* * *
ในแรกเริ่มเดิมทีนั้นมีแต่ความโกลาหล(Chaos)……. นั่นเป็นนิทานปกรณัมของโลก
ทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นจากเบ้าหลอมที่ชื่อว่า ความโกลาหล นั่นไม่ได้แปลว่า เทพสูงสุดนั้นคือ ตัวความโกลาหลเองหรอกเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้นในบรรดาทวยเทพทุกพระองค์กลับไม่มีเทพองค์ใดชื่อว่า ความโกลาหลเลย ช่างน่าประหลาดแท้
ตอนนี้มันทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นมาบางอย่างจากเรื่องการกำเนิดขึ้นของโลก
ผมไม่ได้ถือกำเนิดเกิดมาเพราะอยากจะเกิด ผมก็แค่เกิดก็แค่นั้น โลกก็คงไม่ต่างกันล่ะมั้ง?
สุดท้ายตัวโลกเองก็ไม่ได้ถือกำเนิดเกิดมาเพราะอยากเกิดด้วยเช่นกัน
คงคล้ายคลึงกับเวลาที่คู่ขาที่ไม่เคยวางแผนมีลูกมาอยู่ อยู่ๆก็สารภาพกับแฟนหนุ่มว่า
“นี่ ฉันว่า ฉันท้องแล้วแหละ ฮิฮิ”
แบบที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเสียเฉยๆ
ความแตกต่างของมนุษย์กับโลกก็คงเป็นที่มนุษย์รู้จักคุมกำเนิดนั่นแหละ
หากใครสักคนหนึ่งรู้ล่วงหน้าก่อนว่า ไอ้เด็กเปรตที่เกิดมานั้นจะแพร่ทั้ง คำสาป,ความเจ็บปวด,โรคระบาด,สงครามและความตายไปทั่วทั้งโลกแล้วล่ะก็ ก็คงจะมีหมอสูตินารีบอกกับโลกใบนี้แล้วแหละว่า
“ฉันขอแนะนำจากใจจริงเลยนะคะ ว่าควรกำจัดเด็กคนนี้ทิ้งไปเสีย”
หากหมอสูตินารีสามารถบอกได้ว่า เจ้าเด็กเปรตคนนี้นั้น “ดี!” หรือ “เลว!” สำหรับโลกใบนี้ มันจะไม่ยอดเยี่ยมไปเลยหรือ?
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไม่มีหมอสูตินารีแบบนั้นในปกรณัมอยู่ดี
ในเมื่อไม่มีหมอตำแยทำคลอดที่สามารถบอกผู้สร้างได้ว่า การถือกำเนิดของโลกนั้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ จึงมีแต่ความโกลาหลเท่านั้นที่เกิดมาตั้งแต่แรก……. โลกใบนี้มันถือกำเนิดมาอย่างไร้กฏไร้เกณฑ์
ถึงจะไม่มีการระบุแน่ชัดไปว่า สิ่งที่โลกสร้างขึ้นนั้นดีหรือไม่ดี แล้วปกรณัมเกี่ยวกับการสงครามล่ะ?
หากทวยเทพยังอยู่ดี และฮีโร่ผงาดขึ้นมา โลกก็จะถือว่า ‘ดี’
หากจอมมารสร้างความปั่นป่วนแล้วมอนสเตอร์กวาดล้างสรรพสิ่ง โลกก็จะถือว่า ‘แย่’
ผู้คนทั้งหลายไม่อาจชี้ชัดลงไปแต่แรกว่า อะไรคือดีนับตั้งแต่โลกถือกำเนิดมา แต่เป็นที่แน่ชัดเสมอว่า ฮีโร่กับจอมมารจะต้องสู้กันต่อไป แล้วเจ้ายุคสมัยแบบนั้นนับว่า ดี หรือ ไม่ดี กันล่ะ?
“ดังนั้นข้าขอถามพวกท่าน ประชาชนแห่งฟรานเคียทั้งหลาย”
ผมเร่งเสียงดังขึ้นขณะนั่งอยู่บนหลังม้า
“พวกท่านจะทำอย่างไรกัน หากฟรานเคียในตอนนี้แปดเปื้อนไปด้วยความชั่วร้าย? โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุม ยมทูตหัวเราะอย่างชั่วร้ายตามทุกหัวถนน
ประชาชนแห่งฟรานเคียเอ๋ย พวกท่านได้ยินหรือไม่? ยมทูตที่กระซิบข้างหูท่านเสียงดังฟังชัดน่ะ? ―ได้เวลาตายของพวกแกแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ ความทุกข์ทรมาน”
ผมพูดราวกับตัวเองกำลังกระซิบข้างหูพวกเขาจริงๆ การแสดงของผมไปสู่ระดับสูงสุด
ผมรับรู้ได้เลยว่า ชาวบ้านตาสีตาสี 600 คนที่มารวมกันกันที่ใจกลางเมืองนั้นตัวสั่นด้วยความกลัว
ผู้หญิงคนหนึ่งตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะเป็นลมล้มไป ตอนนี้ผมสวมชุดคลุมสีดำสนิท จนดูเหมือนยมทูตตัวจริงเสียงจริงสำหรับพวกเขา การแสดงให้ผู้คนในยุคสมัยนี้ดูนี่ช่างคุ้มค่านัก
“เสบียงของพวกท่านจะหมดลง แล้วครอบครัวผู้เป็นที่รักของท่านก็จะล้มตาย สิ่งที่ตามมาคือ ความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายใจ
กองทหารของพวกบริททานี่จะปล้นสเบียงขณะที่พวกมันเข้ามาจากฝั่งตะวันตก ฟรานเคียจะถูกแต่งแต้มไปด้วยความชั่วช้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข้าขอถามพวกท่านอีกครั้งหนึ่ง พวกท่านจะทำอย่างไร?”
