“หืมมม”
บาร์บาทอสเหล่มองผมด้วยสายตา แถมยังทำเสียงขึ้นจมูก
การมองผมในเชิงยั่วยวนอย่างนั้นกำลังจะเป็นปัญหากับผม นังตัวแสบนี่
ผมจะขอบคุณมากถ้าไม่มาทอดสายตายั่วยวนผมในที่สาธารณะอย่างนี้…….
ดูสิ พี่เบเลธกับพี่เซปาร์ กำลังกระสับกระส่ายเพราะเธอแล้วเห็นไหม
เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามายั่วผู้ใหญ่สิ
“เจ้าจอมมารพังพอน ผู้เต็มไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายของพวกเรา ดันทาเลี่ยน
คราวนี้มีแผนอะไรหรือถึงได้ยกมืออย่างมั่นใจอย่างนั้น?”
ผมยิ้มอย่างอึดอัด
“ให้พวกเราเป็นผู้นำเหล่ามนุษย์ไปข้างหน้า”
“นำมนุษย์ไปข้างหน้า? คืออะไรยังไงวะ?”
“กองทัพของมาร์คกราฟนั้นโดยมากประกอบไปด้วยทหารม้าและทหารเดินเท้า ทหารเดินเท้าแล้วโดยมากเป็นชาวบ้านที่อาสามาเพราะกลัวจอมมาร
พวกเราไปโน้มน้าวกับพวกชาวบ้าน และประกาศต่อพวกเขาว่า พวกเราจะไม่ทำร้ายผู้ที่ยอมจำนนแก่เรา
และเราจะให้พวกเขามีชีวิตไปตามปรกติ
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาจะต้องสาบานจงรักภักดีต่อพวกเรา
แล้วชีวิตของพวกเขาจะปลอดภัย
พวกนี้อยากจะเลี่ยงการทำสงครามอยู่แล้ว ดังนั้นนี่จะเป็นการทอนกำลังของมาร์คกราฟเป็นอย่างมาก”
ไม่มีชาวนาชาวไร่คนไหนอยากเข้าร่วมกองทัพเพราะรู้สึกภักดีต่อดินแดนหรอก
เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะมันดีกว่าหากจะรวมกลุ่มกันต่อต้านกองทัพจอมมารแทนที่จะสู้เพียงลำพัง
กองทัพมนุษย์เข้าใจเรื่องผลประโยชน์นี้เป็นอย่างดีเลยก็สามารถที่จะแสดงความแข็งแกร่งและพลังอำนาจได้
……แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพก็จะพังทลายทันทีในขณะที่อีกฝ่ายให้ข้อเสนอที่ดีกว่า
“ไม่มีทางที่พวกมนุษย์พวกนั้นจะเชื่อเราง่ายๆหรอก”
“นั่นคือสาเหตุที่ว่า ทำไมเราต้องผลักดันให้พวกมนุษย์ก้าวไปข้างหน้า หากมีมนุษย์ด้วยกันมาชักชวนแล้ว พวกเขาจะยินดีรับฟัง
บังเอิญพอดี ข้ามีกลุ่มมนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่งที่ยินดีรับงานพวกนั้น เราจะใช้พวกเขานั่นแหละ”
ผมพูดพลางนึกถึง หมู่บ้านใกล้เคียงกับดันเจี้ยนของผม
เริ่มจากพาร์ซิ ที่มาเป็นชาวบ้านประเภทนักการทูตที่จะไปหมู่บ้านศักดินาของเหล่ามาร์คกราฟต่างๆและบอกให้พวกเขายอมแพ้
“ชาวบ้านส่วนมากก็จะลังเลนั่นแหละ อาจจะมีบางหมู่บ้านที่ใช้การเจรจาได้ผล และอีกครึ่งก็ไม่ ตอนนั้นพวกเราค่อยกำจัดหมู่บ้านที่ปฏิเสธการยอมจำนนให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
“แล้วพวกมนุษย์จะยอมร่วมมือง่ายอย่างที่ท่านแนะนำรึ?”
นายพลเซปาร์ถามผม
“พวกเขาจะหวาดกลัวพวกเรา ”
“เรื่องนั้นเกิดขึ้นแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันยังมีสิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวยิ่งกว่า หากพวกเราสัญญาว่า จะป้องกันสิ่งนั้นให้ได้ มนุษย์ก็จะยินดีรับใช้พวกเรา”
“เจ้าสิ่งนั้นคือ อะไร?”
“ความตาย”
“…….”
