บทที่ 281 – การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่(9)
หลังได้รับชัยชนะพวกเราก็วุ่นยุ่งกันจริงๆนั่นแหละ
ทหารฝ่ายเราจับนักโทษได้จำนวนมาก เราเองก็เลยต้องมีการต่อรองกับพวกนั้นบ้าง
ในบางโอกาสนั้น ข้อมูลสำคัญยิ่งกว่าชัยชนะเสียอีก
ผลจากการกระทำของพวกเราจะมีผลอย่างแพร่หลายตั้งแต่ตอนที่เราคาดเดาได้แล้วว่า เฮนริเอตต้าจะส่งพวกเขามา
ดังนั้นแล้ว การทรมานนักโทษจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เชียวล่ะ อะไรนะสิทธิมนุษยชนน่ะรึ? สิทธิ์เดียวของเจ้าพวกนั้นคือ สิทธิ์ในการตายยังไงล่ะ
“อ๊ากกกกกกกก!”
หากพวกเราทรมานทหารทั่วๆไปก็ไม่มีทางได้ข้อมูลหรอก ดังนั้นพวกเราจึงมุ่งเน้นไปที่การทรมาน ทหารระดับสูงซึ่งโดยมากก็เป็นชนชั้นสูงนั่นแหละ
“ข้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกเจ้ามากมายนักหรอก”
ผมถือเหล็กเสียบที่ลนไฟจนแดงพลางยิ้ม
“ข้าอยากรู้แค่สถานการณ์ภายในวังหลวงของฟรานเคีย
องค์จักรพรรดินีโดวาเจอร์กำลังทำอะไรอยู่?
และองค์จักรพรรดินั้นอาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง?
เห็นไหม คำถามตอบง่ายทั้งนั้นเลย?”
“อั่กกก……ไอ้……ไอ้ปีศาจนรก”
นักโทษชนชั้นสูงคนนั้นน้ำลายฟูมปาก แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ
น่าประทับใจมาก ความอดทนของเขานั้นเหนือมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ถึงผมโดนทรมานด้วยเหล็กเสียบร้อนๆ ผมแน่ใจเลยว่าตัวเองจะมอบข้อมูลทุกอย่างที่รู้ออกมาโดยไม่ลังเล
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแสดงความนับถือในความอุตสาหะของเจ้า ข้าขอมอบของขวัญแสดงความเคารพให้ หวังว่าเจ้าคงยินดีจะรับมันไว้นะ”
ในคืนนั้นเอง ทัณฑ์ทรมานแบบฟูลคอร์สก็เสิร์ฟให้อย่างหรูหราเลิศเลอ
ผมจัดยาปลุกเซ็กส์ให้กับนักโทษ แล้วก็ให้ออร์คสองตัวเวียนข่มขืน ทุกครั้งที่ปฏิเสธจะตอบคำถาม ผมก็เอาทหารไม่รู้อีโหน่อีเหน่ มาประหารต่อหน้า
หากเขาหมดสติไปด้วยความเจ็บปวดอันเกินจะทานทน ผมก็จะเรียกซัคคิวบัสมาทรมานพวกเขาในฝันต่อ
ผลลัพธ์น่ะหรือก็กระชับง่ายๆได้ใจความ
“……องค์จักรพรรดินีโดวาเจอร์……โดนกักตัวในวัง……เกือบสามปี…….”
“องค์จักพรรดิป่วยหนักเมื่อไม่กี่วันมานี้…….”
“ดะ-ได้โปรดเถอะ ข้าบอกพวกท่านทุกอย่างแล้ว, โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ก็สองชั่วโมงนั่นแหละ นักโทษชนชั้นสูงถึงหกคนจึงจะคายข้อมูลออกมา
ผมทำการยืนยันข้อมูลที่ได้รับมาจากพวกเขา ผมถามทั้งหกคนด้วยคำถามเดียวกันและเทียบคำตอบของพวกเขา
มีความเป็นไปได้ที่หนึ่งในพวกเขาจะโกหก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นจึงต้องมีขั้นตอนตรวจสอบ และผลที่ได้ก็รับรองแล้วว่า พวกเขาทั้งหมดพูดความจริง
แหม ช่างน่าพอใจเสียจริง ด้วยการทำเช่นนั้นทำให้เราได้รับข้อมูลสำคัญมา
แล้วจะต่อต้านกันไปทำไมเล่า ในเมื่อสุดท้ายพวกเจ้าก็จะมอบข้อมูลให้เราอยู่ดีน่ะ?
