* * *
ผมรุดไปที่หมู่บ้านโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่ตอนเดินทาง
พาร์ซิออกมาต้อนรับผม
“ยินดีครับ ฝ่าบาท”
“เจ้าดูแก่กว่าวัยเหมือนทุกทีเลยนะ”
“อ๋อ เฮอะ! หากฝ่าบาทไม่คิดรับผิดชอบอนาคตอันยาวไกลของข้า ก็อย่ามาพูดเรื่องนั้นเลย”
พาร์ซิทำปากบู้บี้และแก้มป่อง
ตลกดีที่เห็นผู้ชายหน้าตาเหมือนหมูป่าทำท่าทางแบบนั้น เขาดูแก่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากครั้งล่าสุดที่เจอกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
เอาจริงๆ พาร์ซิน่ะไม่ได้เป็นแต่เพียงตัวแทนของผู้ปกครองในดินแดนนี้เท่านั้นหากแต่เขายังมีหน้าที่เป็นผู้นำและเป็นผู้ปลอบขวัญชาวบ้านจากหมู่บ้านร้างของเดซี่ด้วย
จากที่เห็นก็พอบอกได้ว่า เขาเจอปัญหาเรื่องการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างลูกบ้านแต่ละหมู่บ้านอยู่
พวกเราเข้าไปที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านแล้วคุยเข้าประเด็นกันโดยไม่รอช้า
“ฮื่มม คุณลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ น่ะไม่ใช่พวกไร้เดียงสาก็จริง”
พาร์ซิขมวดคิ้วราวกับเจอปัญหาใหญ่
“แต่ฝ่าบาทครับ เธอไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์”
“เธอน่ะหรือไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์?”
“ในหัวเธอมันมีแต่เมฆสีสันสวยงามแล้วพูดออกมาแต่อะไรที่มันเป็นอุดมคติ”
พาร์ซิจามออกมา เขาคงเป็นหวัดนั่นแหละ
“ยกตัวอย่างเช่น?”
“เอาล่ะ ตัวอย่างก็ คุณฟาร์นาเซ่ เธอเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรนะ?
เธอบอกว่า หัวหน้าหมู่บ้านกับเจ้าของคนที่ควรจะบริหารจัดการหมู่บ้าน, กฏหมายนั้นต้องถูกร่างขึ้นโดยฝ่าบาทและข้ารับใช้ของฝ่าบาท
และต้องจ้างคนอื่นมาช่วยในการดำเนินการตามกฏหมายเหล่านั้น”
พาร์ซิสะบัดน้ำมูกที่เปื้อนมือลงพื้น ไอ้ห่าโสโครกนี่!
เขาพูดต่ออย่างเป็นกันเอง
“พูดอะมันง่าย แต่เอาเข้าจริงจะทำยังไงกัน?
พอลองมาคิดๆดูจากมุมมองลูกบ้านแล้ว มันก็คือการที่โดนใครก็ไม่รู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทและหัวหน้าหมู่บ้านมาตัดสินคดีความน่ะแหละ”
“อืมมม”
สิ่งที่ลอร่าบอกนั่นเป็นเรื่องการถ่ายโอนแบ่งอำนาจ
มันเป็นการออกกฏเกณฑ์ กฏข้อบังคับว่า ดินแดนแห่งนี้ควรจะมีการจัดการอย่างไรบ้าง
แล้วกระบวนการยุติธรรมจะทำให้มีการบังคับใช้กฏเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม
จากนั้นก็ดำเนินการตามกฏหมาย และบทบัญญัติพวกนั้นพร้อมทั้งเป็นการปกครองคนไปพร้อมๆกันด้วย
มันเป็นแนวคิดที่จะแบ่งอำนาจเป็นหลายภาคส่วนไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ผู้ปกครองนั้นมีอำนาจมากจนเกินไป
……ก็เลยไม่น่าแปลกใจหรอกที่ชาวบ้านธรรมดาแบบพาร์ซิจะบ่นว่า เรื่องพวกนี้มันยุ่งยากซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
อำนาจตุลาการตัดสินคดีนั้นเป็นปัญหาอยู่ในตัว
ในยุคสมัยนี้ที่ เกิดข้อพิพาทกันอยู่ทุกวี่วัน หลายครัวเรือนต่างเกิดเรื่องบ่อยครั้งเมื่อช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตในทุ่งนา
สถานการณ์ก็เช่น ใครจะให้พวกเขายืมอุปกรณ์ทำฟาร์ม? ใครจะจัดหาแรงงานที่ดินแห่งนี้? แต่ละครัวเรือนนั้นเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตเท่าไหร่? แต่ละคนในหมู่บ้านมีส่วนแบ่งในยุ้งฉางเก็บพืชผลเท่าไหร่? ถ้าเสาหลักหมู่บ้านเกิดตายด้วยโรคระบาดแล้วใครจะช่วยค้ำจุนครอบครัวที่เหลือ……?
