บทที่ 319 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (7)
* * *
‘สงบอะไรอย่างนี้’
อลิซาเบธพูดกับตัวเองในหัวขณะที่หลับตาลง
ในสมองเธอมีแต่ดินแดนแห่งความมืด ภายในดินแดนที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนั้น อลิซาเบธนั่งบนเก้าอี้เพียงลำพัง
เบื้องหน้าเธอเป็นกระดานหมากรุกในจินตนาการ
ในห้วงความนึกคิดของเธอนั้น กระดานหมากรุกเป็นตัวแทนแห่งทวีป หมากแต่ละตัวเป็นตัวแทนของบางสิ่ง
ึขึ้นกับโอกาส อาจเป็นเงินตราบ้าง ,นักบุญหญิงบ้าง เหล่าผู้ปกครองประเทศทั้งหลายบ้าง
หมากคิงสีดำสนิท คือ ตัวแทนของอลิซาเบธเอง
ในขณะที่คิงสีขาวของฝ่ายตรงข้ามนั้น……ย่อมต้องเป็นตัวแทนของดันทาเลี่ยน
อลิซาเบธบางครั้งก็กลมกลืนตัวเองเข้ากับภาพจินตนาการในหัว
ปรากฏรอยยิ้มบางๆที่ปากของเธอ
‘นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้สงบใจเช่นนี้มาก่อน’
ราวกับเธอได้ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก
ณ ช่วงเวลานั้น เธอเชื่อมั่นแน่ว่า เธอสามารถเปลี่ยนทั้งทวีปนี้เป็นกระดานหมากรุกเมื่อใดก็ได้ตามแต่ใจเธอต้องการ
เธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ทุกวันเป็นวันที่เฉิดฉายราวกับส่องประกายจากดวงอาทิตย์ในฤดูคิมหันต์ (ฤดูที่ร้อนจัด)
ไอควันแห่งความอบอ้าวและร้อนระอุห่อรอบชีวิตของเธอไว้ ประดุจดั่งบางอย่างที่ได้รับการระบุชะตาให้ต้องแบกรับสิ่งต่างๆ เมื่อยามต้องเติบใหญ่ ขณะที่ต้องโอบกอดพระอาทิตย์ไว้
‘อันที่จริงก็สักพักแล้ว’
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากความจริงนั่นคือ ความตื่นเต้นกะปรี้กะเปร่าของเธอนั้นจางหายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยความเงียบงันอันแน่นิ่ง
‘ที่ไม่มีฝันร้าย’
อลิซาเบธเปิดตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
เธอเผชิญหน้ากับฉากในจินตนาการตรงหน้า เบื้องหน้าเธอเป็นม่านอันมืดสนิท และมีเก้าอี้อยู่ฝั่งตรงข้าม
แต่ถึงอย่างนั้นบุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น กลับถูกย้อมด้วยสีดำที่มืดยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่รายล้อม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีแต่เพียงเค้าโครงร่าง
“——”
มันเริ่มขึ้นแล้ว
แขนขวายื่นออกมาจากความมืด
มือผอมๆจับตัวหมากตัวหนึ่ง และ
‘ตุ่บ’
เคลื่อนมันบนกระดาน
‘ให้สินบนเป็นเงินกับเหล่าทูตอย่างนั้นรึ?’
