเป็นขยะอย่างนั้นต่อไป ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่คะ หนูเชื่อว่า ท่านจะเอื้อเฟื้อต่อคำขอนี้ของหนู”
เพราะท่านก็เป็นเหมือนหนูนี่นา
ดวงตาของเดซี่ราวกับกระซิบบอกอย่างนั้นกับผม
ทำไมท่านถึงต้องพยายามทำให้ชาวบ้านและคนอย่างหนูเป็นมนุษย์? ทำไมถึงต้องทำอะไรที่เปล่าประโยชน์อย่างนั้น? หนูรู้เหตุผลนะคะ หนูเป็นคนเดียวตรงนี้ที่รู้ด้วย
……. ท่านน่ะ ตั้งใจแบกรับความตายทั้งหมดของชาวบ้านไว้ด้วยตัวเอง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว? ท่านก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้นะคะ เหตุผลที่ท่านจะฆ่าพวกเรานั้นฟังไม่ขึ้นและเห็นแก่ตัว
ท่านน่ะเป็นบุคคลที่ไม่อาจควบคุมความรักตัวเองได้
หนูรู้ดีนะคะ
เพราะหนูก็เป็นเหมือนท่าน
“…….”
“…….”
จากนิทานปรัมปราที่ส่งผ่านมาจากรุ่นสู่รุ่นในโลกใบนี้ ดวงวิญญาณของผู้คนนั้นยิ่งกว้างขวางเมื่อเวลาผ่านไป
พวกมันกว้างพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องสังเวยชีวิตผู้อื่น ผู้คนนั้นสมบูรณ์ในตนแล้ว นั่นเพียงพอต่อการรักตัวเองแล้ว
เทพเจ้าทั้งหลายกลับกลัวขึ้นมาว่า วันหนึ่งพวกเขานั้นจะตระหนักได้ว่าพวกตนสมบูรณ์เกินไป
เหล่าเทพจึงแบ่งดวงวิญญาณพวกนั้นออกจากกัน บางคนก็กลายเป็นสอง,สาม ไม่ก็สี่ส่วน ดวงวิญญาณผู้คนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และไม่อาจอยู่ได้หากไม่สังเวยดวงวิญญาณอื่น ตอนนี้ผู้เร่ร่อนเหล่านั้นพยายามตามหาอีกครึ่งที่หายไปตลอดกาล
“เจ้านี่ ช่างอันตรายเสียจริง”
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ”
เด็กสาวผงกหัวตอบรับในสิ่งที่เห็นกันได้ชัดๆอยู่แล้ว
“หากข้าฆ่าลุค……ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะต้องตามไล่ฆ่าข้าจวบจนลมหายใจสุดท้าย”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่”
คราวนี้เด็กสาวไม่ได้ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
“แม้ชีวิตของหนูจะต้องจบลง แต่หนูจะส่งต่อชะตากรรมนั้นให้เป็นของคนอื่นต่อไป และจะส่งต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่ความตายของนายท่านมาถึง”
พ่อแม่ของเดซี่ตัวสั่นอย่างหนักแต่ผมไม่สนใจ
“ข้ากลัวเจ้าจริงๆ”
“ค่ะ”
เด็กหญิงยิ้มออกมา
“หนูก็กลัวนายท่านค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นควรทำยังไงกันดีล่ะ? หรือข้าควรจะฆ่าเจ้า?”
ผมไม่ได้ข่มขู่เธอ ผมถามเธออย่างตรงไปตรงมาด้วยความขนพองสยองเกล้า
เดซี่ตอบกลับมา
“นายท่านอาจจะฆ่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงหนูด้วย แต่ถึงอย่างนั้นสักวันหนึ่งก็ต้องมีใครสักคนหนึ่งมาแก้แค้นนายท่านอยู่ดี”
“……นี่เจ้าจะบอกว่า ให้ข้าปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้น่ะรึ?”
“นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดแล้วค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นได้โปรดให้พวกเราปลิดชีพด้วยตัวเองเถอะค่ะ”
ชาวบ้านหลายคนต่างอ้าปากค้าง
ผมกับเด็กหญิงต่างมองกันไปมา โดยไม่สนใจกับท่าทางของคนอื่นรอบตัวพวกเรา
“พวกเราจะจบชีวิตตัวเอง นายท่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอนุญาตค่ะ”
นายท่านน่ะไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ขนาดที่จะปฏิเสธสิ่งนี้ได้ค่ะ
นั่นคือสิ่งที่เธอต้องจะบอก
“มนุษย์มากมายต่างฆ่าตัวตายเพราะนายท่าน ชายคนนั้นจะกรีดร้องตอนที่แทงคอตัวเองด้วยความโกรธ
แม่ๆจะร้องไห้ขณะฆ่าลูกตัวเองแล้วแทงคอด้วยมีดเล่มเดียวกัน พวกเขาจะฆ่าลูกฆ่าหลานของตัว ซึ่งก็คงจะใช้เวลาหลายชั่วโมง”
เจ้า,ในฐานะที่ได้รับรู้ว่าเป็นมนุษย์ ไม่อาจปฏิเสธกระบวนการดังกล่าวได้
“อาจจะใช้เวลาทั้งคืน หรือหลายต่อหลายวัน อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ชาวบ้านจะขาดน้ำตาย”
แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง
ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ตลอดไป
นั่นก็เพราะมันเป็นกฏที่ตั้งใจจะให้เจ้าตัดสินใจแบกรับมันด้วยตัวพวกเจ้าเอง
“ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่คะ ท่านสามารถแบกรับภาพเหตุการณ์นั้นไปตลอดชีวิตได้ไหมคะ?”
ริมฝีปากของเดซี่ปรากฏการยิ้มเยาะ
“…….”
โกเลมและแฟรี่ของผมที่เชื่อมต่อกับอารมณ์ผมโดยตรงกลับอยู่ไม่สุข
โกเลมเริ่มครางด้วยเสียงต่ำ แฟรี่เริ่มตื่นตระหนักและโผบินไปอย่างวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆมอนสเตอร์ของผมกลับร้องเสียงหลงออกมาเมื่อเห็นพวกมันขยับ
“นั่นมันเป็นปัญหาของข้า สาวน้อย มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล”
เด็กหญิงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เธอเพียงแต่โค้งคำนับให้ด้วยความเคารพ ตัวเลือกเป็นของท่านค่ะ ผมแปลความหมายนั้นจากท่าทางของเธอ
ผมยังคงเงียบอยู่สักพัก
ครุ่นคิดแล้ว ครุ่นคิดอีก
“…….”
ส่วนที่เกินจำเป็นในอารมณ์ความรู้สึกของผมอย่างนั้นรึ หือ?
เจ้าโง่เอ๊ย คิดถึงเมื่อครั้ง แจ็ค อแลนด์สิ จะให้มันเกิดอย่างนั้นขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกหรืออย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น
ผมมองต่ำ เดซี่และพ่อแม่ของลุคนั้นยังคงหมอบกราบผมอยู่ พ่อของเธอได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับโกเลม ทั้งแขนและขาต่างบิดหักในสภาพที่เลวร้าย
ผมถอนใจออกมา ดูเหมือนผมมีชะตากรรมที่ต้องตายแบบคนโง่ ผมจึงจะลองเดิมพันอีกครั้ง
“เจเรมิ รักษาชายคนนั้น”
ผมสั่งขณะที่ชี้ไปยังพ่อของลุค เจเรมิไม่พูดอะไรเธอหยิบโพชั่นออกมา
เธอจุ่มผ้าสะอาดให้ชุ่มโชกด้วยโพชั่นนั้นแล้วใช้มันตวัดไปยังตามร่างกายที่บาดเจ็บของชายคนนั้น เธอยังบิดแขนให้กระดูกเข้าที่จะได้รักษาได้ดี ชายคนนั้นร้องออกมา
“รักษาคนอื่นๆด้วยเช่นกัน”
“รับทราบค่ะ”
เจเรมิรักษาชาวบ้านพวกนั้น ชาวบ้านดูจะไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไร แต่สีหน้าของพวกเขาดีขึ้นเมื่อรู้ว่า เขาจะมีชีวิตรอดต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของผมนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก
“สาวน้อย เจ้าเข้าใจหรือไม่ทำไมข้าถึงรักษาพวกเขา?”
“หนูเดาว่า ท่านอยากให้หนูพอใจ”
“เออ เป็นเช่นนั้นแหละ อีหนู”
ผมคำรามออกมา
“เจ้าดึงด้านดีของข้าออกมาได้สำเร็จ นั่นก็หมายถึง เจ้าทำให้ข้าไม่อยากฆ่าเจ้าอีกต่อไป ถือว่าทำได้ดีมากที่เลือกเดิมพันชีวิตตัวเจ้าและของชาวบ้าน!”
