บทที่ 340 – สู่โลกใบใหม่(3)
จักรพรรดิพยักหน้าอยู่บนบัลลังค์ทองของเขา
“ข้านั้นทราบดีถึงความจงรักภักดีอันมากมายของพวกท่านทั้งหลายที่แสดงออกมาเพื่อหวังจะปกปักรักษาและก่อร่างสร้างจักรวรรดิขึ้นมาใหม่
ในหมู่ท่านทั้งหลายมีบางคนที่เสียสละลงแรงมากกว่าผู้อื่นอยู่
ดังนั้นแล้วตัวข้าจักขอมอบฐานันดรที่เหมาะสมคู่ควรแก่บุคคลเหล่านั้น ”
ร่างกายของเขานั้นขยับเคลื่อนไหวเป็นปรกติไม่ต่างจากมนุษย์ แต่หากดูให้ดีแล้ว จะพบว่า ใบหน้าของเขานั้นไม่มีการแสดงสีหน้าเลย
แต่ถึงอย่างนั้นกลับถูกมองข้ามไปเพียงเพราะคิดว่า นั่นเป็นการเก็บงำอารมณ์ความรู้สึกในฐานะจักรพรรดิฃ
รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์กนี่ช่างเป็นตัวตนที่น่าเวทนาเหลือเกิน
เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายต่างใช้ทุกวิถีทางในทุกๆวันเพื่อถนอมเครื่องในและเนื้อหนังมังสาของเขาไม่ให้เน่าเปื่อย
ประพรมน้ำหอมหลายต่อหลายชั้นเพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ออกมาจากเรือนร่าง
มีใครต่อใครมักจะบ่นกันว่า ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ ผมแอบสงสัยเหมือนกันว่า รูดอล์ฟเนี่ยเทียบกับพวกเขาได้ไหม
เขานั้นไม่สามารถตายได้แม้จะตายไปแล้วก็ตาม
นี่ช่างเป็นความตายที่น่าอัปยศอดสูเสียยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอดสูเสียอีก
ผมได้แต่กลั้นหัวเราะไว้ นี่มันน่าขำสุดๆไปเลยมิใช่หรืออย่างไรกัน ?
เขาฆ่าพี่น้องของพวกตัวเอง ข่มขี่พี่สาวตัวเองเพื่อแย่งชิงบัลลังค์มา แล้วสุดท้ายในที่สุดเขาก็ได้บัลลังค์มาครองแล้วนี่ไง
(TTL : เสียดสีเก่งงงง)
“บาร์บาทอส ”
“พะย่ะค่ะ, ฝ่าบาท ”
“ข้าขอมอบมงกุฏ ผู้ปกครองแห่งโบฮีเมียให้แก่เจ้า ”
จอมมารหลายคนถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก
นั่นเป็นตำแหน่ง ที่มีเพียงสี่คนในจักรวรรดิฮับบวร์ก
แต่ถึงอย่างไรเสียนั่นก็เป็นแค่ของประดับขององค์จักรพรรดิไม่ต่างจากเครื่องประดับทั่วไป สำหรับราชอาณาจักรโบฮีเมียและราชอาณาจักรแพนโนเนียแล้ว มีเพียงสองอาณาจักรนี้เท่านั้นที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิ
นี่ก็หมายความว่า ผู้ปกครองแห่งโบฮีเมียนั้นเป็นตำแหน่งสูงสุดลำดับสองของจักรวรรดินี้
จักรพรรดิเองก็ยังคงพูดต่อหน้าบาร์บาทอสที่คุกเข่าอยู่
“นอกจากนี้ ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็น อาร์คดยุคแห่งออสเตอลิทซ์ และยังเป็นผู้บัญชาการ เป็นนายพลแห่งจักรวรรดิไปตลอดโดยไม่มีสิ้นสุดวาระ
ไม่เพียงแต่ผู้ปกครองโบฮีเมียที่จะมีหน้าที่บริหารจัดการงานใดๆแทนข้าเท่านั้น หากแต่เจ้ายังได้รับสมญานามอันทรงเกียรติอย่าง ซีซาร์ด้วย
ผู้คนจะขนานนามเจ้าว่าเป็น ซีซาร์ บาร์บาทอส ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ”
