บทที่ 307 – เพียงสองคนเท่านั้นบนทวีปนี้ (3)
* * *
สงครามที่ถูกขนานชื่อว่า เป็นสงครามหุ่นเชิดจบลงไปแล้วราว 3 เดือน ถึงมันจะจบไปแล้วแต่ผมก็ยังคิดว่า มันมีเรื่องดีๆให้พูดถึงอยู่
โลกปีศาจต่างเฉลิมฉลองให้กับผลลัพธ์ในสงครามครั้งนี้
พวกเขาต่างตื่นเต้นดีใจที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้รับความสำเร็จครั้งใหญ่อีกครั้ง และยังเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่า พวกมนุษย์น่าเวทนาพวกนั้นสมควรรู้ฐานะเสียบ้าง
ไม่นานนักก็มีสนธิสัญญาที่ทำกับกองทัพของบริททานี่ตามหลังมา
เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า 「อุปกรณ์ในการแสดงการยอมจำนน」
– ประวัติศาสตร์ได้จารึกถึงชัยชนะอันท่วมท้วนตั้งแต่การระดมพลกองทัพพันธมิตรในครั้งนี้และครั้งก่อนหน้า
– ไม่เพียงแต่มีการวางแผนยุทธศาสตร์มาอย่างยอดเยี่ยม แต่ผลพวงจากสงครามก็เป็นการเชิดชูเกียรติยศของเผ่าปีศาจให้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป
นั่นก็เป็นความเห็นโดยทั่วไปของคนธรรมดา
เงินจำนวนมากต่างหลั่งไหลเข้ามาตามชื่อเสียงที่มี
ยามเมื่อเหล่าผู้บัญชาการกลับมาที่เนฟเฮม ประชาชนของชาวเนฟเฮมต่างต้อนรับยิ่งยิ่งกว่าครั้งที่พวกเรากำจัดบาอัลได้เสียอีก คนนับหมื่นๆต่างมาเฝ้าดูการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของพวกเรา
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปรกติ การเฉลิมฉลองก่อนหน้าก็แค่กำจัดคนทรยศไปเพียงคนเดียว
แต่ครั้งนี้พวกเรามิได้แต่กำจัดคนทรยศเท่านั้น หากแต่ยังฆ่าล้างกองทัพฝ่ายมนุษย์ไปด้วย ก็สมควรที่พวกเขาจะดีใจกับเรื่องนี้มากกว่า
ว่าไปแล้ว เผ่าปีศาจต่างเชื่อว่า จักรวรรดิฮับบวร์กและสาธารณรัฐบัทตาเวีย ‘ต่างเชื่อฟังกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี’
ซึ่งนั่นก็โกหกล้วนๆ แม้จะมีความจริงแฝงอยู่เล็กน้อยก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละมันยากที่จะไปแก้ไขความเข้าใจของผู้คนน่ะนะ
การปลอมแปลงตัวเลข ยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายเราให้ดูน้อย และการเพิ่มจำนวนทหารฝ่ายศัตรูให้ดูเยอะ ก็เป็นหลักพื้นฐานอยู่แล้ว
พวกเรากำจัดกองทัพจำนวนมหาศาลที่มีจำนวนมากกว่าเจ็ดหมื่นนาย ในขณะที่ฝ่ายเราสูญเสียไปราวๆสองพันนาย
ชัยชนะครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์อย่างมิต้องสงสัยเลยล่ะ จะว่าไปแล้ว แนวโน้มความคิดเห็นของสาธารณะนี่ควบคุมง่ายเหลือเกินนะ
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ดาวเด่นแห่งสงครามในครั้งนี้ย่อมต้องเป็นลอร่า
มีหลายคนเหมือนกันนี่วิจารณ์การที่ให้มนุษย์ผู้หนึ่งมาเป็นผู้บัญชาการ ‘กองทัพปีศาจที่ยิ่งใหญ่’
เหตุผลที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราประสบความสำเร็จได้รับชัยชนะเด็ดขาดขนาดนี้ เพราะความยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจหรอก ไม่ใช่เพราะมนุษย์นี่อ่อนแอและน่าสังเวชนั่น…….
