บทที่ 282 – การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่(10)
“ท่านครับ”
ผมบีบมือบารอนเบอร์ซี่ด้วยความปิติสุข
หากชนชั้นสูงฟรานเคียร่วมมือกับพวกเรา แทบไม่ต่างอะไรกับชนะสงครามครั้งนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่กุมมือก็มองตากันไปด้วย
เขาจริงใจกับเราแค่ไหน? เขาแน่วแน่กับเรื่องนี้แค่ไหน?
—เราทั้งคู่ต่างยืนยันสิ่งนี้ในตัวอีกฝ่าย
มันไม่ใช่เรื่องนามธรรมอย่างความรู้สึก ผมเปิดหน้าต่างสเตตัสของบารอนเบอร์ซี่
ความคิดนึกของบารอนนั้นแสดงให้ผมล่วงรู้นับตั้งแต่ค่าความชอบของเขานั้นมากกว่า 20 บารอนพูดความจริง
ผมเปิดปากถาม
“ถึงพวกนิยมกษัตริย์กับพวกนิยมสาธารณรัฐนั้นจะทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ ‘พวกเรา’ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน”
“ขณะนี้มีเด็กผู้สืบสายโลหิตอยู่
พวกเราตั้งใจที่จะดันเขาขึ้นมาเป็นราชาและคอยดูแลเขาด้วยการพามาไว้ที่รัฐสภา
และพวกเราจะพาตัวองค์จักรพรรดินีโดวาเจอร์มาด้วยในฐานะที่ปรึกษาของรัฐสภา”
ประชาธิปไตยโดนมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างนั้นรึ?
ด้วยการผลักดันราชาหนุ่มขึ้นบัลลังค์โดยมีภาระที่น้อยลง ส่วนตัวสภาเองก็จะได้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
ในขณะที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์ยังคงสามารถรักษาสายเลือดราชวงศ์ไว้ได้ ส่วนพวกนิยมสาธารณรัฐเองก็ยังคงมีอำนาจสูงสุดในส่วนของสภา ถือว่า ทั้งสองกลุ่มนั้นได้ประนีประนอมกันแล้ว
จักรพรรดินี แคเทอรีน เดอ เมดิชี เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนทั้งหลายวางตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย เป็นสถานการณ์ที่ไม่เลวเลย
“ไม่เหมือนว่า แผนนี้จะเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน
แผนนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ทันทีที่พวกเราพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมือง
ดยุคกุยส์ตายในสนามรบ แต่น้องชายของเขายังมีชีวิตอยู่”
“น้องชายของดยุคกุยส์……ท่านคงหมายถึง นักบวชระดับสูงแห่งลอเรน และ ดยุคมายีน(High Priest of Lorraine and Duke Mayenne)”
ผมเอียงคอ
เมื่อครั้งสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในฟรานเคีย ดยุคกุยส์นั้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายต่อต้านพันธมิตรบริททาเนีย อันเป็นที่รู้จักกันในนามกองทัพศักดิ์สิทธิ์
ความสามารถของเขาเป็นที่ครั่นคร้ามแก่เฮนริเอตต้า นางจึงเฝ้าระวังเขาเป็นอย่างมาก
ตระกูลดยุคกุยส์โดนกดขี่อย่างหนักหลังสงครามกลางเมืองจบลง
นักบวชระดับสูงแห่งลอเรน และ ดยุคมายีน
ผู้ลงมือก็ยังไม่ทราบตัว แต่ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นใคร
แต่ถึงอย่างนั้นบารอนเบอซีกลับบอกผมว่า พวกเขาเตรียมแผนการใหญ่ไว้แล้ว มันเป็นอย่างไรกันนะ?
