* * *
มันเป็นเวลาตี 2 ตอนที่เคิร์ซได้รับรายงานจากการบุกโจมตีตอนกลางคืน
“รักษาการณ์ผู้บัญชาการครับ เราได้รับข่าวด่วน”
“ใช่เลยล่ะ ดูจากที่นายวิ่งมา มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่”
ผิดกับปกติที่เขาอยู่กับหัวหน้า เคิร์ซนั้นพูดจาเป็นกันเอง นั่นคือ เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ ในช่วงเวลาปกติ
แม้เขาจะแสดงท่าทางจริงจัง พูดจาที่ดูฉลาดๆแต่เมื่ออยู่กับคนในหน่วยตัวเองแล้วเขาก็วางตัวเหมือนลุงคนนึง
นั่นเป็นบุคลิกลักษณะของทหารที่ป้องกันป้อมปราการ เขาไม่อาจวางตัวเหมือนอีกฝ่ายเป็นทหารทั่วไปด้วยทั้งที่อยู่ด้วยกันมานานนับสิบปี
นายสิบคนนั้นรู้สึกหงุดหงิด แน่นอนว่า เครื่องแต่งกายของเขานั้นยังไม่เรียบร้อยเพราะเขานั้นต้องออกมาทันทีที่ได้รับข้อความ
แต่เคิร์ซนั้นไม่เรียบร้อยยิ่งกว่า เขานั่งโดยเอาเท้าวางพาดโต๊ะขณะที่เคี้ยวเนื้อแห้งเสียงดัง ราวกับเป็นการทดลองว่า มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถทำตัวเหมือนนักเลงโตได้มากแค่ไหน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รับเอกสารทางการทหารมาแล้วมองด้วยคิ้วที่ยับยู่ แสงเทียนที่จุดขึ้นในช่วงหัวค่ำ นายสิบรู้สึกสับสนว่า เกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าแสนขยันคนนั้น ตอนที่กำลังยื่นรายงานให้
“ศัตรูบุกโจมตีแล้ว สัญญาณไฟจุดขึ้นที่ป้อมปราการน้ำเงิน”
“การบุกโจมตีกลางคืน!?”
เคิร์ซลุกขึ้นแล้วจัดท่าทางให้เรียบร้อยทันที เขากางชุดเครื่องแบบทหารแล้วสวมชุดเกราะเหล็กทับ เคิร์ซคิดหาเหตุผลถึงการเหตุผลการลอบโจมตีตอนกลางคืนขณะที่สวมชุด
“ตื่นได้แล้วเจ้าหนู เจ้าเพื่อนเราจากป้อมปราการทองด้วย”
“รับทราบ”
“บอกพวกเขาว่า ไม่ต้องไปเจอกันที่ค่าย เดินทางให้ไว้เลย!”
พวกทหารทั้งหลายต่างขยับกันอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีที่จะเข้าแถวเตรียมรับคำสั่งให้ออกเดินทางในยามค่ำคืน
ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นทหารชั้นเลิศ แต่เป็นเพราะเคิร์ซได้บอกกับพวก นายสิบทั้งหลายไว้ก่อนแล้วว่า มีความเป็นไปได้สูงมากว่าศัตรูจะบุกโจมตีตอนกลางคืน
แม้แต่คนที่ช้าที่สุดก็ยังเตรียมการณ์เสร็จและมาถึงโดยไม่มี ทหารชนชั้นสูงคนไหนพร้อมเลย
“รักษาการณ์ผู้บัญชาการ ชไลเออมาเคอร์! เร่งรีบตอนกลางดึกอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“จู่โจมกลางคืนน่ะ ท่าน จอมมารตั้งใจจะพิชิตป้อมปราการน้ำเงินก่อนที่พวกเราจะไปถึง”
“อะ-อะไรนะ? แย่แล้ว!”
ดวงตาของชนชั้นสูงเบิกกว้าง มันยังคงมีขี้ตาเกรอะรอบดวงตา ปกติแล้ว เคิร์ซเองก็จะไม่บอกเรื่องนั้นอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นตอนนี้ที่ไม่มีเวลาแล้วด้วย เคิร์ซพูดให้ชัดเจนกับหัวหน้าของเขาและให้ทหารรอบตัวได้ฟัง
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ศัตรูรู้แผนของเราแล้วที่เราจะออกจากป้อมปราการแล้วโจมตีพวกมันโดยตรง พวกมันอยู่ในกรอบความคิดว่า พวกมันต้องบุกป้อมปราการน้ำเงินก่อนที่จะถูกเราจัดการ พวกมันช่างไม่รู้จักอดทนเสียจริง!”
