บทที่ 351 – ชาติที่เป็นกลาง(4)
ดันทาเลี่ยนดิ้นรนกระเสือกกระสนที่จะหนีไป
เงาของเขานั่นสั่นไหว ราวกับเดธไน้ท์พยายามที่จะออกมา แต่พวกมันก็ออกมาไม่ได้
นี่อาจเป็นเพราะพลังของจอมมารเพียงตนเดียวไม่อาจสู้กับจอมมารหกตนก็เป็นได้ ?
“อึกก……อ๊ากกก !”
ดันทาเลี่ยนชักมีดสั้นออกมา เขาวาดมันใส่วาเลฟอร์ที่กำลังคว้าแขนขวาของเขาอยู่
นั่นเป็นเป็นสิ่งที่เหนือคาดว่า เขาจะสู้สุดกำลัง จึงทำให้วาเลฟอร์เผลอปล่อยแขนดันทาเลี่ยนด้วยอาการตกใจ
ดังนั้นแล้ววาเลฟอร์จึงตะโกนลั่น
“จับมันไว้! ที่เราทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าหากปล่อยให้มันหนีไปจากที่นี่!”
จอมมารทั้งหลายเร่งตามดันทาเลี่ยนไป
แม้จะร่ายเวทย์ต่างๆไปมากมาย แต่เสื้อผ้าบนร่างดันทาเลี่ยนนั้นคงมีการเสริมพลังต้านเวทย์ที่แข็งแกร่งมากเพราะเวทย์ทั้งหลายที่ยิงไปกระจายตัวออกไม่เหลือ
“มันร่ายต้านเวทย์ไว้ !”
“ถ้างั้นก็แทงมันให้ตาย !”
ดันทาเลี่ยนโดนไล่ต้อนให้จนมุม แม้ห้องจะกว้างมาก
เมื่อเห็นว่า ตัวเองไม่มีทางให้หนีเขาจึงเลือกที่จะกระโดดออกไปทางระเบียง
ซึ่งชั้นนั้นเป็นชั้นสาม
ด้านล่างไม่มีพุ่มไม้ใดรองรับไว้ แต่เขาก็ทิ้งตัวลงมาอย่างไม่ลังเล
“ยังจะขัดขืนอีก……!”
“อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้ !”
จอมมารทั้งหลายต่างเดาะลิ้นขณะที่กระโดดตามลงไปจากระเบียง
— ช่วงเวลากลางวันแสกๆ
ภาพที่มีคนวิ่งไล่ตามกันในเขตวังหลวง
เสียงที่ดังดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง
ข้ารับใช้และคนทำความสะอาดต่างกำลังเดินพล่านในวัง
ทุกคนต่างหันมาดูว่าเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอะไรกันขึ้น
จอมมารทั้งหลายต่างวิ่งไล่ดันทาเลี่ยนไปตามย่านการค้าที่มีถนนปูด้วยหินอ่อนหรูหรา
อาการบาดเจ็บที่ขาเป็นหลักฐานที่แสดงออกได้ชัดเจนว่า เขาลงผิดท่า
สุดท้ายแล้วเขาก็โดนจับได้ หลังจากหนีไปได้ไม่กี่ก้าว
ทีแรกนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวมันดูไม่ใช่เรื่องจริงด้วยซ้ำ
แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ สาดส่องระยิบระยับกับสีหินอ่อนของย่านการค้า
ดันทาเลี่ยนโดนคว้าท้ายทอยไว้ ขณะอยู่ที่ใจกลางย่านการค้า
ดันทาเลี่ยนพยายามสะบัดให้หลุดจากมือที่คว้าเขาไว้ แต่ ณ ตอนนั้นเองจอมมารตนที่สองก็มาถึงพร้อมกับควงมีด
คมมีดสร้างรอยแผลที่คอของดันทาเลี่ยน
เลือดสีแดงสดกระจายไปในอากาศท่ามกลางแดดจ้า
ณ ตอนนั้นเองที่ดึงสติทำให้คนที่เฝ้าดูอยู่รู้แล้วว่า เกิดอะไร
“กรี๊ดดดดดดดด !”
“โอ้ องค์เทพี !”