บารอนเบอร์ซี่ทอดสายตา
“……เหล่าพี่น้องตระกูลกุยส์เตรียมแผนการเผื่อไว้ในกรณีที่พ่ายแพ้ไว้แล้ว
พวกเขาคาดการณ์ได้ว่า ชนชั้นสูงของฟรานเคียจะโดนบีบจนทำอะไรไม่ได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป
ชนชั้นสูงส่วนน้อยได้ทำข้อสัญญาต่อกัน
พวกเขาจะตบตาพวกบริททนาโดยพวกเขาจะแกล้งทำตัวเป็นคนทรยศเสียเอง”
“คนทรยศ……? อย่าบอกนะว่า”
ผมเผลออ้าปากด้วยความตกใจ บารอนเบอซี่พยักหน้าอย่างเศร้าๆ
“หนึ่งในสหายของพวกเราเองนั่นแหละที่เป็นผู้จับตัว นักบวชระดับสูงแห่งลอเรน และ ดยุคมายีนส่งไปให้เอง”
“……โอ้ นี่มันน่าตกใจนัก”
ความจริงที่บารอนผู้นี้บอกมาชวนให้ตะลึง
หากเหล่าชนชั้นสูงของฟรานยเคียไม่ทำอะไรเพื่อแก้สถานการณ์ในขณะนี้ มีหวังพวกเขาต้องค่อยๆแห้งเหี่ยวลงและโดนเฮนริเอตต้ากำจัดหมดเป็นแน่
ดังนั้นแล้ว ถึงพวกเขาจะไม่แน่ใจในกองทัพว่าจะสามารถโค่นเฮนริเอตต้าลงได้ เขาจึงเหลือทางเลือกสุดท้าย
นั่นคือ เหล่าชนชั้นสูง ‘แกล้ง’ ทำเป็นย้ายไปอยู่ฝั่งบริททานี่แทน ด้วยการส่งตัวน้อยชายของดยุคกุยส์ให้กับเฮนริเอตต้า
ว่าง่ายๆ พวกเขานั้นกำลังทรยศพันธมิตรคนสำคัญ เฮนริเอตต้าคงยินดีรับพวกเขาไว้ในฐานะคนทรยศ แน่ๆ แต่จากมุมมองของผู้คนชาวฟรานเคียพวกเขาก็ไม่ต่างจากคนทรยศตัวจริง
แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ นักบวชระดับสูงแห่งลอเรน และ ดยุคมายีนต่างตั้งใจสละชีวิตตนเองเพื่อเหล่าสหายอยู่แล้ว…….
ต้องขอบคุณการกระทำเช่นนั้นของพวกเขา ทำให้ราชินีเฮนริเอตต้าคลายความสงสัยลงได้
เหล่าสหายกำลังเฝ้ารอโอกาสนั้นต่อไปในขณะที่ถูกแปะป้ายว่าเป็นคนทรยศ ก็ใช้โอกาสนั้นลับคมมีดดาบรอการล้างแค้น…….
ฟรานเคียเป็นชาติที่ไร้ซึ่งพลัง
พวกเขาอาจก้มหัวให้กับอำนาจทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ของเฮนริเอตต้า แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินแผนการนั้นอยู่เบื้องหลัง
ผมแอบสงสัยนะจะเกิดอะไรขึ้นหาก จักรพรรดิเฮนรี่ ที่สามนั้น ฉลาดขึ้นกว่านี้สักนิดหนึ่ง จักรพรรดิคนนั้นน่ะมีชนชั้นสูงเก่งๆคอยหนุนหลัง อาจไม่ถูกบริททานี่กลืนกินง่ายดายแบบนี้ก็เป็นได้
บารอนเบอร์ซี่กระดกไวน์เข้าไปหนึ่งอึก
“ฟู่ว ราชินีเฮนริเอตต้านั้นร้ายกาจนัก
ถึงเธอจะคลายความสงสัยไปแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ประมาท
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเธอจึงส่งกองทหารที่มีแต่ชนชั้นสูงของฟรานเคียออกมารบ”
“โปรดบอกจำนวนกำลังพลทั้งหมดให้ข้ารู้ด้วยเถอะ”
“กำลังพลทั้งหมดสิบสองเมืองเป็นพันธมิตรกับพวกเรา”
สิบสองเมือง
ไม่ใช่จำนวนที่น้อย แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากเช่นกัน หากผมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาที่นี่ หากเพิ่ม กำลังพลเจ็ดเมืองอิสระที่อยู่ทางเหนือของฟรานเคียเข้าไปอีก
รวมแล้วก็เป็นสิบเก้าเมืองอยู่ฝ่ายพวกเรา
สิบเก้าอย่างนั้นรึ? เป็นตัวเลขที่เยอะทีเดียว ก็ยังไม่พอที่จะพลิกสถานการณ์ตอนนี้อยู่ดี, แต่มันก็มากพอที่จะสวมมงกุฏสร้างราชาองค์ใหม่ขึ้นมา…….
