Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 160 สถานการณ์ของผู้ชายกับสถานการณ์ของผู้หญิง (1)
มันมีอะไรบางอย่างที่ผมสังเกตเห็นมานานมากแล้ว
……ผมเป็นจอมมารก็จริงแต่ยังขาดความสง่าภูมิฐานในฐานะจอมมารอยู่มาก?
นั่นเป็นเรื่องสำคัญ แม้แต่ค่าสแตทพละกำลังและเสน่ห์ของผมก็ยังขาดอยู่
เสน่ห์ที่จะทำให้นักปกครองทั้งหลายหมอบกราบโดยไม่มีเงื่อนไขต่อหน้าผม
นี่หากผมไม่มีเขาอยู่ที่ท้ายทอย คงไม่มีใครคิดหรอกว่าผมเป็นจอมมาร
ผมนั้นมีความสง่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนเป็นไอ้หน้าใหม่เมื่อปีที่แล้ว
ผมนั้นคุ้นชินกับการมองเห็นมนุษย์ตายเป็นจำนวนมากและผมได้เข้าใจระบบการเมืองของโลกใบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่มีเสน่ห์แบบผู้นำ
“มันเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ เจ้าคิดแบบนั้นไหม?”
ผมพูดกับตัวเองดังด้วยน้ำเสียงตึงเคร่ง
“มันจึงเกิดกลุ่มคนที่หลงลืมไปว่าข้าเป็นจอมมาร หรือทำเป็นเพิกเฉยต่อความจริงนั่น
ฮ่าช์ ข้าเคยไม่เข้าใจนะว่าทำไม เหล่าผู้ปกครองถึงต้องสร้างวังหรูหราโดยไม่จำเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว
หากเจ้านั่งอยู่บนบัลลังค์ทองคำในวังที่ทำจากหินอ่อนสลัก เจ้าก็จะรู้สึกได้ถึงความสง่างาม
ทุกสิ่งในโลกล้วนมีความหมายแฝงเร้นอยู่ แม้จะไม่ปรากฏออกมาให้เห็นจากภายนอก เจ้าเห็นด้วยไหม?”
“ใช่……. ใช่เลยขอรับ ฝ่าบาท!”
ชายวัยกลางคนกำลังโค้งอยู่ใต้เท้าผม เขานั้นหมอบราบไปกับพื้น ทั้งฝุ่นและเลือดสีแดงฉานเปื้อนชุดผ้าไหม
“กะ-กระผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!”
“ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจนะ”
ผมฉีกยิ้ม
“น่าเศร้าเหลือเกิน ข้ามิได้คิดวางแผนจะสร้างวังหรูหราไร้ประโยชน์นั่น ข้าได้ใช้จ่ายเงินไปากมายแล้ว
ฮื่อ นี่เป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว ใหญ่มากเสียด้วย ข้าไม่มีความสง่างามภายในอยู่เลย ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากได้รับมันด้วยมือตัวเอง ข้าจะได้รับความสง่างามสมภาคภูมิได้อย่างไรกันนะ?”
“ฝ่าบาท……ปะ-เปี่ยมไปด้วยความสง่างามภาคภูมิอยู่แล้วขอรับ”
“โอ้ ขอบใจมากสำหรับคำเยินยอ”
ผมยกเท้าขวาขึ้นแล้วลูบไปที่หัวของชายคนนั้นอย่างแผ่วเบา ผมเคลื่อนขยับเท้าอย่างช้าๆราวกับมันเป็นมือ ร่างกายของเขานั้นสั่นระริก
“แต่ความจริงก็คือ ข้านั้นไม่มีความน่าเกรงขามเลย หากข้ามีข้าคงไม่ถูกลอบโจมตีขี้ขลาดแบบนั้นถูกไหม?