บุคคลที่เห็นเหตุการณ์ต่างช็อค
สาวใช้ทุกคนรวมถึงพ่อบ้านที่กำลังทำงานกันอยู่ในวังเป็นนักรบที่ผ่านการฝึกมาแล้วให้เตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงก็จริง แต่ทว่าหากเป็นเหตุการณ์ที่จอมมารกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะฆ่าจอมมารคนหนึ่งล่ะ ?
—มันออกจะเป็นสถานการณ์ที่หนักเกินไปสำหรับพวกเขา
การล่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ประหารทรราชย์ !”
“คนทรยศแห่งเผ่าปีศาจ ไอ้สุนัขรับใช้พวกมนุษย์ !”
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดพุ่งเข้าไปรุมขย้ำไม่ต่างจากฝูงหมาป่า
ดันทาเลี่ยนกรีดร้องออกมาด้วยการพยายามต่อต้าน แต่เขามีกำลังไม่พอฃ
จอมมารหกตนห้อมล้อมดันทาเลี่ยน และรุมล้อมกันทำร้าย
มีดเล่มหนึ่งเสียบหลังดันทาเลี่ยน
ดันทาเลี่ยนพยายามดิ้นรนหันหนี แต่จอมมารอีกตนก็มาขวางไว้แล้วแทงมีดใส่
คมมีดนั้นทะลวงลึกเข้าไปในสะโพกของดันทาเลี่ยน
“อ๊ากก……อึกก……!”
ดันทาเลี่ยนล้มลงอย่างช้าๆ
เขาพยายามสุดกำลังที่จะกำมีดในมือซ้ายไว้แน่ แต่วาเลฟอร์ก็แย่งไปมันด้วยความชำนาญ
จากนั้นเขาก็เหยียบไปที่หลังมือของดันทาเลี่ยน
ดันทาเลี่ยน ณ ตอนนี้นอนหมอบอยู่บนพื้น
จอมมารทั้งหกตนต่างเสือกแทงมีดนับครั้งไม่ถ้วนราวกับเป็นฝูงหมารุมขย้ำ
พื้นที่รอบข้างนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง ยกเว้นก็แต่ตัวดันทาเลี่ยน
มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเงามืด
เงาที่เกิดจากเหล่าจอมมารหลายตนรุมล้อมเขาไว้
ย่านการค้าที่เป็นสีขาวหินอ่อนกลับถูกย้อมไปด้วยเลือด
เลือดที่หลั่งไหลออกมาจากทั้งของจอมมาร ลากยาวไปจนถึงมุมหนึ่งของวัง
“ฮ่าาา……ฮื่ออ…….”
“…….”
เหล่ามือสังหารหายใจหอบหนักขณะที่มองดูศพนั่น
จอมมารนั้นอาจมีพลังการฟื้นฟูร่างกายที่สูง แต่หากเป็นแผลที่ถึงแก่ชีวิตก็ช่วยอะไรไม่ได้
ผู้ร่วมก่อการต่างมองหน้ากันและกันแล้วพยักหน้าให้ พวกเขาทำสำเร็จแล้ว
แม้โอกาสจะมีน้อยนัก แต่พวกเขาก็สามารถกำจัดเค้าท์พาลาทีนดันทาเลี่ยนแล้วได้
เป็นเหตุการณ์ที่เหมือนฝันไป เหล่ามือสังหารเข้าใกล้ความฝันนั้นยิ่งกว่าใครๆ
มันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วสำหรับกลุ่มบุคคลที่สิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้จนสำเร็จ
จอมมารทั้งหกตนต่างพยายามตั้งสติกลับมา หลังจากเลือดที่สูบฉีด
“ต่อจากนี้เป็นจุดสำคัญแล้ว ”
วาเลฟอร์เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้
“ไปหากามิกิน แล้วพาเธอมาที่นี่
พวกเราต้องเปลี่ยนย่านการค้าแห่งนี้ให้เป็นศาลตัดสิน และแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ทำไมดันทาเลี่ยนจึงสมควรตาย ”
“ข้าไปเอง ”
อดีตจอมมารลำดับ 22 อิพอส อาสาไปเอง
ชายคนนั้นมีผมสีขาวบริสุทธิ์แม้รูปลักษณ์จะเป็นเด็กหนุ่ม เขาคนนี้เองที่เป็นบุคคลแรกที่แทงดันทาเลี่ยนเข้าที่คอ
เขาเป็นคนที่เข้าร่วมตั้งแต่แรกๆตอนที่อกาเรสก่อสงครามภายใน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เสียดินแดนของตัวเองไปเพราะการตายของอกาเรส
จอมมารส่วนมากที่มีส่วนในการร่วมมือกันฆ่า ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้
วาเลฟอร์พยักหน้า
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ”
หลังจากส่งอิพอสไปแล้ว วาเลฟอร์ก็สะบัดคมดาบไปที่คอของศพ
ดาบที่เคลือบเวทย์มนตร์นั้นตัดหัวออกจากร่าง
วาเลฟอร์คว้าหัวดันทาเลี่ยนขึ้นมา ชูขึ้น
“อะ-โอ้ พระเจ้า …….”
