Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 91 ราชา และ นายพลของเขา(4)
เสียงปากกาขนนกขูดกับกระดาษดังไปทั่วออฟฟิศ
ผมจุ่มปากกาลงไปในขวดหมึกอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วเขียนเน้นๆ เส้นดำทึบ มันช่างเป็นปริศนาเหลือเกินว่า ผมสามารถที่จะขยับปลายปากกาได้อย่างง่ายดายนัก
เห็นได้ชัดเลยว่า ผมนั้นไม่เคยเรียนภาษาของชาวฮับบวร์กและภาษาจักรวรรดิโบราณที่เขียนในเอกสารมาก่อน แต่ผมกลับเข้าใจความหมายของมันได้ด้วยสัญชาติญาณ
ไม่เพียงแต่สามารถอ่านได้เท่านั้น ผมยังสามารถเขียนภาษาของโลกนี้ได้ตามปรารถนาอีกด้วย
นี่หากผมเกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่จอมมาร ผมอาจจะกลายเป็นนักการทูตก็ได้นะ
“นายท่านและผู้บัญชาการเห็นตรงกันว่า ไพมอนเป็นผู้วางแผนยืมดาบฆ่าคน”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว”
ผมตอบกลับไปขณะที่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร
“แผนของไพมอนนั้นอาจจะดูชัดเจนหากมองผ่านๆ แต่มีบางอย่างที่น่าสงสัยค่ะ”
“โอ้?”
“การที่กองทัพภาค 6 เผชิญหน้ากับมนุษย์ฝ่ายฮับบวร์ก
พูดอีกนัยหนึ่ง ฝ่ายภูเขา กองทัพภาค 1 ได้เผชิญกับราชอาณาจักรทิวทันและสาธารณรัฐบัตตาเวีย
หากไพมอนเล็งไปที่การยืมดาบฆ่าคนจริง
จักรวรรดิฮับบวร์กก็จะอ่อนแอลง แต่ไม่มีผลกับทหารของทิวทันและบัตตาเวีย”
กองทัพที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพภาค 1 ยังคงแข็งแรงสดใสอยู่ นั่นใช่เป้าหมายของการยืมดาบฆ่าคนจริงๆหรือ……?
นั่นเป็นสิ่งที่ลอร่าตั้งคำถาม
“ใครจะไปรู้ล่ะ? ไม่แน่เธออาจจะเล็งเป้าไปที่การทำให้กองทัพภาค 6 อ่อนแอลงก็ได้?”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง พฤติกรรมที่กองทัพภาค 1 ทำก็น่าเวทนาเกินไป”
ลอร่าชี้แจง
“พวกเขานั้นไม่เพียงแต่ไม่เดินทัพ แต่ผู้วางแผนเองก็ยังซ่อนงำเจตนา แต่ไพมอนกลับหวังให้ กองทัพภาค 6 อ่อนแอลงเอง การกระทำของเธอนั้นมันชัดเกินไป
อย่างน้อยที่สุดกองทัพภาค 1 ก็ควรจะเดินทัพไปยังภูเขาดำแล้วแกล้งทำเป็นรบ…….
พวกเราก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับกองทัพมนุษย์อยู่เหมือนกัน พวกเราไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ……
พวกเขาควรแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาให้พวกเราเห็นมากกว่า”
แต่ไพมอนไม่ขยับเขยื้อนเลย แถมเร็วๆนี้สังคมปีศาจยังวิจารณ์กันหนักทั้งกับไพมอนและฝ่ายภูเขา
พวกเขาด่าทอว่าพวกนั้นเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมทำอะไรนอกจากปล่อยให้สหายศึกรบอย่างสิ้นหวัง
“ทำไมพวกเขาถึงได้เชิญชวนให้ผู้คนทั้งหลาย วิจารณ์ตัวเองด้วยเล่า?
หรือไพมอนนั้นมีเป้าหมายอื่นอยู่?