โอ้ย ปัญหายาวเหยียด
พวกชาวบ้านก็มักใช้วิธีแก้ปัญหาสถานการณ์แบบนี้ง่ายๆก็คือ
ให้ชาวนาที่รวยและเก่งมีความสามารถอย่างหัวหน้าหมู่บ้านหรือเจ้าของที่มาตัดสินใจให้พวกเขาแทนน่ะสิ!
ผมจึงพูดขึ้น
“แล้วเจ้าไม่มอบอำนาจการตัดสินคดีให้กับเจ้าของที่ ที่ไว้ใจได้ล่ะ?”
“อืมมม ถ้าทำแบบนั้นมันก็จะเกิดกลุ่มเจ้าของที่ที่บริหารหมู่บ้าน กับกลุ่มเจ้าของที่ที่ได้รับมอบหมายในการตัดสินคดีน่ะสิ?
สุดท้ายพวกเจ้าพวกนั้นแต่งงานกันมันก็ไม่ต่างจากตระกูลเดียวกัน ดังนั้นมันก็แทบไม่ต่างกันอยู่ดี”
“หึ”
ผมถอนใจ
“ปัญหาจริงๆก็คือ พวกนั้นสนิทสนมกันมากเกินไปใช่ไหม?”
“ถ้าถึงจุดนั้น มันดีกว่ามิใช่รึ หากเจ้าจะมอบให้เจ้าของที่ทั้งหลายมีอำนาจตัดสินคดีความน่ะ?
หากเจ้าพวกนั้นมันร่วมมือกัน ทุกคนก็เห็นๆกันอยู่แล้ว
พวกนั้นไม่อาจทนการจับดูของชาวบ้านที่แสนน่ากลัวได้หรอกแต่ถึงอย่างนั้นมันก็อาจแกล้งทำเป็นตัดสินคดีให้ดูยุติธรรมก็ได้ ……ฮืมมมมม”
พาร์ซิพูดเสียงค่อย
ดูเผินๆการตัดสินคดีความนั้นอาจจะดูยุติธรรม แต่ในเมื่อเจ้าของที่ทั้งหลายต่างใกล้ชิดสนิทสนมกันผ่านการแต่งงานและตัวเงิน
มันก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อ หากไม่ทำอะไรที่มันชัดเจนกว่านี้ก็ยากที่ชาวบ้านจะกล้าร้องเรียน…….
“แล้วถ้าเราจะแต่งตั้งผู้ตรวจสอบที่พวกเช่าที่ดินไม่สามารถดึงตัวมาเป็นพวกได้ล่ะ?”
“แล้วท่านจะไปหาผู้ตรวจสอบนั่นมาจากไหนกัน? ในหมู่บ้านรึ? หรือนอกหมู่บ้านกัน?”
พาร์ซิพ่นลมออกจมูก
“หากท่านจ้างจากในหมู่บ้าน พวกนั้นก็จะช่วยเหลือเข้าข้าคนที่สนิทหรือมีสัมพันธ์ด้วย
แต่หากท่านจ้างคนจากข้างนอก พวกเขาก็จะไม่เข้าใจการทำงานของคนในหมู่บ้านและก็จะจบลงด้วยการตัดสินคดีด้วยการฟังความข้างเดียว
ไม่งั้นก็จะโดนพวกเจ้าของที่ดินติดสินบน ไม่สิ มันไม่สำคัญเลยแค่ เจ้าของที่ไปปล่อยข่าวว่า
‘ใครเอาข้อมูลภายในไปบอกให้คนภายนอกรู้มันคือ ศัตรูของหมู่บ้าน’ ”
“ฮ่าาาาช์…….”