ข้านั้นโดนลอบโจมตีทั้งๆที่พวกมันก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าล้มเหลวพวกมันจะโดนฆ่า
นั่นก็แสดงว่า ข้ายังดูอ่อนหัดในสายตาพวกมันอยู่”
“ฝ่า……ฝ่าบาท”
เสียงของชายคนนั้นสั่นอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ผมเหยียบหัวของเขา รับรู้ร่างกายที่สั่นผ่านฝ่าเท้า อีกฝ่ายนั้นโดนความกลัวกลืนกินโดยสมบูรณ์แล้ว มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่เลย
ชายคนนั้นร้องออกมาทั้งที่โดนกดอยู่ที่พื้น
“ไว้ชีวิตด้วย…….ดะ-ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
“ข้าจึงตัดสินใจที่จะสร้างสัญลักษณ์ของข้าเอง”
ผมถอนเท้าออกแล้วมองไปยังเดธไน้ท์ที่ยืนรออยู่ข้างๆ
พอผมทำอย่างนั้น เดธไน้ท์ก็อุ้มเอวชายคนนั้นขึ้น
“ฮะ-ฮิกก!”
ชายคนนั้นห้อยตัวในอากาศไม่ต่างจากเด็ก ของเหลวไหลลงมาจากกางเกง มันเป็นกลิ่นที่ฉุนรุนแรงมาก
ผมชูมือซ้ายให้เขาเห็น
“ดูนี่ให้ดีๆสิ เห็นไหมว่า นิ้วข้าหายไปสองนิ้วน่ะ?”
“ใช่! ใช่ครับ! ฮิก กระผมเห็น…….”
“เจ้าก็รู้นี่ ลูกน้องผู้แสนจงรักภักดีของเจ้าเป็นผู้ตัดมัน ออกจะแม่นยำเชียวล่ะ ข้าไม่ทันได้รู้สึกเจ็บเลยล่ะ ฮ่าฮ่า”
ใบหน้าของชายคนนั้นซีดจนน่ากลัว
“ฝะ-ฝ่าบาท……ได้โปรด……เมตตาด้วย……”
ผมหัวเราะ
“เอาล่ะ อดีตส่วนอดีต ปัจจุบันส่วนปัจจุบัน ข้าออกจะเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยความกรุณา
ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าทันทีหรือทำอะไรเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานหรอกเพียงแค่ลูกน้องของเจ้าทำผิดพลาดไปอย่างสองอย่าง”
“ขอบคุณ……ฮิก, ฝ่าบาท……ขอบคุณท่านมาก!”
ชายคนนั้นประกอบมือแล้วโค้งให้ โค้งแล้วโค้งอีก
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นใครสักคนขอโทษขณะที่ประกบมือตัวเองไปด้วย
มันทำให้ผมรู้สึกสลดใจ เอาล่ะ มันอาจเป็นเพราะนิ้วทั้ง 10 ของชายคนนี้หักด้วยแหละ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วแหวนที่นิ้วกลางของเจ้าล่ะ?”
“หา? อะ-อ่า ใช่ มันเป็นแหวนแสดงว่ากระผมเป็นอาร์คดยุค”
“ถอดมันออกมาแล้วส่งให้ข้า”
ชายคนนั้นสะอึก
“ตะ-แต่แหวนวงนี้มันถอดไม่ได้”
“ตัดซะ”
เดธไน้ท์บิดนิ้วของชายคนนั้นทันทีที่ผมสั่ง
“อ๊ากกกกกก!”
เขากรีดร้องออกมา นิ้วกลางมือขวาถูกดึงออกมาไม่ต่างจากหัวไชเท้าที่ถอนจากผืนดิน
เดธไน้ท์ถอดแหวนออกมาแล้วส่งให้ผม ผมผงกหัวอย่างพออกพอใจ
ชายคนนั้นยังวุ่นอยู่กับการร้องและคราง ผมจึงพูดต่อ
“มันไม่จำเป็นสำหรับเจ้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าคิดแบบนั้นไหม?”
