Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 88 ราชา และ นายพลของเขา(1)
มันเป็นเวลารุ่งสางแล้ว แสงแดดยามเช้าสะท้อนแสงมัวสู่เปลือกตาผม
มันได้เวลาที่ต้องตื่นแล้วตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหัวแล้วซุกตัวลงไปที่เตียง
มันเป็นเรื่องถูกต้อง พูดง่ายๆคือ ถ้ารู้สึกไม่ชอบก็แค่ผัดผ่อนมันไปก่อนก็ได้
……นี่ไม่ฟังดูปรัชญาเกินไปเหรอ?
ไม่ล่ะ ถ้าสิ่งไหนไม่ผิด สิ่งนั้นก็ไม่มีทางถูกได้
…….ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากนอนต่อ ผมมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นด้วย
ใครกันนะ ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในแนวหน้า?
ทุกคนคงไม่สนใจความขี้เกียจเล็กๆน้อยๆนี่หรอกน่า
“นายท่านคะ”
มันเป็นช่วงเวลาที่ โชเพินเฮาเออร์ (Schopenhauer)*มองไปยังสถานที่ที่ทุกชาติตั้งอยู่และมองหาจุดที่เหมือนกันของมนุษย์
คำตอบนั้นง่ายมาก ความขี้เกียจยังไงล่ะ
สิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติและเป็นสิ่งจำเป็น มนุษย์ทุกคนต่างตกอยู่ในความจริงที่ว่า ตัวเองนั้นขี้เกียจด้วยกันทั้งนั้นแต่ถึงอย่างนั้น
การดึงผ้าห่มมาปิดถึงหัวของผมนั้นได้รับการยืนยันโดย โชเพินเฮาเออร์ แล้ว
“นายท่าน ตื่นได้แล้ว”
มันจะยังเป็นคำโกหกอยู่อีกเหรอ หากคำโกหกนั้นไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นคำโกหกอีกต่อไป ?
นิวตันก็คงตะโกนขึ้นขณะที่หนวดกระเด้งขึ้นกระเด้งลง แอปเปิ้ลก็อาจจะลอยขึ้นฟ้าก็ได้!
แอปเปิ้ลมันเบื่อที่จะตกลงมาแล้วไงล่ะ มันเลยลอยขึ้นฟ้าไปแทน…….
อย่างที่นิวตันถึงจุดสุดยอดเพราะตื่นเต้นกับการค้นพบใหม่นี้ยังไงล่ะ
น่าแปลกใจมากที่คู่หูของเขาคือ นายพลเซปาร์ อ้ออย่างนี้นี่เองน่ะเหรอ?
เซปาร์คือ คู่หูของนิวตัน ห้ะ?
ผมที่เพิ่งรับรู้ว่า จิตใต้สำนึกของผมรับรู้ว่า เซปาร์กับนิวตันเป็นคู่หูกัน ผมอึ้งกับความบรรเจิดของตัวเองจริงๆ
“เฮ่อ เหมือนนายท่านยังตั้งใจจะหลับทั้งวัน”
“ทำไมนายพลเซปาร์ถึงป้องกันล่ะ……อื้มมม.”
“ถ้าท่านยังไม่ยอมลุกขึ้นมา ฉันจะทำเรื่องลามกกับท่านแล้วนะ”
“คนรักของอริสโตเติลอย่างนั้นเหรอ ฮื่ม……? ชุดชั้นในที่แสนงาม…….”
“ถ้าอย่างนั้น”
ผมรับรู้การขยุกขยิกตัว มันเป็นผ้าห่มของผมนี่เอง ผ้าห่มที่ขยับได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง
ในโลกที่แอปเปิ้ลลอยขึ้นฟ้าได้ การที่ผ้าห่มดุ๊กดิ๊กได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้ว
“อืมมม……มม…….”
อะไรอุ่นๆมันห่อหุ้มท่อนล่างของผม แล้วจากนั้น
“อั่กกกก!?”
