Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 95 ราชา และ นายพลของเขา(8)
แล้วลางร้ายที่ผมสังหรณ์ไว้ก็เกิดขึ้นมาจริงๆ
แผนการของพวกเราราบรื่นในตอนแรก เหตุผลก็ง่ายดายมาก เพราะสิ่งที่บาร์บาทอสคาดการณ์ไว้นั้นเกิดขึ้นจริง เพียงแต่มันออกจะมากเกินไปหนา
หมอกหนาจัดคลุมไปทั่วทั้งออสเตอร์ลิทช์ หมอกจับตัวหนาตั้งแต่ตอนเย็นและยังไม่คลายตัวไปแม้กระทั่งวันรุ่งขึ้น
“……อืมมม เราคงไม่รู้ด้วยซ้ำหากศัตรูมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกเรา”
ลอร่าพูดด้วยความเป็นห่วง ซึ่งที่เธอพูดมามันถูกเลยล่ะ
ทัศนวิสัยในการรบของเรานั้นถูกจำกัดในทันที หมอกยังคงจัดแม้กระทั่งตอนกลางวัน
พวกเราไม่อาจมองเห็นได้ไกลเกิน 100 เมตร และหากกลุ่มหมอกหนามากขึ้นเราก็เห็นได้ไม่เกิน 50 ตรงหน้าเราด้วยซ้ำ
ถึงแม้ผมจะใช้จังหวะนั้นมีเซ็กส์กับลอร่าไม่ไกลนักจากพวกเราทุกคน ผมก็สงสัยเหลือเกินว่า พรรคพวกเราจะรู้หรือเปล่า
……เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงว่า ผมจะทำอย่างนั้นจริงๆหรอก ลอร่ากับผมน่ะรู้ดีว่า เวลาไหนควรหรือไม่ควรทำอะไรน่า
ระยะการมองเห็นจำกัดเหลือเพียง 100 เมตร นับว่าแย่ ระยะ 100 เมตรไม่สามารถจับระยะการมาของทหารม้าได้
พวกเขาสามารถชาร์จเข้าถึงตัวในระยะ 100 เมตรได้ในชั่วพริบตา
หากเราจะทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราอาจจะถูกทหารม้ารู้ตำแหน่งและไม่อาจป้องกันตัวได้ทัน แม้พวกเราจะเตรียมการตั้งรับไว้อย่างดีแล้ว
แต่การบุกของทหารม้านั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอเซ็นต์ แต่หากเราโดนทหารม้าบุกโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วล่ะก็……
ผมไม่อยากจินตนาการถึงเลย เป็นธรรมดาที่จอมมารตนอื่นๆก็จะวิตกเหมือนกัน
นายพลเซปาร์นั้นพยายามหาสาเหตุนี้ด้วยตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นสาเหตุของปรากฏการณ์ผิดปกตินี้มันก็ช่างน่าหัวเราะ ผมรู้สึกเอะใจเลยถามกลับไป
“ห้ะ อะไรนะ? นี่ท่านกำลังบอกว่า ใช้เวทย์ล้มเหลวงั้นหรือ?”
“พูดให้ตรงกว่านั้น มันสำเร็จมากเกินไป”
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ผู้บัญชาการบาร์บาทอสเป็นห่วงว่า หมอกจะคลุมออสเตอร์ลิทซ์ไม่หนาพอ จึงได้เตรียมตัวก่อนที่เราจะเดินทัพ
เธอสั่งให้นักเวทย์ของพวกเราร่ายเวทย์ควบคุมสภาพอากาศ
จอมมารแต่ละตนนั้นจะมีนักเวทย์อยู่ราวสองหรือสามคนใต้การบัญชาการ เมื่อจับพวกนั้นมารวมกันในกองทัพภาค 6 แล้วก็จะสร้างหน่วยที่มีนักเวทย์ราว 50 คนได้
นักเวทย์ทั้ง 50 คนนั้นต่างเป็นระดับเหนือกว่าระดับ 3 วงเวทย์ เมื่อพวกเขามาใกล้กับทะเลสาบของออสเตอลิทช์ก่อนพวกเรา พวกเขาก็ได้ใช้เวทย์ควบคุมสภาพอากาศหกวันรวด……
ผลที่ได้คือ เหล่านักเวทย์ทั้งหลายสามารถทำให้พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ
“แม้แต่นายท่านผู้บัญชาการเองก็ยังตกใจ”
“ก็สมควรแหละ แต่นี่มันไม่มากเกินไปหรือไง?”