เธอไม่ขยับเขยื้อนทัพเพราะมีเหตุผลบางอย่าง
……นี่น่าจะเป็นข้อสรุปที่ถูกต้องกว่านี้”
“น่าสนใจนี่”
ผมยังคงเพ่งจ้องไปที่กองเอกสารตรงหน้าขณะที่มือก็ขยับปากกาไป
เอกสารที่แจ้งว่า พี่เบเลธและพี่เซปาร์นั้นตอนนี้กลายเป็นบารอนใต้มาร์คกราฟแล้ว
ด้วยสิ่งนี้ ก็มี 1เอิร์ล และ2บารอน จากการมอบตำแหน่งให้อย่างเป็นทางการจากจักรวรรดิ
เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านก็มอบสัญญาเลือดให้กับเรา ว่าจะรับใช้ทั้งจอมมารเบเลธและจอมมารเซปาร์ในฐานะผู้ปกครอง
“ถ้าอย่างนั้นขอถามเธอหน่อยนะ เธอคิดว่าเจตนาที่แท้จริงของไพมอนคืออะไร?”
“มันน่าจะเป็นคำตอบที่เรียบง่าย เช่นเดียวกับที่ฝ่ายจอมมารมีฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขา
จักรวรรดิฮับบวร์กเองก็มีกลุ่มย่อยภายในที่แข่งกันอยู่เช่นเดียวกัน
สิ่งที่ฝ่าบาทชี้เมื่อการประชุมที่แล้ว ทั้งฝ่ายจอมมารหรือฝ่ายมนุษย์ พวกเขาต่างมีอคติที่มองกันและกัน
ในกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งที่ต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง…….”
ผมวางปากกาขนนกลง
การทำงานเอกสารนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจดี ดูเหมือนว่า ผมนั้นจะเหมาะกับงานเอกสารด้วย
เพียงแค่ใช้ศิลปะการใช้ถ้อยคำเพื่อเติมเต็มแบบฟอร์ม มันก็ให้ความรู้สึกพึงพอใจแปลกๆขึ้นมาแล้ว
มันเป็นความพึงใจคล้ายกับตอนที่ผมหลอกคนอื่นได้ การแกล้งทำเป็นบางสิ่งที่คุณไม่ได้เป็นน่ะ
งานเอกสารกับการโกหกมันคล้ายกันมากเลยไม่ใช่เหรอ?
หากผมเกิดเป็นมนุษย์ในโลกใบนี้ ผมคงจะวุ่นวายกับการจัดการเอกสารพวกนี้ไปแล้วล่ะ
……น่าเศร้าชะมัด จอมมารพวกนี้มีแต่พวกโลลิค่อนเหม็นเน่า มันไม่เหมาะกับบุคลิกภาพอันใสซื่อของผมเลย
(TTL : …………)
“ลอร่า เธอชอบวิสกี้ไหม?”
“หญิงสาวผู้นี้ชอบทุกอย่างที่นายท่านมอบให้ค่ะ”
ผมหยิบวิสกี้และแก้วออกมาจากตู้ไม้ มันเป็นของที่ผมแอบหยิบมาจากโกดังของโรเซนเบิร์ก
ท่านมาร์คกราฟนั้นต้องเป็นคนรักเหล้าตัวยงแน่ๆ ขนาดในโกดังยังไม่มีสมบัติ หากแต่มีเหล้าหายากอยู่เยอะ
ของส่วนมากที่ไม่ค่อยเจออยู่ในโกดังตามปกติกลับสร้างความตื่นเต้นให้กับบาร์บาทอสเป็นอย่างมาก
ผมแอบคว้ามา 4 ขวด ส่งให้แก้วให้ลอร่าและรินวิสกี้ให้เธอ
“เชียร์ส”
“แด่ความรุ่งโรจน์ของดันทาเลี่ยน”
กริ้ง
แก้ววิสกี้ส่งเสียงใสตอนที่มันกระทบกัน รสเปรี้ยวจางๆของวิสกี้ไหลผ่านลำคอ ภาพลวงตาในหัวผมเริ่มชัดขึ้น
“เดอ ฟาร์เนเซ่ คือตระกูลดยุคในราชอาณาจักรซาดิเนีย เหมือนเช่นใครสักคนที่เติบโตมา
เธอเองก็คงเข้าใจดีถึงการทำงานภายในจักรวรรดิฮับบวร์กสินะ ข้าเข้าใจถูกไหม?”
