บทที่ 285 – สงครามหุ่นเชิด (2)
* * *
ปฏิทินทวีป, 1511 ,ต้นเดือนมิถุนายน
ทหารของพวกเราเดินทัพผ่านลมฤดูร้อนและไปรวมตัวกันได้สำเร็จที่แดนตะวันตกเฉียงเหนือของฟรานเคีย
ปีนี้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวนั้นขาดแคลน แม้แต่ลอร์ดผู้บ้าสงครามทั้งหลายก็ยังหลีกเลี่ยงการเดินทัพในช่วงเวลาดังกล่าว
เนื่องจากมันจะเป็นการทำลายผลผลิตที่ปลูกไว้ในช่วงฤดูร้อน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นช่วงที่ผู้คนต่างไม่ยินยอมที่จะไปเกณฑ์ทหาร
พูดง่ายๆก็คือ—มันเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับกองทัพจอมมารที่จะบุกโลกมนุษย์
ปีศาจนั้นไม่ต้องยึดติดกับผลผลิตการเก็บเกี่ยวตามฤดู ผิดกับมนุษย์
ในช่วงที่มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจไปสงครามได้อย่างเสรี กองทัพจอมมารจะทำอย่างไรก็ได้ในช่วงนี้
นี่อาจเป็นสาเหตุที่พวกอัศวินจึงมีวิวัฒนาการสูงโดดเด่นเช่นนี้
พวกนั้นต้องการพละกำลังมหาศาลเพื่อจัดการกับปีศาจโดยไม่ขึ้นกับเวลา ไม่ขึ้นกับสถานที่ หรือฤดูเก็บเกี่ยว
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม หากมีกองทหารมากเกินไปก็จะมีคนทำไร่ทำสวนน้อยลง
ดังนั้นแล้วจึงสามารถทำได้แต่เพียงหน่วยทหารชั้นแนวหน้ากลุ่มเล็กเท่านั้น…….
มันช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจนัก การมีอยู่ของมอนสเตอร์เพียงอย่างเดียวก็สร้างความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ได้อย่างมหาศาล
การก่อตั้งสถาบันฝึกอัศวินของแต่ละชาติเป็นสิ่งจำเป็น
พวกนั้นจะได้มีหน่วทหารม้าที่เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนพลเมื่อไหร่ก็ได้ที่กองทัพจอมมารบุกเข้ามา
จะว่าไป การสร้างป้อมปราการที่ทรงพลังเองก็เป็นจุดสำคัญในการเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน
แต่ทว่า พวกเขาจะทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อสร้างทหารม้าดี? หรือควรที่จะทุ่มเพื่อสร้างป้อมปราการหลายๆป้อมดีล่ะ……?
ทั้งสองอย่างต่างมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น
หลายชาติของฝ่ายมนุษย์ต่างเลือกทั้งสองอย่างผสมผสานกันไป ฮับบวร์กเป็นตัวอย่างที่ดีมากในเรื่องนี้
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง
ราชอาณาจักรบริททานี่เองมุ่งเน้นไปที่การสร้างอัศวิน
เมืองหลวงของบริททานี่นั้นไม่มีแม้กระทั่งแนวกำแพงเมือง มันถูกพังทิ้งมากว่า 500 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ถูกมอนสเตอร์ทุบทำลายแต่อย่างใด
น่าแปลกมากที่มันโดนทุบด้วยน้ำมือของชาวบริททานี่เองนั่นแหละ
เหตุผลของเจ้าพวกนั้นมันบ้าบอมาก
“กำแพงนั้นเป็นสิ่งที่พวกขี้ขลาด มันใช้กัน”
“ผู้คนจะเอาแต่เกียจคร้าน และจะเชื่อว่า จะปลอดภัยหากเอาแต่หลบอยู่หลังกำแพง
จึงไม่ยอมสู้ตรงๆบนสมรภูมิ และยังเลือกที่จะหนีไปแทนด้วย”
“ดังนั้นแล้ว การมีแนวกำแพงเป็นเส้นทางที่จะนำมนุษยชาติไปสู่ความอ่อนแอ”
คำโต้แย้งนั้นฟังดูธรรมดาๆ และยากที่จะสร้างความประหลาดใจ
แต่สิ่งชวนให้ตกใจจริงๆคือ ความจริงที่ชาวบริททานี่ดันเห็นด้วยกันหมดนี่สิ!
ผู้คนก็เลยต่างคว้าอีเต้อขึ้นมาแล้วทุบทำลายกำแพงทิ้ง
แล้วเอาหินที่เคยเป็นแนวกำแพงไปสร้างสถานบันฝึกทหารแทน…….