“พวกนักเวทย์นั่นคลั่งไคล้เวทย์คุมสภาพอากาศด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว”
นายพลเซปาร์ลูบหนวดตัวเอง
“พวกเขาตื่นเต้นมากเพราะได้รับอนุญาตให้ใช้เวทย์ที่นานๆครั้งจะมีโอกาสได้ใช้สักที”
“เฮ่อออ”
เสียงถอนใจตามมา
สิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันในนาม นักวเทย์นั้น ไม่เหมาะกับสนามรบเท่าไหร่นัก
ไม่สำคัญว่าพวกนี้จะได้รับการศึกษามามากแค่ไหน สุดท้ายพวกเขาก็สนใจแต่ตัวเองมากกว่าคนอื่นๆในกลุ่ม
เหตุผลที่พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ไม่ใช่พวกอยากจะให้กลุ่มพันธมิตรได้รับชัยชนะ
แต่เป็นเพราะพวกเขาอยากทดสอบเวทย์ของตัวเองได้แบบอิสระเสรีนั่นเอง
เห็นกันชัดๆเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเอาคนเพี้ยน 50 คนมาไว้ด้วยกัน
จากคำบอกเล่าของเซปาร์ นักเวทย์ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิดพลาดไปแถมยังวิ่งแจ้นไปหาบาร์บาทอสเพื่อให้ชมเชยผลงาน
บาร์บาทอสแทบอยากฆ่าพวกเขาทิ้ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำได้เพราะพวกเขานั้นเป็นกองกำลังสำคัญในการรบที่จะมาถึงเร็วๆนี้แล้ว
ดังนั้นเธอจึงได้แต่กดข่มความโกรธไว้
โถ น่าสงสารเหลือเกิน
ผมพูดด้วยความหวังเล็กๆ
“หรือเราจะเปลี่ยนแผนกัน พี่ชาย?”
“ที่จริงข้าก็หวังเช่นนั้น แต่ ……ท่านผู้บัญชาการของพวกเราเป็นสายสัญชาตญาณ ดังนั้นไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราลองมาพยายามติดต่อพวกเขากันดีกว่า”
“หากมีทัศนวิสัยที่จำกัด การเป็นฝ่ายบุกจะกุมความได้เปรียบเหนืออีกฝ่ายที่กำลังตั้งรับ โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ของกันและกันได้
การเคลื่อนไหวก่อนจะเป็นการชี้นำไปโดยทันที หากพวกเราปล่อยให้ทหารจักรวรรดิลงมือโจมตีพวกเราก่อน
พวกเราก็จะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากไหลไปตามกระกระทำของพวกเขา”
นายพลเซปาร์พยักหน้า
นั่นเป็นหนึ่งในความรู้พื้นฐาน
ในสถานการณ์นอกเหนือการปิดล้อม ฝ่ายโจมตีจะเหนือกว่าฝ่ายตั้งรับ
ในขณะที่ฝ่ายโจมตีนั้นจะโจมตีอย่างไรเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
ฝ่ายตั้งรับกลับต้องถูกบังคับให้เคลื่อนไหวเมื่อถูกโจมตี
ไม่มีทางที่บาร์บาทอสจะไม่รู้เรื่องนี้ ก็ในเมื่อเธอมีประสบการณ์การรบถึง 2,000 ปี
“ข้าถูกปฏิเสธน่ะ”
ถึงอย่างนั้น ความหวังของผมพังลงอยู่ดี
“นายท่านสั่งให้พวกเรายังดำเนินแผนการเดิมต่อ พวกเราจะตั้งรับจากทางฝั่งขวา”
