บทที่ 337 – หอมกลิ่นอะนีโมนี่(7)
ผมนอนเตียงเดียวกันกับลอร่า เตียงโอบอุ้มน้ำหนักของเราสองไว้อย่างสบายๆ
ผมร้องเพลงกล่อมเด็กขณะที่ลูบไล้เส้นผมเธอไปด้วย ผมร้องเพลงห่วยแตกเลยล่ะ แต่อย่างน้อยๆผมก็ยังพอฮัมเพลงที่เคยได้ยินได้ฟังมาตอนเด็กได้
ผมร้องเพลงที่แม่เคยกล่อมให้ฟังตอนผมยังเล็ก
“บทเพลงนี้ ……เป็นเสียงเพลงจากทะเล”
ลอร่าเอาหน้าแนบกับอกผม ราวกับลูกนกที่พยายามฟักออกมาจากไข่แล้วพยายามดุนเปลือกเปลือกชั้นในด้วยหัว
ผมได้แต่ยิ้มให้กับเด็กสาวที่ทำตัวราวกับเป็นลูกที่เอาแต่ใจ
ผมไม่ผลักไสเธอไปไหน ผมตอบรับการกระทำของเธอไว้ทั้งหมด
ลอร่าพูดงึมงัมด้วยเสียงที่แหบเพราะเพิ่งตื่นนอน
“นายท่าน, ฉันได้ยินว่า จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปหากกลายเป็นแวมไพร์ ”
“แน่นอน, ข้าก็ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกัน ”
“ฉันอยากจะขอให้แวมไพร์สักตัวหนึ่งเปลี่ยนหญิงสาวคนนี้ให้กลายเป็นแวมไพร์เหมือนกัน
หากฉันกลายเป็นแวมไพร์แล้ว จะได้อยู่ข้างกายท่านไปตลอด
ตลอดชีวิตของฉัน …….”
ความจำหนึ่งแวบเข้ามาในหัวผม
มีเด็กสาวคนหนึ่งประกาศกร้าวว่า ความตายนั้นเป็นของเธอเพียงผู้เดียว
เด็กสาวคนนั้นได้ละทิ้งตัวตนเดิมไปแล้ว
มันช่างเป็นความทรงจำที่อบอุ่นเหลือเกิน
มันเป็นประสบการณ์หายากที่ใครจะได้พบเจอสักครั้งหนึ่ง
ผมปรารถนาที่จะเก็บความทรงจำเหล่านั้น ฝังมันในไว้สุสานด้วยความเคารพ
ผมบรรจงอัดความทรงจำใส่กรอบแก้วบันทึกไว้ในหัว และแย้มยิ้มให้กับมัน
“อย่างนั้นก็ดีนะ, ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส ”
“ค่ะ, นายท่าน เรามาอยู่ด้วยกันตลอดไป …….”
ลอร่าค่อยๆวูบหลับลงต่อ โดยมือของเธอยังคว้าจับเสื้อของผมไว้แน่นมือ
ผมลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบหลังจากนั้นสามสิบนาที
นับเป็นโชคดีที่ลอร่า ไม่รู้ตัว เธอยังคงนอนต่อ
เธอคงจะเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวันแล้ว และยามที่เธอคลายความตึงเครียดลงได้ สิ่งเดียวที่ต้องการก็มีแต่การหลับหลึก
ผมจุมพิตกลางหน้าผากลอร่า
ผมเดินเตร็ดเตร่ไปอย่างไรจุดหมาย
ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่า เท้าตัวเองจะพากายไปแห่งหนใด
หรือไปยังสถานที่ด้านนอกที่เต็มไปด้วยผู้คน
ปราสาทจอมมารของผมนั้นมีคนมากมาย ในดินแดนของผมก็ด้วยเช่นกัน
ผมลงไปยังทางลับใต้ดินที่ทำไว้แล้วออกไปสู่ทุ่งกว้าง
ทุ่งกว้างนั้้นอยู่ริมแม่น้ำ ที่เต็มไปด้วยต้นกก
อุโมงทางหนีลับนี้อยู่ในพื้นที่ที่ชื้นแฉะ และยากที่จะใช้ม้าขี่ตามมาด้วยได้
ผมเดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่รีบ
“…….”