บาร์บาทอสตอบกลับไปสั้นๆ
เธอรับมงกุฏและดาบมาจากองค์จักรพรรดิ จากนั้นก็ลุกขึ้นและหันหน้าไปหาฝูงชน รอยยิ้มที่เยาะหยันปรากฏขึ้นที่มุมปาก
มันเป็นชั่วขณะที่ทุกคนถึงกับตกตะลึง ณ ตอนนั้นเอง ที่จอมมารที่ไม่สังกัดฝักฝ่ายใดได้ตระหนักรู้บางอย่างแล้ว
พวกเขาเพิ่งได้รู้ว่า การเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินั้นมิใช่สิ่งใดเลยนอกจากความชอบธรรม
บุคคลผู้อยู่ที่พวกเขาต้องยอมจำนนนั้นมิใช่ จักรพรรดิหุ่นเชิด —หากแต่เป็นเด็กสาว ผู้เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ผู้ซึ่งปกครองทั้งเหล่าปีศาจและเหล่ามนุษย์
บาร์บาทอสกลับไปยืนข้างองค์จักรพรรดิเช่นเดิม
จักรพรรดิประกาศรายชื่อต่อไป
“มาร์บาส ”
“ขอรับ ,ฝ่าบาท ”
มาร์บาส, ชายผู้มีผมสีขาวดอกเลา โค้งคำนับให้
แม้น้ำเสียงของเขาจะมิได้แสดงออกถึงความเคารพหากแต่กิริยาท่าทางของเขานั้นชวนให้เชื่อยิ่งว่า เขานั้นเชื่อฟังองค์จักรพรรดิ
“ข้าขอมอบฐานันดร และมงกุฏแห่งแพนโนเนียให้เจ้า ”
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้ ”
บรรยากาศทั่วทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยความอลหม่านยามที่มีการมอบตำแหน่งอื่นให้
มาร์บาสไม่แคร์กับบรรยากาศดังกล่าวและโค้งคำนับก้มลงหัวอีก
“ข้าจะปฏิบัติต่อผู้ปกครองแห่งแพนโนเนียเหมือนดั่งบิดาบุญธรรมของข้า
ข้ายกให้เจ้าเป็นพ่อเลี้ยงของข้า แต่ต่อสาธารณะนั้น เจ้าเป็นผู้อาวุโสแห่งราชสกุลเรา
เจ้ามีสิทธิใช้สมญาว่า เซบาสโตคราเตอร์(Sebastokrator) ได้”
(TTL : ตำแหน่งของสมาชิกสภาอาวุโส และยังเป็นตำแหน่งที่จะมอบให้กับเฉพาะราชสกุล ในช่วงปลายๆยุคสมัยของจักรวรรดิไบเซนไทน์)
ไม่ว่าจอมมารคนใดก็ตามที่มีความรู้เรื่องตำแหน่งของโลกมนุษย์ก็มีแต่ต้องตกใจ
บาร์บาทอสนั้นได้รับพระราชอำนาจเทียบเท่ากับนายพลสูงสุดของจักรพรรดิ ในขณะที่มาร์บาสได้รับสมญาอันทรงเกียรติโดยได้รับการยอมรับว่า เป็นดั่งพระบิดาขององค์จักรพรรดิ
ในจักรวรรดินั้น ตำแหน่งฐานะของซีซาร์ต่ำกว่า เซบาสโตคราเตอร์หนึ่งขั้น
ทั้งฝ่ายที่ราบและฝ่ายเป็นกลางต่างพึงพอใจกับการแบ่งสิทธิประโยชน์ร่วมกัน
“นับจากนี้ไปผู้คนจะสรรเสริญและเรียกนามท่านในฐานะ เซบาสโตคราเตอร์ มาร์บาส ”
“ข้าได้รับเกียรติอย่างยิ่ง ”
มาร์บาสลุกขึ้นและแสดงความเคารพ บาร์บาทอสยืนทางขวาของจักรพรรดิในขณะที่มาร์บาสยืนอยู่ทางซ้าย
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ใครจะถูกเรียกออกมาเป็นคนต่อไป
“ไพมอน ”
“ไพมอนตอบรับการเรียกขานจากองค์จักรพรรดิค่ะ ”
ไพมอนเดินมาอยู่ที่กลางฮออลแล้วขยับยกชายกระโปรงเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
หากเทียบกับจอมมารสองตนก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของเธอนั้นไม่ได้แสดงความขัดข้องใจแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าแปลกคือ เธอนั้นกลับตอบด้วยน้ำเสียงราวกับตอบรับคำเชิญไปงานเลี้ยง มิใช่ การตอบรับกับองค์จักรพรรดิ