“แต่ ท่านเซปาร์”
จอมมารที่เพิ่งเคยเข้าร่วมเป็นครั้งแรกพูดขึ้น
“มันน่าเป็นห่วงในตอนที่เราไม่สามารถติดต่อกับพันธมิตรของเราได้ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เราต้องทั้งสร้างแนวป้องกัน ดังนั้นเราอยู่ที่นี่ตลอดเวลาเพื่อรับคำสั่งไม่ได้
เราต้องประจำตำแหน่งตัวเอง แล้วสกัดการบุกของศัตรูอย่างเป็นระบบ ดังนั้น มันยากมากที่พวกเราจะร่วมมือกับพันธมิตรภายใต้หมอกหนาขนาดนี้”
ผมเห็นด้วยกับคำพูดของพวกเขาเลยล่ะ
หากผมเป็นนายพลของฝ่ายมนุษย์
ผมก็จะแกล้งทำเป็นโจมตีหลอก ผมใช้การโจมตีทางปีกขวาด้วยทัพหลัก
แล้วจากนั้นก็ใช้ทหารม้าเพื่อทะลวงตำแหน่งแนวป้องกันปีกขวาทันทีในขณะที่พวกเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการรับมือทัพหลักอยู่
ด้วยหมอกที่หนาขนาดนี้ การจะซ่อนทหารม้ามันไม่ยากเลย ต้องขอบคุณเหลือเกินจริงๆ
ทหารม้าจะสามารถทะลวงได้ในชั่วอึดใจและกลับมาเข้าร่วมกับกองทัพหลัก
เพื่อกวาดล้างพวกเราจากทั้งสองด้าน มันเป็นกลยุทธที่ง่ายแต่ได้ผลดีมาก
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหายนะแบบนั้นขึ้น พวกเราต้องสามารถทำงานและสื่อสารกันในกลุ่มพันธมิตรได้ดี เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้ฟากไหนโดนบุก
เพื่อนของเราขยับไปทางไหน และหากแนวป้องกันถูกถล่ม ตรงจุดนั้นอยู่ตรงไหน
พวกเราต้องรับรู้สิ่งพวกนั้นได้อย่างแม่นยำที่สุด
“ที่ท่านเป็นห่วงก็ถือว่า สมเหตุสมผล แต่ถึงอย่างนั้นอย่ากังวลไปเลย ท่านผู้บัญชาการนั้นได้ส่งนักเวทย์มาเพื่อช่วยให้เราสามารถช่วยเรื่องดังกล่าว”
“นักเวทย์หนึ่งหน่วย?”
“เปล่า นักเวทย์หนึ่งคน”
ผมงงทันที
แล้วนักเวทย์คนเดียวจะแก้ปัญหาการสื่อสารได้ยังไงกัน? หรือพวกเขาจะใช้เวทย์ลมแล้วพัดหมอกให้หายไป?
“นักเวทย์คนนั้นจะไม่อยู่แค่ในปีกขวา แต่จะสื่อสารกันอย่างเป็นระบบทั่วทั้งกองทัพ นักเวทย์จะกระจายฟามิล่า*(familiar) ของพวกเขาไปให้จอมมารทุกคน ถ้าท่านต้องการรายงานอะไร ก็แค่ใช้พวกฟามิล่าพวกนั้น”
“ข้าต้องขออภัย ด้วยแต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนั้นเลย”
ลำดับ 48 อามิอิ พูดขึ้นมาอย่างระวัง
เขามีสิทธิพูดอยู่แล้วเพราะความสำเร็จที่ได้จากการล้อมภูเขาดำ แต่เขาก็ยังรักษาท่าทีเพราะยังเป็นหน้าใหม่
แต่ถึงจะไม่ใช่หน้าใหม่ ก็คงยากที่จะพูด กับลำดับ 16 เซปาร์ได้ตามปรกติ
แม้จะเป็นจอมมารที่อยู่ระดับกลางๆของฝ่ายที่ราบบางทีก็ยังเผลอพูดแบบสุภาพกับเขาเลย
“ว่าพวกเราจะส่งรายงานได้อย่างไร?”
