บทที่ 263 – ไฮเดรนเยียสีน้ำเงินของฟาร์นาเซ (8)
* * *
“แม่งเอ๊ย, แม่งเอ๊ย……!”
อัศวินวัยกลางคนสบถด่า
อัศวินทหารม้าแห่งไฮเดลเบิร์กที่หนีออกไปจากเมือง เคยมีถึง 900 นาย แต่หลังจากการลอบโจมตีกลางคืนที่ล้มเหลวทำให้จำนวนเหลือเพียง 200 นาย
โดย 200 นายที่เหลือนั้นโดยมากก็เป็นอัศวินฝึกหัด ส่วนพวกอัศวินมือเก่าหรือพวกระดับหัวหน้าต่างล้มตายกันหมด
“ไอ้ห่าฝันร้ายแห่งบรูโน่! ไปลงนรกซะไป๊!”
ชายวัยกลางคนที่ตอนนี้เป็นผู้นำสมาชิกอัศวินในฐานะรองหัวหน้า
เขาก่นด่าดันทาเลี่ยนมาหลายชั่วโมงแล้ว ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปหมดนั่นก็เพราะเขาเมาเหล้าอยู่ทั้งคืน
พวกทหารฝึกหัดต่างกระซิบกระซาบขณะติดตามรองหัวหน้า
“เฮ่อ ทำไมเขาถึงเอาแต่พล่ามด่าอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืนน้า?”
“ก็พวกนั้นน่ะบอกว่า คนที่อ่านแผนการลอบโจมตีกลางคืนออกน่ะเป็นลูกน้องจอมมารน่ะสิ ข้าเข้าใจดีเลยล่ะทำไมเขาถึงหัวเสีย”
รองหัวหน้าที่เข้าใกล้ความสำเร็จในอีกไม่กี่ก้าว เขานั้นเคยเป็นทั้งผู้บัญชาการลำดับ 2 ของกองทหารม้าที่มีสมาชิกนับพันนาย
แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าอัศวินแห่งไฮเดลเบิร์กก็พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า
หากพวกเขากลับไปเมืองหลวงทั้งๆอย่างนี้ สิ่งที่รออยู่ก็มีแต่การยุบหน่วยของเขาเท่านั้นแหละ
สถานการณ์แบบนี้คงดีขึ้นสักหน่อยสำหรับอัศวินหรืออัศวินฝึกหัด
ที่จะสามารถลาออกไปอยู่ที่ไหนแทนก็ได้ แต่ไม่ใช่สำหรับรองหัวหน้าอย่างเขา
เขาจะต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้และโดนปลดออกกองทหารไปตลอดกาล
“ถ้าไม่มีไอ้ระยำนั่นนะ……ห่าเอ๊ย!”
หากเขาเป็นนายพลผู้มีความสามารถอยู่แล้วก็จะได้รับการดูแลในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นการที่รองหัวหน้าไต่เต้าตำแหน่งขึ้นมาทั้งทักษะ เครือข่าย วิถีชีวิตที่งั้นๆ ไม่มีอะไรที่จะเพียงพอจะลบล้างชื่อเสียงที่มัวหมองจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้เลย…….
ชีวิตของเขาในฐานะอัศวินมันจบลงแล้ว
“ตาย……ไปตายเหมือนหมาซะไป๊……!”
“เฮ่ออออ”
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมรองกัปตันถึงได้เอาแต่มัวหัวราน้ำและก่นด่าไม่จบไม่สิ้น
อัศวินคนอื่นที่เฝ้าดูอยู่ก็เข้าใจความรู้สึกจึงได้แต่เดินออกไปเงียบๆ
ไม่นานนัก พวกเขาก็รู้ตัวว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเดินเท้าเข้ามาบนทางดิน
เป็นชายรูปร่างซอมซ่อนั่งอยู่กลางท้องถนน
ภาพลักษณ์ดูไม่น่าคบหานัก มีแต่เพียงผ้าคลุมไหล่สีดำเท่านั้นที่ดูมีราคา แต่ส่วนที่ดูประหลาดที่สุดคือ การที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนที่วางตรงกลางถนนดิน
ช่างเป็นภาพที่แปลกตานัก
“เกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่นน่ะ?”
รองหัวหน้าพูดไม่ค่อยชัดนักด้วยความเมา
“มันเป็นนักเวทย์หรือเปล่าครับ?”