“ข้าขอมอบตำแหน่งแกรนดยุคแห่งลัคเซมเบิร์กและข้าจะยกให้ลักเซ็มเบิร์กเป็นดินแดนใหม่ของดยุค และจะให้เหล่ากิจการภายในวังทั้งหลายไปรวมตัวกันอยู่ในดินแดนของลัคเซมเบิร์ก ”
“ตัวข้าได้รับเกียรติยิ่ง ข้าจะสนับสนุนฝ่าบาทและปกป้องผู้คนที่อยู่ใต้การดูแล ”
“อืม แกรนดยุคไพมอน ท่านจะได้หน้าที่ในการจัดการดูแล กิจการงานต่างๆภายในราชวัง
ท่านสามารถใช้นามอันทรงเกียรติว่า พาราโคโมเมนอส (Parakoimomenos) ”
นั่นเป็นตำแหน่งที่มอบให้เป็นการส่วนตัว
(TTL : พาราโคโมเมนอส (Parakoimomenos)เป็นตำแหน่งที่มีไว้ให้พวกขันที เป็นตำแหน่งที่เอาไว้ดูแลกิจการภายในวังหลวง แปลตรงตัวว่า คนที่นอนข้างๆ(ห้องจักรพรรดิ) และก็เช่นกันเป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นในช่วงไบเซนไทน์)
ผ
ผู้ปกครองแห่งโบฮีเมียน,แม่ทัพประจำพระองค์, บาร์บาทอสแห่งฝ่ายที่ราบ
ผู้ปกครองแห่งแพนโนเนีย,พ่อบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ , มาร์บาสแห่งฝ่ายเป็นกลาง
แกรนดยุคแห่งลัคเซมเบิร์ก ,มหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิ , ไพมอนแห่งฝ่ายภูเขา
ดยุคแห่งโมราเวีย,ผู้บัญชาการเรือแห่งจักรวรรดิ , กามิกินผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ตัวแทนแห่งแซคซอนนี่,เซปาร์แห่งฝ่ายที่ราบ
ตัวแทนแห่งเมนซ์ ,สิตริแห่งฝ่ายภูเขา
ตัวแทนแห่งโคโลญ, เวสซาโก้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
รวมทั้งสิ้นทั้งหมด 7 คน
ตราบใดที่จักรพรรดิยังคงเป็นหุ่นเชิดอยู่ ตัวตนดังกล่าวก็ยังมีอำนาจจริงในการปกครองจักรวรรดิ
ที่หน้าชื่อของพวกเขาระบุไว้ว่าเป็นตัวแทน นั่นก็หมายถึง ทั้ง 7 มีอำนาจในการเลือกจักรพรรดิองค์ต่อไป
หากแบ่งไปตามกลุ่มก็จะมีฝ่ายที่ราบ 2 โหวต ฝ่ายภูเขา 2 โหวต และฝ่ายเป็นกลาง 1 โหวต ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอีก 2 โหวต
ดูเผินๆเหมือนจะสมดุลกันดี ……แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก
เวสซาโก้นิสัยเหมือนตาแก่ ที่ขี้เหนียว และชอบทำอะไรคนเดียว ดังนั้นตัวเขาต่างหากที่เป็น กลุ่มผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดๆตัวจริง แต่ถึงอย่างนั้นหมอนั่นก็ไม่ได้ออกหน้าเป็นตัวแทนให้กับจอมมารตนใดจริงๆ เขาสามารถย้ายฝั่งเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
พูดง่ายๆก็คือ จอมมารฝ่ายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนั้นไม่มีอำนาจในมือจริงๆเพราะไม่อาจหวังพึ่งเวสซาโก้ได้ ในกรณีที่จู่ๆหมอนั่นย้ายไปจับมือกับฝ่ายที่ราบหรือฝ่ายเป็นกลาง
