ขยับหินก้อนเดียวได้เงินไป 100 โกลด์
ข่าวใหม่ดังกล่าวนี่แพร่ไปทั่วหมู่บ้าน
ผู้คนต่างเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึง เรื่องฝ่าบาทจอมมารตั้งใจทำเรื่องประหลาดมากอย่างนั้น
สามวันต่อมา มีประกาศแปะใหม่หน้าประตู หอประชุมใหญ่ คราวนี้เป็นคำสั่งชวนขันอีกคำสั่งหนึ่ง
– 300 โกลด์ สำหรับผู้ที่ยกหินที่แยมเมอร์ยกลงไปกลับมาคืนที่เดิม
เพียงแต่คราวนี้ไม่มีใครบ่นอะไรอีกต่อไป ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปที่ตีนเขา
“หลบไปไอ้ห่า! เดี๋ยวหลังเอ็งก็เดาะหรอก อย่าฝืนตัวเองเลย!”
ชาวบ้านต่างตะโกนใส่กันขณะที่วิ่งไปหาหินก้อนใหญ่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งไปถึงก่อน แต่คนอื่นก็ไม่ใส่ใจกลับรุมล้อมหินก้อนนั้นราวกับฝูงปลิง
“ไม่โว้ย ทำไมพวกแกทำตัวแบบนี้กันล่ะ ทั้งที่ข้าน่ะมาถึงหินนี่ก่อน!? นี่มันสิทธิ์ของข้า ไม่เข้าใจหรือไง!”
“ไม่ใช่ของเจ้าหรือของข้าทั้งนั้น ฮุฮุ ในประกาศน่ะไม่ได้บอกนี่หว่าว่า ให้คนๆเดียวขยับมัน”
“โอ้ พระเจ้า ไอ้เจ้านี่มันตั้งใจจะปล้นข้ากลางวันแสกๆเลยนี่หว่า!”
เด็กหนุ่มได้แต่พ่นลมออกจมูกด้วยความโกรธ ไม่ต่างจากชายแก่ที่อายุเกือบ 60 ปี เกาะหนึบกับหินก้อนนั้น
“จอร์นเอ๊ย เจ้าหลงลืมที่ข้าเคยช่วยเจ้าเมื่อหน้าหนาวที่แล้วรึไง?”
“อะไรกันวะ ? จะมาพูดถึงเรื่องนั้นตอนนี้ทำไมกัน?”
“ไอ้หนู! องค์เทพีต้องโกรธมากแน่ และคงสาปแช่งเจ้าหากเจ้าขับไล่ไสส่งข้าตอนนี้น่ะ!”
พอมีคนมาร่วมด้วยช่วยกันมากขึ้น เด็กหนุ่มก็เริ่มลังเล
“เฮ้ยนี่! แกก็รู้นี่ว่าครอบครัวข้าทำงานช่างเหล็ก ถูกไหม? ถ้าคิดจะแย่งทั้งหมดเป็นของตัวเองคนเดียว ต่อไปครอบครัวข้าจะไม่ให้เจ้าซ่อมยืมอุปกรณ์ทำฟาร์มอีกแล้วนะ”
“หากไม่อยากเป็นคนนอกในหมู่บ้านนี้ แบ่งกันดีกว่าน่า หรืออยากออกจากหมู่บ้านไปใช้ชีวิตคนเดียวล่ะ!”
เด็กหนุ่มอยากที่จะร้องไห้ แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ สุดท้ายแล้วก็มีคนถึง 14 คนร่วมกันเคลื่อนหินก้อนเดียว
พอยกหินกลับไปคืนที่หน้าศูนย์ประชุมใหญ่ เจ้าหน้าที่รักษาความสงบสาธารณะก็ออกมาและมอบรางวัลให้แก่พวกเขา
มันเป็นเงินกว่า 300 โกลด์ที่อยู่ในกล่อง ชาวบ้านทั้ง 14 คนต่างร้องดีใจ และแบ่งเงินอย่างเท่าๆกัน
แล้วต่อมาก็มีผู้คนมารออยู่หน้า ศูนย์ประชุมใหญ่แทบทุกวัน จำนวนคนที่มีรอนั้นมีเกือบร้อยคน
แต่โชคไม่ดี ที่ไม่มีคำสั่งให้เคลื่อนยกหินนั้นโผล่มาอีก ผู้คนที่มีรอทั้งหลายต่างเศร้าใจ
“อ่าาา อย่างที่คิดจริงๆ ฝ่าบาทก็แค่เบื่อนั่นแหละ…….”