“ท่านครับ ท่านต้องระวังให้มากๆ”
ผมสงบจิตสงบใจก่อนจะพูดต่อ
“ราชินีแห่งบริททานี่นั้นทรงพลังมาก ก่อนหน้านี้ พวกเราออกจะแน่ใจแล้วว่า กองทัพพันธมิตรศักดิ์ศรีสมควรได้รับชัยชนะ แต่พวกเรากลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงอ่อนแอลงกว่าตอนนั้น”
ถึงแม้พวกเราจะได้เปรียบในส่วนของความชอบธรรมและแผนการก็ตาม แต่มันไร้ค่าหากเราแพ้ในการต่อสู้จริง
“ตอนนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนทัพ ท่านต้องอดทนรอก่อน
เราจะโค่นราชานีเฮนริเอตต้าได้เมื่อไหร่ ท่านก็ค่อยลุกขึ้นมาก่อการเมื่อนั้น!”
บารอนเบอร์ซี่ถึงกับเบิกตากว้าง
“ท่านกำลังจะไปโค่นราชีนีด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?
นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว!”
“ท่านครับ ชนะหรือแพ้ อาจจะแค่วัดกันที่ความเป็นไปได้
ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า พวกเราจะชนะแม้นพวกเราร่วมมือกัน
พวกเรายังคงมีแผนการบางอย่างที่พอจะใช้ได้อยู่”
ผมมองท่านบารอนด้วยแววตาที่จริงจัง
“ถึงการที่บอกว่า พวกเราจะสร้างพันธมิตรจะฟังดูเป็นเรื่องดี แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเราต้องพ่ายแพ้เพราะเหล่าทวยเทพไม่สนับสนุน?
นั่นก็จะแปลว่า ราชินีเฮนริเอตต้าจะฆ่าล้างชนชั้นสูงของฟรานเคียได้โหดร้ายมากยิ่งขึ้น”
“…….”
“เมื่อเกิดการฆ่าล้างใหญ่รุนแรง
แม้แต่เมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติที่ท่านหว่านไว้ก่อนหน้าก็ย่อมถูกถอนรากถอนโคนไปด้วยจนหมดสิ้น
เมื่อนั้นฟรานเคียก็ถึงจุดจบโดยแท้จริง ดังนั้นแล้ว ท่านครับ!
พวกเราต้องตระหนักถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้ด้วย”
บารอนเบอร์ซี่นวดคางขณะครุ่นคิดอย่างหนัก
อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่อะไรที่แย่สำหรับพวกเขาเลย
ผมเสนอตัวไปร่วมรบแทนพวกเขาเอง ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยินดีกับแนวคิดนี้อยู่แล้ว พวกเราจะเป็นฝ่ายแบกรักภาระทั้งหมดไว้เอง จึงไม่มีเหตุผลให้บารอนเบอร์ซี่ต้องปฏิเสธ
“……หากให้ข้าพูดตามตรง ข้อเสนอของท่านมันดี ดีเกินจะเชื่อว่าเป็นจริง
ทำไมท่านต้องอาสายื่นข้อเสนอที่สร้างความเสียหายกับตัวเองเช่นนี้ด้วย?”
