Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 352 ชาติที่เป็นกลาง(5)
บทที่ 352 – ชาติที่เป็นกลาง(5)
“ข้ายินดีอย่างมาก ”
วาเลฟอร์พยักหน้าแข็งขัน
“แต่อย่างไรก็ดี ข้าขอให้เจ้าสัญญาอย่างหนึ่งก่อน,บาร์บาทอส
สิ่งที่อาติแฟคจะเผยให้เห็นนี้บั่นทอนทำลายชื่อเสียงกามิกิน
ดังนั้นแล้ว ข้าจึงขอให้เจ้ารักษาเกียรติของนางด้วย …….”
“เจ้านี่คุยโม้คุยโตน่าดู”
บาร์บาทอสเยาะ
“ข้าไม่ให้สัญญาอะไรกับลูกกะหรี่ไร้ยางอายอย่างแกอยู่แล้ว ”
“ผู้ที่ไร้ยางอายตัวจริงคือ ดันทาเลี่ยนต่างหาก,บาร์บาทอส
หมอนั่นไม่เพียงแต่คุกคามจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างพวกเรา แต่วันนี้มันยังเหยียบย่ำกามิกินอีกด้วย !”
วาเลฟอร์แผดเสียงออกมา
เมื่อเขาทำเช่นนั้น จอมมารฝ่ายที่ราบต่างชี้นิ้วไปหาเขา
“แกกล้าดียังไงมาฆ่าคนจากวังหลวง ในพื้นที่ที่เป็นกลาง ?
แกเองไม่ใช่รึไงวะที่หยามหมิ่นกฏหมายเข้มงวดของพวกเราน่ะ !?”
“เฮ่อ ดันทาเลี่ยนต่างหาก ที่เป็นฝ่ายละเมิดกฏหมายในพื้นที่ที่เป็นกลางก่อน !”
วาเลฟอร์รู้ว่าตัวเองไม่ควรจะมาสะดุดแค่เรื่องนี้
เขาไม่เพียงแต่มองตาขวางใส่บาร์บาทอสหากแต่เป็นกับจอมมาร อาร์คดยุค รวมถึงทหารทุกคนที่อยู่ที่นั่น
“ยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อนได้ไหม ใครกันที่เป็นคนฆ่าอันโดรมาลิอุส และมันเกิดขึ้นที่ไหน บุคคลผู้เป็นจอมมารเหมือนเช่นพวกเราถูกใครฆ่า?
ในเมืองเนฟเฮมที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นพื้นที่ที่เป็นกลาง เป็นเช่นนั้นมาหลายทศวรรษ เป็นย่านการค้าศูนย์กลางที่ใครจะไปเที่ยวเล่นอย่างไรก็ได้
แต่คนอย่างดันทาเลี่ยนกลับไปฆ่าอันโดรมาลิอุส ใครกันแน่ที่ละเมิดกฏหมายก่อน? ใครกันแน่ที่เป็น ฆาตกรผู้ไร้ยางอาย!!”
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดคนอื่นๆ ต่างยกมือตอบรับเห็นด้วย
‘ใช่แล้ว ใช่แล้ว ดันทาเลี่ยนละเมิดกฏหมายก่อน’
พวกเขาต่างเห็นด้วย
“พื้นที่ส่วนกลางที่ปลอดภัยมีไว้เพื่อจอมมารทุกตน มิใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
ดันทาเลี่ยนกลับใช้พื้นที่นั้นตามใจชอบโดยไม่สนใจความเป็นกลางทางอำนาจเลยแม้แต่น้อย
เขานั่นแหละที่เป็นตัวน่ารังเกียจที่สุดในยุคนี้ !”
“นั่นมันก็แค่ข้ออ้างของมือสังหาร !”
“ตัดลิ้นมันซะ !”
จอมมารฝ่ายอื่นๆแสดงท่าทางดูถูกอีกฝ่าย
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเองก็เริ่มลุกฮือขึ้นมา พลางตะโกนกลับไป
แม้ฝ่ายนั้นจะมีคนที่น้อยกว่ามาก แต่ก็เชื่อมั่นในเหตุของการกระทำตัวเองและหลักฐานที่มี
ราวกับการวิวาทนั้นสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่บาร์บาทอสกลับพูดเสียดสีกลับไป
“ดันทาเลี่ยนข่มขืนกามิกิน กามิกินเองก็บังเอิญมีเมโมเรียอาติแฟคบันทึกมันไว้ แล้วกลุ่มของแกก็บังเอิ๊ญบังเอิญเข้ามาในช่วงเวลานั้นพอดี
แหม ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะสุดบังเอิญที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยล่ะ”
“ไม่เห็นแปลกตรงไหนในเรื่องนั้น เป็นปรกติอยู่แล้วที่ใครสักคนจะพกพบอาติแฟคเผื่อไว้ในกรณีแบบนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเสีย มันก็เป็นความผิดของดันทาเลี่ยนอยู่ดี ?”
