“โอ้? นั่นออกจะให้เกียรติกันมากเกินไปหน่อย ขอข้าถามได้ไหมว่า อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น?”
“ถ้านายป้วนเปี้ยนแถวนี้สัก 5 หรือ 10 ปีก็จะรู้เรื่องพวกนี้สักอย่างสองอย่างเองแหละ”
นักผจญภัยคนนั้นเอามือตบหน้าผากตัวเอ
เขาเป็นชายหัวโล้นที่อายุราว 30 ปี มีแผลเป็นทางยาวที่ตาขวา เขาคงสวมผ้าปิดตาเพื่อปิดแผลนั้นนั่นแหละ
ผิวพรรณของเขาเป็นสีแทน ทั้งหัวล้านทั้งตาเดียว ให้บรรยากาศแบบนักเลงโต
“เอ้า ถ้างั้นนายดูให้ดีๆก็แล้วกัน
ข้าน่ะสามารถบอกได้ในชั่วแวบเดียวเลยว่า ใครเป็นเพชรในตม
นายเห็นเจ้าพวกนั้นที่ส่งเสียงดังตรงหน้าโต๊ะรับภารกิจไหม?”
ชายหัวโล้นชี้ไปยังฝูงชน
“เจ้าพวกนั้นน่ะคือ พวกมือใหม่ที่พอเข้าไปปราสาทจอมมารปุ๊บก็วิ่งเปิดตูดหนีอย่างไว
เจ้าพวกนี้มันเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลที่หนีออกจากบ้าน พร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังฆ่าก็อบลินได้ไม่กี่ตัว ก็เห็นๆกันอยู่”
“ดูเจ้าจะแน่ใจเรื่องนั้นมากเลยนี่”
“ข้าออกจะคุ้นเคยกับเรื่องพวกนั้นดี”
ชายหัวล้านยิ้ม
มันไม่ใช่ยิ้มเยาะถากถางจนดูเสียมารยาทหากแต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความฉลาดที่อยากแสดงให้คนอื่นเห็น
แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยกล้ามทำให้ดูดุดัน ดวงตาข้างเดียวยิ่งทำให้เขาดูเหมือนพวกโจรสลัดหรือพวกนอกกฏหมาย ทั้งยังมีความนุ่มลึกห่อหุ้มรอบตัว
หากจะพูดออกไปก็ดูเป็นการพูดอะไรที่ดูโง่มาก แต่ชายหัวโล้นคนนี้ไม่ต่างจากสุภาพบุรุษพเนจรเลยแม้แต่น้อย
“มือใหม่พวกนั้นโดยมากมักจะตายตั้งแต่การต่อสู้จริงครั้งแรก
เข้าใจไหม เกือบ 30% ของพวกนั้นจะตายและอีก30%ก็จะกลัวแล้วก็วิ่งหนีหางจุกตูดไปเลย”
เขายกนิ้วขึ้นสี่นิ้ว
“40% นายเข้าใจไหม? มีเพียงเจ้าหน้าใหม่ 40% เท่านั้นที่ยังอยู่ต่อได้ ชีวิตของพวกนั้นก็แสนจะเรียบง่าย
หากไม่จบลงตรงเป็นศพที่พื้นเย็นๆของปราสาทจอมมารก็ตายด้วยโรคติดต่อหลังจากซั่มกะหรี่ทุกค่ำคืน”
ผมมองเขาด้วยแววตาสนอกสนใจ
“หืมม ไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะรอดเลยรึ?”