คำพูดของผมไม่ค่อยจูงใจเท่าไหร่นัก พวกจอมมารทั้งหลายเลยทำเสียงตอบรับอย่างไม่เต็มใจ
ถึงอย่างนั้น ถ้าลองดูก็ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว
และผลลัพธ์ก็ได้อย่างที่ผมคาดไว้ เมื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ยอมจำนนโดนทิ้งให้โดดเดี่ยว
แต่พอเราเผาหมู่บ้านที่ปฏิเสธคำเตือนของเรา หมู่บ้านที่เหลือต่างตะเกียกตะกายมาหาเพื่อยอมจำนนด้วย
หลังจากผ่านไปห้าวัน ทหาร 2,000 นายของมาร์คกราฟ จากจำนวน 35,000 นายก็หนีทัพ มาร์คกราฟประหลาดใจมากและพยายามที่จะกำจัดหมู่บ้านเหล่านั้น
―การหนีทัพเป็นความรับผิดชอบของทั้งหมู่บ้านไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
―ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า มันเป็นการทรยศมนุษยชาติ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาทำพลาด เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาตั้งใจจะโจมตีหมู่บ้าน กองทัพภาค 6 ก็ยกทัพไปเสริมกำลังให้
พวกเรารักษาสัญญากับหมู่บ้านว่าจะปกป้องพวกเขา
ในขณะที่มาร์คกราฟที่มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องผู้คนกลับเลือกที่จะโจมตีหมู่บ้านเพื่อรักษากองกำลังของตนเองแทน
ทหารเดินเท้าเริ่มต้นการประท้วง และหนีจากทัพของมาร์คกราฟเป็นจำนวนมาก ในท้ายที่สุดแล้ว ทหารของมาร์คกราฟลดลงจนเหลือ 17,000 นาย
พวกเขาสูญเสียกองกำลังทหารที่สามารถรบได้อย่างสูสีไป
ยิ่งกว่านั้นมีข่าวลือว่า มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กกระอักเลือดด้วยความโกรธ
โถ น่าสงสารเสียนี่กระไร
ฝ่ายกองทัพจอมมารเองก็ประหลาดใจกับผลลัพธ์ไม่แพ้กัน
กองกำลังฝ่ายพวกเราแทบไม่ได้ทำอะไรจริงจังเป็นงานเป็นการนัก
พวกเราก็แค่ส่งทูตไปถามตามหมู่บ้านให้ยอมแพ้ แล้วเราจะปกป้องพวกเขา ตามการลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการ
พอพวกเราสามารถจัดการกองทหารของศัตรูได้โดยง่าย ออกแรงเพียงนิดเดียว จอมมารคนอื่นก็ยังคงไม่เข้าใจในเหตุผลนัก พวกเขาจึงมองผมเหมือนเป็นนักแสดงนำชั้นเอก
ผมยิ้มให้ขณะที่อธิบายชี้แจงอย่างสุขุม
“พวกท่านทั้งหลายมองข้ามไปสองอย่าง อย่างแรกคือ อคติ”
“อคติรึ?”
เบเลธทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการถาม
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พวกท่านน่ะมองว่ามนุษย์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ลองมาคิดดูให้ดี อะไรทำให้พวกมนุษย์นั้นรวมกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวกันได้?
พวกเขาที่มีตั้งลำดับศักดิ์ชั้นยศ,ระบบศักดินา และผลประโยชน์ที่ขัดแย้ง สาเหตุเดียวที่ทำให้พวกเขารวมตัวกันได้ก็เพราะพวกเรา
แต่ถึงอย่างนั้น หากปรากฏออกมาว่า
พวกเราไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรพวกเขาเลย ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องออกมาสู้รบปรบมือกับพวกเรา”
พวกมนุษย์เองก็มีอคติเช่นนี้
พวกเขาก็หลงคิดว่า จอมมารเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะถูกนำทัพโดยเหล่าจอมมาร
แต่ถึงอย่างนั้น ภายในพวกเราก็มีฝักฝ่ายอย่างฝ่ายที่ราบและฝ่ายขุนเขาที่ยังคิดทำร้ายกันและกัน
แล้วในหมู่มนุษย์จะไม่มีกลุ่มพวกนั้นได้อย่างไร?
จอมมารรับรู้ว่า มนุษย์ทั้งหมดต่างเป็นกลุ่มเดียวกันโดยไม่ทันรู้ตัวจึงไม่เชื่อว่า จะแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นกลุ่มเล็กๆได้…….