เสียงของกระแสน้ำที่ซัดเบาๆเป็นระลอกผ่านเข้ามาในอกผม ความรู้สึกเบาสบายชำระล้างไปทั่วร่าง
ผมนึกภาพในใจตัวเองเช่นเดียวกับที่รู้สึกแบบเดียวกับสายน้ำ
อันที่จริงผมออกจะประหลาดใจเหมือนกันที่ตัวเองยังพอมีแรงเหลือพอที่จะคิดจะนึกอะไรได้อยู่
กาฬโรคนั้นส่งผลกระทบรุนแรงไปทั่วทั้งทวีป
ต่างออกไปในแต่ละภูมิภาค แต่ที่หนักหนาที่สุด บางพื้นที่สูญเสียประชากรไปเกือบครึ่งเนื่องจากโรคระบาด
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ลดจำนวนประชาลงทั้งหมดเพียง 20-30% เท่านั้นเอง
หากกาฬโรคสามารถลดจำนวนประชากรมนุษย์ลงได้ถึงสักครึ่งหนึ่ง มนุษย์น่าจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้แล้วในเวลานี้
สิทธิของเหล่าชาวนาชาวไร่ต่างค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น
พื้นที่ทำการเกษตรนั้นยังเท่าเดิม หากแต่มีกำลังคนไม่พอที่จะทำการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว
ดังนั้นแล้วผลผลิตจึงตกต่ำลงอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าของที่ดินทั้งหลายก็ต้องจ่ายเงินเพื่อจ้างกำลังคนในจำนวนที่มากขึ้น
เกิดการแข่งขันแย่งชิงกันระหว่างเจ้าของที่ดิน
ชาวนาก็จะสามารถเลือกที่จะทำงานให้กับเจ้าของที่ดินที่จ่ายให้สูงที่สุด …….
แต่โรคระบาดไม่ได้ก่อให้เกิดความตายแก่ชาวนาเท่านั้น หากแต่โรคระบาดยังมอบความตายให้แก่ทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าจะเป็น ช่างเหล็ก,พ่อค้าธัญพืช หรือแม้แต่คนขายรองเท้า ไม่ว่าจะเป็นผู้มีชาติกำเนิด หรือสถานะระดับใดสุดท้ายต่างพบปัญหาขาดกำลังคนด้วยกันทั้งนั้น
กองทหารเองก็ขาดแคลนทหารเกณฑ์ทหารอาสา
ผู้คนไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีงานทหารรับจ้างคุ้มกัน
มีแต่ไอ้พวกคลั่งการต่อสู้การรบเท่านั้นที่อยากเข้าร่วมกับกองทัพทั้งๆที่มีอาหารดีๆวางอยู่เต็มโต๊ะแล้ว
กองทหารรับจ้างเองก็ไม่ได้หายไปไหน กลับกันมีราคาค่าตัวที่สูงขึ้นด้วยซ้ำ
ผลที่ได้ก็คือ ขนาดของสงครามนั้นเล็กลง
หากพระราชาและเจ้าของดินแดนต้องการจะเปิดสงคราม การระดมทุนก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก หากเป็นไปได้ พวกเขาก็จะพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการทูต การเจรจาแทนที่จะเลือกใช้การสงคราม
อาจจะมีสักกลุ่มหนึ่งที่อยากจะเข้าไปเก็บเกี่ยวรับผลประโยชน์จากสงคราม แต่นั่นมันพวกโง่งั่ง
พวกนั้นมันต้องรีดเค้นเงินภาษีเพื่อใช้ในสงครามของพวกเขา
ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้สามัญชนก็ไม่ได้ไร้กำลัง และตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
พวกเขามีอำนาจต่อรองที่สูง เนื่องจากความสามารถและผลจากการร่วมมือร่วมใจกันเป็นสหภาพการเกษตร
ชาวบ้านชาวชาไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีเพื่อสงครามที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์อีกต่อไป
พวกเขากล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านลอร์ดในดินแดน
ชนชั้นสูงจำต้องเข้าใจสถานการณ์ว่า จุดยืนของอำนาจนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
การกดดันจากผู้ปกครอง และการต่อต้านจากผู้ใต้ปกครอง ……
การปฏิวัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง …….