คนอื่นอาจจะดูไม่ออกแต่อันที่จริงเวสซาโก้ต่างหากที่เป็นตัวอันตรายที่สุดสำหรับกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ดังนี้แล้ว ……จอมมารที่สังกัดกลุ่มจริงๆ มีถึง 6 ในทั้งหมด 7 โหวต
ขอย้ำให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว
ยุคสมัยที่บาอัลและอกาเรสไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดแล้วทำการชักเชิดกองทัพจอมมารจบสิ้นไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือจะมองจากมุมไหน ตอนนี้ผู้นำยุคสมัยใหม่คือ หัวหน้าของแต่ละฝ่ายอย่าง : บาร์บาทอส มาร์บาสและไพมอน
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะกลายเป็นว่าบรรยากาศในห้องโถงกลับสงบสุขอย่างน่าประหลาดใจ
จอมมารที่ไม่สังกัดฝ่ายใดดูจะเชื่อเหลือเกินว่า นี่มันช่างยุติธรรมดี
พวกนั้นกลับโล่งอกโล่งใจขึ้นมาเพียงเพราะเห็นถึงความแฟร์ที่เคลือบฉาบเพียงผิวเผิน
นี่เจ้าพวกนั้นคิดว่า ให้กามิกินได้ 1 โหวตไปก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ? โง่ชะมัด …….
“ฮาเกนติ(Haagenti), ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นดยุคแห่งนิพพัวเซน(Duke of Knyphausen)”
“……ขอบพระทัยครับ ”
“อโลเซส(Alloces), ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นดยุคแห่งมาร์ตินีซ(Duke of Martinice)”
“ข้าได้รับเกียรติอย่างยิ่ง ”
จอมมารเดินออกมาข้างหน้าแล้วคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิทีละคน ตามที่ถูกเรียกชื่อ
ทั้งหลายต่างรู้ดีอยู่แล้วว่า ตัวเองไม่ได้คุกเข่าให้กับจักรพรรดิหากแต่คุกเข่าให้กับหัวหน้ากองกำลังทั้งสามฝ่ายรอบตัว
หากคุณตั้งใจสังเกตดูให้ดีจะเห็นอะไรน่าสนใจ
จอมมารที่สังกัดฝ่ายที่ราบจะแอบโค้งให้กับทางบาร์บาทอส ส่วนจอมมารที่สังกัดฝ่ายภูเขาจะแอบโค้งให้กับไพมอน
ในขณะเดียวกันจอมมารที่ไม่สังกัดฝักฝ่ายใดจะโค้งแบบเก้ๆกังๆไม่รู้ว่าจะโค้งทิศไหนดี
“…….”
“…….”
ทั้งห้องโถงกลับเต็มไปด้วยความเงียบที่น่ากระอักกระอ่วนทุกครั้งที่จอมมารถูกขานชื่อขึ้น
บางคน ลอบมองผมด้วยความสงสัย
ผมไม่สนใจสายตาของพวกนั้น แล้วยังมองดูงานแต่งตั้งยศต่อไป
ถูกแล้วล่ะ ยังไม่มีการขานชื่อผม
พอพี่เซปาร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทน จอมมารหลายต่อหลายคนก็หันมามองผม
พี่เซปาร์เองก็เป็นดั่งมือขวาของบาร์บาทอส ในขณะที่ผู้ที่ลงทุนลงแรงไปมากที่สุดในฝ่ายที่ราบในเหตุการณ์ล่าสุดย่อมไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ว่า …… คือ ผมนี่เอง
ผมเป็นบุคคลผู้นำพาจักรวรรดิของพวกเราให้เป็นที่รู้จักต่อเวทีทางการทูตและเหล่าชาติอื่นในทวีป ย่อมไม่มีใครเหมาะแก่การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนผู้สมควรได้รับการอวยยศเท่าผมอีกแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น กลับไม่มีการเรียกขานชื่อผม …….