อคติที่ว่านั้นเป็นผลมาจากกองกำลังที่ปกป้องภูเขาดำ
ทหารที่ปกป้องภูเขาดำนั้นมีความรับผิดชอบพิเศษที่ปกป้องมนุษยชาติ นับตั้งแต่จอมมารเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเขา
พวกเขาจึงเชื่อว่าไม่มีทางแล้วที่จะยอมจำนนต่อจอมมาร ไม่สิ มีแค่พวกเขาเท่านั้นแหละที่เชื่อว่า ตัวเองเป็นอาสาสมัครผู้ปกป้องป้อมปราการเหล่านั้น
……. กองทัพมนุษย์กองกำลังแรกที่จอมมารเผชิญหน้าตอนบุกก็มักเป็นมนุษย์ที่ปกป้องป้อมปราการมาตลอด นั่นเป็นสิ่งที่สร้างอคตินั่นขึ้นมา
ใน <Dungeon Attack> เองก็มีฉากเหตุการณ์ที่โลกมนุษย์เกิดการแบ่งแยกกัน
แม้แต่ในเนื้อเรื่องหลัก มนุษย์แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ทำให้อคติที่ว่านั้นพังทลายลง
ฝั่งหนึ่งเห็นว่า จะเอาตัวรอดได้ต้องร่วมมือกับจอมมารและอีกฝั่งหนึ่งต้องการกำจัดจอมมารทิ้ง
ผมเองก็แค่ดึงเหตุการณ์นั้นให้เกิดขึ้นเร็วขึ้นหน่อย
“และข้อที่สองที่ทุกคนมองข้ามไปคือ ความกลัว
พวกท่านทั้งหมดต่างไม่ตระหนักถึงว่า มนุษย์กลัวพวกเราแค่ไหนตอนที่ได้ยิน ‘ทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา’
เมื่อนานแสนนานมาแล้ว อายุเฉลี่ยมนุษย์ก็ราว60ปี
การระดมพลทัพพันธมิตรครั้งที่ 7 ก็ราว 200 ปีก่อน สำหรับพวกเขาแล้ว กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราเป็นดั่งฝันร้ายในอดีตที่พูดกันเหมือนเป็นตำนาน
แล้วตอนนี้ฝันร้ายนั้นก็กลับมา พวกเขาก็ปรารถนาที่จะเลี่ยงมันถ้าเป็นไปได้”
จอมมารสามารถดำรงชีวิตไปได้ตลอดกาลนาน หากไม่ถูกทำร้ายรุนแรงมากเกินไป ก็ยังคงอยู่ต่อได้
ดังนั้นสำหรับจอมมารแล้ว ทัพพันธมิตรก็จะเป็นแบบ
‘โอ้ ระดมกองกำลังพันธมิตรกันอีกแล้วหรือ?’
แต่สำหรับพวกมนุษย์ ทัพพันธมิตรจะเป็นแบบ
‘โอ้ว พระเจ้า! พวกจอมมารมันร่วมมือกันมาบุกพวกเราแล้ว!?’
ถึงแม้มอนสเตอร์จำนวนมากใกล้เข้ามามันก็ทำลายอย่างมากก็หมู่บ้านมนุษย์ หากแต่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้น หมายถึง มอนสเตอร์นับหมื่นตัวบุกโจมตี จะมีอะไรฝังรากแก่มนุษย์ได้มากไปกว่าความกลัวอีกล่ะ
คุณจะสามารถรับรู้ความจริงเรื่องนี้ได้จากทหารที่ป้องกันภูเขาดำ
พวกเขาไม่รู้หรอกว่าพวกเราเป็นแนวหน้าแห่งทัพพันธมิตร
จนกระทั่งไปรู้เอาก็ตอนเข้าสู่วาระสุดท้ายแล้ว…….