แบบนี้พูดได้ว่า เจ้าพวกนั้นมันวิปริต จิตผิดปกติได้หรือเปล่า?
เจ้าพวกนั้นมันต้องเป็นเผ่าพันธุ์บ้าการรบที่มีสมองกล้ามเป็นแน่
“นี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไมบริททานี่ถึงเก่งกาจอย่างไม่น่าเชื่อหากเป็นการสู้รบในทุ่งราบ”
ลอร่ากล่าวสรุป
ตอนนี้เธอคุมการประชุมในขณะที่กองทัพหลักกำลังตามทัพหน้าไป
จอมมารทั้งหลายต่างสวมชุดยูนิฟอร์มสีสวย นั่งอยู่ในเต๊นท์ใหญ่
ลอร่าอธิบายกลยุทธอย่างสงบนิ่งท่ามกลางสายตาของจอมมาร
“ไม่ว่ะด้วยความสามารถหรือด้วยความกล้าหาญ กองทัพบริททานี่มีความชำนาญเป็นอย่างมากในการสู้รบบนทุ่งราบ
เราผ่านป้อมปราการใหญ่มาถึงสามป้อม ผ่านช่องทางตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนฟรานเคีย แต่พวกบริททานี่กลับไม่พยายามป้องกันเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาไม่สนใจป้อมปราการ”
พวกเขาสั่งให้กองทัพแนวหน้าที่มีแต่ชาวฟรานเคีย ออกรบ
มันเป็นอะไรที่ผิดปกติมากสำหรับกองทัพคนปกติที่ธรรมชาติแล้วจะคัดค้านการสู้รบกับมอนสเตอร์ในที่เปิดโล่ง
“ดูเผินๆอาจดูเหมือนว่า จะเป็นพวกโง่ที่ทำอะไรอย่างเปล่าไร้ แต่……หากจะเทียบกับความสามารถภายในกองทัพแล้ว พวกนั้นมีความสามารถในการก่อสงครามได้ทุกที่
หรือจะเรียกว่า แนวรับเคลื่อนที่ได้ ก็ได้”
“……แนวรับเคลื่อนที่ หรือ? ข้าไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อนเลยแฮะ”
บาร์บาทอสส่ายหัว
เพิ่มเติมก็คือ บาร์บาทอสจะอ่อนแอลงในช่วงฤดูร้อน ไม่ใช่เพราะร้อนอย่างเดียวหรอก ที่ทำให้เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นบนหน้าผากของพวกเรา
มันออกจะเป็นปัญหามากเหมือนกันหากรอบอกน้อยๆของเธอจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซึ่งนั่นทำให้ยิ่งดูลามกขึ้นไปอีก
อื้มมมม, ผมตัดสินใจได้แล้วล่ะ คืนนี้ทำกับบาร์บาทอสดีกว่า
“…….”
มกุฏราชกุมารหุ่นเชิด ,รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก ถือพัดขนาดใหญ่ไว้
เขากำลังพัดวีให้กับบาร์บาทอส ถึงแม้จะตายแล้ว เจ้าหมอนี่ก็ยังทำตัวไม่น่าดูอยู่ดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกำลังพัดให้กับนายพลธรรมดาๆ
“การสู้รบเคลื่อนที่นั้นเป็นการสู้รบขณะที่เคลื่อนพลไปด้วย
ว่าแต่ แนวรับเคลื่อนที่มันคืออะไรกัน สร้างแนวรับไปด้วย เคลื่อนพลไปด้วยหรือ?”