ผู้ติดตามพยายามจะอธิบายโดยที่ไม่ทำให้เจ้านายตนรำคาญใจ ใบหน้าของรองกัปตันบูดขึ้นมาทันที
“นักเวทย์เนี่ยนะ?”
“ใช่ครับ นักเวทย์นี่เป็นที่รู้จักว่า มักจะเป็นพวกเอาแต่ใจ ข้าได้ยินมาว่า พวกนี้จะชอบปิดถนนแล้วถามปัญหาผู้คน ถ้าใครตอบได้ก็จะให้ผ่านไป ใครตอบไม่ได้ก็เสกให้กลายเป็นคางคก”
“หึ งี่เง่าอะไรงี้วะ”
รองหัวหน้าพ่นลมหึออกมาครั้งหนึ่ง
ถึงอย่างนั้น การที่เขาเบาเสียงลงก็เห็นได้ชัดว่า เขากำลังระวังตัว และพยายามไม่ให้นักเวทย์ผู้นั้นเข้ามาใกล้
นักเวทย์เป็นตัวตนที่มักนำมาซึ่งความตื่นตะลึงและน่าวิตก
“บอกให้มันไสหัวไป”
“รับทราบครับ!”
ผู้ติดตามวิ่งไปตามคำสั่ง เขาพูดคุยกับนักเวทย์ด้วยการให้เกียรติก่อนจะกลับมาพร้อมกับหน้าตาตื่น
“ท่านครับ นักเวทย์คนนั้นถามว่า พวกเราใช่อัศวินที่มาจากไฮเดลเบิร์กหรือไม่ครับ”
“หาาา? แกกำลังจะบอกว่า เจ้านั่นมันรู้ว่า พวกเราเป็นใครเรอะ?”
รองหัวหน้าสะอึก
“คิดว่าไม่นะครับ ถ้าเขารู้จริงๆ เขาคงจะไม่ขวางทางพวกเราแต่แรกแล้ว นี่เจ้านั่นมันคิดอะไรอยู่กัน?”
“……. เขาบอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่หลีกทางให้เราน่ะครับ”
“อะไรนะ? ฮ่า ฮ่า นี่มันไอ้งั่งแท้ๆเลยนะ!”
รองหัวหน้าลงจากม้า
“ข้าอยากจะถามเหมือนกันว่า เจ้านี่มันจะไม่ยอมหลีกทางให้พวกเราจริงๆรึไง”
เขาชักดาบใหญ่ขึ้นมา มันเป็นอาวุธที่กุดหัวคนได้โดยง่าย
รองหัวหน้าปล่อยรังสีออกมาขณะที่เข้าใกล้ชายผู้อยู่บนเก้าอี้
“ข้าคือ รองหัวหน้าแห่งกองทหารอัศวินไฮเดลเบิร์ก”
ร่างของรองหัวหน้าที่ใหญ่เหมือนหมี ทอดเงาปกคลุมพื้น
“นักเวทย์อาจได้รับการปฏิบัติดีเป็นพิเศษ แต่การขวางเส้นทางอัศวินมันก็หยาบคายเกินไป ไสหัวไปซะ!”
“อือหืมม”
ชายผู้นั้นประสานมือเข้าด้วยกันด้วยท่าทางสบายๆ
“ดังนั้นเจ้ากำลังจะไปแล้วสินะ
เอาล่ะ ในการที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ มันไม่สำคัญแล้วว่าจะนิยามว่าอย่างไร”
“หาา? แกพล่ามอะไรของแกวะ?”
“ข้ากำลังจะบอกว่า ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
ชายคนนั้นยิ้ม
แม้จะมีอัศวินอยู่เกือบร้อยคนแผ่ออร่าออกมาจากด้านหลังของรองหัวหน้า แต่ชายผู้นั้นหาได้หวาดกลัวหรือวิตกไม่
กลับกันด้วยซ้ำ รองหัวหน้ากับเป็นฝ่ายรู้สึกไม่ดีเสียเอง อย่าบอกนะ ? ว่าเจ้าหมอนี่คือ นักเวทย์ระดับสูง?