“ท่านก็แค่รายงานกับฟามิล่า พอทำอย่างนั้นแล้ว รายงานก็จะส่งไปยังนักเวทย์ที่เชื่อมต่อกับพวกมัน นักเวทย์คนนั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดแล้วรายงานไปยังหน่วยที่เหมาะสม นักเวทย์จะอยู่ในค่ายของข้าและส่งคำสั่งผ่านฟามิล่าของนักเวทย์คนนั้น”
“อ้า มีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย”
อามิอิถึงกับอึ้ง ผมก็ด้วย พูดง่ายๆคือ ฟามิล่านั้นก็จะทำตัวเหมือนเป็นวิทยุสองทางที่โต้ตอบไปกลับ ส่วนนักเวทย์ทำตัวเหมือนเป็นสถานีถ่ายทอดสัญญาณ
ถึงวิธีการนี้จะแย่กว่าวิธีการสื่อสารในโลกเดิมผมถึงสองขั้น แต่มันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
การที่ทำให้กองบัญชาการนั้นเข้าใจสถานการณ์การรบได้นั้นมีแต่ข้อดีเพียงด้านเดียว
เซปาร์ยังคงพูดต่อในขณะที่ผมยังรู้สึกว้าวและนับถือกับกลยุทธอันมีคุณค่าของพวกนักเวทย์
“นอกจากนี้ พวกเราจะปล่อยปีศาจนกขึ้นบนฟ้าเหนือสนามรบอีก 300 ตัว พวกท่านทุกคนจะได้สามารถสังเกตการณ์สนามรบได้อิสระผ่านจากปีศาจนกพวกนั้น นักเวทย์นั้นจะใช้ประโยชน์จากฟามิล่าของพวกเราในการสำรวจพื้นที่นี้”
ผมแทบเข้าใจสิ่งที่นายพลเซปาร์ต้องการจะสื่อในทันที พูดง่ายๆ พวกเรากำลังใช้ความสามารถในการอ่านอารมณ์ของมอนสเตอร์
ในขณะที่ทหารฝ่ายจักรวรรดินั้นต้องพยายามเคลื่อนที่ไปทีละจุดทีละจุด ในขณะที่มอนสเตอร์นกในอากาศนั้นสามารถเห็นพวกเขาและเตือนเราก่อน
การเตือนดังกล่าวนั้นจะส่งไปยังจอมมารในทันที เหมือนกับเป็นระบบแจ้งเตือนดีๆนี่เอง
แม้ปีศาจนกจะไม่สามารถเห็นสนามรบได้ทั้งหมด เพราะความหนาของหมอก แต่มันก็ดีกว่านับร้อยเท่าเมื่อเทียบกับการไม่มีอะไรเลย
ตอนนี้พวกเราลดโอกาสที่จะถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเพราะหมอกได้เยอะมาก
ในทางกลับกันแล้ว พวกเราสร้างสถานการณ์ที่เกิดความได้เปรียบเป็นอย่างมากแก่กองกำลังของพวกเรา พวกมนุษย์นั้นจะสามารถเตรียมการได้ขนาดนี้ในหมอกไหม?
ถ้าหากว่าทำไม่ได้ ออสเตอร์ลิทช์ก็จะเป็นเพียงหลุมศพขนาดใหญ่ของพวกนั้น
เมื่อการประชุมจบลง ลอร่ากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“นายท่านๆ นี่เป็นไอเดียที่ปฏิวัติยุคสมัย!”