“ในการสู้รบเชิงตั้งรับ
เป้าหมายหลักคือ การ ‘กีดขวางศัตรู’ ตัวอย่างก็เช่น การตั้งรับด้วยป้อมปราการ
ในกรณีอย่างนั้น ทั้งฝ่ายปิดล้อมและฝ่ายที่ตั้งรับก็จะค่อยๆบั่นทอนกำลังทหารของอีกฝ่าย จนกว่าจะไปถึงจุดจบ”
แม้ลอร่าจะพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่ก็เจือความหรรษาอยู่
“ผู้ชนะคือผู้ที่ครองขวัญกำลังใจทหาร และสามารถรักษาเสบียงได้นานกว่า
ในสถานการณ์ที่สุดโต่งแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จะเสียสิ่งเหล่านั้นไประหว่างการรบแนวตั้งรับ แต่ยากมากที่จะเสียทหารทั้งหมด”
การยึดไฮเดลเบิร์กก็เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
ป้อมปราการนั้นมีทหารมากกว่าหมื่นนาย แต่กลับสูญเสียไปในการสู้รบแค่ไม่กี่ร้อยนาย
การต่อสู้แนวๆนี้ก็เป็นแบบนั้นแหละ เวลาโดยมากใช้ไปกับการเฝ้ารอให้เสบียงอาหารของศัตรูหมด
“ในขณะเดียวกัน การรบเคลื่อนพลนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่การฆ่าล้างศัตรูให้หมดสิ้น
คุณจะพยายามเร่งให้เกิดสงครามปะทุเร็วที่สุดแล้วมุ่งส่งทหารชั้นแนวหน้าไปยังที่ที่เดียว เพื่อสร้างการปะทะที่รุนแรง
บริททานี่ยึดมั่นกับวิธีการเช่นนี้”
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆก็อย่างที่การสู้รบที่ทุ่งราบเดนิส การรบที่ผมพ่ายแพ้
“ดังนั้นแล้ว บริททานี่จึงค่อนข้างรอบคอบมากกับการเลือกสมรภูมิรบว่า ควรจะรบที่ไหน เมื่อไหร่ ตามที่พวกเขาต้องการ”
“อื้มฮึ”
“แผนการของพวกเราก็คือ ให้มันเป็นไปตามนั้นนั่นแหละ”
ลอร่ายิ้มบางๆ
“อย่างที่ทุกคนทราบดี , เกิดการฆ่าล้างครั้งใหญ่ในเมืองปารีส
ตอนนี้สังคมในปารีสต่างตกอยู่ในความวุ่นวาย
จากมุมมองของราชินีเฮนริเอตต้า เธอย่อมต้องกังวลกับการลุกขึ้นมาปฏิวัติ
ดังนั้นเธอย่อมไม่ส่งทหารของเธอออกไปไกลนัก โดยเผื่อไว้ในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นแล้ว”
ณ เมืองชายขอบของปารีส
นั้นมีที่ราบกว้างมากพอที่ทหารม้าจะสามารถเคลื่อนพลได้โดยสะดวก
“พวกเขาจะเลือกที่นั่นเป็นสมรภูมิในการรบก็เพราะเงื่อนไขดังกล่าว
จากมุมมองของบริททานี่แล้ว ป้อมปราการนั้นช่างไร้ค่า
ป้อมปราการนั้นมักสร้างอยู่บนช่องแคบเนินเขา”
ลอร่าใช้แท่งไม้ชี้ไปที่แผนที่
“เช่นนั้นแล้ว พวกเราควรจะใช้ประโยชน์จากกลยุทธของบริททานี่ให้เต็มที่”
* * *
“พวกเราจะตั้งค่ายโดยให้แม่น้ำมาเน่อยู่ด้านหลัง”
เฮนริเอตต้าประกาศ
มาเน่เป็นชื่อแม่น้ำที่ไหลทางตะวันออกของปารีส นายพลส่วนใหญ่ที่มองด้วยความสงสัยจึงถามกลับไป
“ฝ่าบาท, แม่น้ำมาเน่นั้นก็ใกล้กับปารีสมากเกินไป ศัตรูอาจกวาดล้างเมืองนั่นพร้อมกับบุกพวกเราก็ได้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะเดินทัพไปไกลกว่านี้?”
“ไม่ พวกเราได้กำจัดกลุ่มที่เป็นอันตรายต่อพวกเราไปแล้ว แต่ก็ยังมีพวกหนูท่อซ่อนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง”
เฮนริเอตต้าส่ายหัวยืนยัน
“ความเห็นส่วนใหญ่ของประชาชนย่อมไม่ดีแน่ เพราะพวกเราฆ่าไปไม่เลือกหน้า เจ้าหนูท่อพวกนั้นมันจะทำการปลุกระดม และลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างไม่ต้องสงสัย
หากพวกเราห่างจากปารีสมากเกินไป ก็จะเกิดขึ้นลุกฮือขึ้นมา”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เหล่านายพลต่างพยักหน้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่พวกเขายังสงสัย
“แต่เหตุใดจึงต้องให้แม่น้ำอยู่ด้านหลังพวกเราด้วย? มันไม่ขัดกับหลักฐานพื้นฐานในการรบหรอกหรือครับ…….”