ยิ่งจำนวนจอมมารที่ถูกเรียกผ่านไปมากเท่าไหร่ ยิ่งจำนวนจอมมารที่เหลืออยู่มีน้อยเท่าใด คนทั้งหลายต่างก็ยิ่งมองมาที่ผมมากขึ้นเท่านั้น
แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาถึงสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนั้น
จนสุดท้ายแล้ว
จอมมารทุกคนได้รับรางวัล ฐานันดร และเหลือผมเป็นคนสุดท้าย
จักรพรรดิพูดทำลายความเงียบ
“ยังมีบุคคลหนึ่งที่ไม่เพียงแต่ปกปักรักษาจักรวรรดินี้ไว้ หากแต่ยังอุทิศแรงกายแรงใจเพื่อสันติสุขระหว่างมวลมนุษย์และปีศาจ
ตัวข้านี้ปรารถนาจะสรรเสริญและตกรางวัลให้แก่เขาผู้นี้อย่างงาม
หากแต่บุคคลผู้นั้นกลับเลือกที่จะปฏิเสธการรับสิ่งเหล่านั้นด้วยความทรงเกียรติ
……ดันทาเลี่ยนเอ๋ย ”
“ครับ ฝ่าบาท”
ผมยืดเหยียดหลังตรงแล้วก้าวออกมาข้างหน้า ผมรับรู้ได้ว่า สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ผม
เบื้องหลังแววตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยหลากอารมณ์ความรู้สึก ทั้ง ยินดี,ชื่นชม,สงสัย,เกลียดชังและริษยา
อารมณ์เหล่านั้นห่อหุ้มผมไว้ราวกับเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์
ผมรู้สึกได้เลยว่า คงไม่อาจสะบัดถอดผ้าพวกนั้นได้โดยง่าย
“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นอัยการสูงสุดแห่งจักรวรรดิแห่งนี้”
“ข้าขออุทิศทั้งร่างกายและจิตวิญญาณตนเองเพื่อรับใช้ทุกสรรพชีวิตในจักรวรรดินี้ ”
มันก็จบลงประมาณนี้แหละนะ
จอมมารหลายต่อหลายตนต่างกระสับกระส่ายเพราะบทสนทนาดังกล่าว
ผมหันตัวกลับไปและมองรอบข้างอย่างช้าๆ
บาร์บาทอส,มาร์บาส,ไพมอน,การ์มิกิน,พี่เซปาร์,สิตริและเวซาโก้
หลังจากสบตาพวกเขาแล้ว ผมก็มองลงต่ำ
บาร์บาทอสเป็นพวกเดียวกันกับผม หากจะนับที่ค่าความชอบของเธอที่มีต่อผมถึง 50 หน่วยแล้ว ก็ถือได้ว่า ผลโหวตครึ่งหนึ่งเป็นของผม
0.5
ค่าความชอบที่มาร์บาสมีต่อผมก็เกือบ 50 เช่นกัน
นอกจากนี้พวกเรายังเป็นพันธมิตรทางการเมือง ดังนั้น ครึ่งแต้มก็ย่อมเป็นของผมด้วย
1
ค่าความชอบของกิมิกินก็ถึง 50 แล้ว และเธอยังยึดติดกับผมในระดับที่เกินแต้มค่าความชอบ อันเนื่องมาจากความปรารถนาที่จะครอบครองผมจนน่าขยะแขยง
ไม่ว่ายังไงก็เถอะ ครึ่งโหวตของเธอก็เป็นของผมเช่นกัน
1.5
พี่เซปาร์ก็จงรักภักดีกับบาร์บาทอส พูดว่า เป็นลูกน้องของเธอก็ยังได้ เช่นเดียวกันกับบาร์บาทอสนั่นแหละ ผลโหวตครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นของผมเช่นกัน
2
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงสิตริ
3.