สัมผัสจั้กจี้เติมเต็มไปที่กระโหลกของผมอย่างแรง
คลื่นแห่งความพึงพอใจชำระล้างผม ไขสันหลังสั่นเทาแล้วสะโพกผมก็เด้งตัวขึ้น
ความคิดนึกของผมไม่มีสติพอที่จะสั่งการให้ร่างกายชำระคลื่นแห่งความสุข ที่เป็นเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ทะลักล้นเขื่อนได้
“ชู่ววว……อึกก, อืมมม”
“นะ-นี่เธอทำอะไร, อ๋าาาา!”
ผมพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ยกผ้าห่มขึ้น เด็กสาวผมสีบลอนด์ใช้หัวแนบกับท่อนร่างของผม
ลอร่านั่นเอง เธอเลีย ณ จุดพื้นที่จำเพาะของร่างกายที่ยังไม่แข็งตัวดี
วิธีการที่เธอทำด้วยปากนั้นเป็นวิธีเฉพาะตัวเช่นเดียวกับที่เธอใช้มือทั้งสองยังคงจับที่หนังหุ้มปลาย เธอเลียด้านในขณะที่ยังถือมันไว้ราวกับเป็นกลีบดอกไม้
⎯⎯ไม่ใช่แค่ผมไม่เคยมีประสบการณ์ออรั่ลเซ็กแบบนี้มาก่อน แต่ผมไม่เคยจะได้รับความพึงพอใจแบบนี้เหมือนกัน!
“ละ-ลอร่า เดี๋ยวก่อน เย็นไว้ก่อน เราคุยกันได้ เดี๋ยววว!”
“อืมม อืมม นัมๆ ……อึก”
“อั่กกกก!?”
คลื่นแห่งความพึงใจซัดชะผมอีกระลอก ผมแทบจะงอหลังจนเหมือนกุ้ง ในหัวผมว่างเปล่า เช่นเดียวกับที่นอนแผ่บนเตียง
ผมเป็นเหมือนลำต้นของดอกไม้ที่งองุ้ม แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังสะท้อนในหัว
ลอร่าพูดกับผมทั้งที่สติสัมปชัญญะของผมยังพร่ามัวอยู่
“อึ้ก.……อรุณสวัสดิ์ นายท่าน”
เธอพูดทักตามปรกติ น้ำเสียงสบายๆ
“ตัวฉันหวังว่าเมื่อคืนท่านจะหลับสบายดีนะคะ”
“ต้องขอบคุณใครสักคน ที่ทำให้ข้านะ-นอนหลับสบาย”
แย่แล้ว เสียงของผมสั่น ผมคุมลิ้นตัวเองไม่ได้
“แล้วนั่นมันคืออะไรกันน่ะ?”
“ ‘นั่น’ ที่ว่าหมายถึงอะไรคะ?”
“ก็ไอ้ที่เพิ่งทำไปไง”
ลอร่าเช็ดมุมปากด้วยผ้าเช็ดหน้า มันมีคราบสีขาวหนาคล้ายน้ำลายอยู่บนใบหน้าของเธอ ลอร่าเช็ดมันออกจนสะอาด
“อืมม ก็การใช้ปากอมไงคะ?
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ดังนั้นตัวฉันจึงไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงดูตื่นเต้นกับมันนัก ฉันจำได้ว่า เมื่อวานซืนฉันก็ทำกับท่านไปที่ค่าย”
“ก็ที่ข้าถามเพราะมันไม่ใช่การใช้ปากแบบปกตินี่!”