“ถูกแล้วค่ะ ตัวฉันอาจจะไม่ได้สนใจในการเมืองแต่ก็พอจะเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของทวีปของข้างเคียงจากการได้ยินได้ฟังมาในฐานะคุณหนูของบ้าน”
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอเองก็คงจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยในสถานการณ์นี้ที่จอมมารไม่สังเกตเห็น
ผมออกจะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาหน่อยๆ
ผมบอกได้เลยว่า น้ำเสียงผมมันบ่งบอกอย่างนั้น ผมออกจะคุ้นชินกับอาการไบโพลาร์ แต่หากไม่มีใครที่ผมสามารถอ่านอารมณ์ได้ หรือพูดง่ายๆก็คือ มันเป็นช่วงเวลาของผมเพียงผู้เดียว
มันไม่เลวเลย ที่มันเป็นช่วงเวลาของผม…….
ลอร่าจิบวิสกี้ในแก้วของเธอแล้วพูดขึ้น
“จักรวรรดิฮับบวร์กปัจจุบันกำลังเดินเข้าสู่เส้นทางหายนะ ถามใครใครก็เห็นด้วยเรื่องนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะเข้าสู่การล่มสลาย บัลลังค์แห่งอำนาจโดยสัมบูรณ์ของราชวงศ์ก็ยังคงห้ำหั่นอย่างรุนแรงระหว่างผู้สืบทอดทั้งสาม”
มกุฏราชกุมารเป็นลูกชายคนแรกของจักรพรรดิกับภรรยาคนแรก ,เจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิ
กับลูกชายคนที่สอง ,เจ้าชายลำดับสองแห่งจักรววรดิ
และสุดท้าย ลูกสาวคนที่สาม ที่เกิดจากภรรยาคนที่สอง ,เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ
แต่เดิมจักรพรรดินั้นมีลูกชาย 4 คนและลูกสาว 3 คน แต่ทั้งหมดก็ตายไปจนเหลือเพียง 3 คน
แม้จะประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่าพวกเขาทั้งหมดตายไปเพราะโรคระบาดหรืออุบัติเหตุที่มองไม่เห็น
แต่คนส่วนมากก็ไม่เชื่อเช่นนั้น
ชนชั้นสูงผู้รู้หนังสือต่างเชื่อว่า พวกเขาถูกฆ่าเพราะความขัดแย้งทางการเมืองในราชวงศ์ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง
ในเกมนั้น มีรูทที่ เจ้าหญิงลำดับสาม อลิซาเบธนั้นเป็นนางเอกหลัก
รูทนั้นเหล่าคอเกมต่างเรียกมันว่า เป็นรูทนางเอกที่แท้จริง ตัวเอกนั้นจะกลายเป็นคนรักของเจ้าหญิงลำดับสาม
ในฐานะผู้กล้าและได้อำนาจในการควบคุมทั้งทวีป เจ้าหญิงลำดับสามจะสารภาพกับตัวเอกในฉากเหตุการณ์ครึ่งหลัง
‘ตัวข้าคือ ผู้ที่ฆ่าพี่ชายคนที่สามและน้องชายเอง’
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธนั้นหัวเราะทั้งที่ยังยืนอาบแสงจันทร์อันน่าเศร้าอยู่ริมหน้าต่าง นั่นเป็นฉากที่โด่งดังในเกม
‘ตอนนั้นข้าอายุเพียง 13 ปี เพียง 13 ปีเท่านั้น แต่มือทั้งสองของข้าชุ่มโชกไปด้วยเลือดของพี่ชายและน้องชายที่ข้าฆ่า
ข้าปกปิดมันให้เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุ
แล้วข้าจะไม่กลายเป็นหญิงชั่วได้อย่างไร?