“นี่ก็เพื่อล่อศัตรูออกมา”
เฮนริเอตต้ายิ้ม
“จากมุมมองของศัตรูพวกเราจะ โผล่ออกมาหากเส้นทางหลบหนีของพวกเราโดนปิดกั้น พวกนั้นย่อมต้องคิดว่า พวกมันสามารถไล่ต้อนเราไปทีละน้อยได้
หากดูให้ดีจะรู้ว่า กองทัพจอมมารนั้นชอบการสู้ในที่เปิดโล่งมากกว่าการปิดล้อม ดังนั้นเจ้าพวกนั้นจะพุ่งเข้ามาสู้กับพวกเราอย่างแน่นอน”
ตามปรกติแล้ว มนุษยชาติจะเป็นฝ่ายสู้รับเชิงตั้งรับ ในขณะที่พวกจอมมารจะเป็นผู้รุกราน
ราชินีเฮนริเอตต้าชี้เรื่องนั้นให้เห็นเด่นชัด
“พวกนั้นจะจะหลงคิดว่า พวกเราไม่ได้เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในปารีส
ทหารทุกนาย, พวกเราจะบดขยี้กองทัพจอมมารในการรบครั้งนี้”
แต่มีคนๆหนึ่งไม่ได้อยู่ในการประชุมนั้น บริททานี่ได้ซ่อนตัวจอมมารอกาเรสไว้ เฮนริเอตต้ารู้ดีว่า จอมมารตนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
อกาเรสนั้นเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น จึงให้ความร่วมมือกับเฮนริเอตต้าหากมันทำให้เธอสามารถฆ่าบาร์บาทอสได้
มันเป็นการสู้รบที่ยากลำบากเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้เฮนริเอตต้าก็มิได้จะหลีกเลี่ยงเพียงเพราะไม่อาจการันตีผลลัพธ์ในการรบได้
นี่คือ ความเชื่อมั่นของบริททานี่
* * *
สิ่งที่ลอร่าคาดการณ์ไว้นั้นเป็นไปตามจริง บริททานี่ไม่ได้ออกมาเผชิญหน้ากับพวกเรา
ต้องขอบคุณเรื่องนั้น พวกเราจึงสามารถเดินทัพผ่านฟรานเคียได้สบายๆ
พวกเรามาถึงแม่น้ำมาเน่โดยไม่มีใครต้าน ราวกับว่าพวกเรามาปิกนิกกันเลยด้วยซ้ำ
ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า มันคือ ความสงบก่อนพายุฝนใหญ่จะมา
บาร์บาทอสจ้องมองทุ่งราบที่อยู่อีกฝั่ง
“เฮ้ย แกมองอะไรของแกน่ะ? ด้านหลังเจ้าพวกนั้นนี่มันไม่มีทางไปต่อแล้ว”
กองทัพบริททานี่ตั้งค่ายหน้าแม่น้ำ
ทั้งบาร์บาทอส และระดับหัวหน้ากองของกองทัพต่างเฝ้าสังเกตค่ายของศัตรูจากบนหลังม้า
พวกน้นมีทหารราวสามหมื่นถึง ห้าหมื่น จำนวนน้อยกว่าพวกเราอยู่แล้ว แต่ตัวปัญหาจริงๆคือ พวกอัศวิน
ธงยี่สิบผืนโบกสะบัดด้วยแรงลมพัด พวกนั้นน่าจะเอากองอัศวินทุกๆกองที่มีอยู่ในประเทศมารวมกันอยู่ที่นี่
จึงไม่มีอะไรทำให้กองทัพจอมมารหวาดกลัวได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
มันก็คงจะเหมือนตอนที่ทหารเดินเท้าจ้องมองความย่อยยับที่อยู่ตรงหน้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
บาร์บาทอสหัวเราะกั่กๆ
“ดูดิ ดูดิ นี่มันหมายความว่า ไอ้พวกนั้นมันจะสู้แบบแลกชีวิตกันที่นี่เลบนี่?