คนโง่มีอยู่ทุกที่แหละนะ ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์หรือโลกปีศาจ
มาร์บาสได้แถลงการณ์โต้แย้งข้ออ้างน่าหัวร่อนั่น
“ถึง ลอร่า เดอ เฟอร์นาเซ จะเป็นมนุษย์ แต่ถึงกระนั้น ความสามารถและความภาคภูมิใจของเธอนั้นมิอาจมีใครเทียบทานได้
โอ เหล่าปีศาจผู้อวดดีเอ๋ย เมื่อไหร่กันที่พวกเราตัดสินผู้อื่นด้วยชาติพันธุ์มิใช่ความสามารถ?
ยุคสมัยที่จอมมารได้บงการโดยง่ายเพียงเพราะเป็นจอมมาร และผู้คนที่ประสบความสำเร็จเพียงเพราะเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้จบลงแล้ว”
มาร์บาสยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเข้มและสงบ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา
“เผ่าปีศาจทั้งหลาย , พวกเรานั้นเป็นนักรบ
แม้เจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง หากความภาคภูมิใจของเจ้าเป็นของสูงส่ง เจ้าย่อมต้องเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม
ตัวข้า, ในฐานะหนึ่งในตัวแทนของกองทัพจอมมาร ปรารถนาที่จะแสดงความเคารพนับถือต่อ ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ ในฐานะสหายนักรบ”
ที่นักรบนั้นยืนเหนือผู้อื่นได้มิใช่เพราะสิทธิ์ที่ได้มาโดยกำเนิด หากแต่เป็นเพราะทักษะความสามารถของผู้นั้นล้วนๆ
นั่นคือ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจของเผ่าปีศาจ
แต่ถึงกระนั้นกลับมียศชั้นลำดับศักดิ์ที่น่าชังแอบซ่อนอยู่ในโลกปีศาจ
มาร์บาสกำลังพิพากย์ถึงสิ่งนั้นอยู่
แต่มันยังไม่หมดเท่านั้น
“ข้ายังมีข่าวร้ายอย่างหนึ่งเช่นกัน
ช่วงระหว่างสงครามนี้ พวกเราได้เปิดโปงกลุ่มบุคคลที่กระทำการอันเห็นแก่ตัว ทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่สนใจชัยชนะโดยรวม
พวกนั้นแยกตัวไปจากกลุ่มพวกเราแล้วทำการปล้นฆ่าชาวหมู่บ้านก่อนจะเผาทำลายทิ้งในภายหลัง
พวกเราเชื่อว่า มีจอมมารบางคนให้การสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านั้น…….”
คำประกาศดังกล่าวสร้างความสะเทือนต่อฝูงชน
ผมไม่ได้สละแค่หน่วยใดหน่วยหนึ่งไปฝ่ายเดียวหรอก หน่วยที่เป็นของฝ่ายปีศาจผมก็ฆ่าล้างไปด้วยเช่นกัน
เหตุผลน่ะหรือ ง่ายๆตรงๆเลย หากผมส่งไปแต่หัวมนุษย์ ฟรานเคียก็จะมีข้อสงสัยในตัวพวกเรา
แต่หากพวกเราส่งหัวปีศาจไปด้วยแล้ว ความสงสัยของพวกนั้นย่อมต้องน้อยลงมาก
‘พวกเราจะพยายามสุดกำลังเพื่อที่จะควานหาตัวผู้บงการเบื้องหลังการฆ่าล้างให้ได้’,นั่นเป็นท่าทีที่พวกเราแสดงต่อพวกเขา
“ข้าปรารถนาที่จะบอกเล่าข่าวสถานการณ์เรื่องนี้ให้ทุกคนรับรู้
เนื่องจากสงครามนี้มิใช่เป็นสงครามของกองทัพจอมมารเพียงฝ่ายเดียว หากแต่เป็นสงครามที่เป็นไปเพื่อปีศาจทั้งผอง