“มันดีกว่า หากจะประเมินว่า พวกนั้นไม่รอด ต่อให้พวกนั้นมีมหาโชคมหาลาภ แต่ก็อยู่ได้ไม่เกินอายุ 50 หรอก
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? ก็ลองคิดดูสิ แมลงเม่าอย่างพวกเราน่ะจะมีเงินเก็บหรือไง? พวกเราไม่เคยเตรียมอะไรไว้สำหรับยามแก่กันเลย”
ชายหัวโล้นพูดกับพนักงานหญิงที่เพิ่งผ่านโต๊ะพวกเราไป
“เธอน่ะ เบียร์ 3 แก้ว”
“เบียร์แค่ 3 แก้วเอง? เดี๋ยวมา”
ลูกจ้างคนนั้นดูหงุดหงิดรำคาญ เธอบ่นอุบแล้วยื่นมือเปล่าออกมา ชายหัวโล้นมอบเงินให้เธอ 6 เหรียญทองแดง
‘ฮื่มมมมม’
ผมแอบให้คะแนนประเมินนักผจญภัยตรงหน้าพวกเราไว้สูง
ชายหัวโล้นคนนี้ออกจะเชี่ยวชาญมาก ที่เลี้ยงเบียร์ผมและเจเรมิ เขาไม่ได้พูดเปล่าๆหากแต่ยังแสดงออกด้วยการกระทำด้วยว่า เขาอยากร่วมงานกับพวกเราจริงๆ
มนุษย์แบบเขาเนี่ยหากไม่ใช่พวกมีจิตใจเยี่ยงชนชั้นสูงก็มักจะเป็นพวกต้มตุ๋นไปหลอก และจะเป็นปัญหามากหากเขานั้นเป็นพวกต้มตุ๋น
รอยยิ้มแบบสุภาพบุรุษใจกว้างนั้นเป็นหนึ่งในทริคที่นักต้มตุ๋นใช้กันอยู่บ่อยๆ ผมล่ะอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าหมอนี่จะเป็นคนประเภทไหนกันแน่…….
“อย่างที่พวกนายทั้งสองก็รู้ดีอยู่แล้ว นักผจญภัยอย่างพวกเรานั้นเป็นดั่งแมลงเม่าที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หัวของเราอาจหลุดจากบ่าพรุ่งนี้ก็ได้ ลองคิดดูสิ แล้วจะเกิดอะไรกับเงินที่พวกเราฝากไว้กับกิลด์หลังจากที่พวกเราตายไปแล้วล่ะ?”
ชายหัวโล้นกางแขนออกพลางยักไหล่
“เงินพวกนั้นก็จะหายวับไปกับตา พวกผู้บริหารกิลด์ก็คงจะจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ในคืนเดียวกันนั้นเอง
…….เงินที่เฝ้าหอมรอมริบมาเพื่อให้มีชีวิตที่ดีแต่กลับไปอยู่ในกระเป๋าตังคนอื่นแทน
เพราะอย่างนั้นมันจะไม่ฉลาดกว่างั้นเหรอหากเราจะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามทางของมัน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป”
เขาพูดถูก
พวกผู้หญิงน่ะไม่มีใครแต่งงานกับนักผจญภัยที่มีชีวิตห่างไกลจากความมั่นคงนขนาดนั้นหรอก พวกเขาเองก็ไม่มีครอบครัวด้วยเช่นกัน
ดังนั้นความรักเดียวที่นักผจญภัยจะมีให้ได้ก็คือ ดอกไม้ริมทาง
…….พูดง่ายๆก็ กะหรี่นั่นแหละ
พวกเขาจะมีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่าไม่กี่วันหลังจากทำงานก้อนโตจากดันเจี้ยน พวกนั้นก็จะสาดเทเงินที่มีไปกับซ่องหรูๆ เพลิดเพลินกับไวน์และอาหารราคาแพง
หากโดนป้อยอด้วยคำหวานหูก็อาจจะไปเล่นพนันด้วยก็ได้
กะหรี่,เหล้ายา และการพนัน รวมสามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน เงินทองก็ระเหิดระเหย หายวับไปกับตา
แล้วเหล่านักผจญภัยก็จะกลับไปมีชีวิตเหมือนก่อนเก่า ชีวิตที่แสนน่าเบื่อหน่าย ส่วนชีวิตที่หรูหรานั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความฝัน
พวกเขาจะหิวจนหาขนมปังแม้สักก้อนมารองท้องก็ยังไม่ได้
พวกเขาก็จะเริ่มเที่ยวมองหางานจากผู้คนพลางดื่มน้ำจากบ่อน้ำเพื่อรองท้องประทังชีวิต
พวกเขาก็เทียวไปเทียวมาอยู่หน้ากระดานภารกิจของกิลด์เหมือนพวกขี้โกงขี้ฉ้อเพื่อหวังว่า วันที่แสนสุขสบายหรูหรานั่นจะกลับมาอีกครั้ง
ประสบความสำเร็จ,ทำตัวอูฟู่หรูหรา,ยาจกหิวโหย,ประสบสำเร็จอีกครั้ง,ทำตัวอูฟู่หรูหรา,ยาจกหิวโหย…….วนๆไป
“แล้วพวกเขาก็ตายจากไป นี่แหละคือสิ่งที่นักผจญภัยอย่างพวกเราเป็นกัน”
บางครั้งมันก็เกิดขึ้นเพียงเพราะพวกเขานั้นโชคร้ายที่ต้องเผชิญกับความตายเนื่องจากก็อบลินปาหินมาโดนหัว
บางครั้งก็เกิดขึ้นเพราะปาร์ตี้ตัวเองทำพลาด เรนเจอร์ที่ควรสำรวจที่ทางในพื้นที่ล่าให้ดีกลับตกหล่นออเกอร์ไปตัวนึง แล้วออเกอร์ตัวนั้นก็บังคับให้ทั้งปาร์ตี้ต้องสู้อย่างสิ้นหวัง
มนุษย์นั้นอ่อนแอ แม้ไม่ประมาทก็ยังสามารถตายอย่างง่ายๆได้อยู่ดี
ในแง่ของสัดส่วนเปอร์เซ็น โอกาสตายอาจจะไม่สูงนักหรอก แต่พอมีนักผจญภัยจำนวนเป็นพันเป็นหมื่น โอกาสที่แจ็คพอตใหญ่ รางวัลถึงแก่ความตาย ก็เกิดขึ้นได้ทุกเวลา
ชีวิตที่เป็นดั่งขยะใต้หลุมถัง นั่นแหละเป็นนิยามที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับนักผจญภัยแล้ว
เช่นเดียวกันกับตัวละครฮีโร่ในเกม <Dungeon Attack>
ที่คุณมักจะไปซ่องแทบทุกครั้งหลังจบเควส มันมีระบบที่น่ารำคาญที่ทำให้ตัวละครของคุณมีโอกาส 0.01% ที่จะติดโรคซิฟิลิส หลังจากเอากับกะหรี่
ึนั่นแหละ คุณก็ไปเจอเข้ากับแบดเอนด์แล้ว!
สิ่งที่ทำให้มันเลวร้ายหนักกว่านั้นคือ ความจริงที่ว่าโรคซิฟิลิสในเกมนั้นต้องใช้ระยะเวลาฟักตัวนาน
ระบุให้ชัดๆก็คือ สัญญาณการเป็นโรคน่ะจะเริ่มขึ้นชัดหลังจากนั้นในหนึ่งปีครึ่ง เวลาเกม ดังนั้นถ้าโชคไม่ดีไปโดนโอกาส 0.01% นั้นเข้า
……ตอนนั้นเองที่คุณจะรู้แล้วว่า ตัวเองเล่นเกมไปไกลมาก แม่นๆก็คือ หลังผ่านไปหนึ่งปีครึ่งในเกม
มันไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีใครเซฟเกมเพื่อย้อนไป หนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านั้น
ดังนั้นถือว่า ที่ทำมาเนี่ย จบเห่แล้ว
จริงๆมันก็เข้าใจได้อะนะ ไอ้เรื่องก่อนพายุใหญ่เข้าเมฆก็ต้องตั้งเค้าก่อน
แต่ไอ้ที่เหี้ยมากๆ ที่ไม่ได้หมายความว่า มีจำนวนตัวเหี้ยเยอะ
ไอ้พวกเหี้ยสาระยำพวกนั้นอะแหละ มันทำให้กูต้องจบแบดเอนด์ไปสองรอบเพราะไอ้โรคห่าซิฟิลิส
ผมยอมให้จอมมารมันฆ่าตายเสียยังดีกว่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างน้อยผมยังหาประโยชน์จากการใช้เทคนิค การเซฟแอนด์โหลด อันแสนศักดิ์สิทธิ์ได้
แล้วผมจะเอาข้อมูลของเมื่อหนึ่งปีครึ่ง ที่ผ่านมามาจากไหนกันวะ?