และทั่วทั้งทวีปจะตกสู่ความวุ่นวาย อลหม่านอีกครั้งหนึ่ง
แล้วผมจะใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้อย่างไรดี ?
มันคงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงไปว่า นี่มันเป็นชะตากรรมของกองทัพจอมมาร ด้วยเหตุนี้เองพวกเราจึงเชิดชูฝ่ายสาธารณรัฐนิยมขึ้นมา
พวกเราเองก็สามารถเสริมกำลัง เสริมความสัมพันธ์กับชาติที่เป็นฝ่ายนิยมกษัตริย์
หรือไม่เราก็ทำมันทั้งคู่นั่นแหละ…….
“ท่านเค้าท์พาลาทีน ดันทาเลี่ยน ?”
เสียงคุ้นเคยดังเข้ามาในหูผม
ผมเงยหน้าขึ้นและเห็น นักบุญหญิงลองวี่ยืนไม่ไกลจากผมนัก
เธอคงเพิ่งอาบน้ำในแม่น้ำเสร็จนั่นแหละ เส้นผมของเธอจึงยังคงเปียกอยู่
“อะไรพานายมาที่นี่กัน? ไม่สิๆ ที่สำคัญกว่านั้น นาย ……?”
นักบุญหญิงลองวี่ดวงตาเบิกกว้างยามที่มองใบหน้าของผม มันเป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน
นักบุญหญิงนิ่งด้วยความตกใจราวกับได้เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีอยู่ด้วยซ้ำ
เธออ้าปากพะงาบๆหลายครั้งก่อนที่จะขมวดคิ้ว และถอนใจออกมาเบาๆ
“……หากนายมีความรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาต่อหน้าองค์เทพี ฉันก็ยินดีจะรับฟังแทนพระองค์เอง
ถึงอย่างไรเสียฉันก็เป็นนักบุญหญิงนะ”
ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่กัน
เธออาจกำลังล้อเลียนผมเพียงเพราะเธอคิดว่า ชีวิตผมนั้นเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ
ผมยักไหล่
“ยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ข้าขอปฏิเสธ
เมื่อข้ามองย้อนการกระทำที่ผ่านมาของข้า ข้าไม่เคยสำนึกเสียใจอะไรทั้งนั้น
นี่คือ คติประจำใจของข้า ”
“……นี่นายพูดอะไรไร้สาระออกมากัน ทั้งๆที่ก็ทำหน้าแบบนั้นอยู่ ……?”
นักบุญหญิงบ่นออกมาเบาๆแต่ผมก็ยังพอได้ยินสิ่งที่เธอพูดอยู่
มันอาจดูไม่มีค่า หรือความสลักสำคัญใดๆ ผมระบุได้ชัดแล้วว่า ทักษะทางการเมืองของนักบุญหญิงนั้นห่วยยิ่งกว่าพาร์ซิเสียอีก
ผมจึงคิดว่า ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องพูดคุยกับเธอ
“ท่านนักบุญหญิงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ย่อมเป็นภาพที่ล้ำค่า หายาก อันน่าดู ข้าเกรงว่า ตนเองจะถูกเทพีสาปแช่ง หากข้ายังจ้องมองเธอต่อไป ดังนั้นข้าขอตัวล่ะ ”
“เดี๋ยวก่อน ”
ผมพยายามเดินผ่านนักบุญหญิงไป แต่กลับต้องหยุดกึก น่ารำคาญอยู่หน่อยๆ ผมอยู่ในอารมณ์ที่อยากอยู่ตามลำพัง
ผมจึงหันไปมองเธอที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร
“มีอะไรรึ ?”