ผู้คนทรยศพวกนั้นกำลังเย้ยหยัน ผู้คนทุกคนบนโลกปีศาจอยู่”
หน่วยที่ขัดขืนคำสั่งพวกเรานั้นมาจากพื้นทวีปมิใช่จากโลกปีศาจ
เจ้าพวกนั้นเป็นออร์คที่ได้รับการว่าจ้างจากบนผิวทวีป
ตัวตนแบบเจ้าพวกนั้นมักจะจำแนกว่าเป็นมอนสเตอร์มากกว่าเป็นีศาจ การเป็นปีศาจได้นั้นจะต้องมีสติปัญญาสูง
ดังนั้นที่ผู้คนบนทวีปเรียกว่า เป็นมอนสเตอร์ก็เพราะว่า ไม่มีสติปัญญานั่นแหละ
ในความเป็นจริงแล้ว เผ่าปีศาจนั้นมีความลำเอียงมากยิ่งกว่ามนุษย์
ไม่ว่าจะปีศาจหรือมอนสเตอร์ หากสติปัญญาน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งต่อต้านจอมมารได้ยากเท่านั้น
ดังนี้แล้ว ในการที่จะขัดคำสั่งผู้บัญชาการระดับสูงที่สั่งมาโดยจอมมาร……จึงจำต้องมี ‘จอมมารตอื่น’ บงการเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว
“พวกเราพอเดาออกด้วยว่า จอมมารตนใดทรยศพวกเรา”
มาร์บาสพูดด้วยน้ำเสียงเคร่ง
“แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็รู้ดีว่า จอมมารตนนี้สามารถที่จะมอบคำสั่งอันทรงพลังจนสามารถให้ผู้รับคำสั่งเมินเฉยต่อคำสั่งของผู้บัญชาการได้
ข้าไม่เชื่อว่า เหล่าผู้บัญชาการนั้นจะทรยศพวกเรา
พวกเขาต่างร่วมสู้อย่างเต็มกำลังในสงครามครั้งนี้”
ผู้คนนับหมื่นถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง ใครกันที่มันกล้ามาหักหลังกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราอันศักดิ์สิทธิ์?
มาร์บาสมองลงไปยังฝูงชนที่เนืองแน่นย่านการค้า
“โอ เหล่าปีศาจผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย!
ข้าขอถามพวกเจ้าสักคำถามหนึ่ง
บุคคลผู้หนึ่งที่เสียหยาดเหงื่อแรงกาย เสียเลือดเสียเนื้อ อันเป็นเหตุนำมาซึ่งชัยชนะของพวกเรานั้น เป็นมนุษย์
ในขณะที่บุคคลผู้คิดคดทรยศพวกเราเพื่อหวังผลประโยชน์ของตัวเอง กลับเป็นจอมมาร
ระหว่างสองบุคคลนั้น ใครกันแน่คือ นักรบตัวจริง? ใครกันแน่คือ สหายของเรา? ข้าขอให้พวกเจ้าคิดดูให้ดี…….”
ถูกแล้วล่ะ
นี่เป็นสาเหตุที่ผมไม่ปฏิเสธการฆ่าล้างที่เกิดขึ้นในทางภาคใต้ของฟรานเคีย
มันจะทำให้กองทัพพันธมิตรที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างปีศาจและมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่ถูกระเบียบไป
อำนาจและชื่อเสียงของลอร่าก็ยังได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น
นั่นเป็นเป้าหมายแรก แต่ยังมีเป้าหมายสำคัญอื่นอีก
มาร์บาสได้ประกาศไปแล้วว่า ผู้บัญชาการทั้งหลายที่เข้าร่วมสงครามนี้เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วใครเป็นผู้ร้ายกันล่ะ?