เด็กหญิงคนหนึ่งจะทำในสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้แบบนั้นได้เช่นไร หากเธอไม่มีปีศาจอยู่ในตัวเธอ?’
‘ผู้ที่ฆ่าเจ้าชายแห่งจักรวรรดิตอนนั้นอาจจะเป็นปีศาจ
แต่ถึงอย่างนั้น ที่ข้ามองเห็นอยู่ตรงหน้านั้นเป็นเพียงหญิงสาวผู้เศร้าโศกเสียใจ เพราะชีวิตที่ถูกกำหนดมาให้ต้องสาป’
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิตกหลุมรักในคำตอบของตัวเอก แล้วฉากสำคัญอื่นก็ตามมา
เพิ่มเติมให้อีกว่า เจ้าหญิงลำดับหนึ่งและเจ้าหญิงลำดับสองนั้นถูกรุมข่มขืน จึงต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่อาจทนได้กับความอับอาย
พวกเธอไม่ได้ถูกใครอื่นข่มขืนหรอกหากแต่เป็นพ่อแท้ๆกับเหล่าพี่ชาย
พูดง่ายๆคือ เธอถูกย่ำยีโดนจักรพรรดิและเหล่าเจ้าชาย
นี่แหละครอบครัวของราชวงศ์ที่มีบทดราม่ารุนแรงยิ่งกว่าพวกละครน้ำเน่าไร้สาระพวกนั้น
จักวรรดิฮับบวร์กนั้นเน่าเฟะจากภายในตัวครอบครัวของราชวงศ์เอง
การต่อสู้ระหว่างฝ่ายก็รุนแรงเช่นกัน
เจ้าหญิงลำดับสามรวบรวมผู้รักชาติและจะสร้างจักรวรรดิขึ้นมาใหม่ตั้งแต่เริ่ม
…….นั่นเป็นฉากเหตุการณ์ใน <Dungeon Attack> ระหว่างเหตุการณ์นั้นตัวเอกก็ได้เข้าอยู่ในฝ่ายของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ
ในขณะที่ผู้กล้านั้นกำจัดจอมมาร ผู้กล้าก็สนับสนุนเจ้าหญิงจักรววรดิ และในทางกลับกัน ผู้คนต่างก็สนับสนุนเจ้าหญิงด้วย
หากมองในแง่ร้ายหน่อย ผู้กล้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอุปกรณ์เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อดีๆนี่เอง
เอาล่ะ ถึงแม้จะจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง การถูกใช้เป็นเครื่องมือชวนเชื่อก็ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีก 15 ปี ต่อจากนี้
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีความผิดปกติมากมายในประเทศนี้
เจ้าหญิงเองก็ห่างไกลจากคำว่า แฮปปี้เอนดิ้งอีกเยอะ
ลอร่าชูสองนิ้ว
“จากความเข้าใจของหญิงสาวผู้นี้ มกุฏราชกุมารจะถือครองอำนาจหลักทางการทหารของจักรวรรดิฮับบวร์ก
กองกำลังทหารจะถูกแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายเจ้าชายกับฝ่ายเจ้าหญิง แต่มาร์คกราฟนั้นจะสนับสนุนเจ้าชายอย่างแน่นอน
ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้จึงสันนิษฐานได้แล้วค่ะ”
ดวงตาสีฟ้าของเธอนั้นมองมาที่ผม
“ว่าผู้บัญชาการไพมอนนั้นจะมาเป็นพันธมิตรกันกับเจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิหรือ?”
“…….”
“หากข้อสันนิษฐานของฉันถูกนะคะ กองกำลังหลักจะเข้าร่วมกับมาร์คกราฟผู้สนับสนุนฝ่ายมกุฏราชกุมาร ไม่ใช่ฝ่ายเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิค่ะ”
ผมยังคงเงียบในขณะที่ยังเอียงแก้ววิสกี้
“มกุฏราชกุมารก็อาจจะคิดอย่างนี้
หากเขาผสานกองทัพหลักเข้ากับของมาร์คกราฟได้ ก็จะมีกองทัพเกือบ 50,000 นาย
และเมื่อเป็นเช่นนั้นไม่มีทางที่ทหาร 50,000 จะพ่ายแพ้ต่อกองทหารเพียงภาคเดียวของทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
พอพวกเขาได้รับชัยชนะมาแล้ว พวกเขาก็ต้องกันท่าไม่ให้เจ้าหญิงได้อำนาจทางการทหาร
ซึ่งก็เป็นปรกติอยู่แล้วที่ มกุฏราชกุมารจะต้องรับชื่อเสียงทั้งหมดไว้เป็นของตัวเอง”
“อืมฮึ แล้วชื่อเสียงที่สามารถกำราบทัพจอมมารได้ด้วยตัวเองก็จะก้องระบือไปทั่วทั้งผืนทวีป”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ชนชั้นสูงและสามัญชนทั้งหมดก็จะมาสนับสนันมกุฏราชกุมาร
เขาก็แทบจะน็อคเจ้าหญิงลำดับสามได้ในหมัดเดียว
แถมยังเดินตรงไปสู่หนทางการขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่าย
สำหรับมกุฏราชกุมารแล้ว การรุกรานของจอมมารนั้นเป็นดั่งขุมสมบัติล้ำค่า ไม่ใช่วิกฤตแต่อย่างใด”
ผมเหม่อเลยเมื่อได้ชิมวิสกี้
“เป็นข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจดีนะ ก็พอฟังได้
แต่ถึงอย่างนั้น หากไม่มีหลักฐานเราก็ไม่สามารถเคลื่อนทัพภาค6 ไปเพียงเพราะข้อสันนิษฐานที่ฟังดูดี”
“ฉันคิดไว้แล้วว่า นายท่านต้องพูดอย่างนั้น”
ลอร่าจึงหยิบม้วนกระดาษออกมา
“นี่คือ รายชื่อของนายพลจากกองกำลังหลักที่เข้าร่วมกับมาร์คกราฟ
ชื่อของเจ้าหญิงลำดับสามไม่มีปรากฏอยู่ที่ไหนเลยในนี้”
“……นี่เธอไปได้ข้อมูลนี้มาตอนไหนกันน่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ที่ นายท่านแนะนำผู้บัญชาการบาร์บาทอสว่าให้ใช้พวกมนุษย์เป็นทูตค่ะ”
เธอยิ้มออกมา
“การกระทำของนายท่านออกจะน่าสงสัยในจุดนั้น
มนุษย์นั้นอาจรับใช้กองทัพจอมมารได้ แต่ก็เพียงเพื่อหลีกหนีให้พ้นอันตราย พวกเขาไม่ได้รับใช้จอมมารจากใจจริง
พวกเขาอาจทรยศเราหากมีภัยคุกคามมาถึงตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าแปลกมาก!
หญิงสาวผู้นี้รู้เป็นอย่างดีว่า นายท่านนั้นทั้งชั่วร้าย เจ้าเล่ห์ ขี้ขลาดและอ่อนแอ”
ผมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
(TTL : โดนน้องด่าซะยับหมาเลย 555555 )
“ยากที่จะเชื่อแฮะ ว่าคำพูดรุนแรงแบบนั้นจะพูดออกมาโดยผู้รับใช้ข้า”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ มันเป็นคำชม เพราะนายท่านอ่อนแอท่านถึงได้ตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามได้ดีกว่าใครๆ
ไม่มีทางที่นายท่านจะปล่อยให้กองกำลังที่อยู่ข้างหลังนั้นพร้อมจะปฏิวัติขึ้นมาได้ทุกเวลา
นายท่านนั้นมีประสาทสัมผัสดีเหมือนสัตว์ป่าเมื่อพบกับอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่ใช่คนตาบอดต่อภัยคุกคามและจะทำลายมันทิ้งในทันที
ดังนั้นจึงไม่ใช่นายท่านที่ให้คำแนะนำต่อผู้บัญชาการบาร์บาทอสหรอกค่ะ”
แหม ที่รัก ลอร่าทำให้คนเขินได้แม้เธอจะเป็นคนตรงไปตรงมา
“เอาล่ะ มันอาจเป็นอย่างนั้นก็ได้”
“นี่เป็นสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้คิดนะคะ มกุฏราชกุมารจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผูกขาดอำนาจทางการทหารเพื่อที่จะมีตำแหน่งสูงสุดเพื่อที่จะสืบทอดราชบัลลังค์
ในอีกฝั่งหนึ่ง ผู้บัญชาการไพมอนและเจ้าหญิงลำดับสามก็จะร่วมมือกันสร้างพันธมิตร
พวกเขามีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
ถ้ากองทัพของมกุฏราชกุมารถูกจัดการโดยกองทัพภาค 6 เมื่อใด
เจ้าหญิงลำดับสามก็จะเริ่มทำการรัฐประหารในทันที”
ผมจิบวิสกี้เพิ่มอีกจิบ อื้ม อร่อยดี พวกเหล้าราคาแพงนี่ให้รสต่างไปจริงๆ
ผมควรจะแกล้งแหย่บาร์บาทอสเล่นว่าให้ส่งมาให้ผมเพิ่มสักขวดสองขวด
“เจ้าหญิงลำดับสามจะประกาศทันทีที่เธอทำการรัฐประหาร เธอจะประกาศว่า จักรวรรดิฮับบวร์กใหม่นั้นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
ดังนั้นเธอจะมีการให้พักรบชั่วคราว เพื่อการเยียวยาผู้คนที่เจ็บปวดจากสงคราม
ในขณะที่ทั้งมนุษย์และปีศาจในทวีปต่างสับสนจากสนธิสัญญาสงบศึกที่ว่า ผู้บัญชาการไพมอนจะตอบรับ
―ตัวข้า, ไพมอน, ในนามแห่งกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ในฐานะจอมมารลำดับ 9 ตอบรับต่อคำขอของจักรวรรดิฮับบวร์กใหม่ในการสงบศึก— ”
เธอพูดออกมาคล้ายกำลังแสดงละคร ซึ่งมันก็เหมาะกับเธอดี
“ลอร่า : นายท่านๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพภาค 6 ของพวกเราคะ?”
นายท่าน : พวกเราก็ตกอยู่ท่ามกลางกองทัพภาค 1 และกองทัพหลวงของฮับบวร์กยังไงล่ะ”
มุมปากของผมก็ขยับขึ้นมาน้อยๆ
“ลอร่า นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลยนะ เธอเข้าใจข้าได้เป็นอย่างดี เธอพูดถูกแล้ว
นั่นแหละคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมไพมอน ผู้บัญชาการกองทัพภาค 1 ถึงได้ไม่ขยับเคลื่อนไหวเลย
ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเธอขี้เกียจหรือโง่เขา นั่นเป็นเพราะเธอกำลังรอคอยโอกาสที่เหมาะสมที่สุดเหมือนดั่งหมาป่า”
“ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของกองทัพภาค 1 ไม่ใช่ราชอาณาจักรทิวทัน”
“ถูกต้อง”
ผมยกแก้วขึ้น
“เป้าหมายของกองทัพภาค 1 อยู่ที่นี่ จักรวรรดิฮับบวร์ก ไพมอนตั้งใจที่จะสร้างสถานการณ์ให้ทัพพันธมิตรกับทัพหลวงของจักรวรรดิล้อมพวกเราไว้”