“อาฮะ เข้าใจแล้วค่ะ”
ลอร่าผงกหัว
“นี่คงเป็นครั้งแรกสำหรับนายท่าน ฉันจะขอเรียกสิ่งที่เพิ่งทำลงไปว่า เป็นการใช้ปากกับหนังหุ้มปลายค่ะ”
“การใช้ปากกับหนังหุ้มปลายเรอะ”
ผมเผลอพูดซ้ำย้ำคพูดของเธอออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มันไม่ใช่คำพูดที่เด็กสาวที่เกิดในตระกูลสูงอย่างครอบครัวดยุคสมควรพูดออกมา
ไม่ว่าลอร่าจะรู้หรือไม่ว่าผมนั้นอึ้งอยู่แต่เธอก็ยังคงสาธยายเกี่ยวกับรายละเอียดของหนังหุ้มปลายอย่างภาคภูมิใจ
“แต่เดิมแล้วการใช้ปากกับหนังหุ้มปลายนั้นมักใช้กับชายที่ไม่แข็งตัว
การถลกหนังออกมาแล้วเลียด้านในตรงจุดที่เรียกว่า หนังหุ้มปลาย พออวัยวะเพศชายและหนังแน่นขึ้น ท่านชายก็จะตื่นตัว
จังหวะนั้นหนังหุ้มก็จะไม่สามารถถลกได้อีก
เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว การใช้ปากกับหนังหุ้มปลายจึงทำได้ตอนที่หนังหุ้มหลวมเท่านั้น”
“อวัยวะเพศชาย,ท่านชาย,หนังหุ้มปลาย…….”
ผมตัวสั่น มันใครกันนะ?
ใครกันที่ทำให้เด็กสาวอายุ 17 ต้องพูดคำพวกนี้ออกมากัน? ลอร่าใช้พูดที่คนอายุ 37 จะพูด แต่ไม่ใช่กับตอนที่อายุ 17 ปี
“ฉันได้ยินมาว่า การใช้ปากแบบนี้ให้ความรู้สึกสุดยอดยิ่งกว่าการใช้ปากแบบปรกติ ดังนั้นตัวฉันจึงตัดสินใจใช้มันวันนี้
ดูเหมือนมันจะทำให้นายท่านพึงพอใจเป็นอย่างมาก เป็นอย่างนั้นฉันก็ดีใจ”
“สัมผัสมันเปี่ยมล้นจนเกินจะทานทนน่ะ แล้วเรื่อง หนังหุ้มปลาย?
มันไม่สกปรกเหรอ? อย่างน้อยก็รักษาเกียรติในฐานะเลดี้สักหน่อย”
ลอร่าส่ายหัว
“นายท่านไม่ต้องใช้ห้องน้ำแล้วเหงื่อก็ไม่ออก แล้วจะสกปรกได้ยังไงกันคะ?”
“อ่าา”
เธอพูดถูก
นับตั้งแต่ที่ผมกลายเป็นจอมมาร ผมก็ไม่ต้องใช้ห้องน้ำ แม้จะกินอาหารเข้าไปมากมายแค่ไหน เช่นเดียวกับเหงื่อ
ผมก็คงจะมีเหงื่อหากวิ่งมากมายเป็นไอ้บ้า มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมสนใจมาก
ผมพยายามลองทดสอบมันดูแล้วก็พบว่า ร่างกายครึ่งหนึ่งของจอมมารประกอบไปด้วยมานา ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของผมไม่มีกลิ่นเหม็นหรือความรู้สึกสกปรกเลยขณะที่ถูกอมเลีย
พอความรู้สึกดีๆทั้งหลายจางลงไป
ผมก็พึ่งสังเกตเห็นการแจ้งเตือนตรงหน้าผม มีบางสิ่งลอยอยู่ในอากาศมันเป็นประโยคที่เขียนบนอากาศเป็นโฮโลแกรมสีน้ำเงิน
「เลเวลอาชีพของ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ (ทาสกาม) เพิ่มขึ้น!」
“…….”