สุดท้ายแล้วก็วกกลับมาที่จุดเริ่มต้น
ตอนนี้มีนโยบายสองอย่างที่ผมคิดอยู่
อย่างแรก คือ มอบอำนาจทั้งหมดให้กับชาวบ้าน
และอย่างที่สองแบ่งกระจายอำนาจตามคำแนะนำของลอร่า
เรามาลองพิจารณาดูนโยบายแรกกันดีกว่า
เพื่อให้อำนาจนั้นเป็นไปอย่างยุติธรรมจึงขอมอบอำนาจทั้งหมดให้แก่เจ้าของที่ ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นผิดพลาดหรือรุนแรงเกินเหตุ
ความรับผิดชอบก็ตกอยู่แก่ ‘เจ้าของที่ทุกคน’ โดยจัดเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
ชาวบ้านก็จะรุมประณามเจ้าของที่ดินคนนั้น ทำให้รู้แน่ชัดว่า ใครเป็นผู้ต้องรับผิดชอบ
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของที่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจะปล่อยให้พวกตัวเองโดนลงโทษโดนขังคุกได้ยังไงกันล่ะ?
ดังนั้นแทนที่พวกเขาจะเสี่ยงทำอะไรผิดพลาดระหว่างตัดสินคดี ที่มีแต่เสียกับเสีย
ดังนั้น พวกเขาจึงเอาแต่ทำตามข้อปฏิบัติที่เป็น ‘กฏหมายจารีต’ เท่านั้น
ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น? ก็เพราะวิถีประเพณีของพวกเราเป็นอย่างนั้น
ทำไมคนนั้นได้ที่ดินเพิ่มล่ะ? ก็เพราะวิถีประเพณีของพวกเราเป็นอย่างนั้น
ทำไมบางคนใช้บ่อน้ำอันนั้นได้ แต่บางคนใช้ไม่ได้ล่ะ? ก็เพราะวิถีประเพณีของพวกเราเป็นอย่างนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างจะขึ้นกับเหตุผลทางจารีตประเพณี วิถีเดิมของพวกเขาทั้งนั้น…….
“สุดท้ายแล้ว กฏจารีตจะไม่กลายเป็นกลายเป็นกฏข้อห้ามไม่ต่างจากความเชื่อทางศาสนาอย่างนั้นหรือไง?”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะท่าน?”
พาร์ซิขมวดคิ้ว
หากพวกเขาปฏิบัติตามกฏจารีตประเพณี ทุกความรับผิดชอบทั้งหลายก็สลายไปในอากาศ
พอเจ้าของที่ทำอะไรชั่วร้ายเข้าก็ไม่ต้องรับโทษนั้น พวกเขาก็แค่พูดว่า ทุกอย่างมันเลวร้ายเพราะ ‘โชคไม่ดี’
พูดสั้นๆก็คือ แนวคิดชีวิตตามพรหมลิขิต*……เมื่อความเชื่อนั้นฝังรากอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
หากมีอะไรราบรื่นก็เพราะพวกเราโชคดี หากมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นก็เพราะพวกเราโชคไม่ดี
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกฏหมายจารีตประเพณี ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตั้งผู้พิพากษาคนอื่นนอกเหนือจากเจ้าของที่ดิน พวกเขาก็เชื่อไปตามตำนานพื้นบ้านแล้วหวังว่า ตัวเองจะโชคดี…….