‘จอมมารผู้แข็งแกร่งแต่ไม่ได้ร่วมกับสงคราม’
ตัวตนพวกนั้นกลับถูกตั้งข้อสงสัย
กองทัพจอมมารที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ มีกติกาใหม่ หลังจากที่บาอัลโดนฆ่า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีจอมมารจำนวนหนึ่งปฏิเสธที่จะร่วมมือกับพวกเรา
ลำดับ 6 วาเลฟอร์ และลำดับ 7 อามอน เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้…….
ตัวตนพวกนั้นที่เป็นจอมมารเลขหลักเดียวนับเป็นภัยคุกคามอย่างมาก
พวกนั้นไม่ได้ต่อต้านการปฏิรูปกองทัพจอมมารใหม่ก็จริงแต่ก็ไม่ยอมเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เจ้าพวกนั้นเป็นเหมือนหนามแทงใจฝ่ายเรา
จริงๆก็ยังมีจอมมารบางส่วนที่ไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเราเหมือนกัน ปัญหาก็คือ เจ้าพวกนั้นมันรวมกลุ่มกันน่ะสิ
ในกรณีแบบนั้นก็มักจะมีจอมมารที่แข็งแกร่งพอจะต่อต้านพวกเรา ทำตัวเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม
ทั้งวาเลฟอร์และอามอนเองก็เป็นศัตรูตัวฉกาจ
แมลงสาบแค่เพียงตัวเดียวก็นำโรคภัยมาได้มากมาย คุณต้องกระทืบมันให้ตายในทันที
การฆ่าล้างที่เกิดขึ้นในตอนใต้ของฟรานเคียมาได้จังหวะพอดี
หากพวกเราลุกฮือขึ้นต้านอลิซาเบธ ก็จะจบลงตรงที่ว่างทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีหลักฐานด้วยกันทั้งคู่
การยอมตามน้ำใช้ประโยชน์จากสถานการณ์พวกกำจัดศัตรูที่อยู่ภายในกลุ่มย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่า
“ขณะนี้พวกเรากำลังสืบหาตัวผู้กระทำความผิดและเชื่อว่าจะได้ตัวในเร็วๆนี้
ข้าขอสาบานว่า ตัวจริงของพวกนั้นจะถูกเปิดโปงสู่สาธารณะ”
นี่เป็นวิธีการเตือนพวสกเขา
เหล่าจอมมารที่ยังเฉื่อยแฉะและยังทำตัวดื้อเงียบอยู่ จงฟังไว้ซะ
จะมาทำตัวแบบครึ่งๆกลางๆลังเลต่อไปไม่ได้
มีสองทางคือ จะร่วมมือหรือจะต่อต้าน จงเลือกมา
หากเลือกอย่างหลังก็จงรู้ไว้ว่า มันจะนำไปสู่เส้นทางเดียวกันกับบาอัลและอกาเรส…….
พวกเราได้เตรียมนักเวทย์ล้างสมองมอนเตอร์หลายต่อหลายตัวเตรียมไว้แล้ว
เจ้ามอนสเตอร์พวกนั้นต่างเชื่อสุดใจเลยว่า ที่ตัวเองทำลงไปนั้นก็ด้วยคำสั่งของวาเลฟอร์และอามอน
หากวาเลฟอร์และอามอนยังคงไม่คำเตือนสุดท้ายนี้……อืมม ก็คงมีแต่ต้องนองเลือดแล้วล่ะนะ
การนองเลือดเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับบาอัลและอกาเรส
ผมไม่ใส่ใจนักหรอกแม้มันจะเกิดขึ้นอีกสักครั้งสองครั้ง
วันต่อมา
ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะของพวกเราที่จัดขึ้น ณ วังเนฟเฮม
วังที่ครั้งหนึ่งเคยพังทลายไปด้วยฝีมือของบาอัลกลับได้รับการบูรณะซ่อมแซมขณะที่เราไปรบ
ที่ยังมีซากอิฐ ปูน และเหล็กเหลือไว้นั้นก็เนื่องจากพวกเราตั้งใจรักษาพื้นที่นั้นไว้ไปตลอดกาล เราเรียก พื้นที่ตรงนั้นว่า ‘จุดจบของคนทรยศ’
ุทุกผู้ทุกนามที่เป็นที่รู้จักกันในนามหัวกะทิของโลกปีศาจต่างมาเข้าร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้
ตั้งแต่ตัวแทนภาคประชาชนชาวเมืองเนฟเฮม ไปจนถึง ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทพ่อค้า และอาร์คดยุคแห่งโลกปีศาจ
พวกเขานั้นต่างรุมห้อมล้อมเหล่าผู้บัญชาการและพูดคุยกันอย่างออกรส
ส่วนอีกทางหนึ่ง ลอร่าเองก็โดนห้อมล้อมไปด้วยปีศาจชนชั้นสูงหลายคนและยังมีที่ถือสมุดลายเซ็น
จอมมารสหายของพวกเราก็ย่อมต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้อยู่แล้ว
“ดันทาเลี่ยน, จะรังเกียจไหมหาก พวกเราจะขอคุยด้วยสักหน่อย?”