แล้วต่อให้ผมแม่งมีเซฟเมื่อตอนนั้นเก็บไว้ นั่นก็แปลว่า ผมต้องเล่นเกมช่วงเวลาหนึ่งปีครึ่งอีกครั้งหนึ่ง
นี่พวกไอ้DEV เหี้ยนั่น สำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมฟินกันมากไหมวะ?!
‘หากพวกนายฟาร์มเลเวลกันหนักเกินไปในช่วงหนึ่งปึครึ่งนี้แล้วล่ะก็นะ……ถือว่าเป็นจุดจบของพวกนายเลยล่ะ’
ใช่ครับ ผมทำแบบนั้นเอง
และผมยอมรับซื่อๆเลยว่า อยากฆ่าตัวตายชะมัด
ไอ้ระบบเชี่ยนี่สร้างความไม่พอใจไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ผู้เล่นมากมายต่างก่นด่าเรื่องนี้ไม่หยุดไม่เลิก แต่ผู้พัฒนาก็กลับตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไม่ใส่ใจ
「โอกาสที่จะติดโรคซิฟิลิสนั้นปกติแล้วมีเพียง 0.01% แต่เปอร์เซ็นต์โอกาสจะเพิ่มขึ้น โดยขึ้นกับการที่เลเวลของผู้เล่นนั้นแซงหน้าเลเวลปัจจุบันตามเนื้อหาที่ควรจะเป็น ดังนั้นขอความกรุณาอย่าฟาร์มเลเวลบ้าคลั่งไร้สติจนเกินไป」
พูดง่ายๆ พวกนั้นกำลังบอกให้พวกเขาเก็บเลเวลกันช้าๆผ่านเควสก็พอ ไอ้พวกเชี่ยนั่น!
ความจริงเรื่องนั้นทำเอาเหล่าผู้เล่นขนหัวลุก มีหัวข้อโผล่ขึ้นมาบ่อยครั้งในฟอรั่มสนทนาว่าด้วยเรื่องที่พวกเขาต่างต้องจบเกมลงเพราะการฟาร์มเลเวล
สุดท้ายแล้วผู้เล่นก็ต้องยอมแพ้เรื่องการฟาร์มเลเวล แล้วไปดำเนินเรื่องตามเกม นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ระดับความยากของ <Dungeon Attack> ถึงได้สูงมาก นี่มันเกมวิปริตชัดๆ?
อ่าาา แค่คิดถึงเรื่องนั้นผมก็ชักเดือดปุดๆขึ้นมาแล้ว!
ผมล่ะโคตรแน่ใจเลยว่า ไอ้เจ้าVenusPanties มันต้องเป็นคนที่ใส่ระบบห่าเหวนี่เข้าไปแน่ๆ ผมไม่มีหลักฐานยืนยันหรอก แต่ผมแน่ใจสุดๆเลยล่ะ
ผมกล้าพูดเลยนะว่า อะไรที่วิปริตผิดเพี้ยนในโลกใบนี้น่ะ แม่งต้องเป็นความผิดของไอ้เจ้านั่นแน่ๆ
(TTL :
VenusPanties : ฉันล่ะเกลียดเพลเย่อเซ้นส์ดีแบบเธอจริงๆ! )
แต่ดูเหมือนชายหัวล้านจะเข้าใจท่าทีของผมผิดไป
“โอ้? ข้าเข้าใจนะที่นายน่ะผิดหวังที่พวกเรานักผจญภัยเป็นแบบนั้น”
“……ต้องขออภัยด้วย ข้าแสดงสิ่งที่ไม่น่าดูออกไปให้เห็น ช่างน่าอายเหลือเกิน”
“ไร้สาระน่า เป็นปกติอยู่แล้วล่ะ ที่ยิ่งหนุ่มก็ยิ่งเดือดง่าย”
ชายหัวโล้นผงกหัวอย่างเข้าอกเข้าใจ
เขามองผมด้วยแววตาที่เห็นใจ จนดูราวกับว่า เขาหยั่งถึงด้านที่เป็นมนุษย์ของผม เอาล่ะ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปแก้ความเข้าใจผิดของเขา ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปแหละ
“เบียร์แค่สามแก้ว ฟาเบียน(Fabian) นายควรสั่งเบียร์ข้าวสาลีบ้างนะ”
เด็กเสิร์ฟสาวบ่นพลางวางเบียร์ให้พวกเรา ชายหัวล้านยักไหล่ ดูท่าการทำแบบนั้นจะเป็นนิสัยของเขา
“ข้าจะสั่งเบียร์ข้าวสาลี 300 แก้ว หลังข้ากวาดข้าวของในปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนจนเรียบแล้ว”
“นายก็รู้ ใครๆก็ต่างพูดแบบนั้น? เดดาลัส(Daedalus)ก็ตั้งปาร์ตี้แล้วเดินทางกันแล้ว ฟาเบียน นายออกตัวช้าไปแล้ว”
“เดดาลัสน่ะ มันก็แค่คนที่อยู่ได้นานเพราะโชคช่วยแค่นั้นแหละ”
ชายหัวโล้นยกแก้วขึ้นแล้วพูด
“คราวนี้แหละที่ หมอนั่นต้องตายแน่ อยากลองเดิมพันไหมล่ะ ฟลัว(Fleur)?