“ตราบใดที่พวกเรายังไม่รุกรานโดยไม่มีเหตุผล เหล่าจอมมารเองก็ไม่แตกต่างอะไรกับลอร์ดของพวกมนุษย์”
เซปาร์พยักหน้ารับ
“เป็นที่แน่นอนว่า อคติและการรับรู้นั่นเอง…….ที่ทำให้กองกำลังทหารหลวงนั้นน่าสงสาร
ตอนนี้พวกเขาเสียทหารไปกว่าครึ่งก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับเราในการรบ กลยุทธและแผนการทั้งหลาย
การที่มีนักวางแผนอย่างท่านนั้นเป็นดั่งคำอวยพรของพวกเรา และเป็นดังคำสาปแช่งสำหรับพวกมนุษย์”
กองทัพพันธมิตรภาค 6 บุกไปโดยไร้ความลังเล
ตอนนี้กองทัพทหารหลวงมีน้อยกว่าทัพพันธมิตรภาค 6 ในแง่ของกำลังพล
ทัพหลวงมีทหาร 17,000 นาย ขณะที่ทัพจอมมารมี 18,000 นาย มอนสเตอร์นั้นโดยธรรมชาติแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ ดังนั้นพวกเขาแพ้แน่หากคิดจะป้องกันพวกเราตอนนี้
มาร์คกราฟทั้งหลายจึงต้องถอนหนีทันที พวกเขาทิ้งเมืองใกล้กับปราสาทของตน แล้วหนีไปยังดินแดนใกล้ๆเพื่อร่วมกับกองกำลังหลักของศูนย์กลางจักรวรรดิ
ตามปกติแล้ว พวกทหารหนีทัพจะมากขึ้นจากการล่าถอย แต่จากข้อมูลที่ได้มาจากทหารหนีทัพเหล่านั้น มีเพียง 8,000 คนเท่านั้นที่ติดตามมาร์คกราฟไป นี่นับเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่
“ฟัค นี่มันห่าอะไรกันวะเนี่ย”
บาร์บาทอสสาปแช่งชัยชนะที่เธอได้รับ
ตอนนี้พวกเรามาอยู่กันที่ปราสาทที่เคยเป็นของมาร์คกราฟโรเซนเบิร์กในห้องรับรองที่ทำจากหินอ่อนราคาแพง
บาร์บาทอสนั้นนั่งบัลลังค์ของมาร์คกราฟ และมีสีหน้าที่หงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“นี่มันห่าอะไรกันวะเนี่ย!? ทำไมมาร์คกราฟนั้นถึงหนีไปง่ายๆอย่างนั้น!?”
ไม่มีใครกล้าตอบการขู่คำรามของบาร์บาทอส
อันที่จริงจอมมารตนอื่นก็รู้สึกเหมือนบาร์บาทอสนั่นแหละ พวกเขาก็อยากถามในสิ่งเดียวกันนี้
ผมยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“นี่เป็นชัยชนะที่ไม่เสียเลือดแม้สักหยด ความจริงท่านก็น่าจะดีใจมากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
ผมยืนใกล้ๆบาร์บาทอส ลำดับของผมถูกมองข้ามไป ผมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เป็นผู้นำชัยชนะมาให้ กับกองทัพภาค 6 อันเนื่องจากความสำเร็จในการพิชิตดินแดนภาคเหนือของจักรวรรดิฮับบวร์กมาได้โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว
“ไม่โว้ย แล้วไอ้ที่เราเหนื่อยยากลำบากกันมานานนับ 2,000 ปีล่ะ……?
พวกเราเคยมาไกลถึงขนาดนี้เพียง 3 ครั้งเท่านั้นแถมยังเป็นหลังจากที่ต่อสู้กับอย่างสิ้นหวังแล้วด้วย”
“พวกเขาถึงพูดสินะว่า หากหัวไม่ดีก็ต้องใช้ร่างกายหนัก”
บาร์บาทอสนั้นแทบจะวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ตอนนี้เหมือนเธอกำลังอยู่ในสภาพที่จิตใจแตกสลาย
ความจริงแล้วไม่ใช่บาร์บาทอสแต่จอมมารส่วนมากต่างรู้สึกเช่นนั้น
“แล้วยังไงวะ? ที่แกกำลังจะบอกว่า ไอ้งานโง่ๆงกๆที่เราทำกันมา 2,000 ปีนี่ มันเป็นงานจับกังที่สูญเปล่าสินะ ……?”
“ใช้คำว่า งานจับกังก็แรงเกินไปนะ นายท่าน ผู้เป็นเอิร์ลของพวกเรา”
“……เอิร์ล อะไรวะ?”
ผมดึงม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ผู้คนในดินแดนแห่งนี้ได้ยกท่านขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองดินแดน มีสิทธิชอบธรรมเหนือดินแดนแห่งนี้ ความรับผิดชอบทั้งหมดที่จะต้องดูแลผู้คนใต้อาณัติก็เป็นไปตามตำแหน่งเอิร์ล และผู้คนก็ต้องการต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ท่านร่างขึ้นมา”
“เอ๋ หาาาา……?”