ยิ่งไปกว่านั้น การที่อีกฝ่ายพูดจากเป็นกันเองขนาดนั้น มันยากที่ใครจะกล้าพูดแบบนั้นกับรองหัวหน้า ต่อให้มีความสามารถมากหรือเป็นชนชั้นสูงขนาดไหนก็เถอะ
“……แล้วแกมารอพวกข้าเพื่ออะไรกัน?”
รองหัวหน้าพูดระวังขึ้นมาอีกสักหน่อย การที่เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ส่วนหนึ่งก็ด้วยความสามารถในการเฝ้าระวังภัย
“เจ้าโง่เอ๋ย”
แววตาของชายคนนั้นกลับเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
ชายผู้เคยแสดงรอยยิ้มอันอ่อนโยนและอบอุ่นได้หายไปแล้ว รังสีการฆ่าฟันแผ่ออกมาอย่างเข้มข้น
ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องไปที่รองหัวหน้า ผู้ไม่เคยแพ้ในการประชันความกล้าถึงกับผงะ
“คิดว่า ด้วยเหตุผลใดกันเล่าข้าถึงได้รอไอ้หมูโสโครกอย่างเจ้าด้วย?”
“อะ-อะไรกัน?”
“ดูเหมือนเจ้าจะเอาแต่เที่ยวเล่นไปเรื่อยโดยไม่สนใจจะทำคำสั่งของนายเหนือหัวให้เสร็จเลยนี่”
รองหัวหน้าถึงกับกลืนน้ำลาย
เขาถึงได้ตระหนักรู้แล้วว่า ชายผู้นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นใคร แค่การพูดถึง ‘นายเหนือหัว’ต่อหน้าเขา
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาคือ สายลับที่ส่งมาโดยนายเหนือหัวผู้ปกครองสาธารณรัฐอันยิ่งใหญ่!
รองหัวหน้าถึงกับสลายออร่าตัวเองทันที
“ขะ-ข้า……ไม่ทราบเลยว่าเป็นท่าน”
“ไอ้ขี้เมาเอ๋ย ตาเจ้ามันเลอะเลือนเสียแล้ว เจ้าควรจะรู้ว่า ต่อจากเหล้าแก้วสุดท้ายของเจ้าสิ่งที่รออยู่เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงมีแต่ตะแลงแกงเท่านั้น”
“แอ้กก!”
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว
รองหัวหน้าโยนดาบสองมือในมือทิ้งพร้อมกับศักดิ์ศรีของตน
“อภัยให้ข้าด้วย!”
พวกเขารู้ได้ทันทีเลยว่า สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นหายนะขึ้นมาแล้ว
กลุ่มทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่หลังรองหัวหน้าชักเริ่มอยู่ไม่สุข
รองหัวหน้าคุกเข่ากราบกรานโดยไม่ลังเล ตอนนี้ศักดิ์ศรีไม่สำคัญอีกต่อไป
ศักดิ์ศรีน่ะเป็นสิ่งที่จะสร้างขึ้นใหม่ทีหลังก็ได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
“อภัยให้รึ? เจ้ากำลังขอให้ข้าอภัยให้เจ้าอย่างนั้นรึ?”
ชายคนนั้นยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
“เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือว่า เจ้าทำผิดต่อท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่และสาธารณรัฐของพวกเราขนาดไหน?
เอาล่ะ ถ้างั้นเจ้าจงชี้แจงความผิดของตนด้วยปากที่เมามายนั่นซิ”
“พวกเราลอบสังหารบุคคลสำคัญในกองทัพจอมมารล้มเหลว…….”
“แล้วยังกล้าจะกลับเมืองหลวงทั้งๆอย่างนั้นอีกเนี่ยนะ!”
เสียงตวาดดังขึ้น
เสียงตะโกนนั้นดังราวกับเป็นเสียงฟ้าผ่า
รองหัวหน้ามุดหัวลงด้วยความตกใจ และเหล่าทหารอัศวินด้านหลังของพวกเขาบางคนก็ถึงกับตกจากม้า
เห็นได้ชัดเลยว่า ชายผู้นั้นใช้เวทย์ขยายเสียงตนเอง
“ไอ้หมูโสโครก! มีอะไรจะแก้ตัวอีก!”
“ผะ-ผู้น้อยนี้พยายามจะไปร่วมกับคณะทูตด้วย……แต่ไอ้จิ้งจอกชั่วนั่นพยายามเปลี่ยนเงื่อนไขการส่งตัวทูตไม่ให้มีอัศวินเข้าร่วม……ดังนั้นนายกเทศมนตรีเลยต้องไปคนเดียว…….”