อลิซาเบธมองโต๊ะตรงหน้าด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก
‘……เป็นตาเดินที่รับมือยาก’
ประเทศสาธารณรัฐของเธอนั้นไม่ใช่ชาติที่รวย ไม่มีทางที่จะมีเงินพอจะติดสินบนในสงครามการทูตเป็นแน่
อลิซาเบธจึงเดินหมากกลับไปบ้าง เธอบอกได้แต่เพียงว่า กองทัพสีดำกำลังโดนกองทัพสีขาวกดดันอยู่
‘เขาก็เป็นแบบนี้แหละ ดันทาเลี่ยนมักจะตริตรองดูจนแน่ใจแล้วก่อนที่จะจู่โจมเข้าไปยังจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม’
อลิซาเบธทั้งประเมิน และวิเคราะห์การกระทำคู่ต่อสู้ของเธอในอดีตนับร้อยนับพันครั้ง
การสู้รบที่ภูเขาดำ,สงครามศักดิ์สิทธิ์ ,สงครามกลางเมืองฟรานเคีย และสงครามลิลี่
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้อลิซาเบธสามารถร่างภาพตัวตนของดันทาเลี่ยนออกมาได้
‘หากมองในมุมกลับ นี่ก็หมายความว่า เขาจะไม่ยอมโจมตีเลย หากยังไม่เห็นจุดอ่อนคู่ต่อสู้อย่างชัดเจน…….’
แขนยื่นออกมาจากในความมืดอีกครั้ง คราวนี้ขยับหมากและจับกุมทหารตัวหนึ่งของเธอไว้
อลิซาเบธถึงกับมีเหงื่อเย็นไหลลงมาโดนหน้าผาก
‘……เขาเร็วมาก’
ทิวทันและคัลมา จบลงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน นับตั้งแต่เริ่มทำการปะทะกันทางการทูต
มันเร็ว… เร็วเกินไป
‘ยึดป้อมปราการบนภูเขาดำได้ภายในสามวัน,
ใช้เวลาเจ็ดวัดยึด แบรนเดนเบิร์ก, และยังใช้เวลาอีกเพียงสิบวันในการทำให้ปารีสถึงคราววินาศ’
ทุกอย่างที่ดันทาเลี่ยนชี้นำนั้น โดนเร่งขึ้นมาอย่างไม่ปรกติ
กับความจริงที่ว่าผู้บัญชาการหญิงคนนั้น ,ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ ในฐานะลูกน้องของดันทาเลี่ยน ผู้เป็นเหตุให้ไฮเดลเบิร์กโดนยึดใน 11 เดือน
สิ่งนี้นับว่า ใช้เวลานานเกินไปสำหรับบุคคลที่ชื่นชอบกลยุทธรวดเร็วรุนแรง (blitz tactic)แบบดันทาเลี่ยน
อลิซาเบธรู้มาแต่แรกแล้วว่า การที่ป้อมปราการแตกนั้นไม่ใช่แผนของดันทาเลี่ยน
‘พฤติกรรมที่เขาแสดงออกมานั้น ยึดติดเป็นอย่างมาก
เขาเคลื่อนไปข้างหน้าเสมอราวกับถูกเวลาไล่บี้เข้ามา’
ดวงตาอลิซาเบธนั้นระยิบระยับด้วยความมืดหม่น
‘……ทำไมกันล่ะ?’
คนที่ถูกเวลาไล่กวดไล่บี้มามีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นมิใช่ผู้แข็งแกร่ง
ในช่วงสงคราม ผู้แข็งแกร่งจะเน้นไปที่ความปลอดภัยและทำการกดดันศัตรูของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องหุนหันขยับเคลื่อนอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังได้เปรียบอยู่
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำว่า ดันทาเลี่ยนอยู่ในฝ่ายผู้แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับใช้แผนการทูตที่เร่งด่วน
‘มีบางอย่างที่เขาต้องแก้ไขโดยเร็ว
สิ่งนี้ย่อมต้องเป็นคุกคามไปทั่วทั้งจักรวรรดิหรือไม่ก็กองทัพจอมมารแน่ๆ
ภัยคุกคามทางอ้อมนี้ อาจจะปะทุขึ้นหากเขาไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ภายในฤดูหนาวนี้’
อลิซาเบธหยิบตัวหมากขึ้นมา
‘ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม— จอมมารเอ๋ย?’