ไม่ดีกว่าหรือไงหากจะให้ความร่วมมือกันตั้งแต่แรกน่ะ
พวกนายอาจมีช่วงเวลาแสนดี๊ดีมีความสุขไปแล้วก็ได้หากไม่โดนทรมาน และพวกเราเองก็ไม่ต้องเสียเวล่ำเวลามาทำการทรมานพวกนายด้วย
สถานการณ์แบบนั้น มันวิน – วิน กันทั้งสองฝ่ายเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าลองคิดดูให้ดีๆน่ะ
พวกมนุษย์นี่ช่างแปลกเหลือเกิน
“ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน”
คนส่งข่าวคนหนึ่งมาถึงขณะที่ผมอยู่ระหว่างการทรมานพวกเขา
คนๆนั้นเป็นเอลฟ์ เอล์ฟที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่รับกลิ่นได้ยอดเยี่ยม ทำหน้าไม่ค่อยสบายนักขณะที่เข้ามาในห้องทรมาน
ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด,ยาและน้ำกามออร์ค แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี
ผมวางเหล็กเสียบลง
“มีอะไรรึ?”
“ขออภัยด้วย ยามได้พาบุคคลผู้น่าสงสัยมาคนหนึ่ง
เขาบอกว่า จะยอมแพ้และขอพบเด็กสาวที่ทำการดวลในวันนี้
เขาขอร้องว่าต่อให้เป็นนักโทษก็ขอให้ปฏิบัติดีๆต่อเขาด้วย”
ผมขมวดคิ้ว ใครสักคนที่รู้จักเดซี่อย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทางที่จะมีมนุษย์พรรค์นั้นอยู่หรอก เดซี่อยู่ในหมู่บ้านรกร้างในหุบเขามาตลอดชีวิต
แถมสิทธิ์ในการปฏิบัติกับนักโทษดีๆนั้นก็ไร้สาระเสียเหลือเกิน
แต่พอได้ยินคนส่งข่าวเอลฟ์คนนั้นบอกชื่อมา ผมก็อดแสดงความแปลกใจออกมาไม่ได้
“มนุษย์ผู้นั้นแนะนำตัวว่า ตัวเองชื่อ บารอน เบอร์ซี่”
* * *
“ท่านบารอน! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!?”
บารอนเบอร์ซี่คุกเข่าอยู่ในเต๊นท์ในสภาพที่ถูกมือมือมัดเท้าไว้
แม้ท่าทางของเขาจะน่าขายหน้า แต่บนใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความสูงส่ง
เขานั้นเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตอย่างมั่นคงแม้จะผ่านประสบการณ์ที่แสนยากลำบากมาก็ตาม
บารอนเบอร์ซี่ดูจะประหลาดใจมากยามที่เห็นผมเข้ามาในเต๊นท์
“จอน โบล? ท่านใช่จอน โบลจริงๆหรือ?”
“ไม่มีจอน โบล สองคนบนโลกนี้หรอกน่า ถูกแล้วล่ะ ข้าเอง”
ผมตอบรับด้วยเสียงหัวเราะร่วน
ถูกแล้ว ตอนนี้ผมกำลังสวมหน้ากากหนังมนุษย์ในช่วงที่สวมบทบาทเป็นจอน โบลอยู่นั่นเอง
บารอน เบอร์ซี่บ่นออกมา
“ข้าก็คิดอยู่แล้วว่า จะมีโอกาสได้เจอนายที่นี่ แต่แค่ไม่คิดว่า จะอยู่ที่นี่จริงๆ…….”
“ข้าก็ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่า เราจะกลับมาเจอกันในสถานที่แบบนี้ ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
ผมชักมีดออกมาแล้วตัดปมเชือกที่มัดบารอนอย่างระวัง แขนขาของเขาเป็นอิสระในที่สุด
“……ขอบคุณมาก ถึงพวกเราจะรู้จักกันมาก่อนก็เถอะแต่การปล่อยตัวข้าแบบนี้จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ?”