“ข้าไม่ควรมารอเลยว่ะ!”
ไม่นานนักหลังจากนั้น ก็มีคนแคระหลายคนมาแล้วแกะสลักบางอย่างบนหินก้อนนั้น
ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างเฝ้าดูเหล่าคนแคระด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีอักษรข้อความบางอย่างสลักไว้บนหินก้อนนั้น หลังจากทำงานเสร็จคนแคระก็จากไป
ข้อความนั้นเขียนไว้เช่นนี้ :
「บทบัญญัติที่หนึ่ง ดินแดนนี้ปกครองโดยลอร์ด ผู้มีอำนาจสูงสุดผู้ไม่มีวันตาย 」
「บทบัญญัติที่สอง ผู้คนในดินแดนนี้มีสิทธิอย่างเท่าเทียมกันที่จะมีเสรีภาพภายใต้การปกครองของลอร์ด
ตราบใดที่ยังมิได้ละเมิดอำนาจของลอร์ด สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันดั่งกล่าวจะได้รับการปกป้อง」
「บทบัญญัติที่สาม เสรีภาพของผู้คน,ทรัพย์สินของผู้คน,ความปลอดภัยของผู้คนรวมถึงความสงบสุขของโลกนั้นจะใช้สิทธิ์ผ่านตัวแทนของผู้คน」
บทบัญญัติทั้งสามข้อนั้นสลักไว้บนหิน
ตอนนั้นเองที่ชาวบ้านต่างรับรู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นกฏหมายใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ พวกเขาจึงเข้าใจแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องตลกขำขันของฝ่าบาทจอมมาร หากแต่เป็นการที่เขานั้นได้ออกกฏหมายเพื่อบังคับใช้อย่างชัดเจน
แม้จะมีถ้อยคำประโยคสำคัญทั้งหลายที่ควรทราบอยู่ในคำสั่งใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นดันทาเลี่ยนก็ตัดสินใจมอบส่วนที่สำคัญที่สุดไว้ให้เป็นของชาวบ้าน
โดยให้หินก้อนนั้นชื่อว่า <หินของแยมเมอร์>
ดันทาเลี่ยนเป็นผู้มอบนามให้หินก้อนนั้นด้วยตัวเอง เขาบอกกับผู้คนที่มารวมตัวกันที่ศูนย์ประชุมและพูดขึ้น
“นับแต่นี้เป็นต้นไป ยามที่ข้าจะให้คำสั่ง หรือขอความร่วมมือ ข้าจะวางประกาศลงตรงหน้าหินแยมเมอร์ก้อนนี้
สำหรับใครที่อ่านหนังสือไม่ออก ข้าจะให้ตัวแทนช่วยอ่านคำประกาศให้ฟังดังๆ”
“แต่ทำไมถึงเป็นชื่อ หิมแยมเมอร์ล่ะ?”
“ถึงข้าจะเป็นผู้ตรากฏหมายนี้ขึ้นมา แต่สาเหตุที่ข้าใช้ชื่อของชาวบ้านผู้หนึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนที่จะเรียกมันว่า เป็นก้อนหินดันทาเลี่ยน น่ะหรือ?”
หญิงชายที่เป็นข้ารับใช้ในดินแดนของข้าทั้งหลายเอ๋ย
นั่นก็เป็นเพราะพวกเจ้าต่างหาก ที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติตามกฏหมายดังกล่าวนี้!”
“เจ้าได้รับสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียมจากข้า ดันทาเลี่ยนก็จริง
แต่ทว่า ข้าไม่อาจใช้ชีวิตที่ได้รับสิ่งเหล่านั้นแทนพวกเจ้าได้ จงจำไว้ให้ดี”
“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะใช้ชีวิตของตนเองได้”
“ลอร์ดของเจ้าจะไม่มีวันใช้ชีวิตแทนเจ้าได้เป็นอันขาด!