ตับ , เธอวางหมากตัวใหญ่ลงไป
เธอใช้ประโยชน์จากเหล่านักบุญหญิง นี่คือ การเดินหมากของเธอ
หากดันทาเลี่ยนชอบการใช้จุดอ่อนของฝ่ายคู่ต่อสู้ จึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน
กองทัพจอมมารไม่มีตัวแทนที่เป็นที่เคารพบูชาทางศาสนาที่จะเอามาต่อต้านกับพวกนักบุญหญิงได้
จะบอกว่าเป็นการเดินหมากตาสำคัญก็ว่าได้
“…….”
ที่เขานิ่งทื่อไปนั้น เพราะเป็นการโจมตีที่ไม่คาดฝันอย่างนั้นหรือ?
เงาที่ปกคลุมความมืดอยู่นั้นจ้องมองกระดานหมากรุกโดยไร้ถ้อยคำ ไม่ตอบสนองอะไรกลับมาสักพักหนึ่ง
แขนของเงานั้นขยับอย่างเชื่องช้า อลิซาเบธถึงกับนิ่วหน้ายามที่เห็นตาเดินของฝ่ายตรงข้าม
‘นักบุญหญิงลองวี่แห่งบริททานี่’
คู่ต่อสู้ของเธอกลับเป็นฝ่ายโต้กลับด้วยการโจมตีที่ไม่คาดฝัน
ลองวี่กลับเป็นฝ่ายกล่าวประณามเหล่านักบุญหญิงท่านอื่น เธอประกาศในนามของเหล่าทวยเทพว่า จะไม่มีการแบ่งแยกกันระหว่างมนุษย์และปีศาจอีกต่อไป หากผู้นั้นปรารถนาสันติไร้สงคราม โดยไม่ขึ้นกับสถานะ เพศ และเผ่า
เราทุกคนต่างล้วนแต่เป็นข้ารับใช้แห่งเหล่าทวยเทพ
‘ยอดเยี่ยม’
การต่อสู้ของนักบุญหญิงด้วยกันเอง ย่อมเป็นหมากตาเดินที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก
เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วหากนักบุญหญิงมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป ก็ย่อมทำให้ผู้คนสงสัย
นักบุญหญิงคนไหนพูดถูกกันแน่?
ผู้คนจะเริ่มคิดถึงปัญหานั้น และได้ข้อสรุปของตัวเองออกมา
และไม่มีทางที่จะกล่าวโจมตีฝ่ายจักรวรรดิอย่างเดียวอีกต่อไป
‘ช่างน่าประทับใจเสียจริงๆกับการที่เขาสามารถชักจูงเฮนริเอตต้าได้’
เฮนริเอตต้าค่อยๆสูญเสียการสนับสนุนจากเหล่าชนชั้นสูงไป
เขาจึงฉวยโอกาสนี้
‘ทำให้นักบุญหญิงลองวี่ได้รับการสนับสนุนจากฝูงชนที่เคยสูญเสียศรัทธาไปกับเฮนริเอตต้า
ด้วยการทำแบบนั้นเอง นักบุญหญิงลองวี่ก็จะได้ช่วยเหลือเฮนริเอตต้าอีกครั้ง แถมยังได้ฟื้นฟูชื่อเสียงที่เธอเคยสูญเสียไปมากมายก่อนหน้าอีกด้วย…….’
อลิซาเบธกวาดสายตาเร็วๆไปทั่วกระดานหมากรุก
อยู่ที่ไหนกัน? ด้วยกลวิธีใด ที่ทำให้นักบุญหญิงคนนั้นกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง? เขาโน้มน้าวเฮนริเอตต้าได้อย่างไรกัน?