“อื่มหืมมม”
เสียงของชายคนนั้นผ่อนลงเล็กน้อย
“ท่านผู้นำได้มอบคำสั่งลับให้เจ้ามิใช่รึ?”
“ถะ-ถูก แล้วครับ”
“พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการลอบสังหารครั้งนี้”
“ถูกต้องครับ…….”
แม้คำถามของชายคนนั้นจะฟังดูแปลกไปบ้าง แต่รองหัวหน้าก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้น
พูดผิดหูเพียงคำเดียว เขาอาจถูกสั่งประหารเลยก็เป็นได้ ความสำคัญหลักตอนนี้คือ เขาต้องรอดไปจากสถานการณ์เช่นนี้ให้ได้ก่อน
“มีอย่างหนึ่งที่เจ้าทำได้ดีมากเลยล่ะ เจ้ารู้ไหมคืออะไร?”
ต้องขอบคุณตัวเองที่โยนศักดิ์ศรีนั้นทิ้งไป เสียงของชายคนนั้นจึงอ่อนโยนลงมาก รองหัวหน้าคิดเช่นนั้นก่อนจะตอบกลับไปอย่างระมัดระวังถ้อยคำ
“ผะ-ผู้นี้นี้โง่เขลา จึงรู้แต่เพียงความผิดของตนเอง”
“นั่นคือ เรื่องที่เจ้าเอาข้อมูลส่วนสำคัญมาให้ข้าน่ะสิ”
“……?”
รองหัวหน้าเงยหน้าขึ้น
ชายคนนั้นยิ้มอย่างแช่มชื่น
‘เดี๋ยวก่อนสิ’
ใบหน้าของรองหัวหน้ากลับนิ่งตึง
‘พอมาคิดดูแล้ว ชายคนนี้ยังไม่ได้บอกเลยว่า เขาเป็นใคร━’
รองหัวหน้าไม่อยากจะคิดอะไรต่อไป ภาพที่เขามองเห็นนั้นกลับหัว และค่อยๆมืดลง ม่านหมอกสีดำสนิทปกคลุมทั้งทัศนวิสัย
“ข้าก็รู้สึกอยู่แล้วเชียวว่า อลิซาเบธไม่มีทางมอบคำสั่งลับให้คนเพียงคนเดียวหรอก
ต้องขอบใจเจ้ามากนะ ที่ยินดีตอบคำถามข้าถึงขนาดนี้ ,รองหัวหน้า เฟรเดอริค”
ตุบ หัวของรองหัวหน้าตกลงสู่พื้นแล้วกลิ้งไป
ดาบเล่มหนึ่งชูขึ้นมาจากเงามืดตวัดตัดคอหัวรองหัวหน้า อัศวินคนอื่นต่างถึงกับตกตะลึงกับการได้เป็นประจักษ์พยานต่อโศกนาฏกรรมตรงหน้า
ถึงอย่างไรเสียพวกนั้นก็ไม่มีเวลาให้มายืนตกใจนานเท่าใดนัก เพราะดาบต่างพุ่งออกมาจากเงา
“วะ-เวทย์มนตร์! มันใช้เวทย์มนตร์!”
“รองหัวหน้าตายแล้ว!”
พวกอัศวินถึงกับแตกตื่น
ชายผู้นั้นคว้าหัวรองหัวหน้าขึ้นมา ก่อนจะควักอาติแฟคชิ้นหนึ่งออกมา
เวทย์เทเลพอร์ทร่ายขึ้นทีที่เข้าฉีกคัมภีร์เวทย์
ชายผู้นั้นได้เทเลพอร์ทไปที่ป่าใกล้ๆพร้อมกับเก้าอี้หินอ่อนของเขา
เขาได้ซ่อนร่างตนในกองใบ้ไม้ขณะเฝ้าดูเหล่าอัศวินต้องล้มตายลงทีละคนจากที่ไกลๆ
อัศวินคนหนึ่งโดนดาบแทงจากเงามืดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
หากมีอัศวินชำนาญศึกในหมู่พวกเขาอยู่บ้าง อาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่า นั่นเป็นเดธไน้ท์ลอบโจมตีไม่ใช่เวทย์มนตร์ใดๆ
พวกเขาอาจจะบอกคนอื่นๆว่า เจ้าของพวกเหล่าเดธไน้ท์ยังอยู่ไม่ห่างออกไปนัก และหาทางจัดการกับเจ้าของแทน แต่ในเมื่อไม่มีผู้ชำนาญอยู่ในกลุ่มอัศวินเลย จึงถูกกวาดล้างไปจนหมดเกลี้ยง
สุดท้ายแล้วก็ตายกันไปนับร้อยคนจากเกือบสองร้อยคน พวกที่เหลือก็วิ่งหนีไปโดยไม่เอาอะไรติดมือไปด้วยเลย
“…….”