ว่า หมอนั่นจะจุมพิตในงานแต่งกับเทพีแห่งผืนดินภายในสี่วันนี้แหละ กระดูกของหมอนั่นจะขาวซีดเสียจนดูไม่ออกเลยว่า ใครกันแน่ที่สวมชุดเจ้าสาว”
พนักงานเสิร์ฟคนนั้นหัวเราะ
“นายจะเป็นที่ชื่นชอบกว่านี้นะ ถ้านายหุบปากได้!
อย่าไปฟังหมอนี่มากก็แล้วกัน หมอนี่อาจไม่ใช่นักต้มตุ๋นก็จริง แต่ร้ายกาจกว่าพวกนั้นอีก
ถึงภายนอกจะดูดี แต่หมอนี่มันบ้ามาก ปีที่แล้วเขามีชื่อเรื่องการผลาญเงิน 60 โกลด์ภายในหนึ่งวัน
โอ้ พระเจ้า เขาน่ะเที่ยวไปซื้ออีตัวราคาแพงๆในย่านโคมแดง แล้วเอาแต่อยู่ที่นั่นตลอด!”
“พูดให้ถูกคือ 80 โกลด์”
ชายหัวโล้นพยักหน้า
“มันเป็นค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมมากๆ”
“นายนี่มันบ้าจริงๆ”
เธอบ่นพึมพัม
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ฟลัว ข้าไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจอะไรในชีวิตนี้อีกแล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และแล้ว ภารกิจอันยอดเยี่ยมก็โผล่มาอีก
องค์เทพีคงเฝ้าดูข้าอยู่แน่ๆ ข้าคิดว่า หลังจากคว้าโอกาสนี้ในมือได้แล้ว ข้าจะเปิดร้านขายอาวุธ”
“ช่างเป็นฝันที่หลักแหลม คนที่มีฝันกล้าหาญเช่นนั้นก็สมควรจะสั่งเบียร์ข้าวสาลีบ้างนะ
โอ้ พ่อฟาเบียนตาเดียว”
พนักงานเสิร์ฟสาวโบกมือลา ก่อนจะเดินจากไป ผมสีส้มของเธอเด้งขึ้นลงทุกย่างก้าว ชายหัวโล้นหัวมามองเราหลังจากเธอคนนั้นจากไปแล้ว
“ยอดเยี่ยมเหมือนเคยเลยจริงๆ นายคิดว่าไงล่ะ?”
“เจ้าหมายถึงอะไร?”
“ข้ากำลังพูดถึง ฟลัวไง ไม่คิดว่า แม่นั่นมีสเน่ห์เหรอ?”