“ข้าเชื่อใจท่านนะ บารอนเบอร์ซี่”
ผมยิ้มออกมา
“บารอนที่ผมพบเมื่อสี่ปีก่อนเป็นผู้ที่ฉลาดและทรงคุณธรรมอย่างมิต้องสงสัย
หากท่านกลายเป็นคนอ่อนแอก็คงก้าวผ่านสี่ปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้หรอก หรือไม่ก็สิ่งที่ข้าไปก็เป็นแค่เรื่องสูญเปล่า
แล้ว? ท่านใช่คนอ่อนแอหรือเปล่าล่ะ ,บารอนเบอร์ซี่?”
“ข้าเอาชนะท่านไม่ได้จริงๆเลยนะ ,ท่านนักบวช”
บารอนเบอร์ซี่แอบยิ้มอย่างชั่วร้าย ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องคุยกันมาก เราโอบไหล่ และกอดทักทายกัน
ผมสัมผัสได้ถึงมือที่หยาบสากและเป็นกันเองบนแผ่นหลังของผม
ขณะนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงซาวด์เอฟเฟ็ค
「ค่าความชอบของบารอน เบอร์ซี่เพิ่มขึ้น 7」
บารอนเบอร์ซี่ปล่อยแขนและมองที่ใบหน้าผม เขายังยิ้มแย้มอยู่ก็จริงแต่ดูเหมือนมีความทุกข์ใจเจืออยู่
“นักบวชจอน โบล ข้ามีคำถามนับสิบนับร้อยคำถาม แล้วท่านมารับใช้จอมมาร……เอ่อ ไม่สิ กองทัพของรูดอล์ฟ ฟอนฮับบวร์กได้อย่างไรกัน?”
“ข้าก็มีคำถามมากมายจะถามเช่นกัน
ผู้คนในดินแดนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีไหม?
ชั่วโมงหรือสองชั่วโมงไม่เพียงพอต่อการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบด้วยซ้ำมั้ง”
พวกเรานั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ผมส่งไวน์ให้เขา
พวกเราคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้สักพัก ก่อนจะเข้าประเด็นหลักใจความสำคัญ
“คงเปล่าประโยชน์ที่จะปกป้องเป็นความลับต่อไป
ท่านบารอน จริงๆแล้วตัวข้านั้นมีความสนิทกับสาธารณรัฐบัทตาเวีย”
“……อ่า ข้าเข้าใจ ข้าก็คิดไว้อยู่แล้ว”
บารอนเบอร์ซี่พยักหน้า
“โอ้? นี่ท่านรู้อยู่แล้วหรือ?”
“ไม่หรอก ข้าน่ะ เอ่อ ข้าได้ยินข่าวลือมาเรื่องคณะเดินทางของท่านหลังท่านแยกตัวไปน่ะ
ข้าไม่คิดว่า คนธรรมดาๆ จะสามารถเดินทางไปยังตอนเหนือของฟรานเคียเพื่อสู้กับพวกบริททานี่โดยมีความข้องเกี่ยวกับบัทตาเวียได้หรอก…….”
บารอนเบอร์ซี่เขย่าแก้วไวน์
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นักบวชจอน โบน ข้าเชื่อว่า ท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ท่านน่ะมีความสามารถมากพอที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาคเหนือของฟรานเคีย
ท่านยังจำคำพูดที่ท่านบอกกับข้า ก่อนจากกันได้ไหม?”
“ข้าจำได้”
ผมยิ้ม
“หากท่านไม่เชื่อในเหล่าทวยเทพแล้ว ท่านย่อมต้องไม่เชื่อใจสถานภาพที่ผู้คนต่างกล่าวอ้างโดยยกเหล่าทวยเทพนั้นมาประเมินระดับของผู้คน”
“ถูกต้องแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่า ท่านได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นไหม แต่ข้าได้ครุ่นคิดเรื่องนั้นในฟรานเคียมาโดยตลอด นับตั้งแต่จากกัน…….”
บิงโก!
ผมแอบร้องเฮ อยู่ในใจ ใช่แล้วล่ะ บารอนเบอร์ซี่เป็นคนแบบนั้น
ว่าง่ายๆเขาเป็นบุคคลที่ผมหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ทิ้งไว้เมื่อสี่ปีที่แล้วในช่วงสงครามกลางเมือง
เมล็ดพันธุ์ที่ชื่อว่า แนวคิดสาธารณรัฐ
โลกที่จะกลายเป็นสถานที่อันมืดมน ยิ่งโปรยหว่านเมล็ดไปมากเท่าไหร่ หมอกแห่งความมืดมิดก็ยิ่งได้รับปฏิสนธิ ก่อกำเนิดมากขึ้นเท่านั้น
บารอนเบอร์ซี่นั้นเป็นเจ้าของที่ดินผู้มีความสามารถ เขาย่อมต้องปกป้องผู้คนของเขาด้วยความภาคภูมิใจไปตลอดชีวิตแน่
แล้วบุคคลเช่นนั้นน่ะจะคิดเช่นไร ขณะที่เฝ้าดูความเป็นไปของจักรพรรดิฟรานเคียน่ะ?