“นี่พวกเขาทำอะไรลงไป ……?!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่ว
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึง ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ๆ
เป็นเช่นนั้นสักพักจนกระทั่ง องค์รักษ์จากในวังมาถึงที่เกิดเหตุ
องค์รักษ์ทั้งหลายต่างนิ่งอึ้ง พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
กลุ่มบุคคลที่ตัวเองปล่อยให้เข้าไปกลับเป็นผู้ฆ่าเจ้านายตัวจริงแห่งวังหลวง
หัวหน้าองค์รักษ์รู้เลยว่า วันนี้เป็นวันที่เขาจบสิ้นทุกอย่างแล้ว
วาเลฟอร์ใช้เวทย์ขยายเสียงตัวเอง ตะโกนดังไปทั่วท่ามกลางความหวาดผวาและตกใจ
“ประชาชนที่รักของข้า !
ข้าอยากให้พวกเจ้าสงบใจแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าพูด
ชายผู้นี้ อาชญากรผู้เป็นที่รู้จักกันในนาม ดันทาเลี่ยน ได้ตายแล้ว ในวันนี้ !”
วาเลฟอร์หันกลับไปหาผู้คนช้าๆ พร้อมกับกวาดสายตามองอาคารสิ่งก่อสร้างรอบวังหลวง
“ครั้งหนึ่งข้าเคยเป็นที่รู้จักกันในนาม จอมมารลำดับที่ 6 แต่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้เผ่าพันธุ์ปีศาจเช่นพวกเจ้าทุกคน
โอ้ ประชาชนผู้ฉลาดเอ๋ย หากเจ้าเคารพในตัวตนและเกียรติแห่งข้า จงอย่าได้ลังเลสงสัยคำพูดของข้า !”
วาเลฟอร์เปล่งเสียงออกมาด้วยพลังอำนาจที่จอมมารสามารถใช้ได้
ถึง ลำดับ 6 จะไม่มีความหมายเพราะได้รับมันมาจากระบบอำนาจ
แม้เขาเองจะไม่สนใจในเรื่องความเป็นไปของโลกการเมืองแต่เขาเองก็มีอำนาจมากพอที่จะควบคุมบัญชากองทัพได้เหมือนอย่างบาร์บาทอสและไพมอน ที่อยู่ลำดับ 8 และ 9 เช่นกัน
“ข้าแน่ใจว่า อาจมีใครบางคนในที่นี้ชื่นชอบดันทาเลี่ยน แต่ข้าอยากจะถามอะไรสักอย่าง
ความรักที่มีให้คนๆเดียวนั้นสามารถเทียบได้กับความรักที่มีต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่าได้หรือไม่ ?”