วาเลฟอร์ดูถูก
“ที่ข้ากำลังจะบอกก็คือ หมอนั่นเป็นบุคคลที่อันตรายที่จะพบตามลำพังโดยไม่มีอาติแฟคติดไปด้วย
และสถานการณ์ที่พวกเรากลัวก็เกิดขึ้น ……. กามิกิน”
วาเลฟอร์หันหน้าไปหากามิกิน เธอพักผ่อนมาแล้วหลายชั่วโมง ดังนั้นแผลที่โดนแส้เฆี่ยนจึงหายดี กามิกินพยักหน้าแล้วก้าวเข้ามา
“ช่าย ข้ามีหลักฐาน ”
“นางไม่สมควรเป็นพยาน !”
หนึ่งในจอมมารฝ่ายเป็นกลางตะโกนสวนขึ้นมา
“กามิกินและดันทาเลี่ยนเป็นคู่รักกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งคู่เป็นเรื่องส่วนตัว แล้วจะบอกว่า มันเป็นการข่มขืนได้อย่างไร ?”
“ดันทาเลี่ยนไม่ได้ปฏิบัติกับกามิกินเหมือนเป็นคนรัก
หมอนั่นมันใช้ชัยชนะในช่วงสงครามมาเป็นข้ออ้างในการกดขี่นาง !”
วาเลฟอร์ไปหากามิกิน
“ดันทาเลี่ยนได้เคารพให้เกียรติกามิกินในฐานะคู่รักตามปรกติหรือไม่ ?
เขาไม่เพียงแต่เปรียบเทียบนางกับบาร์บาทอสหากแต่ยังดูถูกเธอไม่หยุดหย่อน !?
สิ่งที่ดันทาเลี่ยนทำนั้นมีแต่การเย้ยหยันดูถูก หัวเราะเยาะนางเท่านั้น!
เธอเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ !”
เสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นจากเหล่าจอมมารอีกระลอก
พอบาร์บาทอสยกมือขวาขึ้น จอมมารฝ่ายที่ราบก็เงียบลง
พวกเขามีอุปนิสัยของนักรบดังนั้นจึงไม่อาจกดข่มลมหายใจหนักหน่วงที่เต็มไปด้วยโทสะและเจตนาทำร้ายอีกฝ่ายเนื่องจากการตายอันไม่ยุติธรรมของสหายศึกได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชอบดันทาเลี่ยน คนกลุ่มนั้นต่างอยู่เงียบๆ
“การพูดอะไรไปมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์ ”
บาร์บาทอสตัดจบเรื่องนั้นอย่างเย็นชา
“กามิกินแสดงหลักฐานของเธอมา”
“ต่อให้เจ้าไม่ขอ ข้าก็กำลังจะแสดงหลักฐานให้ดูอยู่แล้ว ”
กามิกินปลดสร้อยคอออพซิเดี้ยนที่อยู่รอบคอบของเธอ
‘โอ้ เข้าใจแล้ว’ วาเลฟอร์พยักหน้าขณะที่คิดอย่างนั้น
เธอได้ร่ายเวทย์เมโมเรียบันทึกภาพไว้ในสร้อยคอ ดันทาเลี่ยนนี่ช่างเป็นชายที่โง่เขลานัก
เขาปล่อยให้เธอมาอยู่ในห้องส่วนตัวโดยไม่คาดคิดเลยว่า อนาคตใดรอเขาอยู่เบื้องหน้า …….
ตอนนี้แหละ ทั้งโลกจะเห็นแล้วว่า ดันทาเลี่ยนข่มขู่ทำร้ายนางเช่นไร
หากพวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องนั้น ย่อมต้องเห็นว่านี่เป็นการทรมานอันแสนโรคจิตป่าเถื่อน
เขากล้าใช้จอมมารเป็นโสเภณีได้อย่างไรกัน ไม่มีทางที่ใครจะอดทนเรื่องนั้นได้อยู่แล้ว
ต่อให้ฝ่ายที่ราบจะพยายามปกป้องดันทาเลี่ยนเช่นไร แต่หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว การทำเช่นนั้นรังแต่จะทำลายชื่อเสียงตัวเอง
เหล่าอาร์คดยุคจากโลกปีศาจเองก็มาอออยู่ด้วยกันที่นี่แล้ว
ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเผชิญหน้ากระแสอารมณ์ ที่เกิดจากการับรู้ความผิดของดันทาเลี่ยน
แผนการของพวกเขาสมบูรณ์แบบ…….