ผมเห็นด้วยกับเธอ ไม่นานนัก ฟามิล่าก็ได้แจกจ่ายมาให้กับผมและจอมมารทุกตนในฝั่งปีกขวา
น่าประหลาดใจนัก ที่ฟามิล่ากลายเป็นสไลม์ มอนสเตอร์ตัวน้อยที่ประกอบด้วยเมือกสีน้ำเงินเกาะอยู่ที่คอผม
ความจริงที่ว่า มันมีสิ่งที่เหมือนปากนั้นทำให้มันต่างจากสไลม์ปกติ ผมตัดสินใจใช้การทดสอบสไลม์สื่อสารดูทันที
“นี่คือ ดันทาเลี่ยน สถานการณ์เรียบร้อยดี”
ไม่กี่วินาที เสียงสังเคราะห์ดังออกมาจากปากเล็กๆของสไลม์
– นี่คือ ศูนย์บัญชาการปีกขวา รับทราบแล้ว ทุกหน่วยงานตอนนี้ต่างรายงานว่า สถานการณ์ปกติ ต่อจากนี้รายงานเฉพาะสิ่งสำคัญเท่านั้น
ผมหัวเราะ นี่หมายความว่า ไม่ใช่เพียงผมคนเดียวที่ลองทดสอบความสามารถในการสื่อสารของสไลม์
จอมมารตนอื่นก็คงอ้างว่า พวกเขาอยากทดสอบสไลม์สื่อสารของพวกเขาเหมือนกัน
นี่นายพลเซปาร์ไม่รู้สึกรำคาญกับการที่มาไล่ตอบจอมมารทีละตน จบครบทุกตนบ้างเลยหรือยังไงกันนะ?
ลอร่าที่ฟังการส่งสัญญาณดังกล่าวก็พูดขึ้นมา
“กองทัพจักรวรรดิไม่มีทางทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน”
“หืมม? เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะทำแบบนี้ได้แม้จะใช้งานนักเวทย์อย่างนั้นหรือ?”
“ปัญหาคือ ฟามิล่าค่ะ ฟามิล่านั้นต้องมีสติปัญญามากพอที่จะเข้าใจและให้การรายงานได้
ท่านต้องสร้างฟามิล่าระดับสูงขึ้นมาหรือต้องให้นักเวทย์จดจ่อไปที่ฟามิล่าอย่างมาก หรือสร้างสายสัมพันธ์ที่สมบูรณ์กับมัน
ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกวิธีไหน ก็ไม่สามารถใช้มันในการสื่อสารขนาดใหญ่ได้
สิ่งนี้อาจจะดูเหมือนเป็นไปได้หากมีนักเวทย์อยู่ประจำในแต่ละหน่วยๆ ในทุกๆหน่วยซึ่งโดยมากก็ไม่เป็นเช่นนั้น”
เธอยิ้มออกมา
“ขั้นตอนทั้งหมดที่ว่ามานั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็นเลยสำหรับจอมมาร นับตั้งแต่ที่พวกท่านสามารถให้คำสั่งกับมอนสเตอร์ในหัวได้
สุดท้ายแล้วก็เลยข้ามขั้นตอนและส่งภาพในหัวนั้นไปให้กับนักเวทย์เอง
ตอนนี้ฉันเข้าใจถึงความตั้งใจของท่านผู้บัญชาการแล้วว่าคืออะไร…….
สนามรบที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนานั้นจะเป็นความได้เปรียบอย่างมากสำหรับทัพจอมมาร”
สิ่งที่ลอร่าอธิบายก็คือ ประมาณนี้
สายบัญชาการของทัพหลวงนั้นไม่มีการระบุกำหนดกันให้ดี และยังมีความขัดแย้งกันระหว่างกองทัพหลักกับกองทัพของมาร์คกราฟ
ความอิสระในการออกคำสั่งนั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทันทีในสมรภูมิออสเตอร์ลิทช์ที่ทัศนวิสัยนั้นจำกัด
อยู่ๆกองทัพศัตรูอาจโผล่มาตรงหน้าในระยะ 100 เมตร ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆรอคำสั่งจากผู้บัญชาการได้
แม้มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กจะมอบคำสั่งในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด แต่ผู้บัญชาการท่านอื่นก็สามารถที่จะพูดได้ว่า
‘ขอโทษด้วย แต่ข้าจะกระทำการตามดุลยพินิจของข้า ตามแต่สถานการณ์ในการรบตรงหน้า’
เมื่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่สามารถที่จะออกคำสั่งในการรบได้ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอนุญาตให้พวกเขาทำตามใจ
ตอนนี้พวกเขาได้ข้ออ้างแล้ว ทหารจำนวน 20,000 นาย จากกองทัพหลักที่ยินดีทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดไหม?