ผมมองการแจ้งเตือนแล้วก็นิ่งอึ้งไปเหมือนคนโง่ พอผมเช็คสเตตัสดู ผมก็พบว่า อาชีพทาสกามของเธอเพิ่มระดับขึ้นจากD เป็น ระดับC
นี่หมายความว่า การที่เธอใช้ทักษะ ปากกับหนังหุ้มปลายหรืออะไรสักอย่างนั่น
มันเพิ่มเลเวลอาชีพของเธอด้วย ผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ…….มันเป็นการเพิ่มเลเวลที่ล้ำเกินไปจริงๆ
“รีบลุกขึ้นมาได้แล้วค่ะ นี่นานแล้วนับตั้งแต่ไก่ขัน จิตใจที่เข้มแข็งจะมีขึ้นภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง และร่างกายที่แข็งแรงก็จะสร้างนิสัยดีๆ”
“อ่า ข้าเข้าใจแล้ว”
ผมลุกขึ้น อันที่จริงแล้ว มันโอเคกับการที่จอมมารจะนอนเพียง 2-3 ชั่วโมงตลอดวัน แถมยังไม่เป็นอะไรหากจะอยู่โดยไม่นอนติดกัน 4 วัน
ผมอยู่ข้ามคืนเมื่อหลายวันก่อน ดังนั้นจึงต้องการนอนมากขึ้นอีกหน่อยในวันนี้
แต่หลังจากที่สลัดความอยากนอนออกไปแล้วแต่งตัว ผมก็ได้ยินลอร่าพูดอยู่ข้างหลังผม
“อื้มฮึ วิธีนี้ได้ผลดี นับจากนี้ไปฉันจะปลุกนายท่านด้วยวิธีนี้ทุกวันเลย”
“…….”
เธอกำลังปั่นเลเวลแบบบ้าคลั่งเลยนะ ลอร่า
ผมออกจากค่ายที่พักตัวเอง หลังแต่งตัวเสร็จ ผมล้างหน้าคร่าวๆในอ่างล้างหน้าที่อยู่ด้านนอกค่าย
สายลมตอนเช้าพัดเข้าใบหน้าผม ผมยืดเหยียดก่อนจะมองวิวตรงหน้า กองไฟนับพันกำลังลุกโชนอยู่ในทุ่งหญ้า
มอนสเตอร์ไม่ต้องการเต๊นท์ แค่กองไฟก็เพียงพอแล้วสำหรับมัน แต่ก็มีบางตัวที่ไม่ชอบความร้อนจากกองไฟ
พื้นที่ที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์เดียวกันราวกับสหายและครอบครัวนอนอิงกันและกัน อารมณ์นับหมื่นหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของผม
ชั่วขณะที่ผมรับอารมณ์พวกนั้นเข้ามา ผมก็ตั้งใจจะไม่สนใจมันในทันที
เร็วๆนี้ ผมเริ่มเชี่ยวชาญในการอ่านอารมณ์ผู้อื่น ดังนั้นจึงสามารถบล็อคความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อยากอ่านด้วย
แม้มันจะยากที่จะปิดกั้นอารมณ์ที่รุนแรงอย่างความตื่นเต้นระหว่างการรบ
แต่คุณก็จะคุ้นชินไปเองหากฝึกมันให้มากพอ
ณ ตอนนั้นเองที่มีเจ้ายักษ์ใหญ่มาจากพื้นที่ว่าง ไม่ต้องเดาก็รู้ทันทีว่าใคร นอกจากออเกอร์แล้วก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่สูงเกินกว่า 4 เมตร
เจ้ายักษ์นั่นโบกมือให้ผมแทนคำทักทาย
“โอ้ นั่นคนรักที่ท่านบาร์บาทอสชื่นชอบไม่ใช่รึ”
ลำดับ 13 จอมมารเบเลธนั่นเอง ผมแอบครางในใจ
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“ใช่เลย ออกจะเช้าไปสักหน่อย หลังจากเห็นหน้านายแล้ว ข้าเชื่อว่า มันคงเป็นเช้าที่ดีขึ้นไปอีก ถุด!”
เขาถ่มน้ำลายลงพื้น ดูออกง่ายจริงๆนะหมอนี่
จะมีอะไรให้เดาอีกล่ะ นับตั้งแต่ที่บาร์บาทอสประกาศว่า ผมเป็นคนรักของเธอ เบเลธก็ทำตัวอย่างนี้ตลอด
หมอนี่มันเป็นโลลิค่อนที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกเลยล่ะ
“เฮ้ยนี่”
เบเลธก้มตัวลงแล้วเอาหน้ามาใกล้ๆ
อย่ามาใกล้ผมสิวะ ไอ้หมูป่าตัวเท่าออเกอร์ จะรับผิดชอบไหมวะ ถ้าผมเกิดติดเชื้อโลลิค่อนขึ้นมาน่ะ?