ชุมชนของชาวบ้าน = ร่วมกันพิจารณาคดี และเกิดศาลเถื่อน = ละเว้นความรับผิดชอบใดๆ = ชะตาฟ้าลิขิต พรหมดลบัลดาล = ความเชื่อพื้นบ้าน
ทุกสิ่งอาจดูไม่เกี่ยวข้องกันหากดูผ่านๆ แต่ความจริงแล้วทุกสรรพสิ่งเกี่ยวเนื่องกันอย่างเหนียวแน่นด้วยโซตรวนความสัมพันธ์และหากคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงแม้แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งคนก็ต้องเปลี่ยนมันทั้งระบบ
แค่คิดก็น่าจะพอเดาออกว่ามันยากและใช้เวลามากเพียงใดที่จะทำอย่างนั้น
―ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สังคมที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘หมู่บ้าน’ นั้นมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงมาก
ผมลอบยิ้มอย่างขมขื่น
‘มันคงจะดีกว่าด้วยซ้ำ หากพวกเขานั้นเป็นพวกอนุรักษ์นิยมเพียงเพราะไร้อารยธรรมและไม่มีสมอง’
แต่ความจริงพวกเขานั้นห่างไกลจากคำว่า ไร้อารยธรรม
หากคิดดูให้ดี การที่หมู่บ้านการเกษตรนั้นมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงถึงว่าสมเหตุสมผลสุดๆ
เรียกว่า อนุรักษ์นิยมอย่างสมเหตุสมผลจะเหมาะสมกว่าในบริบทนี้
มันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พวกชาวนาชาวไร่นั้นต้องสร้างสังคมที่ยุติธรรมขึ้นมาด้วยมือตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า ในฐานะลอร์ดล่ะ?”
“……เอาละ ว่ากันตามตรงเลยนะท่าน”
พาร์ซิตอบอย่างขื่นขม
หากกลุ่มสังคมในหมู่บ้านนั้นสามารถบริหารจัดการและตัดสินคดีความกันด้วยตัวเองได้ อย่างนั้นหน้าที่ของข้าในฐานะผู้ปกครองก็หมดลงโดยสมบูรณ์ แล้วผู้ปกครองจะทำอะไรล่ะ หากพวกเขาอยากจะรักษาจารีตประเพณีของพวกเขาต่อไป?
“อื้มมม ตราบใดที่พวกนั้นยังคงจ่ายภาษีกันอยู่ แค่นั้นก็ไม่พอใจหรือท่าน?”
“แกนี่มันเป็นลูกกะหรี่พันธุ์ไหนกันวะ? มันไม่สำคัญนักหรอกว่า พวกแกจะจ่ายภาษีไหม เงินพวกนั้นหาใช่สิ่งสำคัญสำหรับข้า
ทำไมข้าต้องพออกพอใจนักกับการหยิบเงินจากกระเป๋าเจ้าเด็กน้อยพวกนั้นล่ะ?”
“คึคึคึ”
พาร์ซิหัวเราะแบบคนแก่
“นี่แหละสาเหตุที่ว่าทำไมฝ่าบาทถึงเป็นลอร์ดในฝันสำหรับหมู่บ้านพวกเราเลย
ท่านช่วยปกป้องมอนสเตอร์ที่รุกรานพวกเราให้
ท่านแทบจะไม่เรียกร้องขอภาษีอื่นใดเพิ่มจากพวกเราแถมท่านยังพยายามไม่ยื่นมือมายุ่งเกี่ยวอำนาจในมือพวกเราด้วย
ถวายเกียรติแด่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน!”
พาร์ซิชูมือทั้งสองข้างขึ้นอากาศและส่งเสียงเฮ ผมต่อยหมอนั่นเข้าที่ท้องด้วยความโกรธ
เขาล้มลงไปแล้วครางประมาณว่า “โอ้ ไม่นะ ข้ากำลัง จะ ตายแล้ว!”
แหม ทำซะเวอร์เชียวนะเอ็ง ผมต่อยเขาขำๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางเจ็บอยู่แล้ว
“แล้วถ้าเอาอย่างนี้แทนล่ะ? ถ้าให้พวกผู้เฒ่าจากหมู่บ้านอื่นเป็นผู้คอยพิจารณาคดีล่ะ”
“หืมมม?”
หัวหน้าหมู่บ้านที่ยังหนุ่มและเฉลียวฉลาดกลับถึงกับเอียงคอด้วยความงง
“พวกผู้เฒ่าจากหมู่บ้านอื่น? ท่านหมายความว่ายังไงน่ะ?”
“พาร์ซิ หมู่บ้านใต้การปกครองของข้ามีอยู่กี่หมู่บ้าน?”