เฉกเช่นเดียวกับองค์เทพีที่มอบชีวิตให้พวกเรา พวกเราต้องเป็นผู้ที่บำรุงเลี้ยงดู ชีวิตของตน
ฉันใดก็ฉันนั้น ลอร์ดของเจ้าเองก็เป็นดั่งนักบวชที่เป็นตัวกลางระหว่างเจ้ากับองค์เทพี”
“อีกประการหนึ่ง การที่ข้าเรียกก้อนหินนี้ว่า เป็นหินของแยมเมอร์นั้น นั่นก็หมายถึง มันเป็นกฏหมายของพวกเจ้า เหล่าผู้คนของข้าเอ๋ย จงใช้ชีวิตโดยจดจำสิ่งนั้นให้ขึ้นใจ”
เบื้องหลังถ้อยคำนั้นมีเล่ห์กลซ่อนอยู่
จุดสำคัญคือ ความจริงที่ว่า ด้วยอำนาจสูงสุดนั้นเป็นของบุคคลเพียงคนเดียว นั่นคือ จอมมารดันทาเลี่ยน ไม่ใช่ชาวบ้าน
การที่ชาวบ้านอยู่กับอย่างเสรีและมีความเท่าเทียมกันได้นั้นก็ด้วย ความกรุณาของได้รับมาจากลอร์ด
ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจกับลอร์ด เห็นกันอยู่แล้วว่า การกระทำเช่นนั้นจะทำให้พวกเขาปฏิบัติต่อดันทาเลี่ยนเฉกเช่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
……ทำไมพวกเราถึงมีชีวิตความเป็นอยู่ดีล่ะ? นั่นก็เพราะพวกเราขยันทำงานหนัก
แล้วทำไมพวกเราถึงได้ขยันทำงานหนักกันล่ะ?
นั่นก็เพราะฝ่าบาทดันทาเลี่ยนมอบสิทธิ์ในการใช้ชีวิตได้อย่างอิสรเสรี
พอเราอยู่กันอย่างนั้นได้ มีความสุขกับสันติสุข เต็มไปด้วยอิสระ ทั้งหมดนี่ก็ต้องขอบคุณฝ่าบาทดันทาเลี่ยน…….
นั่นเป็นตรรกะที่ดูประหลาดและอันตราย
“ขอความเจริญรุ่งเรืองจงมีแด่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน!”
ถึงอย่างนั้นชาวบ้านก็ไม่ลังเลใจที่จะร้องสรรเสริญ
เรื่องของอำนาจนั้นเป็นแนวคิดที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนพวกนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา นั่นคือ ความจริงที่ว่า ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้การดูแลของลอร์ด
ซึ่งนั่นหมายความว่า จะไม่มีชนชั้นสูงหรือทาส ทุกคนนั้นต่างเท่าเทียมกัน!
เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ชาวบ้านจะให้การสนับสนุนดันทาเลี่ยนอย่างดีเมื่อเขาประกาศว่า ‘จะไม่มีชนชั้นสูงหรือทาสในดินแดนนี้’
เพราะพวกเขาต่างต้องทนทุกข์หนักมาจากชนชั้นสูงที่ขูดรีด
* * *
ผมกลับมาที่ห้องจอมมารหลังจากประกาศออกไปที่ศูนย์ประชุมใหญ่
ผมออกมาทันทีหลังจากที่ผู้คนเริ่มตะโกนร้องเชียร์เรียกชื่อผม
เดซี่ที่อยู่ข้างกายผมตั้งแต่แรกในฐานะผู้ช่วยผู้ติดตาม พอกลับมาถึงที่ห้องด้วยการใช้เครื่องเทเลพอร์ทกลับมาแล้ว
เดซี่ที่เงียบอยู่ตลอดก็เปิดปากพูดขึ้น
“สิ่งนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเลยค่ะ”
เด็กสาวผมดำมองผมอย่างเย็นชา
“ตรงไหนที่เธอว่า มันไม่สมเหตุสมผล?”