‘รัฐบาลกลางของฟรานเคีย และเมืองทางตอนใต้’
ดวงตาของอลิซาเบธจับจ้องไปที่ จุดจุดหนึ่ง
‘เพลิงแห่งสงครามที่ลามไปทั่วทั้งสองฝ่าย ย่อมต้องการผู้เจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองกลุ่มอยู่แล้ว ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ จักรวรรดิฮับบวร์กจะก้าวเข้ามา
แต่ทว่า……เขากลับยกโอกาสอันดีงามนี้ให้กับนักบุญหญิงลองวี่ไป
แน่นอนจริงๆ ช่างเป็นตาเดินที่ยอดเยี่ยมมาก’
อลิซาเบธยิ้มบางๆ
‘เมื่อเทียบกับดินแดนภาคเหนือแล้ว, ดินแดนภาคใต้ของฟรานเคียนั้นค่อนข้างจะเป็นฝ่ายนิยมกษัตริย์อย่างเข้มข้น จึงไม่เป็นศัตรูจริงจังกับบริททานี่
จริงอยู่ที่พวกนั้นอาจจะปฏิเสธหากเฮนริเอตต้าจะมาเป็นผู่ไกล่เกลี่ย แต่พอเป็นนักบุญหญิงเข้ามาทำแทนให้มันก็อีกเรื่อง’
นักบุญหญิงนั้นอยู่เหนือความเกลียดชังขัดแย้งระหว่างชาติ
และทำตัวเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
อลิซาเบธจึงได้ข้อสรุป
‘คราวนี้นักบุญหญิงลองวี่ก็ได้ก้าวขึ้นมาเพื่อย้ำจุดยืนสำคัญเรื่องนี้ ’
หากเหตุการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป นักบุญหญิงลองวี่ย่อมได้รับชื่อเสียงอย่างมากมาย
ข้อแรก นักบุญหญิงได้ประกาศออกมาว่า สันตินั้นเป็นของทุกผู้ทุกนามโดยไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์
ข้อที่สอง นักบุญหญิงลองวี่นั้นอยู่เหนือการเมืองระหว่างบริททานี่และฟรานเคีย และได้นำพาทั้งคู่สู่สภาวะไร้สงคราม
ข้อที่สาม นักบุญหญิงลองวี่เคยถูกจับเป็นนักโทษของกองทัพจอมมารและยังเป็นนักบุญหญิงแห่งบริททานี่
แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังยืนอยู่ข้างนโยบายรักสันติไม่เอาสงคราม ทั้งที่ได้เปรียบกว่าทั้งฝ่ายกองทัพจอมมารและฟรานเคีย
ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ทุกคงก็ต่างเชื่อมั่นจากใจจริงแล้วว่า นักบุญหญิงลองวี่นี้เป็นผู้ที่รักสันติภาพอย่างแท้จริง
‘การกำเนิดขึ้นของนักบุญหญิงตัวจริงอย่างนั้นหรือ?’
นักบุญหญิงที่คอยช่วยเหลือเฮนริเอตต้า ในยามที่ตกอยู่ก้นบึ้งของหุบเหว
นั่นเป็นสิ่งที่ดันทาเลี่ยนใช้เพื่อเจรจากับทั้งราชินีเฮนริเอตตาและนักบุญหญิงลองวี่
‘นักบุญหญิงที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือจอมมาร ถ้าให้เลวร้ายกว่านั้น เธอกำลังถูกสรรเสริญยกระดับขึ้นเป็นนักบุญหญิงที่แท้จริงอีกด้วย!
ดันทาเลี่ยน, นี่นายวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
นี่นายคิดจะทำเหมือนมนุษยชาติเป็นเหมือนของเล่นไปถึงไหนกัน?’
อลิซาเบธจับจ้องเงามืดที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
มองในมุมของเธอแล้ว ดันทาเลี่ยนเป็นตัวตนที่เกิดขึ้นมาเพื่อยั่วโมโหมนุษย์โดยแท้จริง
เขาปฏิเสธสายสัมพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติที่เข้าร่วมกันต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา,เขาไม่แย่แสอำนาจราชวงศ์ของมนุษย์, และมาคราวนี้ยังเอาศรัทธาของผู้คนมาย่ำยีอีก
อลิซาเบธจับหมากของเธอแน่น
‘คราวนี้ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่นายต้องการอีกแล้ว’
อลิซาเบธต้องยอมรับจากใจจริงเลยว่า การผลักดันนักบุญหญิงลองวี่ออกมายืนแทนนั้นเป็นตาเดินที่ยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคิดกับตัวเอง
‘นายเผยจุดอ่อนของนายออกมาแล้ว, จอมมารเอ๋ย……!’