จักรพรรดิที่เอาอำนาจต่างชาติเข้ามาโดยไม่รั้งรอเพียงเพื่อหวังปกป้องอำนาจของตัวเอง เขานั้นทำผิดบาปต่อสวรรค์ด้วยการกักขังมารดาตัวเอง
บุคคลอย่างบารอนน่ะหรือจะไปสาบานตนจะรับใช้คนแบบนั้นน่ะ?
มันดีแล้วหรือที่จะปล่อยให้ชะตาของแผ่นดินและความปลอดภัยของผู้คนตกไปอยู่กับ จักรพรรดิเช่นนั้นน่ะ……?
เมล็ดพันธุ์ที่ผมโปรยหว่านไป ในที่สุดก็ผลิดอกออกผลมาแล้ว
ผมอยากจะตะโกนด้วยความดีใจ หากแต่ต้องยั้งไว้ก่อน
หากอยู่ๆผมทำตัวอยากรู้อยากเห็น มันจะเผยเจตนาของผมมากจนเกินไป
เรามาเปลี่ยนหัวข้อกันสักหน่อยดีกว่า
“ข้าขอถามด้วยความหยาบคายสักหน่อย ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
“จักรพรรดิน่ะกำลังเกณฑ์ผู้คนไปรบ พวกลอร์ดทางตะวันออกแทบทุกคนของฟรานเคียน่ะเรียกทหารมาชุมนุมกัน
ข้าเลื่อนตำแหน่งขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว
ข้าสามารถพาผู้คนลี้ภัยสงคราม ก็ต้องขอบคุณ…….”
บารอนเบอร์ซี่กระดกไวน์ลงคอ
การเลื่อนตำแหน่งอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเขาเลย
ตำแหน่งของเขาสูงขึ้นในขณะที่องค์จักรพรรดิกลับกลายเป็นหุ่นเชิด ส่วนจักรพรรดินีก็โดนกักตัวทั้งหมดนั่นก็เพราะพวกบริททานี่
“นี่เป็นราคาของการที่วางตัวเป็นกลางในสงครามอย่างนั้นหรือ……? ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงดูเศร้านัก”
ในช่วงสงครามก่อนหน้านี้ ชนชั้นสูงส่วนมากในแดนเหนือต่างร่วมกันปฏิวัติ
แม้แต่ในฟากตะวันออกก็ตามที เพียงแต่บารอนเบอร์ซี่ยังรักษาสภาพวางตัวเป็นกลางไว้เสมอ
เขาไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย การกระทำเช่นนั้นทำให้เขามองเห็นทุกอย่างได้เช่นชัด
บารอนเบอร์ซี่ตำหนิตัวเอง
“ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติต่างต้องล้มตายลงเพื่อปกป้องชาติ ข้ากลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยเพื่อปกป้องคนของตัวเอง”
“ในฐานะลอร์ดผู้ปกครองดินแดนก็เป็นธรรมดา”
“ไม่เลย ข้ามันโง่เง่า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ราชินีแห่งบริททานี่จะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
คนในชาติเดียวกันของข้า เห็นอนาคตเลวร้ายที่ข้ามองไม่เห็น…….ข้านั้นทั้งโง่เขลาและเห็นแก่ตัวนัก”
พวกเราชนแก้วกันเบาๆ เสียงเกร้งดังขึ้น
“เธอชื่อ เดซี่หรือ?
ทีแรกข้าประหลาดใจที่เห็นนางเข้ามาในการดวล
ข้าก็เลยคิดว่า ท่านน่าจะอยู่ที่นี่ด้วย ท่านน่ะไม่ใช่คนที่จะทอดทิ้งลูกสาวบุญธรรมตัวเองไว้แล้วหนีไปคนเดียว
ดังนั้นข้าจึงแอบหนีมาจากกองทัพของพวกเราที่แตกพ่ายไปแล้ว”
“…….”