“ทุกอย่าง ทุกอย่างที่ท่านพ่อพูดนั้นเต็มไปด้วยคำโกหก และหลอกลวง”
“ข้าไม่เข้าใจว่า เจ้าหมายถึงอะไร”
ผมหัวเราะหึ แล้วเดซี่ก็พูดต่อ
“ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตแทนใครได้ ผู้คนทั้งหลายนั้นมีสิทธิ์ในชีวิตของตนอยู่แล้ว
ท่านไม่สามารถใช้ชีวิตแทนใครได้ แล้วท่านจะไปมอบสิทธิ์ในการใช้ชีวิตให้พวกเขาได้อย่างไรกัน?”
เดซี่เร่งเสียงขึ้น
“ถ้อยคำของท่านมันขัดกันเอง ท่านพ่อ”
“โอ้?”
“การที่ท่านเรียกพวกเขามารวมตัวกันก็เพื่อลวงหลอกพวกเขาด้วยถ้อยคำที่น่าฟัง”
ผมนอนอยู่บนเตียงตัวเองแล้วเหยียดกาย
“อือฮึ แล้วมันยังไงล่ะ?”
“…….”
“แหม ดูเหมือนเดซี่ของพวกเราจะโตขึ้นมาเป็นนักเคลื่อนไหวสาธารณรัฐนิยมโดยที่ข้าไม่ทันรู้ตัวเลยนะเนี่ย นี่เจ้าได้รับอิทธิพลมาจากพี่ชายเจ้าหรือไร?
ที่นี่น่ะมันดินแดนของข้า พูดง่ายๆ มันเป็นของๆข้า
ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ที่เจ้าบอกว่า ขัดแย้งกันนี่มันยังไงก็ในเมื่อ ข้าพูดว่า สิ่งที่เป็นของข้านั้นยังคงต้องเป็นของๆข้า
หากเจ้าต้องการจะช่วงชิงสิ่งที่เป็นของๆข้าๆ และทำให้มันกลายเป็นของทุกคนแล้วล่ะก็
เอาล่ะ เจ้าก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านของพวกเขา ไม่ใช่ข้า ถูกไหม?”
ผมไม่คิดจะสร้างดินแดนประชาธิปไตยสักหน่อย ผมจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน?
ตอนนั้นเองที่ลูกแก้วคริสตัลบนโต๊ะข้างเตียงผมส่องประกายขึ้น
ผมมีลูกแก้วอยู่หลายลูก แต่ลูกที่เปล่งแสงอยู่นั้นเป็นลูกที่ติดต่อโดยตรงมาจากไพมอน ผมรีบลุกขึ้นและเปิดการใช้งานลูกแก้ว
– เป็นไปได้ด้วยดีไหม ดันทาเลี่ยน?
ภาพของจอมมารผมแดง ผู้งดงาม ปรากฏขึ้น
“เป็นไปด้วยดี ทั้งหมดต้องขอบคุณเธอเลยล่ะ”
ไพมอนทักทายมาหาผมบ้างเป็นครั้งคราว มันไม่ได้เป็นเพราะมีเรื่องใหญ่ หรือเหตุผลอะไรสำคัญนักหรอก
บางทีเราก็พูดคุยกันสบายๆตามประสาคนที่คุ้นเคยกัน และบางครั้งก็เป็นเรื่องการปฏิวัติที่เกิดขึ้นบ้าง
ไพมอนบ่นเรื่องที่ว่า บางทีมันยากเหลือเกินที่การปฏิวัติจะสำเร็จสมดังต้องการ
ผมได้แต่ยิ้มด้วยความผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับไพมอนทุกครั้งที่เธอทำเช่นนั้น
“คุณไพมอนครับ อย่าโศกเศร้าเสียใจไปนักเลย
ผู้คนน่ะต่างตกเป็นทาสของขนบประเพณีดั้งเดิมโดยหลงลืมความจริงที่พวกเขานั้นเท่าเทียมกันและเป็นอิสระ
เธอน่ะจะต้องก้าวข้ามพลังพวกนั้นได้และนำทวีปทั้งทวีปนี้ไปสู่สังคมอุดมคติ……. ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ง่ายอยู่แล้วล่ะ”
ไพมอนถอนใจออกมา
– ก็ใช่แหละ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าก็อดบ่นไม่ได้จริงๆ……
“หากเธอมองความยากลำบากของ ตัวตนที่ชื่อ ไพมอนกำลังอดทนอยู่ในตอนนี้จากมุมมองนั้นมุมมองเดียว มันจะถือว่าเป็นความทุกข์ใจของไพมอนเพียงลำพัง หากแต่ลองมามองมุมอื่นดูบ้าง ความทุกข์ยากลำบากใจนั้นเป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติและเหล่าพงพันธุ์ปีศาจทุกตน
ความลำบากนั้นย่อมต้องหนักหนาเป็นธรรมดา”
– …….