ด้วยคบเพลิงที่อยู่รอบๆ น้ำเสียงของเคิร์ซดังไปในช่องว่างอากาศ คำพูดของเขานั้นฟังดูสมเหตุสมผลและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น
มันเต็มไปด้วยข้อเท็จจริงที่ใช้เพื่อโน้มน้าวคนอื่น เหล่าทหารต่างลุกโชนด้วยสิ่งที่สลักไว้ในใจว่า พวกเราสู้ไปเพื่ออะไร และพวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้
“นี่ไม่อาจเปลี่ยนแผนของเราได้ ตอนนี้หน่วยของศัตรูสองหน่วยกำลังกดดันป้อมปราการน้ำเงิน หนึ่งในสองหน่วยนั้นอยู่ตรงหน้าเรา ในความมืดนั่น พวกมันเปิดหลังให้เราอยู่ ดังนั้นพวกเราก็แค่ไปหวดหลังพวกมันซะ!”
เคิร์ซรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในกองกำลังของทหารจักรวรรดิ
‘การเมืองนั้นสร้างความวุ่นวายเสมอ แต่พวกเราต้องปกป้องจักรวรรดิจากภัยรุกรานภายนอก ถ้าเรายังรักษามันไว้ได้ วันหนึ่งการจัดการภายในของประเทศจะเปลี่ยนแปลงไป การสู้อย่างเต็มกำลังของเราจะนำจักรวรรดิ ไม่สิ นำมนุษยชาติทั้งผอง ไปสู่อนาคตที่สดใส!’
เขาตะโกนออกมา
“ในคืนนี้ พวกเราจะมุ่งหน้าไปโดยไม่มีสัมภาระ ไม่มีเสบียงใดจากศูนย์บัญชาการ
จุดสำคัญการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ที่การลอบจู่โจม พวกเราจะบดขยี้ศัตรูของพวกเราให้ตายโดยที่ป้อมปราการน้ำเงินนั้นยังตั้งรับการโจมตีลวงของพวกมัน
พวกเราจะไม่เอาเสบียงไปด้วยเพื่อให้เดินทางได้เร็วที่สุด
พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากกำจัดมอนสเตอร์ให้หมด แล้วค่อยไปเบิกเสบียงจากป้อมปราการน้ำเงิน!”
แม้แต่ชนชั้นสูงก็ยังรับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของเคิร์ซ
“…… ชไลเออมาเคอร์ ”
“มันไม่มีโอกาสที่สองแล้วในการรบครั้งนี้!
หากสำเร็จ พวกเราก็จะกำจัดพวกมันได้หมด
หากล้มเหลว กระดูกพวกเราก็ฝังอยู่ที่นี่
นักธนูจะยิงทะลวงเข้าไปในตาศัตรูและข้าจะไม่ให้อภัยนักมือหอกที่ละทิ้งจากแนวรบ
พวกเราจะต้องคว้าชัยชนะมา!
นายท่าน! โปรดสั่งให้พวกเราออกเดินทัพในทันที!”
ชนชั้นสูงผงกหน้า ความตระหนกที่เขาถูกปลุกขึ้นมากลางดึกถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่ทรงเกียรติ มันเป็นเรื่องดีที่ได้รู้ว่า คนๆนั้นยังไม่ลืมบทบาทของตนเอง
เคิร์ซยิ้ม เจ้าหนุ่มตรงหน้าเขาอาจเป็นคนทึ่ม แต่เป็นคนทึ่มที่ดี
ชนชั้นสูงตะโกนออกมา
“บุกไป! ชัยชนะแด่จักรพรรดิฮับบวร์ก!”
เหล่าทหารต่างตะโกนตาม
“ชัยชนะแด่จักรพรรดิฮับบวร์ก!”
“แด่จักรพรรดิฮับบวร์ก!⎯⎯!”