ชายผู้สวมเครื่องแต่งกายประณีตพูดขึ้นกับผม เขานั้นหัวโล้นและมีผิวเข้ม เข้มแบบสีทองแดง
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นมีผมสีขาวบริสุทธิ์ทั้งยังมีผ้าปิดตาทั้งสอง
วาเลฟอร์และอามอน ทั้งคู่เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วยเช่นกัน
ผมยิ้มรับอย่างสดใส
“แน่นอนครับ ข้าจะปฏิเสธคำเชิญชวนจากฝ่าบาททั้งสองได้อย่างไรกัน?”
“…….”
“อาจจะเป็นการรบกวนสักหน่อย,หัวหน้าล็อดบรอค
ข้าพูดคุยกับฝ่าบาททั้งสองสักครู่”
ผมพูดกับอิวาร์ราวกับขออนุญาต
อิวาร์, บุคคลผู้ซึ่งกลับมาใช้ร่างกายของชายชราอีกครั้ง ได้โค้งแสดงความเคารพให้ก่อนที่จะเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของห้องงานเลี้ยง
ส่วนพวกเราก็เดินไปยังระเบียงที่อยู่อีกมุมหนึ่งของสถานที่จัดงานเลี้ยง
“สิ่งที่มาร์บาสพูดไปเมื่อวานนั้นหมายถึงอะไร?”
ทันทีที่ประตูห้องริมระเบียงปิดลง วาเลฟอร์ก็ถามขึ้นมาทันที
ความอดรนทนไม่ไหวแสดงออกมาในดวงตาคู่นั้นของเขา
แหม ๆ เขาคงรู้สึกกดดันมากแน่หลังจากได้ฟังสุนทรพจน์เมื่อวานนี้ไปน่ะ
“ก็อย่างที่เจ้าทราบดี ข้าเองทุ่มเททั้งหัวใจและจิตวิญญาณให้แก่สงครามในช่วงพันธมิตรเสี้ยวจันทราเช่นกัน
ข้าเชื่อว่า เจ้าก็ไม่ลืมเรื่องที่ข้าต้องออกจากปราสาทจอมมารตัวเองแล้วไปยังทุ่งราบบรูโน่”
“แน่นอนครับ”
ผมหย่อนตัวนั่งลงเก้าอี้แล้วตอบกลับอย่างเรียบเฉย
“แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงเรื่องที่ว่า มีการฆ่าล้างเกิดขึ้นทางตอนใต้ของฟรานเคียก็ไม่อาจลบล้างได้อยู่ดี ,ฝ่าบาท”
“ดูยังไงก็น่าจะเป็นฝีมือของจอมมารที่เข้าร่วมสงครามมากกว่า
ดันทาเลี่ยน, ข้อกล่าวหานั่นมันบ้าบอเกินไปแล้ว
ทำไมข้าต้องส่งกองทัพไปเป็นการลับเพื่อหวังเพียงเศษเงินเช่นนั้นด้วยเล่า!?”