“เอ่อ……ขอผมคิดสักครู่ ตอนแรกก็มีอยู่ 3 ”
พาร์ซินับนิ้วมือตัวเอง
“2 หมู่บ้านที่เป็นลูกชายคนที่สอง กับลูกชายคนที่สาม แล้วก็ขยายหมู่บ้านไป ก็นับด้วย
แล้วก็มีหมู่บ้านร้างที่ฝ่าบาทไม่รับผิดชอบแล้วส่งมาให้เรา รวมกันก็เป็น 6 ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ ลองนึกถึงไอเดียนี้ดูสิ :
หากมีอะไรเกิดขึ้นในหมู่บ้านไหนสักหมู่บ้านหนึ่ง จะไม่ดีกว่าหรือไงหากส่งคนจากหมู่บ้านอื่นให้เป็นผู้พิจารณาคดีที่นั่นแทนน่ะ?”
“…….”
สีหน้าของพาร์ซิเคร่งตึง ผมจึงพูดต่อ
“เนื่องจากพวกนั้นอยู่คนละหมู่บ้าน จึงเป็นกลางมากกว่าคนอื่นๆ
พวกเขาต่างเป็นคนในท้องที่เดียวกัน แถมเจ้าพวกนั้นยังมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากันด้วย จึงไม่ได้เป็นคนนอก
แต่ก็ไม่ได้เป็นคนในเสียทีเดียว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? ไม่คิดเหรอว่านี่จะเป็นไอเดียที่ดีน่ะ?”
“……แน่นอนครับ ฟืดดด”
พาร์ซิสั่งน้ำมูก
“แน่นอนครับ ดูเหมือนจะเป็นไอเดียที่ดี แต่มันอาจจะจบลงตรงที่ว่า พวกชาวบ้านก็จะแค้นกันเอง
สิ่งนี้อาจนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในดินแดนของฝ่าบาทเอง ท่านรับได้หรือ?”
“หึ หึ นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องตัดสินคดีอย่างระมัดระวัง”
ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมา
“หากพวกเขาตัดสินคดีความผิดไปก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งภายใน ดังนั้นจึงต้องพยายามทำให้ยุติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
…….ไม่คิดว่า ผู้เฒ่าในหมู่บ้านจะคิดอย่างนั้นหรือ?”
“อืมมมฮื่มมมม”
พาร์ซิถูมือที่ประกบเข้าด้วยกัน มีน้ำมูกอยู่ระหว่างฝ่ามือ ทำให้เขาค่อยๆสร้างแซนวิชสีเขียวขึ้นมา
“หากเจ้าเชื่อว่า การตัดสินคดีไม่สามารถทำได้อย่างเหมาะล่ะก็ ข้าจะอนุญาตให้มีการคัดค้านด้วยสักครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นในฐานะลอร์ดเจ้าของดินแดน ข้าก็จะมอบการตัดสินใจนั่นให้กับข้ารับใช้ที่ข้าแต่งตั้งขึ้นเอง”
“……การตัดสินคดีระหว่างการตัดสินคดีเนี่ยนะ?”
“เอาล่ะ เจ้าจะเรียกว่า ศาลสูงสุดหรือศาลฏีกาก็ได้”
รอยย่นบนหน้าผากพาร์ซิกลับยิ่งลึกขึ้น
ในยุคสมัยนี้ หลักการที่ว่า ‘ปัญหาเกิดขึ้นระดับไหน สมควรแก้ภายในระดับนั้น’ เป็นเหมือนกฏหมายที่ไม่ได้ลงไว้เป็นรายลักษณ์อักษร
หากมีใครสักคนหนึ่งวิ่งไปหาลอร์ดแล้วขอให้ช่วยแก้ปัญหาให้ เจ้าคนนั้นย่อมถูกคนในกลุ่มสังคม ระดับเดียวกันขับออก
ดังนั้นการจะต่อต้านกฏที่ไม่เป็นรายลักษณ์อักษาอย่างนั้นก็มีแต่การไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลชั้นต้น แล้วอุทธรณ์ขึ้นสู่ศาลที่สูงกว่า
……. ว่าอีกอย่างก็คือ ยากที่จะเกิดขึ้นได้ตราบใดที่มันไม่ใช่คำตัดสินที่โหดร้ายรุนแรงเกินไป มันเป็นเรื่องยากแหละที่คนจะไปยื่นคำร้องต่อศาลที่สูงกว่าเพียงเพราะไม่ผลใจกับผลของคำตัดสินแรก
และหากเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงแสดงว่า มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้วล่ะ
“อาจจะด้วยความไม่รู้ของผมด้วย แต่ฟังดูเป็นระบบที่ดีเลย”
“แหงล่ะ แล้วเจ้ารู้ไหมว่า ใครเป็นคนต้นคิดล่ะ?”