“เอ้อ…… เฮ่อออ ทำไมฉันทำตัวงุ่นง่านน่ารำคาญอย่างนี้นะ ?”
นักบุญหญิงลองวี่สางผมสีแดงของเธอเอง ดูเหมือนเธอจะยึกยักลังเลใจสักพักก่อนที่จะรวบรวมความกล้าพูดมันออกมาได้
“เค้าท์พาลาทีน เผชิญฉันมีเหล้าดีๆอยู่หลายขวด
อันที่จริงฉันก็อยากชวนคนอื่นมาดื่มด้วยกัน แต่ไม่มีใครในดินแดนแห่งนี้ที่จะเป็นเพื่อนดื่มดีๆได้เลย จะดีใจมากหากนายมาดื่มกับฉัน ”
“หาา?”
ผมถึงกับเผลอเปล่งเสียงร้องแปลกๆออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“แล้วเธอไม่เลือกใครก็ได้ตามท้องถนนมาดื่มด้วยล่ะ ?”
“ถ้าคนเขารู้ว่านักบุญหญิงดื่มเหล้าก็จะดูถูกเอาน่ะสิ
ไม่มีทางที่ฉันจะไปดื่มกับใครที่ไม่สนิทไม่รู้จักกันได้หรอก
แถมฉันเองก็ยังไม่คุ้นเคยในดินแดนของนายด้วย ก็เลยไม่ได้รู้จักใครขนาดนั้น ”
“อ้า, นั่นสินะ ”
ผมมองเธอเป็นเชิงถามว่า สติยังดีอยู่หรือเปล่า
“แต่เลือกข้าแทนที่จะเป็นคนอื่นเนี่ยนะ ?”
“……ฉันน่ะไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ แต่นายเป็นคนเดียวที่ฉันจะพึ่งได้ ?”
นักบุญหญิงทำหน้าลำบากใจ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่ดื่มไปคนเดียวเสียเลยล่ะ ?
ดูท่าว่า แม่นี่น่าจะมีเจตนาอื่นแฝงอยู่
“หรือราชินีคนนั้นให้เธอมาสอดแนมรึยังไง ?”
“อะไรประมาณนั้นแหละ ”
เธอตอบห้วนๆ แต่ผมเองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไม่ดื่มกับเธอ
ผมยักไหล่ลังเลหน่อยๆ แต่ก็ยอมรับคำขอของเธออย่างไม่เต็มใจนัก
พอเห็นผมทำแบบนั้น จู่ๆนักบุญหญิงก็ดึงผ้าขนหนูที่ทำจากขนสัตว์ออกมากางแล้วนั่งลง
“นักบุญหญิงลองวี่ ,นี่เธอตั้งใจจะดื่มกันที่นี่เลยหรือ ?
ถ้าข้าไม่ได้ตาถั่ว นอกจากที่นี่จะไม่มีเหล้าแล้ว ยังไม่มีถ้วยแก้วอีกด้วย …….”
“คลัสตรั่ม(Claustrum)”
ออร่าสีขาวเปล่งออกมารอบข้อมือของนักบุญหญิงทันทีที่เธอร่ายเวทย์บทสั้นๆ
เธอล้วงมือเข้าไปในแสงนั้นราวกับเป็นกระเป๋า แล้วขยับแขนราวกับควานหาอะไรสักอย่างอยู่
ไม่นานนัก ขวดเหล้าเจ็ดขวดและแก้วสองใบก็ออกมาจากแสงสว่างนั่น
“ทีนี้ ก็มีพอแล้วนะ”
“……ขอถามได้ไหม ว่านั่นมาจากไหน ?”