ผมถอนใจออกมา
“ทั้งผู้กระทำและเป้าหมายของผู้กระทำยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด”
“เอาตรงๆนะ ดันทาเลี่ยน การฆ่าล้างนั้นมันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า?
อย่าบอกนะ ว่าเจ้าน่ะตั้งใจจัดฉากสร้างสภาพการณ์ปลอมๆนี่ขึ้นเพื่อหวังข่มขู่พวกเรา”
ผมจับจ้องไปที่วาเลฟอร์
“นี่ท่านกำลังสงสัยในเจตนาของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราอย่างนั้นหรือครับ?”
วาเลฟอร์หุบปากสนิทในทันที
อามอนนั่งฟังบทสนทนาระหว่างเราสองคนอย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาทครับ,ข้าไม่คิดจะเสี่ยงชีวิตตัวเองไปหาเรื่องสู้รบกับจอมมารในกองทัพพันธมิตรหรอกครับ ข้าไม่ปรารถนาที่จะสงสัยสหายศึกที่รบกันมาด้วยกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่อยากให้ฝ่าบาททั้งสองผู้อารี และยังเป็นสหาย ต้องตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย”
“……เป้าหมายของนายคืออะไร?”
อามอนพูดขึ้น น้ำเสียงของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยเมตตาและสงบรื่นหูราวกับเป็นเสียงนักบุญหญิง
“ข้าไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องแผนการทางการเมืองนัก
ข้าแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลยมาตลอดชีวิตของข้า
แต่สิ่งที่ข้าเข้าใจมีเพียงสองอย่าง
คือ กลุ่มของเจ้ากำลังข่มขู่พวกเรา และ เจ้าต้องการจะเจรจาต่อรอง”
ผมส่ายหน้า
“ฝ่าบาทอามอนครับ, พวกเราไม่เคยคิดคุกคามท่าน
หากจะเกิดขึ้นโดยเจตนาก็มีแต่ พวกเราที่พยายามจะปกป้องฝ่าบาททั้งสองจากการโดนใส่ความ”
“……ถ้าเช่นนั้นแล้ว,อะไรคือราคาที่พวกเราต้องจ่ายเพื่อให้รับรองความปลอดภัยของพวกเรา?”
อามอนถามกลับ
ตรงประเด็นดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่นอะไรเช่นนี้
“เมื่อกองทัพจอมมารจัดประชุมขึ้น ขอให้เข้าร่วมในการประชุมนั้นด้วย
ต่อให้ฝ่าบาททั้งสองมิได้เข้าร่วมสงครามก็ตาม, ข้าจะถามถึงความต้องการของพวกท่านในคราวหน้า”
“เจ้ากำลังจะบอกให้เราร่วมมือกับกลุ่มที่เจ้าสร้างขึ้นมาน่ะหรือ”
ผมยิ้มรับ
“พวกเราไม่ต้องการกองทัพจอมมารสองกองในโลกนี้หรอก ท่านคิดอย่างนั้นไหมครับ?”
“…….”
สัปดาห์ต่อมา ผลของการสอบสวนทหารหนีทัพก็จบลง
ช่างเป็นโชคไม่ดีเลย ที่พวกทหารหนีทัพพวกนั้นไม่ยอมเปิดเผยผู้บงการเบื้องหลังแม้จะโดนทรมานอย่างหนักแล้วก็ตาม
นักเวทย์หอคอยให้ความเห็นว่า พวกเขาเชื่อว่า ต้องมีการใช้เวทย์ล้างสมองที่ทรงพลังเป็นอย่างมากใส่
ผู้คนต่างโมโหผู้คนทรยศที่ไม่ทราบตัวตนเหล่านั้น
สงครามหุ่นเชิดก็ปิดฉากลงโดยสมบูรณ์
สงครามที่ประดับประดาไปด้วยคำโกหกตั้งแต่เริ่มต้นไปยันตอนจบ
MANGA DISCUSSION