“ครับ……ฮึกกก”
ผมลุกขึ้นและลูบแก้มเขา ชายคนนั้นทำมือผมเปื้อนน้ำลายจนเปียก น่าขยะแขยงเกินทน แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจ
“ข้าไม่คิดที่จะหาทางรักษาแผลนี่
ลองคิดดูสิ หากปล่อยแผลนี่ไว้ทั้งที่จะรักษาเมื่อไหร่ก็ได้
บาดแผลอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกนาน ทุกคนที่เจอข้าก็จะเห็นแผลนี้ได้ชัด
พวกเขาก็จะจดจำได้ถึงชะตากรรมของผู้ที่ต่อต้านข้า”
“อะไรนะขอรับ……?”
“ไปสำนึกเสียใจ ในชีวิตหน้าเถอะ เจ้าโง่”
ผมชักมีดออกมาแล้วแทงไปที่คอ ใบมีดคมๆของผมเฉือนเนื้อคอไปชนกับกราม
ร่างกายของเขาสั่นระริกก่อนจะร้องออกมาพร้อมอาการเกร็ง เลือดสีแดงกระจายทั่วใบหน้าผม ผมยังเฝ้ามองวาระสุดท้ายของชายคนนั้นอย่างเงียบๆ
เขาตัวสั่นอย่างแรงในชั่วขณะก่อนที่จะหมดสิ้นกำลัง
ผมดึงมีดออกมาและทำความสะอาดมันด้วยเศษผ้า มันเป็นมีดที่บาร์บาทอสให้เป็นของขวัญ
ผมต้องดูแลมันให้ดีๆ อาวุธจะอยู่ได้นานหากได้เช็ดของที่เลอะอย่างคราบเลือดออกหลังใช้เสร็จ เธอให้ผมไว้เพื่อที่ผมจะได้ฆ่าตัวตายหากมันจำเป็น แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่บาร์บาทอสหยาบคายใส่ผม ผมจึงไม่ใส่ใจคำแนะนำนั้นของเธอ
ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แขวนหัวของมันไว้บนยอดวัง”
เดธไน้ท์พยักหน้า
ในวันนั้นเอง ท่ามกลางอาร์คดยุค 26 คนที่ปกครองโลกปีศาจ อาร์คดยุคแห่งอตาต้าตายลง
วังที่อยู่ของอาร์คดยคุนั้นถูกทำลาย และผู้คนเกือบ 200 คนที่อยู่ในวังแห่งนั้นถูกฆ่าล้างอย่างไร้ปรานี
หัวของอาร์คดยุคและข้ารับใช้แขวนอยู่บนยอดสุดของวัง ผมได้เขียนข้อความพิเศษใกล้ๆกับหัวพวกนั้น
– รู้ฐานะตน
* * *
ผมลากร่างกายอ่อนล้าของตนกลับมาที่ปราสาทจอมมาร
แต่เดิมผมต้องไปพบกับอาร์คดยุคอีกหลายคน แต่ถึงอย่างนั้นความจำเป็นนั้นหมดไปแล้ว ผมได้แสดงตัวอย่างให้เห็นแล้ว ต่อจากนี้อาร์คดยุคที่เหลือก็จะเริ่มมอบของให้กับผมตราบที่พวกเขายังมีสมองอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นไม่จำเป็นต้องปรับแผนแล้วด้วย
พอผมรู้เรื่องที่ไพมอนนั้นเป็นฝ่ายสาธารณรัฐ และยังมีพวกสาธารณรัฐอยู่อีกมากมายทั่วทั้งทวีป ผมก็ได้เข้าร่วมกับพวกเธอ ผมต้องแก้ไขแผนใหม่เพื่อใช้สิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์
ผมใช้เวลาพักผ่อนที่สระน้ำใต้ดิน ถึงอย่างนั้นผมกลับตกใจกับข่าวใหม่ระหว่างที่ยังพักอยู่
“บาร์บาทอสพ่ายแพ้?”