สาธารณรัฐบัทตาเวียนั้นมีวิหารอาร์เทมิสอยู่ และยังเป็นสถานที่ตั้งชื่อตัวตนปลอมๆดันทาเลี่ยนในสมัยที่ปลอมเป็นนักบวชว่า จอน โบล
ดังนั้นจอมมารผู้นั้นย่อมต้องมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับบัทตาเวีย
‘บัทตาเวียเองก็เข้าร่วมกับพวกเขาในสงครามที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแล้วเขาย่อมต้องมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับบัทตาเวีย
การให้บัทตาเวียเคลื่อนไหวแทนนั้นง่ายกว่าบริททานี่ด้วยซ้ำ’
แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
ดันทาเลี่ยนกลับทำให้บริททานี่กลายเป็นคู่ค้าทางการทูต
ทำไมกัน?
คำตอบนั้นเรียบง่ายมาก
‘ดันทาเลี่ยน , นายกำลังมีปัญหากับบัทตาเวียอยู่!’
ด้วยเหตุนี้เอง อลิซาเบธจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดดันทาเลี่ยนจึงได้รีบเร่งเหลือเกินในสงครามการทูต
ภัยคุกคามทั้งจักรวรรดิหรือกับกองทัพจอมมารนั้นมิใช่ใครอื่นใดเลยนอกจาก สาธารณรัฐบัทตาเวีย
(TTL : สมแล้วที่เป็นแฟนเกิร์ล เมนโอชิ พรี่ดัน
อ่านสถานการณ์ได้ไวไม่พอ แถมยังอ่านขาดด้วยว่า พรี่ดันเราบ้านแตก ระหองระแหงกับไพมอน )
‘ตามปรกติแล้ว ย่อมต้องเป็นบัทตาเวียสิ ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนผู้แรกในสงครามการทูต แต่บัทตาเวียกลับแสดงจุดยืนเป็นกลาง’
อลิซาเบธจึงมองการณ์ล่วงหน้าไปอีกก้าว
สาธารณรัฐบัทตาเวียก่อนหน้านี้เคยส่งจดหมายเป็นทางการมาก่อน
ในจดหมายฉบับนั้นร้องขอให้สาธารณรัฐฮับบวร์กเข้าร่วมในการประชุมของเหล่าประเทศสาธารณรัฐที่จะจัดขึ้น
ทีแรกอลิซาเบธคิดว่านี่เป็นแผนชั่วร้ายอีกแผนหนึ่งของกองทัพจอมมาร
เธอสงสัยว่า พวกนั้นอาจตั้งใจสร้างความร้าวฉานกันระหว่าง ฝ่ายนิยมสาธารณรัฐกับฝ่ายนิยมกษัตริย์ ของมนุษย์
แต่เมื่อเห็นท่าทีของดันทาเลี่ยนแล้ว มันทำให้เธอได้ข้อสรุปที่ต่างออกไป
‘การประชุมของเหล่าผู้นิยมแนวคิดสาธารณรัฐนั้นฝ่ายที่จะแตกแยก แบกขั้วกันมิใช่ฝ่ายมนุษย์ หากแต่เป็นฝ่ายกองทัพจอมมารเองต่างหาก
ข้าก็ไม่รู้ว่า ด้วยเหตุผลกลใด แต่อย่างน้อย นี่คือข้อสรุปของดันทาเลี่ยน’
ดังนี้แล้ว
‘นี่ก็แปลว่า ฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ กับฝ่ายต่อต้านสาธารณรัฐในกลุ่มกองทัพจอมมารเริ่มจะทะเลาะกันเอง’
รอยยิ้มด้วยความโล่งใจปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของอลิซาเบธ
เธอมองตรงไปข้างหน้า
‘นายน่ะไม่มีอำนาจพอที่จะควบคุมฝ่ายสาธารณรัฐในกองทัพจอมมาร
หรืออย่างน้อยๆก็มีฝ่ายหนึ่งในกองทัพจอมมารที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาย
ดังนั้นแล้วราชาเหมันต์ เอ๋ย, นี่คงเป็นจุดอ่อนของนายสินะ?’