“ท่านชมหนูด้วย”
เด็กสาวตอบกลับมาทั้งที่ตาไม่กระพริบ มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวอายุ 10 ขวบควรพูด ผมรู้สึกรำคาญใจชะมัด
“ข้าจะขอเดิมพันกับเจ้า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะลุคให้ได้ หากลุคยอมสาบานตนกับข้า แม่หนูเอ๋ย ไม่เพียงแต่ข้าจะไว้ชีวิตของลุค แต่จะไว้ชีวิตเจ้า พ่อแม่เจ้า รวมถึงทุกคนในหมู่บ้านด้วย”
ผมยังคงพูดต่อ
“แต่หากข้าพยายามสุดกำลังแล้วลุคยังปฏิเสธที่จะจงรักภักดีต่อข้า……ข้าจักขอสาบานต่อเทพีทุกพระองค์ว่า ทั้งลุค เจ้า พ่อแม่เจ้าทุกๆคนจะกลายเป็นศพเย็นๆ”
ผมอธิบายกติกาเกมให้เดซี่ฟัง
“พี่ชายเจ้านั้นเป็นความเสี่ยงขนาดใหญ่ แค่คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีนั้นไม่เพียงพอ ข้าไม่อยากเสี่ยงกับเขาโดยไม่ใช้วงเวทย์สัญญาทาส
เพื่อให้เขาอุทิศทั้งร่างกายและจิตวิญญาณให้กับข้า
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่สามารถบอกพี่ชายเจ้าได้เรื่องเจตนาและเป้าหมายแท้จริงของข้า”
“…….”
เดซี่จ้องมองผมอย่างจริงจัง
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องกลายมาเป็นทาสชั่วคราวของข้า”
“ทาสของนายท่าน?”
“ถูกต้อง ด้วยการสลักตราทาสไว้ที่เจ้า มันจะป้องกันไม่ให้เจ้าทำในสิ่งที่ฝืนกับความต้องการของข้า เจ้าจะไม่สามารถทำในสิ่งที่ข้าสั่งห้ามไว้ หากเจ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ ข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าทิ้งทั้งหมดที่ตรงนี้ ตอนนี้”
นั่นเป็นความเสี่ยงขั้นต่ำสุดที่ผมสามารถรับได้
นี่เธอจะเข้าใจไหมว่า ผมกำลังจริงจังอยู่? เดซี่ตอบกลับมาในทันที
“เข้าใจแล้วค่ะ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ หนูจะเป็นทาสของท่าน”
“และถึงลุคจะสาบานตนรับใช้ข้า และเจ้าชนะการเดิมพันนี้ ข้าก็ไม่คิดจะเอาตราทาสของเจ้าออก เจ้าจะต้องใช้ชีวิตที่น่าหวาดกลัวของมนุษย์ต่อไปอยู่ดี”
“ค่ะ หนูเข้าใจ”
เดซี่ผงกหัว
ช่างเป็นเด็กที่หยาบคายเสียจริง
ผมฉีกคัมภีร์เทเลพอร์ทระดับกลางสองม้วน มันก็เพื่อส่งชาวบ้านกลับไปปราสาทจอมมารของผมพร้อมกับโกเลม ผมใช้เงินไปทั้งสิ้นรวมๆก็ร้อยโกลด์ในชั่วพริบตา
ชาวบ้านนั้นจะถูกส่งไปอยู่กับพาร์ซิและหมู่บ้านของพาร์ซิ แต่ถึงอย่างนั้นผมจะเก็บลุคและครอบครัวของเดซี่ไว้สักพัก
ผมวางแผนจะจัดแสดงอะไรสักหน่อยก่อน
ผมวางเพลิงหมู่บ้านร้างนั่น ทำให้ไฟกองโตพอที่ใครก็สามารถเห็นควันขโมงสูงได้จากในทุกที่ แน่นอนล่ะ เด็กชายจะต้องวิ่งกลับมาอย่างสิ้นหวังพอเห็นควันพวกนั้น ผมแอบซ่อนอยู่ข้างหลังและเฝ้าดูเขา
เด็กชายตะโกน
“พ่อฮะ! แม่ฮะ! เดซี่!”
พอเขาทำแบบนั้น ตามที่เราตกลงกันไว้ พ่อของลุคก็ตะโกนกลับไปหาเขา
“ไม่”
แค่คำๆนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กชายหยุดวิ่งและถอยกลับไป
ความจริงแล้วพวกเราเตรียมถ้อยคำไว้มากมายตามหลังคำว่า ‘ไม่’ แต่คำๆเดียวมันเพียงพอที่จะทำให้เด็กชายเข้าใจสถานการณ์ อย่างที่คิดจริงๆ เด็กคนนั้นผู้มีชะตาลิขิตมาให้เป็นฮีโร่
เด็กชายวิ่งอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเป็นเด็กก็ตาม เขาวิ่งเข้าป่าไปราวกับหมาบ้า หากผมไม่ได้วางตำแหน่งมือสังหารไว้ก่อน ผมคงคลาดจากเขา
เด็กชายนั้นชะลอฝีเท้าและผมก็มาอยู่ข้างๆเขาในชุดที่ปลอมตัวเป็นทหาร มันไม่ได้เป็นอะไรที่ยากเพราะผมสวมชุดเกราะไว้ใจชุดนักบวชอยู่แล้ว ผมตั้งใจตะโกนออกมาราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ
“ข้าคือ ทหารลาดตระเวณ! ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่ไหม!?