“มาจากโกดังวิหารของพวกเรา ฉันสามารถเอาออกมาเมื่อใดก็ได้หากฉันต้องการ ”
พูดง่ายๆก็คือ นักบุญหญิงลองวี่นั้นแอบจิ๊กเหล้ามาหลายขวดที่เป็นของถวายให้กับวิหารเทพีเอเธน่า
ผมพูดเสียดสีขณะที่นั่งอยู่บนขนสัตว์
“พอมานึกๆดูแล้วว่า นักบุญหญิงเองกลับขโมยข้าวของของวิหารเพื่อเอามาใช้ด้วยเหตุผลส่วนตัวแบบนี้
ไม่แปลกแล้วล่ะหากองค์เทพีจะลงโทษเธอ ”
“องค์เทพีดื่มเหล้าไม่ได้นี่ ถ้าเช่นนั้นแล้ว องค์เทพีก็ควรสรรเสริญที่ฉันดื่มแทนพระองค์สิ ”
นักบุญหญิงลองวี่พูดอย่างไม่แยแส
ผมเข้าใจแล้ว ใช่ว่า ยัยนักบุญคนนี้จะหัวร้อนง่าย หากแต่เธอยังมีนิสัยที่สุดจะเป็นปัญหาอีกด้วย
เอาล่ะ คงไม่มีใครจะทนอยู่กับตำแหน่งบ้าๆแบบนักบุญหญิงได้โดยไม่สติแตกนี่นะ
พวกเราดื่มเหล้าไวน์ไปหลายต่อหลายแก้วริมแม่น้ำ
ผมรอให้เธอหยิบยกหัวข้อสำคัญขึ้นมาพูด แต่นักบุญหญิงกลับเอาแต่ถามเรื่องนู่นนี่นั่นจิปาถะไร้สาระ
ตัวอย่างก็เช่นถามผมว่า ผมมาปกครองดินแดนแห่งนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ผมทำอะไรมาก่อน ก่อนที่จะกลายเป็นที่ปรึกษา ในกองทัพจอมมาร …….
แม่นี่เป็นผู้หญิงที่แปลกชะมัด ผมบอกไม่ได้เลยว่า เธอต้องการอะไรกันแน่ ผมเลยให้คำตอบเป็นกลางๆกับเธอไป
“อ๊าาาา!”
มันเกิดขึ้นในตอนที่ตะวันกำลังจะตกดิน
อยู่ๆมีหมาป่าตัวหนึ่งเข้ามาใกล้พวกเราที่กำลังปาร์ตี้เหล้าไวน์กันอยู่
ผมพยักหน้ายืนยันก่อนที่จะกวักมือเรียกให้หมาป่าเข้ามาใกล้
เจ้าหมาตัวนั่นค่อยๆเข้ามาช้าๆและซุกหัวในอ้อมแขนผม
มันครางออกมาอย่างสุขสบายตอนที่ผมลูบไล้ขนมันด้วยมือ
ขณะที่นักบุญหญิงมองดูพวกเรา เธอทำหน้าอึ้งงงเหมือนคนโง่
“คะ-เค้าท์พาลาทีน,นั่นมันหมาป่าไม่ใช่หรือ ……?”
“มันเข้ามาติดเพราะมานาของข้าน่ะ
หากข้าไม่ได้มีมานาเยอะเพราะเป็นจอมมาร มันคงหนีไปไกลลิบแล้ว
ก็ดูเหมือนข้าเองจะมีมานาพอจะให้เจ้าสัตว์พวกนี้ชอบข้านะ ”
“อ้อ เข้าใจแล้ว…….”