เกียรติภูมิแห่งองค์จักรพรรดิ เกียรติภูมิแห่งฮับบวร์ก!
ทหารทุกคนต่างตะโกนพร้อมๆกัน ไม่มีใครเป็นผู้นำ ทุกคนเริ่มร้องเพลงสดุดีของเหล่าทหารป้อมปราการโดยพร้อมเพรียง
เหมือนอย่างที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนใน 10ปีที่ผ่านมา ทหารทั้งหลายต่างจัดรูปขบวนและเดินทางได้รวดเร็ว
ความมืดไม่อาจทำให้การเดินทัพของพวกเขาช้าลงได้เลยแม้แต่น้อย นี่คือ ภูเขาดำ สถานที่ที่พวกเขาเป็นเจ้าของดินแดนแห่งนี้
พวกเขารู้จักมันดีราวกับสวนหลังบ้าน⎯⎯หากพวกเราแพ้ เราก็จะถูกฝังอยู่ที่นี่!
“รักษาการณ์ ผู้บัญชาการ ชไลเออมาเคอร์, จะเกิดอะไรขึ้นหากตอนที่เราไปถึงแล้วป้อมปราการน้ำเงินถูกยึดไปก่อน……?”
เคิร์ซมองไปรอบๆทันที เขานั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้า นายสิบต่างกำลังยุ่งกับการเดินทางและจัดเรียงคนในแถว เคิร์ซแอบด่าในใจ
โง่เอ๊ย! ผู้บัญชาการที่ไหนจะมาพูดหมดอาลัยตายอยากอย่างนั้นเล่า?
แม้จะเป็นเพียงตัวแทนของผู้บัญชาการ แต่ก็ยังเป็นผู้บัญชาการอยู่ดี คุณไม่ควรให้ทหารคนใดก็ตามรู้ว่า หัวหน้าใหญ่ของพวกเขาไม่แน่ใจในชัยชนะ
แม้จะเห็นลางแพ้อยู่ตรงหน้า แต่คุณก็ต้องหนักแน่น โชคดีที่ชนชั้นสูงนั่นพูดเสียงเบา……. ใช่ว่า หมอนี่จะไม่รู้จักระวังเสียทีเดียว เคิร์ซคิด
“สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นแน่ พวกเราได้ส่งทหารสอดแนมไปเป็นระยะเพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวของข้าศึก
เมื่อราวหนึ่งชั่วโมงที่แล้วได้รับการยืนยันว่า พวกมอนสเตอร์เริ่มตั้งค่ายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นี่ผ่านมาเพียงหนึ่งชั่วโมงที่เริ่มกลยุทธของพวกมัน
เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น พวกมันไม่น่าจะไปถึงป้อมปราการน้ำเงินกันเลยด้วยซ้ำ”
เคิร์ซครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน หากผู้ให้คำแนะนำฝั่งจอมมารไม่ใช่คนโง่ พวกเขาก็น่าจะเข้าใจนี่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเราแบ่งแยกเพื่อพิชิตใส่พวกมัน พวกมันจะตัดสินใจยังไงกันล่ะ?