แสงสีทึบเปล่งออกมาจากสร้อยคอ
กามิกินยิ้มออกมา
“นี่เป็นหลักฐานที่แน่นหนา ”
แล้วก็ฉายภาพออกมา เสียงของวาเลฟอร์ที่ไม่คุ้นเคยกลับปรากฏขึ้น
– แล้วพวกเราต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ?
ทีแรกวาเลฟอร์เดาไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงของใคร แต่เขาอ้าปากค้างทันทีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
– ศัตรูเรามันก็แค่ลำดับ 71 จะมีใครอ่อนแอกว่าหมอนั่นอีกไหม? ?
– สุดท้ายแล้วดันทาเลี่ยนก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นเชิดของฝ่าย
ความสามารถส่วนตัวมันต่ำเตี้ยจนน่าสังเวช
หากฝ่ายนั้นยังคงพยายามแสดงการหยามเหยียดพวกเราต่อไป มีแต่ต้องแสดงให้พวกนั้นได้รู้สำนึก
– วาเลฟอร์ แต่มันไม่ง่ายเลยนะที่จะสังหารเจ้านั่นน่ะ ??
มันเป็นเสียงของตัวเขาเอง ภาพของวาเลฟอร์และสหายศึกกลับฉายบนหน้าจอ ทึบแสง
นี่มันอะไรกัน? นี่พวกเขากำลังดูอะไรกันอยู่ ?
วาเลฟอร์ไม่เข้าใจ เขารู้สึกเย็นเยียบไปถึงไขสันหลัง
เขาหันตัวที่แข็งทื่อไปหากามิกิน
ทั้งใบหน้าและดวงตาของเธอกำลังยิ้ม
– ข้าจะรับหน้าที่นั้นเอง
– วาเลฟอร์…….
– แต่ถึงอย่างนั้น ข้าจะเข้าร่วมก็ต่อเมื่อทุกคนเห็นด้วยเท่านั้น
แผนนี้ต้องการการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์
มีเพียงแค่พวกเราทั้งหมดเข้าร่วม หรือไม่อย่างนั้น พวกเราทั้งหมดก็ไม่เข้าร่วม ทางเลือกมีเพียงสองทางนี้เท่านั้น
มันเป็นการตัดต่อวิดีโอที่ชั่วร้ายนัก
บทพูดของกามิกินถูกตัดออกไป เหลือแต่เพียงส่วนของจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่เข้าร่วมและเห็นด้วยกับเรื่องนั้น
จอมมารไม่สังกัดฝ่ายใดต่างนิ่งทื่อเป็นรูปปั้นจนกระทั่งจบการบันทึก
ทั่วทั้งย่านการค้ากลับเงียบงัน ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา บรรยากาศม่านแห่งความอึดอัดครอบคลุมไปทั่วทั้งสถานที่ผ
กระทั่งมีคนๆหนึ่งพูดขึ้นทำลายบรรยากาศนั้น
“นี่มัน……วางแผนลอบสังหารเลยไม่ใช่หรือ ?”
มันดูเหมือนคนๆนั้นพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดสื่อสารกับใคร
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาพูดสิ่งเดียวกับที่อยู่ในหัวของคนอื่น ในที่แห่งนั้น ก็อาจไม่ถือว่าเป็นการพูดกับตัวเองอีกต่อไป บรรยากาศสั่นไหวด้วยอารมณ์ที่ไม่ปรกติ
“ลอบสังหาร ! นี่มันแผนการการลอบสังหารชัดๆ !”
“พวกมันลอบสังหารท่านเค้าท์พาลาทีน !”
เสียงตะโกน ดังทั่วทั้งย่านการค้า
เหล่าจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดยืนนิ่ง ทุกอย่างปะทุทันทีหลังจากที่เบเลธตะโกนถ้อยคำดังกล่าวออกมา
“ฆ่าไอ้พวกมือสังหาร !”