สิตริผงกหัวอยู่ในลูกแก้วเวทย์มนตร์
– ใช่ แม้ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากแต่เธอก็แพ้นั่นแหละ
นี่เธอกำลังพูดถึงอะไรอยู่? ผมถามกลับไปด้วยความสับสน
“ไม่สิ แล้วแม่นั่นทำตัวเหมือนจะเป็นจะตายได้ยังไง ถ้าไม่ได้สูญเสียอะไรมากมายขนาดนั้นล่ะ?”
– เอาล่ะ เรื่องนั้น…….
สิตริอธิบายให้ผมฟังอย่างนี้ พวกเขานั้นบุกไปยังเมืองหลวงของฮับบวร์กเพื่อทำลายจักรวรรดิ แต่เมื่อไปถึงเมืองหลวงนั้นกลับว่างเปล่า พวกนั้นละทิ้งเมืองหลวงแล้วหนีไป
บาร์บาทอสแนะนำให้พวกเขารีบตามทหารจักรวรรดิไปโดยเร็วและกวาดล้างพวกเขาทิ้งให้หมด
ฝ่ายอื่นไม่ให้ความร่วมมือ เพราะหมดกำลังใจจะทำ ดังนั้นบาร์บาทอสจึงไปตามทหารจักรวรรดิไปด้วยตัวเองคนเดียว
ถึงอย่างนั้นฝ่ายจักรวรรดิก็รอรับมือกับกองทัพจอมมารที่ตามมาอยู่ก่อนแล้ว
หน่วยทหารที่ไล่ตามไปก็ถูกลอบโจมตีแถวหน้าผา เธอโดนกองทัพประกบข้าง
สิตริเล่าให้ฟังว่า มีนักดาบยี่สิบคนบุกเข้าใส่ ไม่ใช่แต่เพียงนักดาบจากฮับบวร์กเท่านั้นหากแต่ยังเป็นนักดาบที่ส่งมาจากชาติอื่นๆด้วย
บาร์บาทอสที่ไล่ตามก็สังเกตเห็นว่า เธอไม่สามารถคุมทหารจำนวนมากได้ ที่แย่ไปกว่านั้น ทหารก็ได้อ่อนล้าจากการเดินทางโดยไม่หยุดพักเลย พอมาถึงเมืองหลวงปุ๊บก็สั่งให้เดินทัพต่อในทันที
มันเป็นเรื่องปกติที่จะถูกกองทัพมนุษย์ที่เฝ้ารออยู่อย่างใจเย็นจัดการ
บาร์บาทอสนั้นพ่ายแพ้ เธอเกือบไม่รอดออกมาจากหุบเขา เธอเสียแขนซ้ายไปเพราะนักดาบห้าคุมรุมโจมตีเธอไม่หยุด
จอมมารอย่างบาร์บาทอสนั้นสามารถฟื้นฟูแขนข้างหรือสองข้างได้สบายๆ แต่หากจะมองในมุมมองที่ว่า การที่ทำให้จอมมารต้องเสียแขนทั้งแขนไป ก็ไม่ถือว่าเป็นการกล่าวเกินจริงนักว่า พวกเขาพ่ายแพ้
– เฮ่อ ถึงนางจะเป็นเด็กสาวที่ดูน่าเกลียด แต่พอเห็นเธอกลับมาพร้อมกับแขนแหว่งๆโดยไม่มีลูกน้องตามมาด้วยนี่ แล้วจะให้ข้าพูดอะไรอีกล่ะ? ข้ารู้สึกแย่กับเธอจริงๆ
สิตริถอนใจออกมา
– ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ข้าควรไปกับเธอด้วย แม่นั่นน่ะรบหนักที่สุดในการระดมพลครั้งนี้
ข้าไม่เคยเห็นใครสู้หนักขนาดนั้นมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าข้าจะต้องขอโทษเรื่องนั้นกับเธอ! เฮ่อออ
แล้วข้าควรทำอย่างไรดี? สิตริยังคงบ่นกับตัวเอง ดูเหมือนเธอจะกังวลกับมันจริงๆ
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวผมขณะที่ฟังคำอธิบายของสิตริ
‘……นี่เธอวางแผนอะไรกันอยู่เนี่ย?’
สิตริอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่มีหลายครั้งเลยที่ความคิดภายในของบาร์บาทอสกับการกระทำนั้นไม่สอดคล้องกัน
อย่างเรื่องรสนิยมทางเพศของเธอ ใครๆก็อาจคิดว่า เธอนั้นเป็นพวกซาดิสม์ แต่พอเธอมีเซ็กส์กับผม บ่อยครั้งที่เธอก็กลายเป็นมาโซคิสม์
อาร์คดยุคแต่ละคนต่างตะลึงที่เห็นเมโมเรียที่อัดวิดีโอบาร์บาทอสร้องเสียงแหลมเหมือนหมูตอนซุกหน้าลงไปในหว่างขาผม
เธอนั้นพูดจารุนแรง ทำให้ผู้คนรอบๆคิดว่าเธอนั้นนิสัยแย่
แต่……ผมไม่แน่ใจนัก เธออาจจะอ่อนโยนอย่างไม่คาดคิดก็ได้ ตอนที่เธอพลาดท่าให้กับแผนไพมอนและโดนศัตรูโอบล้อม บาร์บาทอสก็ร้องไห้ออกมาต่อหน้าลูกน้องของตน
พูดง่ายๆ คือ เธอเป็นบุคคลที่มีจิตใจไม่มั่นคงเอาเสียเลย
หากจะดูวิธีการพูดและสีหน้าที่เธอแสดง อาจคิดว่า เธอเป็นคนหัวร้อนง่าย แต่ถึงอย่างนั้น บาร์บาทอสก็เป็นบุคคลที่ดูแลเอาใจใส่ลูกน้องดียิ่งกว่าใคร แล้วคนอย่างนั้นหรือจะตั้งใจกระโจนลงไปในกับดักอีกฝ่าย?
มันไม่สอดคล้องกันเลย ผมจึงเชื่อแน่ว่า มันมีแผนชั่วร้ายซ่อนอยู่
พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ถามคำถามกับสิตริ
“สิตริ กลุ่มไล่ล่าของบาร์บาทอสมีจำนวนเท่าไหร่?”
– หืม?
สิตริขมวดคิ้วและเอียงหัวด้วยความสงสัย
– อืมมม…… ประมาณ 1,500 นาย? หรืออย่างน้อยๆก็พันนายได้
บาร์บาทอสมีทหารราวๆ 5,000 นาย หากจะรวมหมดทั้งฝ่ายที่ราบ เธอก็จะมีทหารราวๆ 15,000 นาย ถึงอย่างนั้น เธอก็เอาไปไล่ล่าศัตรูแค่เพียงพันนาย…….
มันมีสิ่งที่น่าสงสัยในเรื่องนั้น ผมได้กลิ่นแหม่งๆ
“แล้วเดธไน้ท์มีอยู่เท่าไหร่?”
– อ้อ ประมาณหนึ่งร้อยนายน่ะ
อะฮ่า
สิตริถามกลับมา
– ทำไมนายถึงถามอย่างนั้นล่ะ?
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่สงสัย”
ผมว่า ผมพอรู้เจตนาคร่าวๆของบาร์บาทอสแล้ว
ก่อนที่จะพอใจกับการกระทำของเธอ ผมอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นช่างน่าขำ
เธอนี่มันชั่วร้ายจริงๆนะ เธอควรจะเรียนรู้จากสิตริที่รู้สึกเสียใจกับเธอตอนนี้สักอย่างสองอย่างก็ยังดี
‘ยัยนั่น หลอกพวกเขาสินะ หืม?’