“……ฝ่าบาท ท่านรู้ตัวบ้างไหม? บางทีนะ ท่านก็ทำตัวได้โคตรของโคตรของโคตรน่ารำคาญเลยล่ะ”
ผมต่อยเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมออกแรงจริงจัง ต่อยเข้าไปแม่นๆกลางท้อง แต่เขาไม่สะเทือนเลย บ้าเอ๊ย ไอ้กล้ามชาวไร่นี่!
“ข้าจะออกกฏห้ามว่ามิให้ เจ้าของที่ดินจากหมู่บ้านหนึ่งไปแต่งงานกับเจ้าของที่จากหมู่บ้านอื่น
เท่านี้ก็มีประสิทธิภาพมากพอที่จะป้องกันไม่ให้พวกเขานั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อกัน”
“โฮ่ ท่านนี่ช่างรอบคอบเสียจริง”
พาซิพูดด้วยความทึ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงหาจุดลงตัวได้ระหว่างการแบ่งแยกอำนาจให้กับข้ารับใช้ของลอร่า และความต้องการที่จะให้เกิดกลุ่มสังคมกันของพาร์ซิ ตัวแทนผู้ปกครองของผม
ลดทอนการตัดสินคดีความจากทุกหมู่บ้านแต่ก็ใช่ว่าจะริบไปจากพวกเขาจนหมด ทางออกสำหรับทุกคนน่ะถือว่า พอที่จะทำความเข้าใจและยอมรับได้
“แต่ฝ่าบาท ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ที่ผ่านมาชาวบ้านก็อยู่ดีมีสุขกัน
หากจู่ๆ พวกเราไปบอกให้เขาใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไป พวกเขาจะยอมทำตามอย่างว่าง่ายจริงๆหรือ? นี่เป็นสิ่งที่ผมกังวลอยู่”
“พูดได้ประเด็นดี”
ผมพยักหน้า
“หากมันเป็นประโยชน์แก่พวกเขา พวกเขาก็จะเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล”
“ผลประโยชน์? ไอ้วิธีใหม่นี่ฟังดูไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลยนี่”
พาซิส่ายหน้า
ถึงแม้ผมจะบอกว่า การแบ่งอำนาจไปนั้นก็เพื่อทำให้ชุมชนแข็งแรงขึ้น……แต่นั่นก็ออกจะคลุมเครือและดูจับต้องไม่ได้
พวกเราไม่อาจชักจูงผู้คนด้วยผลประโยชน์ที่ ‘มองไม่เห็น’ หรอก หากพวกเราอยากผลักดันนโยบายใหม่แล้ว พวกเขาน่ะต้องการผลประโยชน์ในฉับพลันทันใด
ผมแสยะยิ้ม
“มันง่ายมากเลยนะ ถ้ายังไม่ได้รับประโยชน์อะไร เราก็สร้างขึ้นซะสิ”
ในวันต่อมา ผมสั่งให้เจเรมิไปยังเมืองที่ทั้งใกล้และใหญ่ที่สุด ผมมอบคำขอล่าค่าหัวก้อนโตฝากเธอไปด้วย
คำขอนั้นง่ายมาก
『เงินรางวัล 4,000 โกลด์ สำหรับผู้ที่สามารถเอาตัวจอมมารดันทาเลี่ยนได้』
『นี่เป็นคำขอฉุกเฉินเร่งด่วน สิ้นสุดคำขอภายในเดือนนี้เท่านั้น』
『จับเป็นหรือตายก็ได้』
คำขอที่ว่านี้ทำให้ทหารรับจ้างและเหล่านักผจญภัยในเมืองนั่นปั่นป่วนขึ้นมายกใหญ่
MANGA DISCUSSION