เบเลธเหวี่ยงขวานของตัวเองใส่จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ใกล้ที่สุดเขาก่อน
จอมมารที่ยังยืนนิ่งด้วยความตะลึงเพราะภาพในเมโมเรียอาติแฟ่คกลับยกแขนขึ้นป้องกันด้วยสัญชาตญาณ แต่ขวานก็จมลงในกระโหลกแล้ว
จอมมารตนนั้นล้มลงพร้อมกับหัวกระโหลกที่เบิกออก
ผู้คนมากมายต่างแหวกหนีพร้อมๆกัน
“กามิกิน……นังกามิกิน , นังคนทรยศ ! อ๊ากก!”
อิพอสชักมีดแทงด้วยความเกรี้ยวโกรธแต่แส้ดาบของสิตรินั้นก็เลื้อยเข้ารัดเหมืนกับงูก่อนที่จะเฉือนแขนขวาของเขาออกเป็นเสี่ยงๆ
อิพอสทำมีดในมือตกด้วยความเจ็บปวด จอมมารฝ่ายภูเขาทั้งห้าตนรุมทึ้งเขาไม่ต่างจากฝูงไฮยีน่า
อิพอสเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความผวาหวาดกลัวขณะที่ล้มลง จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดตนอื่นก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
หอกจำนวนมากพุ่งทะลวงแทงจอมมารที่คุกเข่าและร้องขอชีวิต
เมื่อโดนแทงทะลวงเข้าที่ทรวงอก น่อง แขนขวา และคอ จอมมารคนนั้นก็ตายทันที
“อย่าฆ่าพวกเขา ! พวกเขาต้องถูกสอบปากคำ !”
ไพมอนร้องขึ้นมาด้วยความตระหนก พอทุกคนได้ยินดังนั้นก็คืนสติกลับมา
แต่มันสายไปแล้วล่ะ จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสามตน ตายในชั่วพริบตา เมื่อนับรวมกับวาเลฟอร์แล้วก็มีเหลือกันอยู่แค่สามตน
พวกเขาไม่คิดที่จะต่อต้านอีกต่อไปจึงโดนจับมัดและเหวี่ยงตรงหน้าบาร์บาทอส
วาเลฟอร์พูดขึ้นมา
“จัดฉาก …… ใช่ นี่มันการจัดฉากกันชัดๆ …… บันทึกนั่นเป็นของปลอม ……!”
บาร์บาทอสเย้ยหยัน
“เหอะ ข้ออ้างห่วยๆ คราวหน้าก็หัดคิดข้ออ้างใหม่ๆบ้างนะ คุณมือสังหารเอ๋ย ?”
“ทำไมกัน……?”
ทำไมเธอถึงทรยศพวกเรา ?
กามิกินได้ให้สัตย์สาบานเหมือนพวกเราแล้วนี่ หากเธอทรยศของเขา เธอก็จะขยับไม่ได้และเสียวงเวทย์มนตร์ทั้งหมดไป …….แต่ทำไมตอนนี้เธอยังดูสบายดีไม่เป็นอะไร
หรือเวทย์มนตร์พันธสัญญานั่นเกิดข้อผิดพลาด ?
ไม่สิ ไม่มีทางเป็นไปได้ ตัวเวทย์มนตร์ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ตรวจดูหลายต่อหลายรอบแล้ว …….
ณ ตอนนั้นเอง กามิกินที่ยืนอยู่ข้างๆบาร์บาทอสก็ยิ้มออกมา
“นายถามคำถามผิดนะ ,วาเลฟอร์ ที่นายควรถามไม่ใช่ว่า ‘ทำไม’ แต่ควรถามว่า ‘ทำได้อย่างไร’ ต่างหาก ”
“คนอย่างแกนี่มัน ……?”
“อย่างที่ข้าสัญญากับพวกเจ้าไว้ยังไงล่ะ ข้าเปิดการใช้งานอาติแฟคจริง แต่บางทีอาติแฟคนั่นอาจถูกสับเปลี่ยนไปตอนที่ข้าไม่รู้ก็ได้ ?”
วาเลฟอร์ยังคงดูงุนงงสับสนอยู่ในขณะที่กามิกินมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเวทนา
“นายอาจคิดว่า ตัวเองฉลาดอะไรนักหนา แต่สุดท้ายแล้วนายเองก็ไม่ต่างจากพวกมีความผิดที่เอาแต่หนีอย่างเดียวมาเป็นทศวรรษเพียงเพราะความที่ไม่สนใจทั้งในการสงครามและการเมือง
นั่นทำให้นายไม่รู้จากการตั้งข้อสงสัยใคร แถมนายเองก็ยังไม่รู้อีกว่า ควรจะฆ่าใครยังไงด้วย …….”