ผมจิบไวน์และเฝ้าสังเกตดวงตาของบารอนเบอร์ซี่
“ท่านครับ ,เลิกแกล้งแสดงดีกว่า”
“……แสดงหรือ?”
“ท่านบอกว่า ข้าไม่มีทางทิ้งลูกบุญทำไว้ ข้าก็ขอย้อนคำพูดนั้นให้กับท่านด้วย
ท่านเข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้ในขณะที่นำพรรคพวกผู้คนของท่านมาด้วย
หากการหนีทัพของท่านเป็นที่รู้กันทั่ว ไม่มีทางหรอกที่คนของท่านน่ะจะปลอดภัยอยู่ได้”
ผู้นำของพวกเขากลับหนีไป ลูกน้องต้องโดนปฏิบัติอย่างเลวร้ายจนไม่อาจคาดเดา
“โดยส่วนตัวแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่า คนอย่างท่านจะทอดทิ้งคนของตัวเองเพียงเพื่อจะมานัดพบกับข้า
ท่านนั้นเป็นลอร์ดต้นแบบที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะชนชั้นสูงที่สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าใครๆทั้งนั้น”
“…….”
“ท่านเองก็คงโน้มน้าวเหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายในกองทัพ
ท่านคงจะบอกว่า ข้าอาจอยู่ที่นี่แล้ว ท่านก็จะมาเจรจาต่อรองกับข้า
และการที่ผู้บัญชาการทั้งหลายอนุญาตนั่นก็เพราะท่านบอกพวกเขาไปเช่นนั้น”
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นทหารของฟรานเคีย มิใช่ของบริททานี่
พวกเขาคงรู้สึกอึดอัดว่าทำไมพวกตนต้องรบทัพจับศึกเพื่อราชินีแห่งบริททานี่ด้วยล่ะ
หากพวกเราเป็นกองทัพจอมมารธรรมดาๆ พวกเขาคงยอมสู้เพื่อราชินีแล้ว อย่างน้อยๆก็ทำไปเพื่อความชอบธรรมที่บอกว่า ‘ปกป้องมนุษยชาติ’
แต่จากการสู้รบเมื่อวาน ฝ่ายเราก็ได้ความชอบธรรมกลับมาในฐานะกองทัพของมนุษยชาติ
เหล่านายพลของฟรานเคียจึงเริ่มคิดหนัก
หากยังต้องสู้รบต่อไป ก็จะกลายเป็นว่า พวกเขานั้นต่อสู้เพื่อราชินีแห่งบริททานี่จริงๆ
นั่นหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ……?
ในสถานการณ์เช่นนี้ บารอนเบอร์ซี่จึงอาสามาเป็นทูตสื่อสาร
จากพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาเป็นปกติ ก็เชื่อได้ว่า เขาคงได้รับความเชื่อใจจากกลุ่มพันธมิตรของเขาเป็นแน่
สหายของเขาเชื่อใจเขา และส่งตัวเขามายังที่แห่งนี้…….
“พูดอีกอย่างก็คือ ท่านน่ะไม่ได้เป็นทหารผู้ยอมจำนน หากแต่เป็นทูตการข่าวพิเศษจากฟรานเคีย? ข้าพูดถูกไหมครับ?”
“……ข้าเอาชนะท่านไม่ได้จริงๆเลย, ท่านนักบวช”
บารอนเบอร์ซี่หัวเราะอย่างอ่อนแรง
เขาวางแก้วไวน์ลงและกุมมือผม
ดวงตาบารอนเบอร์ซี่นั้นเย็นชาก็จริงหากแต่มีเปี่ยมไปด้วยความโกรธ
“ฟรานเคียนั้นตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติเป็นอย่างมาก
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายพวกเราจะจบลงที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โดยไม่สามารถแม้จะกรีดร้องสักครั้ง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ดีใจที่ได้เห็นฟรานเคียจากไป
แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาการจบแบบนั้น มักต้องสังเวยด้วยเลือดของผู้คนมากมาย”
“…….”
“ท่านนักบวชจอน โบล ได้โปรดร่วมมือกับพวกเราเถอะ ได้โปรดช่วยพวกเราขับไล่ราชินีบ้าแห่งบริททานี่ แล้วนำพาฟรานเคียกลับมาสู่ผู้คนอีกครั้งเถอะ”
นั่นแหละ ข้อเสนอที่ผมกำลังเฝ้ารออยู่พอดี
MANGA DISCUSSION