ก็เห็นชัดกันอยู่นี่ ว่าพวกเขานั้นจะไม่ทำตามคำสั่งในขณะที่พูดว่า ‘สถานการณ์ที่นี่มันต่างออกไป’
การมีอยู่ของผู้บัญชาการสูงสุดนั้นจะสร้างความคลุมเครือ กองทัพหลวงก็จะวุ่นวายเละเทะ
……ในขณะที่อีกฝ่าย กองทัพภาค 6 นั้นมีระบบการสื่อสารและการสอดแนม ผมตั้งตารอว่ามันจะเกิดความต่างมากมายแค่ไหนในการรบครั้งนี้
หนึ่งวันผ่านไปทั้งฝ่ายทัพหลวงของจักรวรรดิและกองทัพจอมมาร ทัพหลวงได้ตั้งค่ายที่ศูนย์กลางของที่ราบสูงปราทเซน และจอมมารก็ยังคงรับมือกับหมอกและหาทางแก้ไข วันแรกของทั้งสองกองทัพที่เผชิญหน้ากันจบลงอย่างเงียบๆ
ในวันต่อมา
กองทัพหลวงของจักรวรรดิได้เปิดฉากโจมตีก่อน ในตอนตี 5 นี่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ได้คาดคิดไว้ วิธีการโจมตีของพวกเขาค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
พื้นดินที่สั่นสะเทือนปลุกให้ผมตื่นขึ้น ผมวิ่งออกไปจากเต้นท์ตัวเอง มันทั้งมืดและเต็มไปด้วยหมอก ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สไลม์ก็มีไว้เพื่อเวลาอย่างนี้แหละ
ผมถามนายพลเซปาร์ว่า นี่มันมีการโจมตีแบบไหนเข้ามากัน
– รอก่อน ข้ากำลังทำความเข้าใจสถานการณ์
ผมรออยู่อย่างอดทน ลอร่าก็เดินออกมาจากเต้นท์ด้วยในขณะที่ทุกอย่างเกิดขึ้น
เสียงตุบตับก็ดังก้อนไปทั่วพื้นที่ นี่หน่วยไหนถูกโจมตีอยู่กันแน่?
และการโจมตีแบบใดที่เกิดขึ้นจนได้ยินเสียงดังจากที่ไกลๆ?
ชั่วขณะที่เต็มไปด้วยความกังวลไหลเวียนเข้ามา
ไม่นานนัก ปากของสไลม์ก็เปิดออก ผมถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินข้อความของนายพลเซปาร์
– นี่เป็นข้อความส่งถึงทุกหน่วย รถยิงหินเป็นต้นเหตุของเสียงดังนั่น ข้าขอย้ำอีกครั้ง
รถยิงหินเป็นต้นเหตุของเสียงดังนั่น ทัพหลวงได้วางรถยิงหินจำนวนมากและกำลังยิงก้อนหินใส่พวกเรา
———-
*ฟามิล่า (Familar spirit)
ตำนานในยุคกลางว่า เป็นตัวตนเหนือธรรมชาติที่คอยช่วยเหลือแม่มด นักเวทย์รักษา(cunning folk,healing folk)ในการฝึกฝนเวทย์มนตร์ มีรูปร่างรูปแบบที่หลากหลายแต่โดยมากมักจะเป็นรูปลักษณ์ของสัตว์ หากพวกมันรับใช้แม่มดจะถูกมองว่าเป็นพวกชั่วร้าย แต่หากรับใช้นักเวทย์รักษาจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายดี