บทที่ 283 – การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่(11)
* * *
“ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะพ่ายแพ้ในศึกแรก”
“เจ้าพวกฟรานเคียนั่น, คิดว่า พวกมันจะแสดงความห้าวหาญออกมาสักหน่อย…….”
เหล่านายพลของบริททานี่เดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจหลังได้รับรายงาน
ไม่ได้พ่ายแพ้ธรรมดา แต่เป็นการพ่ายแพ้ยับเยิน
สิ่งที่ปลอบประโลมใจเพียงอย่างเดียวคือ การที่พวกเขานั้นสามารถถอยหนีได้อย่างเป็นกระบวนทัพ ทำให้ทหารเกินหกสิบเปอเซ็นต์รอดกลับมาได้
แต่ถึงอย่างนั้น นายพลแกสพาร์ด เดอ เทอบาร์น ผู้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็เสียชีวิตในการต่อสู้ คำตำหนิมากมายไหลหลั่งออกจากปากเหล่านายพลเรื่องความน่าหัวร่อ
“นี่มีแต่จะทำลายขวัญและกำลังใจของฝ่ายเรา”
“ข้าเคยเชื่อว่า นายพลทาบาร์นน่าจะยังพอไหว แต่ข้าคงลืมเรื่องอายุอานามของเขาไป ถึงได้พุ่งม้านำเข้าไปอย่างนั้น”
ผู้บัญชาการทหารคนหนึ่งส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
“นายพลทหารม้าผู้นั้นก็ไม่ได้ลงสนามมานับสิบปีแล้ว เสือแห่งฟรานเคียสิ้นเขี้ยวเล็บไปนานมากแล้ว
แต่การที่เขาไม่รู้จักประมาณอายุตัวเองแล้วให้ทหารทั้งหลายบุกเข้าไปไม่ยั้งคิดนี่…….”
“ข้าล่ะสงสัยนัก มีความเป็นไปได้ไหมที่พวกอัศวินของเจ้านั่นจะไม่ให้การสนับสนุน”
ผู้บัญชาการอีกคนแสดงความไม่พอใจ
“นายพลท่านนั้นอาจหลงคิดว่า ทหารม้าของตนแข็งแกร่งเหมือนของพวกเรากระมัง แม้จะเป็นทหารม้าเหมือนกันแต่ก็ต่างกัน ไม่ควรที่จะประเมินพละกำลังทหารของอีกฝ่ายต่ำเกินไป”
เหล่านายพลทั้งหลายในฐานะทัพต่างหัวเราะหยัน
พวกเราไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า พวกฟรานเคียจะเปิดสนามด้วยสภาพเช่นนี้
จริงอยู่ที่ชาวฟรานเคียนั้นเปี่ยมไปด้วยขนบธรรมเนียม และเกียรติยศที่สืบทอดมาแต่โบราณ รวมถึงเหล่าชนชั้นสูง จนสามารถเชิดหน้าชูตาทำตัวสูงส่งได้ แต่พวกนั้นกลับไม่มีความสามารถในสนามรบจริงเลย
หน้าที่ของชนชั้นสูงเอย ความสูงส่งเอย ความจงรักภักดีเอย
ทั้งหมดนั่นก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งหนุนหลัง?
“นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของข้า มันช่างเปล่าไร้สำหรับพวกพร่ำเพ้อฝันหาแต่เกียรติยศชื่อเสียงแต่ไร้สามารถ
แถมเจ้าพวกนี้นี่แหละที่เอาแต่สละตัวเองเพื่ออุดมคติบ้าๆบอๆ”
“แม้แต่คนต้อยต่ำมันยังไม่คิดจะสละตัวเองเลย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนส่วนมากจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลุกขึ้นมาปฏิวัติไปเพื่ออะไร”
เหล่านายพลที่มีความรู้สึกต่อสิ่งนั้นแตกต่างกันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
ชนชั้นสูงของบริททานี่ไม่ปล่อยให้ลูกชายคนโตของตระกูลตัวเองสืบทอดตำแหน่ง
มันเป็นประเพณีของฝ่ายบริททานี่ที่ลูกชายและลูกสาวจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดกัน
ชนชั้นสูงทั้งหมดในกลุ่มนี้ต่างสืบทอดตระกูลตัวเองด้วยการเหยียบย่ำบนกองเลือดของพี่น้อง
ชาติอื่นมองว่า ประเพณีมันป่าเถื่อนไร้อารยะ
แต่ก็ชาติป่าเถื่อนนั่นแหละที่พิชิตชาติที่หยิ่งยโสอย่างฟรานเคียได้
ด้วยเหตุนั้น ฟรานเคียจึงตกอยู่ในไฟสงครามกลางเมืองและถูกกวาดล้าง
ชนชั้นสูงของบริททานี่เย้ยหยันไพ
สูงส่งศักดิ์ศรีที่ว่านั้นอยู่ไหน? ฝ่ายไหนกันแน่ที่มีศักดิ์ศรีกว่ากัน?
ศักดิ์ศรีนั้นมิใช่สิ่งที่ได้รับมาจากที่อื่นที่ใด
หากแต่เป็นสิ่งที่ต้องได้รับจากผู้ที่พิสูจน์แล้วผ่านชัยชนะ…….
“ พอได้แล้ว”
ราชินีเฮนริเอตต้าพูดขึ้น
พอเธอพูด บรรยากาศก็ซาลง
“ท่านแกสพาร์ด เดอ ทาบาร์นเป็นนักรบตัวจริง
เขาครุ่นคิดมานานแล้วว่าความจงรักภักดีคืออะไร
เขาจงรักภักดีต่อใครกัน จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ, ประเทศชาติอย่างนั้นหรือ, ประชาชนอย่างนั้นหรือ?”
ราชินีคนนั้นพูดขณะที่มองไปไกลๆ
“นักรบคือสิ่งใดกันแน่?
เขาผู้ซึ่งต้องตรอมตรม พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่า เขานั้นไปถึงคำตอบใด
แต่ถึงอย่างนั้น อย่าน้อยที่สุด พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์มาเย้ยหยันความทุกข์ที่เขาแบกรับ
ทุกคน,จงแสดงความเคารพแด่เขา”
“…….”
เฮนริเอตต้าปิดตา และก้มหัวลง
ชนชั้นสูงอื่นๆก็ทำตามในทันที
ทั้งค่ายทัพกองทหารกลับเงียบ
ณ เวลานั้นเองนักบวชหญิงที่อยู่ข้างกายราชินี เธอคือ นักบุญหญิงลองวี่ผู้มีผมสีแดงสการ์เล็ทสลวย
นักบุญหญิงแห่งองค์เทพีเอเธน่า ร้องเพลงสวดสรรเสริญ
“ปลิดชีพมากมาย,รักษ์ชีพมากมาย,โศกศัลย์มากมาย และจบชีพมากมาย
โอ้เอ๋ย—แกสพาร์ด เดอ เทอบาร์น ขอให้ท่านจงหลับนอนผ่อนพักอยู่ ณ ฟากนั้น”
“องค์เทพีเอเธน่า ได้โปรดมอบคำปลอบโยนให้แก่นักรบผู้นั้น”
เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างร้องเรียกหาองค์เทพีเอเธน่า
ก่อนที่จะมอบความเงียบสงบเป็นดั่งเครื่องบรรณาการถวาย
ราชินีเฮนริเอตต้าลืมตาขึ้น ดวงตาสีแดงจ้องกวาดไปตรงหน้า
“การต่อสู้ของทัพหน้านั้นเป็นการยืนยันความจงรักภักดีของชนชั้นสูงฟรานเคีย
หากพวกนั้นพยายามเอาชนะ พวกนั้นก็ย่อมต้องสูญเสียกันอย่างหนักโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในทางกลับกัน หากพวกเขานั้นหนีรอดออกมาโดยไม่ยอมสูญเสียเลย ข้าก็จะกวาดล้างพวกนั้นทิ้งเอง
นายพลทาบาร์น รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว นั้นจึงเป็นการจงใจพ่ายแพ้”
“ถูกต้อง แม้พวกเขาจะแพ้ไป แต่ก็ยังสามารถคุ้มหัวตัวเองให้รอดได้
นายพลผู้นั้นได้สละชีพตัวเองเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดี”
ในน้ำเสียงของเฮนริเอตต้านั้นมีความกรีดแทงแฝงอยู่
“เหล่านายพลอันเป็นที่รักของข้า!
ขนาดฟรานเคียยังมีศักดิ์ศรีขนาดนี้
แม้พวกนั้นจะยอมจำนนให้แก่พวกเรา แต่ก็ยังธำรงค์ไว้ซึ่งศักดิ์ศรีในแบบของพวกเขา อย่าได้ชะล่าใจไปนัก”
สีหน้าของเหล่านายพลกลับจริงจัง พวกเขาต่างมองหน้ากันและกันพลางพยักหน้าอย่างระวังตัว
“ฝ่าบาท โปรดถ่ายทอดคำสั่ง”
“พวกเราจะลงมือจัดการกันเอง”
ชนชั้นสูงบริททาเนี่ยไม่ค่อยพอใจนักกับการถูกบอกว่า อย่าได้ชะล่าใจ
โดยนิสัยแล้วพวกเขาปรารถนาคำสั่ง หรือสิ่งที่จับต้องได้มากกว่า
เฉกเช่นเดียวกันกับเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ คำสั่งของราชินีที่ว่า อย่าได้ชะล่าใจนั้น ไม่ใช่คำพูดปกติที่เธอมักจะพูดกับพวกเขาเพื่อให้กระทำการบางอย่าง
พวกเขาต้องลงมือก่อการ
“ไม่มีมนุษย์คนใดมีความหวังทั้งที่ไร้วี่แววหรอก
เหตุที่ชนชั้นสูงฟรานเคียไม่ละทิ้งศักดิ์ศรีเพราะพวกเขายังมีหวังกันอยู่
แล้วความหวังของพวกเขา นั้นคืออะไรกันเล่า?”
“อืมมม ข้าคิดว่าอาจเป็นจักรพรรดิของพวกเขา เจ้าพวกหมูนั่นคงคิดว่าเจ้านั่นช่างเป็นตัวโง่งมที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนเลย”
เหล่านายพลหัวเราะ
“ฮึ่ย นี่แกพูดอะไรกับจักรพรรดิผู้เข้มงวดและยอดเยี่ยมกันเนี่ย? ถึงตอนนี้เขาจะอยู่ในสภาพนั้น แต่ก็เป็นพระสวามีในอนาคตของราชินีพวกเรานะ”
“ข้านี่ ช่างหยาบคายซะจริง ข้าลืมไปว่านั่นมันแมงดาของฝ่าบาทต่างหาก!”
เฮนริเอตต้ายิ้มชั่วร้ายเพราะคำพูดหยอกเย้าของเหล่านายพล
“มีคนอีกมายมายที่ต้องถูกกวาดล้าง
แต่จักรพรรดิเองก็ห่างไกลจากคำว่า ความหวังของฟรานเคีย
แต่การที่เหล่าชนชั้นสูงยังมีความหวังอยู่นั้น จะเป็นได้จากสิ่งใดกัน?”
“……จักรพรรดิองค์ใหม่”
บรรยากาศในค่ายทหารกลับเย็นยะเยือกราวกับเพิ่งประกาศกฏอัยการศึก
มีคำสั่งลับที่พวกบริททานี่อุทิศตนเริ่มปฏิบัติการไปเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา
ปฏิบัติการณ์นั้นชื่อว่า <ถอนรากถอนโคนลิลลี่> ซึ่งเป็นการใช้สรรพกำลังทั้งหมดเพื่อกำจัดสายเลือดราชวงศ์ของฟรานเคียให้ถึงแก่นถึงราก
จักรพรรดินีโดวาเจอร์นั้นให้กำเนิดเจ้าชายสี่พระองค์ และเจ้าหญิงสามพระองค์
ในยุคสมัยที่การสืบสันติวงศ์เป็นสิ่งสำคัญ แคทเธอรีน จักรพรรดินีแห่งประเทศนี้ได้ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม
แต่นับเป็นโชคร้ายขององค์จักพรรดินีที่ในบรรดาเจ้าชายทั้งสี่นั้น มีผู้หนึ่งจากไปด้วยอาการป่วยตั้งแต่ยังเล็ก
หนึ่งในสามคนที่เหลือก็ขึ้นครองบัลลังค์ตามลำดับ แต่สองคนก็ตายตั้งแต่ยังเยาว์ สุดท้ายจึงเหลืองเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ครองบัลลังค์
ในบรรดาพวกเขานั้นไม่มีบุตรหลานกันเลย
ส่วนเจ้าหญิงทั้งสอง คนหนึ่งได้แต่งกับมกุฏราชกุมารแห่งแคสทิลลี่(Castille) ส่วนอีกคนหนึ่งก็แต่งกับเจ้าชายลำดับสองของจักรวรรดิฮับบวร์ก
ท่านผู้นำอลิซาเบธได้ฆ่าล้างตระกูลเจ้าชายลำดับสองของฮับบวร์กรวมถึงครอบครัวพวกเขาจนสิ้น
ดังนั้นแล้ว จึงมีลูกชายและลูกสาวเหลือเพียงคนเดียวที่สามารถสืบทอดสันติวงศ์ดำรงตระกูลราชวงศ์ต่อไปได้
…….หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การสืบสายเลือดรุ่นถัดไปแทบไม่เหลือแล้ว
“พวกเราฆ่าพวกลูกนอกสมรสทั้งห้าตายไปแล้ว ยังจะมีเหลืออีกรึ?”
หากผู้สืบสายเลือดในสายข้างเคียงโดนกำจัดจนหมด ก็คงเหลือแต่ลูกนอกสมรสนั่นแหละ
พวกบริททานี่ได้เข่นฆ่าลูกนอกสมรสห้าคนทิ้งโดยอำพรางว่าเป็นดั่งอุบัติเหตุ
นั่นเพื่อขจัดความเสี่ยงที่พวกชนชั้นสูงฟรานเคียจะแต่งตั้งลูกนอกสมรสขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่
“ข้าไม่เคยประกาศเรื่องนี้กับพวกท่านทุกคนมาก่อน หากแต่ยังเหลือลูกนอกสมรสเหลืออีกคนหนึ่ง
บุตรคนสุดท้ายของจักรพรรดิองค์กร ,ชาร์ล ที่ 9 ”
เหล่านายพลต่างตกตะลึง
“โฮ่โฮ่ ทำไมจ้าเด็กนั่นกลับรอดชีวิตได้ล่ะ?”
“พวกชนชั้นสูงฟรานเคียพวกนั้นยังซ่อนเจ้าเด็กนั่นไว้ตลอดเลยใช่ไหม?”
ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มกรุ้มกริ่มหลังจากตอบพวกเขา
“ข้าตั้งใจจะให้เจ้าเด็กนั่นรอดชีวิตน่ะ”
“อะไรนะครับ?”
“ลองคิดดูให้ดีสิ หากชนชั้นสูงฟรานเคียอยากที่จะลุกขึ้นมาแว้งกัดพวกเรา
พวกเขาจะเลือกทำตอนไหนกันล่ะ?
ก็เห็นได้ชัดว่า ย่อมเป็นตอนที่บริททานี่ของพวกเรา ตกอยู่ใน ‘สถานการณ์คับขัน’ เจ้าพวกนั้นย่อมต้องอดทนรอจนกว่าชั่วขณะนั้นจะมาถึง”
เฮนริเอตต้าพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“มาตอนนี้ กองทัพจอมมารรุกรานเข้ามาด้วยการห่มหนังปลอมตนเป็นกองทัพฝ่ายมนุษย์ ทำให้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
หากพันธมิตรฝ่ายเราต้องการที่ส่งกองหนุน
ฮับบวร์กเองนั้นก็อยู่ห่างไกลไปทางตะวันตกไม่คาดคาดหวังความช่วยเหลือใดได้
ไอ้เบอร์นิเชี่ยนระยำนั่นก็อยู่โพ้นทะเล, ไอ้ชั่วพวกบัทตาเวียก็อยู่เหนือหัวเรา,แคสทิเลี่ยนห่าเหวนั่นก็อยู่ใต้เรา และเพื่อนบ้านข้างเคียงเราก็เป็นพวกซาร์ดิเนี่ยน…….”
ราชินีเฮนริเอตต้ายกนิ้วขึ้นสี่นิ้ว
“พวกชั่วบัทตาเวียนั่นตั้งตัวเป็นสาธารณรัฐตั้งแต่แรกเริ่มดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัย
พวกชาวเกาะเบอร์นิเชี่ยนนั่นก็ไม่อยากเห็นพวกเรามีอำนาจมากไปกว่านี้ แถมยังไม่เคยแสดงออกว่าเกลียดชังพวกสาธารณรัฐด้วย
ดังนั้นแล้วพวกเราจึงไม่ควรขอความช่วยเหลือใดๆจากพวกนั้น
ไอ้พวกบ้านนอกซาร์ดิเนียเองก็ตัดความสัมพันธ์นับตั้งแต่ที่พวกเรากักตัวจักรพรรดินีโดวาเจอร์
แล้วพวกเรายังเหลือทางเลือกใดอีก?”
ราชินีหดนิ้วทั้งสามนิ้วลง
“สิ่งเดียวที่ยังเหลือคือ เจ้าพวกงั่งที่คาสทิล แต่ราชินีของพวกนั้นก็เป็นลูกสาวคนที่สองของจักรพรรดินีโดวาเจอร์
เธอสามารถที่จะประกาศสิทธิ์ตัวเหนือบัลลังค์ได้
หากพวกเราขอกำลังเสริมจากพวกนั้น พวกนั้นย่อมต้องบัลลังค์ราชาเป็นของตอบแทน
…….หากเรายอมทำตามอย่างนั้น ทั้งหมดที่ทำมาเพื่อหวังจะฮุบฟรานเคียก็สูญเปล่า สุดท้ายแล้ว”
เธอเก็บนิ้วสุดท้ายลง
“ไม่มีชาติใดจะยอมส่งกำลังเสริมให้พวกเรา ชนชั้นสูงฟรานเคียรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วเมื่อไหร่โอกาสนั้นจะมาถึงพวกเขาอีกครั้งกันล่ะ?
อาจจะไม่มีอีกเลยก็เป็นได้
สถานการณ์เช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
ทุกคน,เหล่าชนชั้นสูงของฟรานเคียจะทำการปฏิวัติขึ้นอีก”
“…….”
(TTL : ขอ “……” ด้วย
บริททานี่นี่แม่ง อริรอบทิศเลยนี่หว่า!