(TTL : แหม มมมมมมม (ม ม้า เยอะๆ) )
“ครับ ? มีอะไรหรือครับ?”
“ขากกก”
เจ้าหมูป่ามันทำเสียงเหมือนกรน มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาน่ะ?
เขาหิวหรือ? หรือพยายามจะอ้อนให้ดูน่ารัก โดยหวังให้ผมให้อาหารเขา?
ศพมนุษย์นับร้อยอยู่ตรงโน้นใกล้เต๊นท์น่ะ ไปกินให้อิ่มหนำตรงนั้นสิ
อย่ามาพยายามทำตัวน่าเอ็นดู มันก่อปัญหากับผมมากกว่า
“อะแฮ่ม มันมีบางอย่างที่ข้าอยากคุยเป็นการส่วนตัวเพียงแค่สองเรา”
“……ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ เป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของข้า ดังนั้นอย่าได้รังเกียจเธอเลย”
“มะ ไม่ใช่อย่างนั้น มันคือ มีอะไรบางอย่างที่ผู้หญิงไม่สมควรได้ยินน่ะ”
เบเลธนั้นขมวดคิ้ว
“แกน่ะให้มันรู้เรื่องบ้างเถอะ”
ผมนี่อึ้งไปเลย ใครจะคิดว่า เบเลธที่ดูเหมือนสมองจะทำมาจากกล้ามอย่างน้อยเขาก็ยังรู้จักแยกแยะอย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงความแตกต่างระหว่างชายกับหญิงได้!
นี่หากผมทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้แล้วล่ะก็ผมต้องได้รับรางวัลระดับโลกแน่ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหมูป่านี่ยังใช้คำยากที่ว่า ‘รู้เรื่องรู้ราว’ ด้วย…….
ยังมีหวังที่หมอนี่ เข้าใจเรื่องราวและรู้ว่าตัวเองเป็นบุคคลอยู่ นี่มันเป็นเหตุการณ์สะเทือนโลกอย่างแท้จริง
สถาบันระดับโลกจะต้องโต้เถียงกันอย่างหนักว่า หมูป่าตัวนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งด้วย
(TTL : โคตรปากคอเราะร้าย)
“ลอร่า ข้าขอเวลาคุยกับท่านเบเลธสักครู่นะ”
“รับทราบค่ะ ฉันจะไปรอท่านที่ด้านหน้า”
ลอร่าโค้งหัวให้
พอเธอเดินห่างไปไกลพอ เบเลธก็เอาหน้ามาใกล้ผม
ถ้าเทียบกันแล้ว จมูกของหมอนี่มันใหญ่เท่าหัวผมเลยว่ะ
ลมอุ่นๆก็ไหลออกมาจากรูจมูกนั่น ผมรู้สึกเหมือนโดนพัดลมหันหน้าใส่
“นี่แกน่ะ เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“ครับ?”
“อะแฮ่ม ฮื่มม ก็เรื่องนั้นน่ะ เรื่องที่นายรู้? นายได้ทำไปแล้วใช่ไหม?”
ผมมองไปที่เบเลธ ถึงเขาจะเป็นคนที่ดูบ้าๆบอๆ แต่ก็ปรากฏว่า ลูกผสมระหว่างออเกอร์และหมูป่านั้นมีภาษาเป็นของตัวเอง
คำพูดที่ใช้คำแทนอย่างจำเพาะเจาะจง กลวิธีการที่เขาสื่อสารด้วยการพูดว่า ‘นั่น’ อ่า
สุภาพบุรุษที่สมองเต็มไปด้วยกล้าม มันคงยากมากที่จะยังคงใช้คำว่า ‘นั่น’ต่อ
“พูดมาให้ชัดเจนหน่อยครับ ผมไม่เข้าใจว่า ท่านกำลังพูดหรือถามอะไร”
“ข้ากำลังถามเจ้าว่า เจ้าได้หลับนอนกับท่านบาร์บาทอสแล้วเหรอ!”