พวกมันมีทางเลือกแค่สองทาง หากไม่หนีไปในทันทีก็ต้องบุกโจมตีป้อมปราการน้ำเงินก่อนที่จะถูกพวกเราเคลื่อนทัพบดขยี้
……พวกมันเลือกที่จะไม่หนี ถึงจะแพ้พ่ายไปแล้วในเชิงกลยุทธแต่ก็ยังคงตัดสินใจจะสู้ต่อจนถึงที่สุด
เคิร์ซยิ้มเยาะ สงครามน่ะเป็นสิ่งที่จะต้องสู้หลังจากชนะไปแล้วต่างหาก แต่อีกฝ่ายก็อยากจะพลิกสถานการณ์
พูดกันตรงๆพวกมันน่ะดื้อรั้น นี่พวกมันมั่นใจเพียงเพราะมีออเกอร์5ตัวเนี่ยนะ? หากเป็นเช่นนั้นจริง คนแนะนำมันก็ไอ้งั่งดีๆนี่เอง
แน่นอนว่า เขาก็รู้ด้วยเช่นกันว่า ผลของสงครามนั้นคาดเดาไม่ได้ กลยุทธทั้งหลายที่ทำให้แพ้หรือชนะนั้นสามารถพลิกไปพลิกมาได้เสมอ
มันก็เหมือนการพนันนั่นแหละ แต่มันไม่ใช่การพนันธรรมดาๆ
มันเป็นการพนันที่โหดร้ายและเห็นแก่ตัวที่ใช้ชีวิตของทหารเป็นชิพเดิมพัน
ทัพจอมมารก็อยู่แค่ในระดับนั้นเท่านั่นแหละ พวกมันใช้งานมอนสเตอร์ที่เป็นลูกน้องเหมือนเครื่องมือใช้ครั้งเดียว มันก็ดีหากชนะ แต่ถ้าแพ้ก็ไม่เสียอะไร
พวกมันก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์แบบนั้นนั่นแหละ เคิร์ซแน่ใจว่า ทหารจักรวรรดิฮับบวร์กไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับสิ่งจำพวกนั้นหรอก มันไม่ใช่การสงสัยเรื่องกำลังทหาร เพียงแต่ระดับของกองทหารมันผิดกัน
“เชื่อในพวกพ้องของเรา นายท่าน ทหารแห่งป้องปราการน้ำเงินเป็นทหารระดับสูงเช่นเดียวกับพวกเรา พวกเขาน่าจะทนการโจมตีของศัตรูได้อย่างน้อยก็หกชั่วโมง”
“หกชั่วโมง หกชั่วโมงเลยหรือ?”
ชนชั้นสูงบ่นกับตัวเอง เหมือนเขาพยายามโน้มน้าวตัวเองอยู่ เคิร์ซนั้นออกจะพอใจกับสิ่งนี้ ถึงจะเป็นการรบขนาดใหญ่ครั้งแรกของหมอนี่
ไม่แปลกหรอกหากจะประหม่า บทบาทของเขาก็คือ การแสดงความสูงศักดิ์ด้วยการบัญชาการทหารชั้นเลิศถึง 2,500 นาย แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีใครคาดหวังว่าจะมีกลยุทธดีๆออกมาจากเจ้าหนุ่มนี่หรอก
“เจอมอนสเตอร์ ข้างหน้าพวกเรา!”
หน่วยสอดแนมกลับมาพร้อมกับรายงาน ดูเหมือนไม่ถึง 2 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่พวกเราเดินกันมา
“มอนสเตอร์กำลังบุกโจมตีป้อมปราการน้ำเงิน!”
เคิร์ซกำหมัดแน่น ป้อมปราการยังทนไหว!
อย่างที่คิดจริงๆ ไม่มีอะไรที่เป็นไปดังคาด นี่แหละมาตรฐานของสมรภูมิรบ สิ่งที่เขากังวลใจก่อนหน้าก็ได้รับการชำระจนสิ้น
“ยืนยันด้วยตาแล้วใช่ไหม?”
“มันมืดมากครับ ดังนั้นไม่อาจยืนยันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงเหล็กชัดเจน”
ดีมาก เคิร์ซพยักหน้าก่อนจะให้คำสั่ง หัวหน้าชนชั้นสูงของเขาได้มอบอำนาจในการบัญชาการทหารแล้ว
ในตอนนี้ ผู้นำทหารหลวงถึง 2,500 นาย คือ เคิร์ซ คนเดียวเท่านั้น ชายผู้เคยเป็นทหารธรรมดา หัวหน้าของป้อมปราการแต่ละแห่งเริ่มพูดคุยกัน
“เราจะไม่ซุ่มโจมตีพวกมันรึ?”
“มอนสเตอร์มันมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดีกว่าพวกเรา ดังนั้นมันน่าจะรู้ก่อนแล้วล่ะว่า พวกเรามา”
“เราควรทำให้พวกจอมมารที่นำทัพตกใจ ถ้าเราให้เวลาพวกมันคิด …….”