ชายคนนั้นกระชากหน้ากากหนังมนุษย์ออกเผยให้เห็นใบหน้าดันทาเลี่ยน
ดันทาเลี่ยนพูดชมเชยตัวเองคนเดียว
“……แค่นี้ ข้าก็ได้ชดใช้หนี้ที่ติดไพมอนจากการพ่ายแพ้สงครามกลางเมืองที่ฟรานเคียแล้ว”
เท่านี้ทั้งเกียรติยศอันได้จากการชนะศึก รวมถึงเป้าหมายของการสู้รบครั้งนี้ก็ตกเป็นของไพมอน
หากดันทาเลี่ยนแข็งขันกว่านี้โดยตั้งใจตามไล่ฆ่าพวกนั้นให้หมด ไพมอนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเห็นด้วย
เนื่องจากทั้งดันทาเลี่ยนและลอร่าเป็นผู้ลงแรงมากที่สุดในการยึดไฮเดลเบิร์กครั้งนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ดันทาเลี่ยนก็รามือแต่เพียงเท่านี้
นั่นก็เพราะไพมอนอภัยให้เขาที่แพ้สงครามที่ฟรานเคีย ดันทาเลี่ยนจึงไม่อาจบ่นอะไรได้และได้แต่ยอมรับผลประโยชน์ทางการเมือง
แม้ลูกน้องของเขาเกือบจะโดนลอบสังหาร เขาก็ต้องไม่ไล่ตามไปเพื่อหมายแก้แค้น…….
“แต่แกไอ้ระยำที่มาก่อกวนลูกน้องข้า”
ดันทาเลี่ยนมองไปที่หัวของรองหัวหน้าที่หล่นอยู่ที่พื้น
ดันทาเลี่ยนรู้ดีว่า ลอร่านั้นเป็นเด็กผู้ไม่สนใจเรื่องการล้างแค้น
สำหรับเธอการได้รับใช้เจ้านายตนก็ทำให้เธอพอใจมาก หากนายของเธอปรารถนาจะช่วยเหลือไพมอน เธอก็ยินดีที่จะโยนเรื่องแก้แค้นทิ้งไปโดยพลัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ดันทาเลี่ยนสัญญาไว้ก่อนแล้ว เขาสัญญาว่า จะเป็นตัวแทนแก้แค้นแทนลูกน้องของเขา หากพวกนั้นถูกหยามเกียรติ
มันเป็นสัญญาที่เขาเอาจริง
ดันทาเลี่ยนไล่ตามพวกอัศวินพวกนั้นไปกว่าสองวัน เพื่อรักษาสัญญา และในที่สุดก็สิ้นสุดการแก้แค้น
ดันทาเลี่ยนแอบวางหัวรองหัวหน้า ไว้ในห้องของลอร่า
ลอร่าประหลาดใจตอนที่มีหัวใหม่เพิ่มเข้ามาในคอลเล็คชั่น แต่เธอก็สังเกตเห็นในทันทีว่า เจ้าหัวนั้นห่อด้วยธงอัศวินไฮเดลเบิร์ก
เธอรู้ในทันทีว่า ใครเป็นผู้ลงมือ และทำไปด้วยเหตุใด
“นายท่านต่างหาก โรคจิตกว่า!”
“ไม่ใช่ ลอร่าต่างหากโรคจิตกว่า!”
ลอร่าไม่ได้พูดเรื่องนั้นกับดันทาเลี่ยน
ดันทาเลี่ยนเองก็ไม่ได้พูดถึงมันอีกเช่นกัน
ทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้องต่างขานนามกันและกันพลางหัวเราะ
นั่นคือ สายสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเจ้านายและลูกน้อง
MANGA DISCUSSION