เฮ่ออออ อยู่ๆผมก็รู้สึกปวดหัวตึบขึ้นมา
ชายตรงหน้าคือผู้ที่มีชีวิตอยู่สามหนึ่งพัน กับอีก ห้าร้อยปี กำลังพูดติดอ่างเวลาที่จะถามคนอื่นว่า ได้หลับนอนกับอีกคนแล้วหรือยัง
หมอนี่มันเป็นชายที่เกินไปกว่าคำว่า ใสซื่ออีกนะเนี่ย ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่สงสาร
“ท่านสงสัยเรื่องนั้นจริงๆหรือครับ? หากท่านถามคำถามนี้ไปเมื่อวาน? ผู้คนอาจสงสัยว่า ท่านเบเลธอาจจะยังคงซิงอยู่ ถ้าเขาได้ยินบทสนทนานี้นะครับ”
“กะ-แกเรียกใครว่า ยังซิงวะ!?”
เบเลธเด้งตัวด้วยความโกรธ พื้นสะเทือนเนื่องจากเจ้ายักษ์สูงสี่เมตรเหยียบลงพื้นไอ้หมูป่านี่มันไม่ใช่หมูป่าธรรมดา
ถ้าหากคุณย่างเจ้าหมูป่ายักษ์นี่ คุณจะเลี้ยงกองทัพทั้ง 20,000 นายได้ถึง 4 วัน
เบเลธพึมพัมด้วยเสียงเล็กๆ
“ข้าน่ะรู้จักยับยั้งตัวเองมา 1,400 ปีต่างหาก”
“……อะไรนะครับ?”
“ข้าไม่เคยกอดผู้หญิงคนไหนเลย นับตั้งแต่รับใช้ท่านบาร์บาทอส มันจะเป็นการดูหมิ่นการอุทิศตนของข้า หากข้าทำเช่นนั้น”
เบเลธดูจริงจังกับเรื่องนั้นมาก
นี่เจ้าบ้าลูกผสมออเกอร์หมูป่ามันพูดอะไรออกมาวะ?
“ข้าได้สาบานตนมาหนึ่งพัน สี่ร้อย ห้าสิบหกปี และอีก ห้าสิบหกวัน นับตั้งแต่วันที่ได้พบท่านบาร์บาทอสในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์
ข้าสาบานตนว่าจะไม่ละสายตาไปจากท่านบาร์บาทอสจนกว่าการมีอยู่ของข้าจะดับสิ้นไป…….”
“เดี๋ยวก่อนนะ ท่านเบเลธ ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ข้าต้องการถามท่านถึงบางอย่าง”
“อะไรล่ะ? ข้าบอกได้แต่ว่า ข้าน่ะเป็นลูกผู้ชายแค่ไหน”
เบเลธขบริมฝีปากราวกับกำลังผิดหวัง
การทำแบบนั้นทำให้ผมอยากจะอ้วกแต่ก็ตั้งอดกลั้นไว้ก่อน แล้วถามต่อไป
“พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ท่านเบเลธ……ท่านกำลังบอกว่า ท่านระงับกิจกรรมทางเพศมาตั้งแต่ 1,400 ปี แล้ว?
และยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่เพียงแต่จำปีที่ท่านพบกับท่านบาร์บาทอสครั้งแรกได้ แถมยังจำวันได้อีกด้วย?”
“ถูกต้องแล้ว”
เบเลธผงกหัวรับอย่างมั่นอกมั่นใจ
“นั่นคือ ความรู้สึกที่สุดจะจริงใจของข้า”
“……..”
ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่า หมอนี่น่ะมันไอ้บ้าตัวจริง
——-
*อาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์(Arthur Schopenhauer) นักปรัชญาชาวเยอรมัน