“ข้าได้ส่งสัญญาณไฟบอกป้อมปราการไปแล้วว่า พวกเรามาถึงแล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาชนชั้นสูงจากป้อมปราการแดงหรือทองต่างตกอยู่ในความเงียบ
รักษาการณ์ผู้บัญชาการที่เคยตั้งรับอยู่ในภูเขาดำ เสียเลือดเสียเหงื่อไปกว่าสิบปีเป็นเพียงคนเดียวที่กำลังพูดอยู่
เคิร์ซผู้มีคุณสมบัติในการเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้พูดขึ้น
“มีมอนสเตอร์เกือบ 500 ตัวอยู่ข้างหน้าเรา ในขณะที่พวกเรากำลังกดดันด้วยการขนาบข้าง จะมีหน่วยหนึ่งที่พุ่งตัดกระบวนทัพของศัตรู พวกเราจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งสองฝั่งนั้นจะบีบกดดัน และกำจัดจากด้านข้าง”
“ความแข็งแกร่งของหน่วยศูนย์กลางคือ หัวใจสำคัญของปฏิบัติการนี้ มีใครจะอาสารับตำแหน่งนี้?”
“ผมเองครับ ในฐานะพลตรี ผมจะนำทัพม้าไปทะลวงจากศูนย์กลาง อย่างที่ท่านบอกครับ ความอุตสาหะของเหล่าทหารนั้นสำคัญกว่าการบัญชาการที่ละเอียด
พวกเราจะไปเข้าร่วมกับทหารที่ป้อมปราการน้ำเงินให้เร็วที่สุดแล้วกำจัดศัตรูตรงหน้าพวกเรา”
ปฏิบัติการณ์ทั้งหมดนั้นมีดังนี้ ป้อมปราการน้ำเงินจะเป็นเหมือนทั่งให้พวกเรา พวกเราก็ทำตัวเป็นเหมือนค้อนเพื่อทุบศัตรู พวกมันทำอะไรไม่ได้นอกจากโดนจำกัด
“บุกเข้าไป!”
นายทหารผู้สั่งการได้หันหัวม้าแล้วพุ่งไปด้านหน้า
มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บัญชาการนั้นจะต้องอยู่แนวหน้าในช่วงกลางคืน
ไม่ใช่เพราะเรื่องความยากง่ายในการสั่งการ แต่หากผู้บัญชาการอยู่หน้าทุกคน กำลังใจของทหารจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ไม่นานนักเหล่าทหารหาญก็ตะโกนก้องขณะที่พุ่งไปข้างหน้า การทำแบบนั้นลดโอกาสการถูกซุ่มโจมตีและเพิ่มพลังในการรบด้วย
“นายท่าน ข้าจะเป็นผู้สั่งการเอง! โปรดหนีไปแนวหลังด้วย!”
“ข้าก็เป็นทหารแห่งจักรวรรดิเหมือนกัน! ข้าไม่อาจทิ้งทุกอย่างให้ผู้ช่วยของข้าได้หรอก! ถึงจะเห็นอย่างนี้ ข้าก็เป็นนักรบระดับ 4! ข้าปกป้องตัวเองได้!”
ชนชั้นสูงคนนั้นตะโกนพร้อมกระตุ้นม้าให้ไปข้างหน้า เคิร์ซหัวเราะออกมาดังๆ หัวหน้าของเขาอาจจะเป็นเจ้าโง่พอใช้ แถมยังเป็นเจ้าโง่ที่กล้าหาญด้วย!
ไม่เลวเลย
แม้จะเป็นชนชั้นสูงที่มายังป้อมปราการเพราะเครือข่ายทางการเมือง แต่ความจริงที่ว่า ไม่ใชคนขี้ขลาดก็เพียงพอแล้วสำหรับการให้ผ่าน
พวกเขาอุดช่องว่างระหว่างพวกเขากับมอนสเตอร์ในทันที พวกเขาได้ยืนยันตำแหน่งของมอนสเตอร์แม้จะเป็นในยามค่ำคืน มอนสเตอร์นั้นต้องรู้แน่แล้วว่า พวกเขากำลังเข้ามา พวกออร์คจึงได้ตั้งแถวและยกโล่ขึ้น
ในตอนนั้นเอง ที่ความน่ากลัวของสนามรบเติมเต็มเคิร์ซ ดวงตาของเขาลุกโชน
โง่อะไรเช่นนี้! นี่พวกมันคิดว่า มันจะสามารถขวางกองกำลังทหารจักรวรรดิที่พุ่งเข้ามาได้อย่างนั้นหรือไง!?