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ท่านเป็นจอมมารตนแรกที่ได้ควบคุมดูแลทั้งเผ่าปีศาจและมนุษย์
จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเป็นผู้แรกที่ทำได้สำเร็จ
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะได้รับตำแหน่งทั้ง จอมมารลำดับที่ 8 และมาร์คกราฟแห่งแบรนเดนเบิร์ก(Brandenburg)”
ผมโค้งให้อย่างสุดตัว
“เดี๋ยวก่อนดิ! ฟัค นี่เอ็งพ่นอะไรออกมาวะ! ทำไมข้าต้องต้องไปดูแลพวกมนุษย์มันด้วยล่ะ!?”
“ท่านจะไม่ตอบรับการยอมจำนนของพวกเขาหรือ?”
ผมพูดกับบาร์บาทอสเป็นนัย
“ก็เป็นปรกติอยู่แล้วที่ ผู้ที่ออกคำสั่ง คุมผู้คนได้ ก็ต้องเป็นชนชั้นสูง”
“เฮ้ย ดันทาเลี่ยน ไอ้ลูกกะหรี่ แกสารภาพมานะ แกวางแผนนี้ไว้แต่แรกแล้วใช่ไหม?”
“ก็ท่านเองก็พูดมิใช่หรือว่า ต้องการจะจัดการกับโรเซนเบิร์กโดยไม่ตกอยู่ในแผนของไพมอนด้วย? ข้าก็แค่ทำตามความต้องการของท่านเท่านั้น”
เธอเงียบทันที ผมพูดถูกอยู่แล้ว
“ถึงอย่างไรท่านก็จะได้ปกครองพวกมนุษย์ชั่วคราวจนกว่าเราจะพิชิตทั้งทวีปได้
มันไม่สายเกินไปถ้าเราจะมาจัดการกับพวกเขาทีหลัง หลังจากที่เปลี่ยนทั้งทวีปนี้เป็นโลกของปีศาจได้แล้ว
เรามาใช้ประโยชน์จากมนุษย์ก่อนจะถึงเวลานั้นกันดีกว่า”
“เฮ่อออ นี่มันแปลกชะมัด มันมีอะไรบางอย่างที่เหมือนไม่ถูกต้องนัก แต่ ฟัค
ข้าชนะก็จริง แต่ทำไมข้าไม่รู้สึกพอใจเลยวะ?”
บาร์บาทอสบ่น เธอไม่ได้ต้องการทำอะไรที่ไร้จุดหมายหรือน่าเบื่อแบบนั้น
ดังนั้นเธอจึงผลักทุกอย่างที่เกี่ยวกับการบริหารระบบศักดินามาให้ผม
นโยบายแรกที่ผมสั่งการ คือ การใช้กองกำลังเข้าปราบปรามมอนสเตอร์ป่าที่อยู่ในภูเขา นับตั้งแต่เราไม่ได้เนื้อจากการสู้รบกับมนุษย์เราก็ต้องใช้เนื้อมอนสเตอร์มาทดแทน
ภาพที่เห็นมอนสเตอร์ปราบมอนสเตอร์นั้นทำให้เป็นที่ตื่นตาต่อผู้คนในดินแดนมาก
พวกเขาจึงยกย่องสรรเสริญถึงความกล้าหาญและความเมตตาที่ที่ให้ พวกเราได้รับเสบียงแถมยังได้ภาพลักษณ์ดีๆจากผู้คน ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว
พวกเราพักกองกำลังมอนสเตอร์ 18,000 ตัวไว้ในเมืองใกล้ปราสาท มนุษย์ที่เกิดที่เมืองนี้ต่างเป็นผู้ติดตามของมาร์คกราฟ ดังนั้นยอดเยี่ยมที่จะใช้ที่นี่เป็นที่รักษาการณ์
“ท่านช่างร้ายกาจนัก นายท่าน”
ลอร่าพูดกับผม ตอนที่ผมนั่งโต๊ะและอ่านเอกสาร
“ท้ายที่สุดแล้ว ตั้งแต่เริ่มจนจบ นายท่านก็เป็นผู้ควบคุมสงครามและท่านก็ยังจะทำเช่นนั้นต่อไปด้วย”
“เจ้าเยินยอข้าเกินไป”
ผมฉีกยิ้ม ผมพูดตามความจริง ผมก็แค่ทำตามในสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน <Dungeon Attack>
โลกอาจจะเรียกว่า นี่เป็นการโกงก็ได้
แต่ก็แล้วยังไงล่ะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
MANGA DISCUSSION