“
พยายามให้สุดกำลังนะ แม้จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจ หรือใครต่างประณามเธอ
ข้านี่แหละ ข้าจะเป็นคนเดียวคนสุดท้ายที่ยังสนับสนุนเธออยู่ จนกว่าสาธารณรัฐนิยมจะได้รับชัย”
บทสนทนาระหว่างเรามักจะจบลงประมาณนี้
ไพมอนก็คงลำบากในแบบของเธอนั่นแหละ
เธอน่ะมีทั้งพันธมิตรปลดแอก แต่ถ้าว่ากันตามจริง พวกนั้นก็ไม่ใช่สหายที่เท่าเทียมอะไรกันหรอก
ก็เห็นๆอยู่แล้วว่า ไพมอนน่ะเป็นหัวหน้าของพวกนั้น ในฐานะหัวหน้า เธอจึงไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาให้ลูกน้องเห็นได้
ยิ่งไปกว่านั้นจอมมารระดับเดียวกันกับเธอ ไม่มีใครเลยที่เข้าใจแนวคิด สาธารณรัฐนิยม ผมจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเป็นที่พึ่ง รับฟังเธอได้
เอาล่ะ ถ้าผมคิดว่า มันเป็นการให้คำปรึกษาอย่างหนึ่ง แล้วผมก็ยังสามารถรักษาความสัมพันธ์กับไพมอนได้ด้วยการพูดคุยกันไม่กี่นาที ก็ไม่เห็นเสียอะไรเลยนี่
พอผมหันกลับไป ผมก็เห็นเดซี่จ้องผมอยู่
“อื้ม? อ้า เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ?”
“……ท่านกำลังบอกว่า ท่านไม่คิดจะให้พวกเขารับรู้ถึงสิทธิเสรีภาพของตน”
“อ๋อ แน่ล่ะ ถ้าพวกเขาได้รับสิทธิ์อะไรนั่นไป พวกเขาก็จะเริ่มการปฏิวัติหรือทำอะไรสักอย่าง
ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องเร่งรีบให้สิทธิ์พวกนั้นไปเลยนี่
นี่แหละ ชีวิตล่ะ”
เดซี่ถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่
“หืม? ใครสอนให้เธอถอนใจขณะที่พูดกับคนอื่นกัน?”
“ไม่ค่ะ หนูเพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเองโง่แค่ไหนที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกับท่าน”
เดซี่นั้นเยาะเย้นตัวเองราวกับเป็นคนวัยหกสิบ
“ทั้งที่หนูก็รู้อยู่แล้วว่า ท่านพ่อเป็นคนเช่นไร”
“ข้าไม่แน่ใจนักว่า เจ้าพยายามจะบอกอะไร แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่เจ้าโง่น่ะเป็นความจริง”
“ค่ะ เป็นความผิดของหนูเองค่ะ ยอมรับจากใจจริง”
เห เดซี่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองด้วย
เธอนั้นเป็นประเภทที่รักษาเกียรติมากเสียจนไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิดไป ต่อให้จับเธอไปฆ่าก็ตามที
นี่แหละที่ทำให้วันนี้เธอดูน่ารักกว่าปกติ
ผมพอใจกับสิ่งนี้พอสมควรดังนั้นคืนนี้ผมจะไม่ทรมานเดซี่ก็แล้วกัน
นี่แหละน้า ทำไมผู้คนสมควรจะแสดงความซื่อตรงออกมา พอทำแบบนั้นแล้วมันดูน่ารักขึ้นมากเลยล่ะ
ส่งท้ายจากผู้เขียน
ถ้าให้ระบุให้ชัด อาจจะไม่ถึงกับบรรยายให้เห็นภาพ แต่ดันทาเลี่ยนก็ฝึกเดซี่อยู่แล้วในทุกวัน
MANGA DISCUSSION