ม้าของเขานั้นรับรู้ได้ถึงความโกรธของผู้ควบขี่จึงตะบึงเข้าไปอย่างทรงกำลัง เคิร์ซกระชับหอกแน่นแล้วตะโกนออกมา
“เฉือนมันให้เป็นชิ้น!”
ทหารทั้งหลายต่างคำรามเหมือนฝูงหมาป่า ทหารม้า 200นายปะทะเข้ากับโล่ของออร์ค
ไม่สำคัญว่า พวกพลโล่จะถูกมาดีแค่ไหน ไม่มีทางที่จะสามารถบล็อคการพุ่งชาร์จเข้ามาของม้าได้
เคิร์ซได้ถล่มออร์คถือโล่ด้วยม้าของเขา เขารู้สึกว่า การระเบิดอารมณ์นี้ได้ชำระล้างเขาใหม่
มันเป็นสงครามที่รุนแรง เขายังคงปล่อยเสียงร้องเหมือนสัตว์ป่าออกมา
เคิร์ซนั้นห่อหุ้มหอกของตนด้วยออร่า แล้วพุ่งชาร์จไปยังแถวที่สองของออร์คถือโล่ที่พยายามจะหยุดทหารม้า
เหล็กหอกนั้นห่อตัวเข้ากับออร่าแล้วทะลุโล่ขาดครึ่ง และยังทะลวงเข้าไปในอกของออร์ค
ม้าของเขาเหยียบย่ำศพมอนสเตอร์ที่ล้มลง เพียงชั่วพริบตาแถวพลโล่ก็แตกกระจายออก
กองทหารม้าทั้งกองต่างกรูเข้าไปในช่องว่างที่เกิดขึ้นราวกับสึนามิ
เคิร์ซนั้นรับรู้ได้ว่า เขานั้นได้เจาะทะลวงกระบวนทัพของข้าศึกด้วยตัวเอง
“วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ไม่มีผู้บัญชาการเคิร์ซ มีแต่นักรบระดับ3แห่งจักรวรรดิ ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงหอกเหล็ก แขนขาของออร์คก็ลอยไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
มันไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปวุ่นวายกับก็อบลิน ม้าของเขานั้นใช้เกือกบดขยี้ให้แล้ว
ออเกอร์ล่ะ ออเกอร์อยู่ที่ไหนกัน!?
เคิร์ซ มองหาศัตรูของเขาด้วยสัญชาตญาณ อาจเป็นเพราะทัศนวิสัยที่จำกัดในตอนกลางคืนก็ได้ ทำให้เขาจึงมองไม่เห็นออเกอร์เลย
หากเป็นเช่นนั้นแล้วการตีกระหนาบข้างที่มีไว้เพื่อจัดการออเกอร์ก็อาจไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ในแง่ของกำลังพล เขาครองความได้เปรียบอยู่อย่างท่วมท้น
สองกลุ่มที่มีกำลังพลหน่วยละ1,100 นาย ได้พุ่งเข้าหากลุ่มมอนสเตอร์โดยแบ่งแยกออกเป็นสองฟาก
เคิร์ซรู้แล้วว่า พวกเขาชนะแน่ กองทัพจอมมารที่พยายามจะพิชิตป้อมปราการอย่างรวดเร็ว แต่ก็ล้มเหลว
หน่วยทัพที่มี 500 นายจบลงตรงที่ตายอย่างไม่อาจช่วยได้ นั่นก็หมายถึงว่า มีเหลือรอดกลับไปเพียง 500 ตัว อีกฟากฝั่งของป้อมปราการที่กำลังโอบล้อมอยู่
แถมยังเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เพราะในหมู่พวกนั้นไม่มีมอนสเตอร์ระดับสูงอย่างออเกอร์เลย
มันจบแล้ว! ไม่มีทางเลือกที่พวกมันจะสามารถรับมือกับ ทหารจักรวรรดิ 2,500 นายได้
ในขณะที่เคิร์ซกำลังไปกับทหารม้าผู้ติดตามเพื่อกวาดล้างมอนสเตอร์ให้สิ้นซาก
ชนชั้นสูงก็โผล่มาแล้วตะโกน ดาบของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเลือด นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เคิร์ซมองหัวหน้าของตนในแง่ดี
มันไม่มีอะไรในโลกที่จะกระตุ้นความเป็นมิตรสหายได้มากเท่ากับการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่
“ฮุฮุ ท่านก็น่าประทับใจเหมือนกันนี่ ท่านผู้บัญชาการ!”