นักบุญหญิงมองเจ้าหมาป่า เธอนั้นไม่ต่างจากเด็กตัวน้อยที่กำลังมองของเล่นที่ตัวเองอยากได้ผ่านแก้วใส
ผมหัวเราะเบาๆ
“เธออยากลองลูบมันดูไหมล่ะ ?”
“เอ๋? ไม่อันตรายเหรอ ?”
“ไม่อันตรายหรอกน่า ตราบใดที่เธอไม่คิดจะฆ่าข้าน่ะ ”
นักบุญหญิงกลืนน้ำลายเอื้อกก่อนจะเข้ามาใกล้พวกเรา
เธอค่อยๆสัมผัสขนหมาป่าอย่างระมัดระวังด้วยปลายนิ้วมือ ก่อนที่เจ้าหมาจะหันมามองเธอ
นักบุญหญิงถึงกับนิ่งตัวแข็ง แต่ทันใดนั้นเองความกังวลของเธอก็มลายหายไปเพราะเสียงเห่าออกมาอย่างยินดีของเจ้าหมา
สีหน้าของนักบุญหญิงสดใสทันทีและลูบไล้หมาป่าโดยไม่เครียด
เจ้าหมานอนเผยหน้าท้องให้นักบุญหญิงลูบเล่นได้เต็มที่
“อื้อหือ มานาที่จอมมารมีอยู่นี่ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจเหลือเกิน ”
“พวกนักการศึกษาในโลกปีศาจเองก็สงสัยเหมือนกันว่า มานาของพวกเราอาจเป็นสื่อกลาง หรือเบาะแสที่เชื่อมโยงระหว่างสัตว์และปีศาจ
แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่ได้เชี่ยวชาญหรือรู้เรื่องนี้เยอะหรอก ”
ปาร์ตี้เหล้าไวน์ของพวกเราลากยาวต่อไปจนดึก
แม้พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้ายามค่ำยืนจะมีประกายระยิบเหนือหัวพวกเราก็ตาม นักบุญหญิงก็ยังคงดึงเอาเหล้าออกมาเพิ่มอีก
แล้วก็มีทั้งกวาง,กระต่าย และจิ้งจอก มารวมฝูงกันนับสิบเรื่องจากมานาของผม
พวกมันมาห้อมล้อมพวกเราไว้อย่างสงบ
นักบุญหญิงดูจะพออกพอใจมาก จนยอมเผยยิ้มจากใจจริงออกมา การที่มายิ้มแบบนั้นต่อหน้าผมเป็นอะไรที่หาดูได้ยากมาก
สุดท้ายแล้ว ‘หัวข้อสำคัญ’ ที่นักบุญหญิงสมควรถามก็ไม่มาเสียที
นักบุญหญิงกลับเมาจนสลบไป
“อืมหืมมม ฉาน ดื่มต่อไม่หวายละะะ …….”
เธอกรนและละเมอออกมาต่อหน้าผม
เหตุการณ์ตรงหน้ามันน่าตลกและบ้าบอเสียจนผมหลุดขำออกมา
แม่นี่พยายามทำอะไรกันอยู่กันแน่เนี่ย?
(TTL : แค่นักบุญหญิงเหงาๆคนหนึ่งที่อยากรู้จักจอมมารตนหนึ่ง ไงพรี่!)
ผมยกร่างของนักบุญหญิงขึ้นมา แล้ววางลงบนหลังหมาป่า ส่งเธอกลับไปที่ปราสาทจอมมารของผม
ผมวางเธอไว้ที่เตียงของแขกก่อนกลับสู่ห้องของตัวเอง
ถึงอย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณฤทธิ์เหล้านั่นแหละ ที่ทำให้ภาระน่าหนักใจหายไป ผมนอนทอดร่างบนเตียงด้วยความรู้สึกสงบศานติ
ผมรู้เลยว่า คืนนี้ผมจะไม่เจอกับฝันร้ายแล้ว …….
MANGA DISCUSSION