ชายหัวโล้นแอบกระซิบ
“พวกโฉดส่วนมากที่ป้วนเปี้ยนแถวกิลด์ฮอลก็หลงรักฟลัวทั้งนั้นแหละ เธอน่ะเป็นลูกสาวของนักผจญภัยระดับแดง และยังทำงานจิปาถะพวกนี้หลังจากพ่อเธอเสียไปแล้วด้วย ไม่เพียงแต่เธอรอบรู้เรื่องนักผจญภัยนะ
แต่ก็อย่างที่เห็น นางน่ะน่ารักด้วยแถมยัง…”
ชายคนนั้นโบกมือเบาๆ
“เธอถือศักดิ์ศรีที่จะไม่หลับนอนกับใครมากกว่าหนึ่งครั้งไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นถ้าเธอถูกใจนายก็อาจได้หลับนอนกันสักครั้ง แต่ไม่มีทางสำหรับครั้งที่สอง แม่นี่ออกจะเป็นเคสพิเศษหน่อย”
“โอ้? ถ้าอย่างนั้นท่านก็เคยหลับนอนกับนางสินะ คุณฟาเบียน”
“นั่นมันค่ำคืนที่ยอดเยี่ยม อันดับ 2 ในชีวิตของข้าเลยล่ะ”
ชายคนนั้นดันแก้วเบียร์อีกสองแก้วหาพวกเรา เราต่างรับแก้วไว้แล้วกล่าวอวยพรแก่คนเลี้ยง
เบียร์นั้นทั้งอุ่นและรสชาติแย่ แต่ก็เหมาะกับบรรยากาศในกิลด์ฮอล
“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมข้าจึงวางแผนจะเข้าร่วมกับไอ้ตัวตลกพวกนั้น จะ 500 หรือ 600 โกลด์ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ใหม่แล้ว
แถมข้ามีเส้นสายกับยามประจำเมืองที่นี่ด้วย ดังนั้นจึงเป็นไปได้อยู่แล้วที่ข้าจะตั้งร้านอาวุธขึ้น แล้วต่อจากนั้นข้าจะเอาฟลัวมาเป็นเมีย”
อึก อึก
ฟาเบียนก็ดื่มเบียร์จนหมดรวดเดียว
“คึก ภารกิจครั้งนี้เดิมพันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และความสุขของข้า
แล้วข้าเดิมพันความเสี่ยงระดับนี้กับพวกปาร์ตี้กากๆกระจอกๆอย่างพวกนั้นได้ยังไงกันล่ะ?
ทำใจเย็นๆแล้วค่อยๆเลือกคนที่ดีที่สุดย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
พวกนักผจญเก่งๆก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ…….”
ฟาเบียนมองมาที่ผมและเจเรมิ
“แต่แล้วก็มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเงียบๆที่โต๊ะด้วยกัน แล้วเฝ้าจับตาสังเกตเหล่านักผจญภัยที่อยู่ในฮอล
แถมก็พยายามคิดด้วยว่า ‘ใครนั้นจะมีประโยชน์มากที่สุด’ และก็เธอแหละ คุณผู้หญิง คุณน่ะมีกลิ่นที่หอมหวานมาก”
“…….”
เจเรมิยิ้มสดใสออกมาตลอดนับตั้งแต่ฟาเบียนมานั่งกับพวกเรา ฟาเบียนจึงยกยิ้มที่มุมปาก
“เธอน่ะส่งกลิ่นคาวเลือดออกมา มันเป็นกลิ่นที่มีแต่บุคคลที่หนีรอดจากนรกมาได้เท่านั้นที่จะติดตัวมาด้วยนะ คุณผู้หญิง
ข้ารู้ได้ในทันทีเลยว่า พวกนายน่ะคงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน!
พวกนายคงไม่คิดจะเดินทางไปทั้งที่ยังไม่ได้พรรคพวกเจ๋งๆหรอก……. ข้าถูกไหมล่ะ?”
ผมจิบเบียร์ก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว คุณฟาเบียน พวกเรากำลังมองหา ‘ใครสักคน’ ที่จำเป็นต่อพวกเรา”
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ที่พวกเรามองหาน่ะไม่ใช่สหายร่วมรบหรอก หากแต่เป็นเหยื่อน่าอร่อยต่างหากล่ะ
ผมลอบยิ้มอยู่ในใจ
(TTL : คนแปลกำลังป้องปากตะโกนว่า “ฟาเบียนคุง หนีปัยยยยยย!” )
MANGA DISCUSSION