“นี่เธอกำลังจะพูดอะไร ?”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังวาเลฟอร์ เขาพยายามหันกลับไป แต่ทำไม่ได้เพราะเบเลธนั่นเหยียบหลังเขาไว้อยู่
ไม่นานนักเสียงนั้นก็ดังขึ้นเหนือหัววาเลฟอร์
“นางกำลังบอกว่า เจ้ามันโง่เสียจนเกินเยียวยาเลยล่ะ ,วาเลฟอร์เอ๋ย ”
“อะไรวะเนี่ย…….”
“ถอนเท้าออกมาเถอะครับ,พี่เบเลธ
อันที่จริงแล้วจะมือสังหารหรือราชา ก็มีศักดิ์ศรีไม่ต่างกัน ดังนั้นหมอนี่มีสิทธิ์ที่จะเห็นข้า ”
ชายคนนั้นหัวเราะคิก
น้ำหนักที่กดลงแผ่นหลังวาเลฟอร์หายไป วาเลฟอร์เชิดหน้าขึ้นมามองดูใบหน้าของดันทาเลี่ยนที่โน้มต่ำลงมาหา
“เป็นไปไม่ได้…….ไม่มีทาง…….”
“โชคไม่ดีเลยนะ แต่นี่ไม่ใช่ความเป็นไปได้หรือไม่ นี่คือความจริง
นี่ไม่ดีใจหน่อยเหรอ ที่จะได้เห็นสหายที่ครั้งหนึ่งคิดว่าจะไม่ได้พบอีกแล้วน่ะ ?
พูดคำต้อนรับอบอุ่นใจหน่อยก็ได้นะ ”
ดันทาเลี่ยนวางมือลงบนไหล่ของวาเลฟอร์ ก่อนที่จะพูดเสียงดังฟังชัดให้ทุกคนได้ยิน
“ข้ารู้ดียิ่งกว่าใคร ว่าพวกนายน่ะดูถูกข้า
แต่ก็เช่นที่พวกนายเห็น ข้านั้นเป็นคนไร้ความสามารถ
ดังนี้แล้วข้าจึงมักมีหุ่นตัวตายตัวแทนอยู่เสมอในกรณีที่ถูกลอบสังหาร
สิ่งที่พวกนายฆ่าไปก็คือ หุ่นเชิดที่น่าสงสารพวกนั้นนั่นแหละ ”
“หุ่นเชิด……?”
ณ ตอนนั้นเองที่วาเลฟอร์นึกขึ้นมาได้เรื่องที่เขาฆ่าใครบางคนที่สวมเสื้อผ้าต้านเวทย์ เขาคิดว่า อีกฝ่ายนั้นมีมานาน้อยเสียจนสัมผัสไม่ได้เพราะการสวมเสื้อชุดต้านเวทย์นั้น
แต่เดิมดันทาเลี่ยนเองก็มิได้มีมานามากมายอะไรนัก ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่เอะใจ
แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยว่า นั่นไม่ใช่จอมมารตั้งแต่แรกแล้ว ?
ดันทาเลี่ยนยืดเหยียดหลังตรงแล้วพูดขึ้น
“จำคุกคนพวกนี้ไว้ พวกนี้ไม่ได้ก่อการนี้ขึ้นได้โดยลำพัง เราต้องสอบปากคำพวกนี้แล้วเปิดเผยว่า มีใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่อีก ”
ผู้สมรู้ร่วมคิด อย่างนั้นรึ?
วาเลฟอร์ไม่เข้าใจเลยว่า เกิดอะไรขึ้น ใครกันที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่หมอนี่พูดถึง ?
พวกเขาก็มีกันแค่ 7 คน ไม่สิ แค่ 6 ที่ให้สัตย์สาบานว่าจะฆ่าดันทาเลี่ยน
วาเลฟอร์โดนลากตัวไปอย่างไร้กำลัง ดันทาเลี่ยนพูดอะไรบางอย่างกับฝูงชน แต่วาเลฟอร์ไม่ได้ยิน
คำว่า ‘สอบสวน’ หมุนวนอยู่ในหัวของเขา เขารู้สึกแย่กันมันมากๆ นี่มันอะไรกัน ? ชายคนนั้นกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ ……?