วาเลฟอร์นั้นแอบใช้พลังบงการจิตใจปีศาจให้สงบลง ซึ่งมันได้ผลและพยายามทำให้คนทั้งหลายอย่างน้อยๆก็จดจ่อฟังเขา
“ดันทาเลี่ยนทำลายเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเราในฐานะปีศาจ ด้วยการไปอยู่ในจักรวรรดิของพวกมนุษย์
แม้พวกเราจะสู้รบกันอย่างสมเกียรติในสนามรบ เกียรติที่ได้มาก็จะมิใช่ของพวกเราหากแต่เป็นของจักรวรรดิแทน
หรือต่อให้พวกเราประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ สิ่งที่จะจารึกลงในประวัติศาสตร์ก็คือ จักรวรรดิไม่ใช่เผ่าปีศาจ
ดังนั้นแล้ว ลูกชายลูกสาวของพวกเรา ลูกหลานพวกเราก็จะถูกสอนว่า พวกเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ
พวกเขาจะไม่รับรู้เลยว่า พวกเรานั้นเป็นนักรบผู้ทรงเกียรติและหลักแหลมแห่งเผ่าปีศาจ ”
วาเลฟอร์ชูมือขึ้น
ผิวสีทองแดงของวาเลฟอร์โดดเด่นขึ้นท่ามกลางสีขาวหินอ่อนของย่านการค้า
มันช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมาได้ผลเป็นอย่างดี
“เผ่าปีศาจย่อมต้องตายลงหากดันทาเลี่ยนยังคงอยู่
และดันทาเลี่ยนต้องตายเพื่อให้เผ่าปีศาจอยู่ต่อไป !
ประชาชนที่รักของข้า โปรดตอบข้ามาตามตรง !
พวกเจ้าน่ะปรารถนาจะไว้ชีวิตดันทาเลี่ยน แล้วมีชีวิตน่าสังเวชด้วยการเป็ฯทาสพวกมนุษย์อย่างนั้นหรือ ?
หรือพวกเจ้าปรารถนาที่จะให้ดันทาเลี่ยนตาย ?”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนั้น
“หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างทาสน่าสังเวช ก็ไม่เป็นไร
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าขอยอมรับผิด ว่าตัวข้า ,วาเลฟอร์เป็นอาชญากรผู้กระทำผิด ”
วาเลฟอร์อาศัยจังหวะนี้ ตะโกนถามต่อ
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว หากพวกเจ้าทั้งหลายปรารถนาอิสรภาพ
หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะยกเกียรติที่ได้รับไปให้กับพวกมนุษย์ — ถ้าเช่นนั้นตัวข้าขอประกาศ ณ ที่นี้
สิ่งที่ข้าทำต่อดันทาเลี่ยน ข้าทำในฐานะตัวแทนของพวกเจ้า !”
วาเลฟอร์ชูหัวดันทาเลี่ยนสูงขึ้น
“ เผ่าปีศาจทั้งหลาย! อย่าไปหลงรักจักรวรรดิเลย จงรักในความภาคภูมิใจของปีศาจ ! ผู้คนของข้าทั้งหลาย ! จงช่วยตัวเองด้วยการฆ่าดันทาเลี่ยนทิ้งซะ!”
ตอนนั้นเองเป็นช่วงที่จอมมารฝ่ายที่ราบต่างหลั่งไหลเข้ามาจากทางเข้า
จำนวนของจอมมารฝ่ายที่ราบเกือบสิบตนห้อมล้อมย่านการค้าแทบจะในทันที
ตามมารยาทของการเข้าวังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุอะไรก็ไม่สมควรติดอาวุธเข้าไปด้วย
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งหกสามารถโดนกำจัดทิ้งได้ทันทีเพราะการที่พกมีดดาบติดตัว
“ดูเหมือนเจ้าทำตัวโหดร้ายกับน้องชายข้านี่ ,วาเลฟอร์ ”
จอมมารเบเลธก้าวเข้ามา เขายิ้มเยาะที่มุมปากแต่ก็ไม่อาจซุกซ่อนความโกรธไว้มิด
“ข้าว่าเจ้าน่าจะรีบนึกคำพูดสุดท้ายก่อนตายได้แล้ว ”
“ท่านเค้าท์พาลาทีนกระทำความผิดร้ายแรง!”
“หืมมม ช่างเป็นคำพูดก่อนตายที่แย่เสียจริง ”
เกิดการทำสงครามประสาทขึ้นระหว่างจอมมารฝ่ายที่ราบและจอมมารไม่สังกัดฝ่าย
“เตรียมใจไว้แล้วใช่ไหม ไอ้พวกขี้แพ้?!”
“หึ พวกแกมันก็ไม่ต่างจากหุ่นเชิดของดันทาเลี่ยนนั่นแหละ ”
“กำจัดพวกขยะนี่ให้สิ้นซากพร้อมกันเลย !”