ข้าคือ ทหารลาดตระเวณ! แม่งเอ๊ย ผู้รอดชีวิต ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่ไหมเนี่ย!?”
เด็กชายกระโดดออกมาจากพุ่มไม้
“ผะ-ผมอยู่นี่ครับ! คุณทหาร! ผมอยู่นี่!”
เขางับเหยื่อแล้ว
ผมยิ้มกว้างออกมา
“โอ้ พระเจ้า! เจ้าอยู่นี่จริงๆ!”
“มอนสเตอร์ มีมอนสเตอร์บุก…….”
เด็กชายปฏิบัติกับผมราวกับเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขา เขาบอกถึงสถานการณ์โดยไม่ลังเล เขาตะโกนขอให้ผมช่วยครอบครัวเขา
“หมู่บ้านโดนไฟไหม้! แม่ผมและพ่อผม!”
“เอาล่ะ เจ้าเป็นเด็กที่กล้าหาญ ใจเย็นไว้ก่อน ใจเย็นๆ”
ผมก้มตัวลงแล้วลูบแก้มของเด็กหนุ่ม
ลุค เด็กชายผู้ที่จะกลายเป็นฮีโร่
ผมถูแก้มของเด็กชายอย่างแผ่วเบา เด็กชายผู้ที่วันหนึ่งจะกระซวกหัวใจผม
“กองทหารพิพากษากำลังมาถึงหมู่บ้านแล้ว ข้าได้รับคำสั่งมาที่นี่เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต”
“กองทหารพิพากษา? จริงเหรอฮะ?”
ลุคกระโดดขึ้นลง
“นี่แสดงว่า แม่กับพ่อผมก็จะรอดแล้ว? น้องสาวผมด้วยเหรอ? แล้วคนในหมู่บ้านด้วย?”
“แน่นอน ข้าให้สัญญาเลย พวกเจ้าจะไปอยู่พร้อมหน้ากันกับคนในหมู่บ้านเร็วๆนี้”
ถ้อยคำชวนสบายใจทำให้เขาผ่อนคลายลง เด็กชายก็เริ่มร้องไห้
เขาคงคิดว่า ครอบครัวของเขาจะตายแล้ว แต่พอบอกว่า ยังอยู่เท่านั้น เขาก็มีความสุขขึ้นมา
“แหมที่รัก ดูเหมือนจะหายเครียดแล้วสินะ เอาล่ะ มานี่นะ มานี่”
ผมอุ้มเด็กชายขึ้นมา
“น้องสาวของนายน่ะ ชื่อเดซี่ ถูกไหม?”
“ฮึก…… ท่านครับ, ท่านรู้จักเดซี่ด้วยเหรอ?”
“แน่นอน ข้ารู้จัก และชื่อของเจ้าก็คือ ลุค”
“ใช่ฮะ”
ผมยิ้มชั่วร้าย
“ข้ารู้เรื่องในหมู่บ้านเป็นอย่างดี ข้าได้ยินได้ฟังมามากเลยล่ะ! ข้ารู้แม้กระทั่งเรื่องเด็กสาวข้างบ้านที่เจ้าไปสารภาพรักตอนอายุ 7 ขวบ⎯⎯⎯”
“เอ๋? อ๊าา! อ๋าาา! ท่านไปรู้เรื่องนั้นได้ยังไงกัน!?”
เพราะข้าคือ ศัตรูตลอดกาลของเจ้ายังไงล่ะ ฮีโร่
ผมเดินผ่านป่าไปทั้งมีอุ้มลุคในอ้อมแขน เขานั้นตัวหนัก น้ำหนักของเขาอาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหนัก แต่เป็นชีวิตของผมด้วย ผมรู้สึกอย่างนั้น
การแสดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
(TTL : โอเค พรี่ดันกลายเป็นจอมมารภัยสังคมเต็มตัวละ โลลิก็ไม่ห่าง โชตะก็ไม่ว่างเว้น 555)