นังหนูเฮนริเอตต้านี่ช่างยั่วโมโหข้าเก่งจริงๆ
เฮ้ย เซปาร์ ดูนั่นสิ อัศวินกุหลาบเขียวก็มาด้วยนะ แกควรโบกมือทักทายพวกมันหน่อย”
“……อย่าแกล้งแหย่ข้าเล่นเลยครับ, นายท่าน”
นายพลเซปาร์ไม่ค่อยพอใจนัก เป็นภาพที่หาดูได้ยาก
นายพลเซปาร์นั้นเป็นนักกลยุทธที่รับมือกับการพุ่งของอัศวินด้วยการใช้ออเกอร์เข้าปะทะ และในครั้งนั้นอัศวินกุหลาบเขียวก็บดขยี้ออเกอร์ยับ
ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่เป็นบาดแผลในใจของเขา จึงทำให้นายพลเซปาร์ก็ดูจะทำหน้าเศร้าแบบนี้
ลอร่าพูดขึ้นบ้าง
“พวกนั้นตัดทางหนีของตัวเอง เพื่อที่จะได้สู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก
การเข้าโจมตีพวกเขาไม่ใช่แผนที่ฉลาดนัก
เราต้องประเมินสถานการณ์ตอนนี้กันก่อน”
พวกเราตั้งค่ายห่างออกไปจากกองทัพศัตรู
นั่นเป็นสาเหตุที่ลอร่าพยายามสั่งให้พวกเราพยายามแกล้งทำเป็นว่า พวกเราตั้งใจจะทำการรบชี้ขาด
พวกเราวางตำแหน่งออเกอร์ไว้เบื้องหน้า ราวกับต้องการจะสั่งให้พุ่งเข้าใส่ในทันที
ธงจอมมารของพวกเรา ยังคงโบกสะบัด เผยโฉมท่ามกลางลมที่พัดไม่หยุด
อย่างไรก็ดี ผ่านไปสี่วัน ,หนึ่งสัปดาห์ และครึ่งเดือน
จนกระทั่งอีกฝ่ายต้องส่งจดหมายมาราวกับอดทนรอต่อไปไม่ไหว
จดหมายเขียนด้วยลายมือของราชินีเฮนริเอตต้า และเยาะเย้ยถากถางทั้งรูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์กและเหล่าจอมมาร
เธอต้องการเปิดฉากรบแบบเด็ดขาด คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการยั่วยุให้ศัตรูลงมาปะทะกันในสงครามอีกแล้ว
ลอร่าก็ตอบรับกับสิ่งนั้นอย่างเรียบง่าย
“พวกเราไม่ต้องการจะเรียนรู้การทำการศึกจากพวกเจ้า
ดูแลกองทัพตัวเองให้ดีเถอะ”
สงครามประสาทครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้น
ทั้งสองฝ่ายต่างตั้งรั้วไว้ และรอให้อีกฝ่ายเข้ามาบุกก่อน บริททานี่เองก็ส่งพลธนูบนหลังม้ามาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ผมไม่มีทางที่จะปล่อยให้พลาดกับลูกไม้เดิมๆเป็นครั้งที่สองหรอก
ผมเตรียมหอกขว้างไว้มากมายก็เพื่อการณ์นี้แหละ
พวกเราจัดการเจ้าพวกนั้นได้โดยง่าย ด้วยการให้ออร์คขว้างหอกใส่
พวกนั้นรู้เรื่องที่เราพยายามเสริมความแข็งแกร่งของฐานหรือเปล่า? พวกนั้นไม่คิดจะบุกด้วยเช่นกัน
สมรภูมิย่อยนี้ไม่ต่างจากภารกิจการสอดแนวที่เกิดขึ้นแบบไม่จบไม่สิ้น
“ท่านจะให้พวกเรารออยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน,ท่านผู้บัญชาการการรบ”
“ลอร่าาาาา ขอครั้งเดียวนะะะ ได้ไหมม? ขอข้าพุ่งเข้าไปแค่ครั้งเดียว”
ฝ่ายพวกเรากลับอดทนรอม่ไหว
ทั้งพี่เบเลธและสิตริต่างร้องขอที่จะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
พวกจอมมารที่มุทะลุต่างก็เริ่มบ่นด้วยเช่นกัน
แต่พอพวกเขาทำอย่างนั้น ลอร่าก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มที่แสนคลุมเครือไปว่า
“เราทำแบบนั้นไม่ได้”
พี่เบเลธและสิตริต่างทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห ขณะที่มองไปยังบาร์บาทอส และ ไพมอน แต่ทว่า…….
“พวกเราจะทำตามคำสั่งของลอร่า”
“โทษทีนะ แต่โปรดฟังท่านผู้บัญชาการการรบด้วยเถอะ,สิตริ”
ไม่สำคัญว่า ผู้บัญชาการภาคจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่สิ่งที่พวกเขาตระหนักคือ ความสำคัญของการสั่งการ
สุดท้ายแล้ว จอมมารหัวร้อนทั้งหลายจึงต้องหยุดบ่น และฆ่าเวลาไปอย่างที่ทำอะไรไม่ได้
เป็นอย่างนั้นไปครึ่งเดือน
MANGA DISCUSSION