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งหกตนต่างเอาหลังชนกันเองไว้พร้อมทั้งหยิบมีดสั้นออกมาในขณะที่จอมมารฝ่ายที่ราบจดจ้องอีกฝ่ายราวกับฝูงหมาล่าเนื้อที่จ้องจะล่าเหยื่อ
วาเลฟอร์พูดขึ้นด้วยแววตาที่คมกริบ
“ข้าจะประกาศความผิดของดันทาเลี่ยนพร้อมๆกัน ยามที่จอมมารและอาร์คดยุคทุกคนมาถึงแล้ว ”
“ดูเหมือนแกจะเข้าใจอะไรผิดไปบางอย่าง ”
เบเลธพูดข่มขู่พร้อมกับหมุนขวานของตัวเองเหนือหัว
“ไอ้ไม้จิ้มฟันที่พวกแกถือน่ะ มันไม่ใช่เหตุผลที่ข้าไม่ผ่ากระโหลกพวกเอ็งเป็นสองซีก แต่มันเป็นเพราะข้าอยากไว้หน้าท่านผู้บังคับบัญชาต่างหาก
พอบาร์บาทอสมาถึงนี่ พวกแกก็ตายห่ากันหมดนี่แหละ ไอ้กร๊วกทั้งหลาย!”
“เหอะ ช่างเป็นอะไรที่น่าขำชะมัดที่ทั้งฝ่ายจะต้องมาสั่นสะเทือนเพียงเพราะการตามของจอมมารเพียงคนเดียว
บาร์บาทอสโง่ลงเยอะเลยนะ
ไม่รู้ไปตกหลุมรักไอ้คนที่ข่มขืนผู้หญิงในวังกลางวันแสกๆได้อย่างไร ?!”
เบเลธขมวดคิ้ว
“ข่มขืนรึ? ”
“ถูกต้องแล้ว ดันทาเลี่ยนบังคับกามิกิน และให้กระทำเรื่องน่าอายที่ไม่อาจพูดที่นี่ได้!”
เบเลธพูดด้วยเสียงต่ำ
“นี่แกพยายามหาข้ออ้าง แก้ต่างโดยไม่มีหลักฐาน?”
“พวกเรามีหลักฐานยืนยันที่แน่นหนา ”
วาเลฟอร์พูดเสียงดังฟังชัด
“การกระทำต่ำช้าของดันทาเลี่ยนนั้นถูกอาติแฟคเมโมเรียบันทึกไว้แล้ว , และหนึ่งในสหายของข้าเองก็ได้ไปเก็บหลักฐาน มาพร้อมตัวพยานสำคัญ
พวกหัวหน้าสาวใช้ในวังเองก็เป็นพยานได้ ไม่มีทางที่พวกแกจะปกปิดความผิดดันทาเลี่ยนได้แล้ว !”
“คึ พ่นอะไรไร้สาระออกมาที่แม้แต่เด็กอมมือก็ยังไม่เชื่อ ”
จอมมารสองตนกำลังจ้องเขม่นกัน
อิพอสเองก็กลับมาพร้อมประคองกามิกิน วาเลฟอร์ขอให้พวกเขารออีกหน่อยจนกว่าคนจะมากันครบ
เบเลธฮึดฮัดฟึดฟัด สุดท้ายทั้งสองกลุ่มต่างจ้องกันจนกระทั่งถึงเย็น จนกระทั่งบาร์บาทอสมาถึง
จอมมารทุกตน รวมถึงอาร์คดยุค ที่ได้เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ก็มารวมกันที่ย่านการค้า
รวมแล้วก็นับร้อยคนมารวมตัวกัน
อาร์คดยุคเองไม่ซ่อนความไม่สบายใจไว้ได้ เนื่องจากมันเป็นเหตุการณ์การลอบสังหารจอมมารที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
(TTL : จริงๆเคยเกิดขึ้นมาแล้วนะ เผื่อใครลืม เหยื่อที่ชื่อ อันโดรมาลิอุส ลำดับ 70 ยังไงล่ะ)
ไม่สำคัญว่าบทสรุปเรื่องนี้จะจบลงยังไง พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่า มันจบลงด้วยการนองเลือดแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้น ”
บาร์บาทอส, เป็นผู้มาถึงคนสุดท้าย พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“จะดีกว่าไหม หากจะแสดงหลักฐานที่เจ้าพูดนักพูดหนา ให้เราดูตอนนี้เลย ?”
MANGA DISCUSSION