(TTL : เดี๋ยวๆๆๆ พอเป็นสิตริ คะแนนโหวตอยู่ๆก็ +1เฉยเลยเว้ยยยยย)
ค่าความชอบของไพมอนก็เกิน 50 แล้ว
อันที่จริงเธอจะทำตามที่ผมบอกและยิ่งนานวันเข้า มันก็ยิ่งกลายเป็นแบบนั้นไป
ดังนั้นแล้วผลโหวตของเธอก็เป็นของผม โดยมาพร้อมกับสิตริเหมือนเป็นแพคเกจคู่
4
—4 คะแนนโหวตจาก 7
ผมได้รับสิทธิ์ในการโหวตเกินครึ่ง อยู่ในมือแล้ว
นี่คือ ความจริงเบื้องหลังการมอบรางวัลในวันนี้
ยุคสมัยใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ยุคสมัยใต้การควบคุมของฝักฝ่ายและจอมมารทั้งสาม , แต่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำนั้น มันเป็นยุคสมัยที่ถูกควบคุมโดยจอมมารผู้มีลำดับ 71
โดยผม ดันทาเลี่ยนผู้นี้เอง
ไม่ใช่ใครอื่นใดที่เป็นผู้จุดประกายยุคนี้ขึ้นมา
จักรวรรดิจะดำรงอยู่ต่อไปด้วยจุดยืนที่เป็นพันธมิตรทั้งฝ่ายมนุษย์และปีศาจ ,
ด้วยการใช้สิ่งนี้เป็นสะพาน จักรวรรดิก็สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการต่างๆบนผืนทวีปได้ทั้งในนามของฝ่ายปีศาจและฝ่ายมนุษย์
ผมแน่ใจเลยว่า จักรวรรดิฮับบวร์กนี่แหละที่เป็นผู้กุมอนาคตแห่งทวีป
ผมเป็นบุคคลเดียวผมคอยกำกับจักรวรรดิ
แถมผมยังไม่ได้ออกหน้า หากแต่ชักเชิดอยู่เบื้องหลัง ผมเคลื่อนไหวในเงามืด
ทั้งในฐานะดยุคแห่งคัสทอส และเค้าท์พาลาทีน แห่งจักรวรรดิ แถมตำแหน่งนั้นยังเหมาะกับตำแหน่งอดีตจอมมารลำดับ 71 ที่อยู่ท้ายสุดของลำดับทั้งหลาย
ผมยังคงเป็นบุคคลผู้อยู่ลำดับสุดท้ายและจะเป็นเช่นนั้นต่อไป
ผมโค้งคำนับ ให้กับเหล่าจอมมารทั้งหลาย
แปะๆ
ผมได้ยินเสียงใครบางคนปรบมือ คนๆนั้นคงเป็นบาร์บาทอส
ในขณะที่จอมมารตนอื่นๆก็ทยอยปรบมือตามหลังด้วย ผมยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงปรบมือ
ผ ม คื อ จั ก ร ว ร ร ดิ
(I am the Empire.)
คำส่งท้ายจากผู้เขียน
ใช้เวลานานมากกว่าที่ผมจะหาอ้างอิงเรื่อง ยศบรรดาศักดิ์ในยุคสมัยไบเซนไทน์ – โรมัน และจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์
บางกรณีของทั้งไบเซนไทน์-โรมันก็ใช้ทั้งศัพท์ละติน และกรีก บางครั้งก็ใช้สลับกันเสียอย่างนั้น
ผมได้แต่ต้องขออภัยที่รีเซิร์จน้อยเกินไป
(จริงๆบางทีผมควรใช้คำนามที่ระบุเพศหญิง แต่เนื่องจากผมไม่ได้รู้เรื่องรากละติน บางทีก็ใช้คำนามระบุเพศชายแทน )
ในอนาคตอาจมีการแก้ไขชื่อยศฐานันดร
MANGA DISCUSSION