“ท่านผู้ช่วย! มันอาจจะแปลกๆไปสักหน่อยไหม! เจ้าพวกมอนสเตอร์นี่มันอยู่ระหว่างการยึดป้อมปราการจริงเหรอ!?”
นี่เขากำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ ? เคิร์ซขมวดคิ้ว ความรู้สึกแรงกล้าพลันหายไป เขาเชือกออร์คตัวหนึ่งก่อนจะตะโกนขึ้นมา
“มันไม่มีบันไดพาดที่ป้อมปราการเลย!? มันออกจะแปลกเกินไปแล้ว!”
“ไม่มีสักตัวที่เข้าไปใกล้ป้อมปราการเลยด้วยซ้ำ!”
“พวกมันคงหันหลังกลับทันทีที่เห็นพวกเรามาจากด้านหลังแน่ๆ! แม่งเอ้ย!”
เคิร์ซนั้นเหงื่อแตกขึ้นมาไม่ทันรู้ตัว มันช่างน่าประทับใจมากที่เขาไม่ตะโกนด่าชนชั้นสูงคนนั้นว่าไอ้โง่
มันผิดไปจากทุกที ความหวาดกลัวในสนามรบกลับแล่นแผ่นร่างเขา ความสามารถในการพูดสุภาพกับหัวหน้านั้นหายไปนานแล้ว
“แต่ดูตรงนั้นสิ! ไม่มีพวกฝ่ายเราอยู่บนป้อมปราการเลย! ถ้าพวกเขารู้ว่าเรามาถึง อย่างน้อยก็ควรส่งเสียงตะโกนเชียร์ลงมาบ้างสิ!”
“พวกฝ่ายเรา?”
เคิร์ซมองไปที่สันแนวกำแพง เขามองเห็นไม่ชัดนัก แต่ก็ไม่มีสัญญาณชีวิตใดอยู่ใกล้ๆกับคบเพลิงเลย ไม่สิ มันอาจจะมีเพียงแสงไฟเล็กน้อยที่จุดขึ้น หากพวกเขาได้เป็นฝ่ายปิดล้อมในยามค่ำคืน ก็สมควรที่จะต้องมีคบไฟให้มากที่สุดสิ…….
รอยยับย่นบนหน้าผากของเคิร์ซนั้นปรากฏขึ้น มันไม่สมเหตุสมผลเลย
มันเป็นอย่างที่หัวหน้ามือใหม่ของเขาพูดจริงๆ พวกเขาน่าจะตะโกนเสียงดังทันทีที่เห็นพวกเรามาเพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจ
……แต่ทำไมกันล่ะ? ทำไมไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลย?
มีแต่เสียงมอนสเตอร์ร้องล้อมรอบพวกเรา
เคิร์ซเริ่มตื่นตระหนก มันไม่ใช่เสียงร้องของมอนสเตอร์นับร้อย
หากแต่เป็นมอนสเตอร์นับพัน! อย่างน้อยก็เกือบพันตัว!
แถมทั้งพันตัวนั่นก็คำรามออกมาพร้อมๆกันด้วย
“ผู้ช่วย!”
ชนชั้นสูงมองเคิร์ซด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ความเยียบเย็นไหลลงสู่ไขสันหลังของเคิร์ซ
เขาไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งเดียวที่แน่ใจ สัญชาตญาณของเคิร์ซนั้นกำลังกรีดร้องเตือนเขาว่า สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นนรกบนดินในเร็วๆนี้!
“นายท่าน! นี่มันกับดัก! พวกเราโดนล่อเข้ามาในกับดักนี่! เราต้องหนีไปทันที!”
ชั่วขณะนั้นเอง ประตูป้อมปราการได้เปิดออกอย่างเงียบๆ
เคิร์ซหันหัวกลับไปมอง และเห็นกลุ่มทหารจำนวนมากหลั่งไหลออกมา แต่พวกนั้นไม่ใช่มนุษย์ พวกมันเป็นมอนสเตอร์
MANGA DISCUSSION