“ท่านครับ, แม้ข้าจะได้รับหน้าที่เป็นทัพหน้าในสถานการณ์เช่นนี้ แต่หัวใจของข้างยังอยู่ที่ฟรานเคีย
ข้าปรารถนาที่จะปกป้องภัยพาลใดๆที่จะมาย่างกรายสู่ฟรานเคีย”
ผมยิ้มขมขื่น
“อาจจะยากที่จะคาดหวังผลลัพธ์ดีๆจากกองทัพของรูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก
ข้าเองก็ไม่อาจปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ที่ว่า มกุฏราชกุมารผู้นี้อาจมาแทนที่ตำแหน่งราชินีของบริททานี่หลังจากขับไสนางออกไปได้…….ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
“อืมมม”
บารอนเบอร์ซี่พยักหน้าอย่างลำบากใจ เขาไม่อาจตอบกับผมซึ่งๆหน้าได้ก็จริงแต่เขาก็คงกำลังคิดคำนึงถึงความเป็นไปได้นั้นอยู่
“ข้าจึงอยากที่จะเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าก่อน
โดยไม่ลืม เผื่อไว้ในกรณีที่พวกเราอาจจะพ่ายแพ้
เราต้องคิดถึงความเป็นไปได้ที่มกุฏราชกุมารฮับบวร์กอาจทรยศพวกเราหลังจากได้รับชัยชนะแล้วด้วย
นายท่านครับ, ท่านต้องถนอมกำลังทหารของฟรานเคียไว้ให้มากที่สุดเผื่อสถานการณ์เช่นนั้นด้วย”
“ดังนั้นพวกเราไม่สมควรเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้…….”
“ใช่ครับ”
บารอนเบอร์ซี่ถึงกับสะเทือนใจ เขาลุกขึ้นยืนแล้วกอดผมไว้
ชายคนนี้,ผู้เป็นดั่งรูปปั้นหินสลักกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้
“ท่านช่างเป็นคนรักชาติตัวจริง”
“……ข้าจะทำทุกทางเพื่อให้ได้กลับไปร่วมกลุ่มหลังจากแพ้สงครามกลางเมืองตอนนั้น”
ผมพูดตอบกลับเขาไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์กนั้นเป็นหุ่นเชิดของจอมมารบาร์บาทอส และบาร์บาทอสเองก็ก็หวาดกลัวจอมมารอกาเรส
ข้าพยายามอย่างมากที่จะสร้างกองทัพขึ้นมาเพื่อกดข่มความกลัวของพวกนั้น…….
นายท่าน, ข้าขออภัยด้วยที่มาช้าไป”
“ท่านนักบวช จอน โบล…….”