ความเงียบงันที่คล้ายกับอยู่ในสุสานผ่านพ้นไป
เค้าร่างเงาที่เคยปกคลุมด้วยความมืดกลับค่อยๆสว่างจ้าขึ้นมา
จากปลายนิ้วจนถึงข้อมือ,ต้นแขน และต่อเนื่องขึ้นมาจนทั่วทั้งร่าง ปรากฏมาเห็นได้อย่างชัดเจน
เงาจางหายไปปรากฏเป็นบุคคุลผู้หนึ่งนั่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม
จอมมารดันทาเลี่ยน
สัญชาตญาณอันเฉียบคมของอลิซาเบธบอกเธอว่านี่เป็นโอกาสอันดี
ในที่สุดเธอจะได้โค่นล้มดันทาเลี่ยนลงได้แล้ว!
‘จับตัวนายได้แล้ว……!’
หากเธอรู้แล้วว่า คู่ต่อสู้กลัวอะไร ก็ไม่มีเหตุผลให้เธอจะต้องลังเลอีกต่อไป
บทสรุปของสงครามการทูตไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป เธอรับมือมันได้
และเธอก็จะทุ่มเททุกอย่างลงไปในการประชุมตัวแทนของสาธารณรัฐครั้งนี้ ที่จัดขึ้นก่อนสิ้นสุดช่วงฤดูหนาว!
นี่แหละที่จะสถานที่ให้เบาะแสในการจัดการกับดันทาเลี่ยน
ขณะที่อลิซาเบธกำลังดีอกดีใจอยู่นั้น เธอกลับระลึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
“……?”
มีสิ่งหนึ่งของร่างกายของอีกฝ่ายที่ยังถูกเงาดำปกคลุมอยู่ นั่นคือใบหน้า
ใบหน้าของเขานั้นมืดสนิท จนเธอดูไม่ออกว่า เขาแสดงสีหน้าอย่างไรออกมาขณะที่จ้องมองกระดานหมากรุกอยู่
‘……เดี๋ยวก่อน’
ตอนนั้นเองที่อลิซาเบธเพิ่งมารู้ตัว
‘หากเขาปรารถนาที่จะจับมืออย่างเป็นมิตรกับฝ่ายนิยมกษัตริย์เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้ามาวุ่นวาย หรือชิงชัยในสงครามการทูตนี่สิ’
ก็แค่เชิญทูตจากแต่ละประเทศและให้การต้อนรับดีๆก็เพียงพอแล้ว
ไม่มีเหตุผลจำเป็นใดๆที่ดันทาเลี่ยนต้องไล่ตามชัยชนะเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนั้นเลย
‘หรือสถานการณ์นี้มิได้เป็นอย่างเดียวที่กดดันเขาอยู่……?’
ทำไมนายต้องรีบเร่งขนาดนั้นกัน?
ทั้งๆที่นายเองก็ได้เปรียบอยู่ตอนนี้แล้วแท้ๆ
‘……!’
บังเกิดความรู้สึกแวบปลาบขึ้นมาที่ไขสันหลังของอลิซาเบธ
ณ ตอนนั้นเองกระดานหมากรุกในจินตนาการของเธอหายวับไปโดยสิ้นเชิง
ความมืดก็สลายตัวไป
อลิซาเบธเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที มิติมืดทั้งหมดหายลับ แทนที่ด้วยภาพออฟฟิศทำงานที่เธอคุ้นตา
ออฟฟิศอันเงียบงันของเธอ
อลิซาเบธบ่นพึมพัมกับตัวเอง
“……เขาคิดว่า ตัวเองเป็นฝ่ายผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ?”
MANGA DISCUSSION