ใครๆก็เกลียดชังบริททานี่พร้อมจะยำตีนเมื่อมีโอกาส)
“เป็นไปได้สูงว่า เจ้าพวกนั้นจะทำการก่อกบฏขณะที่กองทัพพวกเรากำลังรบอยู่”
นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมราชินีเฮนริเอตต้า ถึงได้จับพวกเขาไว้รวมกันแล้วส่งไปเป็นทัพหน้า
นั่นก็เพื่อบดทำลายความสามารถในการก่อกบฏทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ
และเธอยังไม่ลืมกักบริเวณ พวกภรรยาและลูกๆของเหล่าผู้บัญชาการไว้ในเมืองหลวงเผื่อไว้ด้วย
“แต่ช้าก่อน ข้าไม่รู้ว่า นี่เป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นเพราะพวกนั้นต้องทุกข์ใจกับการตายของเหล่านายพลของพวกนั้น
อย่างไรก็ดีมันมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ”
“……ฝ่าบาท, มอบออกคำสั่งมา แล้วพวกเราจะปฏิบัติตามโดยทันที”
เฮนริเอตต้าส่ายหน้า
“ไม่มีเหตุผลที่ต้องรีบร้อนเกินไปนัก
ทุกคน, ณ ขณะนี้ ชนชั้นสูงฟรานเคียแบ่งออกเป็นพวกนิยมกษัตริย์กับพวกนิยมสาธารณรัฐ
เหตุใดทั้งสองฝ่ายนั้นจึงร่วมมือกันได้ นั่นก็เพราะพวกเขายังมีความหวัง”
แทนที่จะรักษาสถานะเดิมให้คงอยู่ พวกเขากลับมุ่งหน้าหาตัวทายาทนอกสมรสเพื่อดันขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป การทำเช่นนั้นมันช่วยรักษาความชอบธรรมให้กับฝ่ายนิยมกษัตริย์ทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อฝ่ายสาธารณรัฐอีกด้วย
ราชินีเฮนริเอตต้าตรพหนักเรื่องนี้ดีว่า มันมีช่องให้ประนีประนอมกันได้อยู่
ปลายมุมปากของเฮนริเอตต้ายกยิ้ม
“ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะไป……หรือพูดอีกอย่างก็ได้ว่า หนึ่งวันก่อนที่พวกเราจะออกเดินทัพ จะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ หากทายาทนอกสมรสสายเลือดสุดท้ายกลับตายขึ้นมากะทันหัน?
เจ้าพวกนั้นจะยังสามารถร่วมมือกันได้อยู่อีกอย่างนั้นหรือ?”
“……!”
ดวงตาของเหล่านายพลเบิกโตขึ้นเมื่อเข้าใจถึงเรื่องนั้น
“เหล่าชนชั้นสูงของฟรานเคียจะแตกฮือกันด้วยความสับสน!”
“ถูกต้อง การเอาชนะพวกเรานั้นสำคัญก็จริง แต่พวกหลังจากนั้นก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หากผู้สืบทอดบัลลังค์ไม่มีอยู่แล้ว เหตุผลที่พวกนั้นต้องร่วมมือกันก็พลันสลายไปในอากาศ”
เหล่านายพลต่างมองและพยักหน้าให้กัน พวกเขาเข้าใจแล้วว่า ราชินีนั้นเล็งไปที่ตรงไหน พวกเขาต่างแย่งกันพูดก่อน น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“พวกชนชั้นสูงฟรานเคียต้องแอบประชุมลับกันอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ดังนั้นจะต้องมีกลุ่มที่คิดต่อต้านบริททานี่อยู่ในการประชุมครั้งนี้เป็นแน่”
“หากพวกเราส่งทหารไปดักซุ่ม รอไว้ก่อนแล้วเข้าโจมตีตอนระหว่างประชุมกัน
……พวกเราจะกวาดล้างผู้ต่อต้านของเจ้าพวกฟรานเคียราบคาบภายในครั้งเดียว!”
เฮนริเอตต้าพยักหน้า
“ถูกต้องแล้ว คนของข้า,สถานการณ์คับขันนั้นเป็นดั่งโอกาสใหญ่
พวกขี้ขลาดแห่งฟรานเคียอาจไม่รู้ถึงเรื่องนี้ แต่พวกเรารู้ดี
นี่แหละคือความต่างระหว่างพวกเรากับพวกมัน”
เฮนริเอตต้าชักมีดออกมา แล้วหมุนมีดด้วยนิ้วก่อนจะปักลงบนโต๊ะ
ตุ่บ, มีดสั้นแทงทะลุโต๊ะลงลึกไปจนุสดด้าม
“เรามาบดขยี้ความภาคภูมิใจของฟรานเคียกันเถอะ”
MANGA DISCUSSION