สุดท้ายบารอนเบอร์ซี่ก็หลั่งน้ำตาออกมา
ผมได้ยินเสียงซาวด์เอฟเฟ็คที่แสนจะคุ้นหู
「ค่าความชอบของบารอนเบอร์ซี่เพิ่มขึ้น 11.」
「ค่าความชอบของบารอนเบอร์ซี่เพิ่มขึ้นถึง 50 อีกฝ่าย ‘เชื่อใจ’ ในตัวคุณ」
พวกเรากอดกันแนบแน่นอีกหลายครั้ง ความรู้สึกดุจดั่งสหายศึกนั้นแสดงออกมาผ่านอ้อมกอด
เราสองคนดื่มไวน์กันตลอดคืนนั้น พอรุ่งสาง บารอนเบอร์ซี่ก็ออกไปจากค่าย
“ฟู่ววว”
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง
ผมได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่คาดไม่ถึงเข้าเสียแล้ว
บารอนเบอร์ซี่อาจคิดไปว่า การที่ผมพูดแบบนั้นก็ด้วยความรักชาติล้วนๆ แต่ก็เห็นๆกันอยู่แล้วว่า ผมไม่ได้มีความรักในชาติฟรานเคียแม้แต่น้อย
ผมไม่อาจปล่อยให้กองทัพจอมมารฮุบกลืนฟรานเคียได้
“ทุกอย่างนับจนถึงตอนนี้ก็ยังคงดำเนินไปตามแผนอยู่”
การยึดแดนเหนือของฮับบวร์กทำให้กองกำลังจอมมารมีอำนาจมากพอแล้ว
หากพวกนั้นยึดฟรานเคียได้อีก มีหวังสมดุลระหว่างมนุษยชาติกับฝ่ายปีศาจย่อมต้องพังทลายลง
กองทัพจอมมารก่อตั้งขึ้นในขณะเดียวกันฝ่ายมนุษย์เองก็กำลังต่อต้านกันเองอยู่ หากพวกมนุษย์โดนกวาดล้างจนสิ้นแล้ว มีหวังกองกำลังจอมมารจะต้องเข้าสู่ยุคสงครามกลางเมือง
ผมไม่นั่งเฉยๆแล้วปล่อยให้เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นแน่
สถานการณ์ตอนนี้ที่ทั้งฝ่ายที่ราบ,ฝ่ายเป็นกลางและฝ่ายภูเขาต้องยืนเคียงข้างกัน ช่างเป็นสถานการณ์ในอุดมคติที่สุดแล้ว
อาจเป็นช่วงเวลาที่สับสนอลหม่านและรุนแรงไปสักหน่อย แต่ก็เป็นช่วงที่ทำให้ผมได้ประโยชน์
ผม,จอมมารดันทาเลี่ยน ได้สร้างฐานอำนาจขึ้นในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างกลุ่มได้ ไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่งแข่งขัน หรือ ร่วมมือประสานงานกันก็ตาม…….
สี่วันหลังจากบารอนเบอร์ซี่จากไป
ทัพหน้าของพวกเราก็เข้าปะทะกับทัพหน้าของฟรานเคียอีกครั้ง
มันเป็นการต่อสู้ที่เป็นไปตามบทบาทที่พวกเราเขียนไว้แต่แรกแล้ว ราชินีเฮนริเอตต้าน่ะยังคงสงสัยพวกชนชั้นสูงของฟรานเคียอยู่
พวกเราจะแสดงให้นางเห็นว่า พวกเขาไม่ได้แพ้พวกเราเพราะตั้งใจที่จะแพ้
ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงต้องยอมเสียสละ นายพล แกสพาร์ด เดอ ทาบาร์น(Gaspard de Tabarn)
“แด่ ฟรานเคีย!”
ทหารสูงวัย อายุราวหิบสิบ ผู้รับใช้ฟรานเคียมาตลอดชีวิต
ในช่วงต้นชีวิตของเขานั้น เขาเป็นหัวหน้าองค์รักษ์พิทักษ์วังหลวงแห่งฟรานเคีย ต่อมาก็ได้เป็นทหารบัญชาการส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ
เขาใช้ชีวิตที่ผ่านมาด้วยความสูงศักดิ์ในฐานะชนชั้นสูง
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทาบาร์นจะเป็นตัวตนที่เฮนริเอตต้าต้องระวังมากที่สุด
ความตายของบุคคลที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นย่อมจะลดคลายความระแวงของเฮนริเอตต้าลงได้มากฃ
นั่นคือ เป้าหมายของพวกเรา
พวกเราวางแผนกันไว้ก่อนแล้ว นายพลทาบาร์นจะพุ่งเข้ามาในสนามรบทันทีที่เปิดฉากต่อสู้
นับเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่แสนบ้า ที่บุกขึ้นหน้าแล้วพุ่งเข้าใส่
ส่วนเดซี่จะรุดเข้าประกบพวกนั้นจากด้านข้าง
แกสพาร์ด เดอ ทาบาร์น กับ เดซี่
ทหารชำนาญศึกผู้สูงวัย กับ นักรบสาวผู้พลิกโฉมการกลางสนามรบ
คมดาบปะทะกัน เดซี่สามารถเฉือนทะลวงผ่านเกราะอกของท่านนายพลได้หลังการปะทะกันครั้งแรก
“ถอนตัว!”
“ทหารทุกนาย, ถอย!”
กองทัพฟรานเคียนั้นรีบถอยกลับทันทีที่สูญเสียผู้บัญชาการฝ่ายตัวเองไป เป็นการถอยทัพที่รวดเร็ว
ว่ากันตามตรงก็คงพูดได้เช่นกันว่า พวกนั้นแทบจะไม่ได้สูญเสียอะไรมากมายนัก แผนการของพวกเรายังดำเนินต่อไปโดยไม่สะดุด
“…….”
ผมทอดสายตามองร่างของนายพลเฒ่าผู้นั้น
ชายผู้นั้นยังคงมีรอยยิ้มเบิกกว้างบนใบหน้า
ร่างกายของเขานั้นยังแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อจนยากจะเชื่อว่า เขาอยู่ในวัยหกสิบ
มันดูราวกับว่า เขาสามารถลุกขึ้นมากวัดแกว่งดาบอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ได้
เดซี่พึมพัมบางอย่างข้างๆผม
“เขายิ้มตลอดแม้ขณะที่เขาเข้าปะทะกับฉัน”
“……อย่างนั้นรึ?”
“ค่ะ ท่านพ่อ นั่นเป็นรอยยิ้มของชาย ผู้ยินดี และยอมรับความตายของตน”
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเดซี่ถึงไม่ฟันคอนายพลเฒ่าผู้นี้
เธอแทงทะลวงผ่านทรวงอก เพื่อรักษาสภาพศพให้ดูดี เธอปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความเคารพยิ่ง
ผมถามเธอหนึ่งคำถาม
“แล้วเขาได้สั่งเสียอะไรไว้ไหม?”
“ขอบคุณ
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขากระซิบบอกกับฉันค่ะ”
ชายแก่ผู้นี้ใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งความเสียดายในภายหลัง
เพื่อผู้คนในชาติ เพื่อประเทศชาติ…….แม้ในวาระสุดท้ายของเขา,
เขาอุทิศความตายของตนเองให้แก่คนในชาติ
เขาสามารถจะเชื่อได้ด้วยซ้ำ ว่านี่เป็นความตายที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง
แล้วทำไมเขาต้องขอบคุณพวกเรากันล่ะ……?
“เดซี่เอ๋ย, จงจดจำวาระสุดท้ายของชายผู้นี้ไว้”
ผมพูดขณะที่ใช้มือปิดเปลือกตาให้กับผู้เฒ่า
“นี่เป็นความตายของบุคคลที่คนอย่างพวกเราไม่มีวันได้เจอ
จงจดจำสิ่งนี้ไว้ให้ดี”
“……ค่ะ, ท่านพ่อ”
ผมกับ เดซี่ จ้องมองศพของท่านผู้เฒ่าไปสักพัก
ชีวิตชีวิตหนึ่งพบกับจุดจบลง ณ ที่แห่งนี้
รอยยิ้มเปี่ยมด้วยสันติสุขและความภาคภูมิอยู่บนริมฝีปากของเขา
แล้วสักวันหนึ่ง ในช่วงวาระสุดท้ายของพวกเรา
ของเราสองคนจะระลึกได้ถึงความตายของผู้เฒ่าผู้นี้ และนึกอิจฉาเขาขึ้นมา…….
(TTL : บทช่วงนี้สะเทือนใจมาก
ตั้งแต่ดันให้น้องลอร่าขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารจนตอนนี้ก็การเสียสละของแกสพาร์ด เดอ ทาบาร์น กับเหล่าชนชั้นสูงแห่งฟรานเคีย )
MANGA DISCUSSION