“พวกเราต้องกำจัดไอ้พวกระยำบริททานี่!”
ชายที่ยืนอยู่ใจกลางเมืองตะโกนขึ้นมา พอเขาทำอย่างนั้นผู้คนนับร้อยก็ร่วมกันทำตาม
“ฆ่าพวกมันให้หมด! อย่าให้พวกมันเอาอะไรไปจากเรา!”
“ข้าจะไม่จ่ายภาษีแล้ว! ข้าจะไม่แบ่งข้าวสาลีให้สักต้น!”
“ถ้าจะมาเก็บภาษีจากพวกเราก็ต้องเอาสมุนไพรดำมาให้พวกเราก่อน―!”
ทั้งชายและหญิง ทั้งแก่และเด็ก ต่างตะโกนพร้อมเพรียงกัน พวกเขากำหมัดแน่น อุปกรณ์ทำฟาร์มในมือของพวกเขาส่องระยับใต้แสงอาทิตย์
“ถูกต้องแล้ว! พวกท่านต้องช่วยฟรานเคียให้รอดพ้นจากความชั่วร้าย!”
ผมเร่งเสียงตัวเองให้ดังขึ้น จนกระทั่งเสียงของผมนั้นสะท้อนก้องไปทั่วย่านชุมชนด้วยการสนับสนุนของเวทย์มนตร์
“ผู้ที่เป็นชนชั้นสูงในทีแรกนั้นคือ ชายผู้ไถพรวนดินในทุ่งนา และหญิงผู้ถักทอจักสานผ้ามิใช่หรือ!?
มนุษย์ทั้งหลายเท่าเทียมกันตั้งแต่เกิด ดังนั้นพวกท่านจึงมีกำลังพอที่จะเอาชนะความชั่วร้ายเพื่อช่วยเหลือฟรานเคีย!
สุดยอดประชาชนแห่งฟรานเคีย! รับอาวุธของพวกท่านไป!”
ผมกำหมัดแน่น
“เดินหน้า! มุ่งไป!
ข้าขอยืนยันเลยว่า วันที่เหล่าทวยเทพประทานให้แก่พวกเรามาถึงแล้ว
ทำลายการกดขี่แล้วเรียกคืนเสรีภาพของพวกท่าน
ท่านเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะก่อร่างสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้มีแด่ฟรานเคีย!”
ประชาชนนับร้อยตะโกนกู่ร้องราวกับสัตว์ป่า ตามแผนที่พวกเราวางไว้ก่อนแล้ว เหล่าทหารรับจ้างคนแคระนั้นเริ่มส่งอาวุธจากทางฝั่งหนึ่งของฝูงชน ทั้งหอกยาว,หอกเล็ก และดาบ ผู้คนทั้งหลายกระชับสิ่งที่อยู่ในมือแน่น
ไฟฝันของพวกเขาเปลี่ยนกลายเป็นความบ้าคลั่งที่ลุกโชนไปทั่วทั้งเมือง การมีหรือไม่มีอาวุธในมือสร้างความแตกต่างเป็นอย่างมาก การมีอาวุธในมือสามารถหันคมมีดคมดาบไปหาเป้าหมายได้ชัดเจน แม่นยำ
“บุกไปยังดินแดนของลอร์ดกัน! ไปเอาสมุนไพรดำกลับคืนมา!”
“เราไปปล้นคลังอาวุธกัน! สหาย, เพื่อความรุ่งโรจน์แห่งฟรานเคีย!”
“เพื่อความรุ่งโรจน์แห่งเทพเจ้า!”
หลังจากตะโกนร้องถ้อยคำปลุกเร้าอารมณ์ออกไป เสียงคำรามเกือบ 500 ดังเสียดฟ้า
พวกเขาลงไปจากเนินเขาแล้วไปชักชวนสมัครพรรคพวกรวมถึงครอบครัว
จาก 500 กลายเป็น 1,000 จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังดินแดนของลอร์ดที่อยู่ใกล้กับเมือง
ขณะที่เดินไปร่วมกับทหารรับจ้างคนแคระ ผมก็โบกมือให้พวกเขา
“ทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ,ฝ่าบาท”
ทหารรับจ้างแจ็กเกอรี่แสดงความเคารพ
“ยินดี ยินดี ว่าแต่เจ้าแจกจ่ายอาวุธไป 200 ชิ้น?”
“ครับ พวกเราแจกจ่ายไปทั้งหอก ขวานและดาบ”
“พอพวกชาวบ้านไปถึงโรงอาวุธ ใครที่ยังไม่มีอาวุธก็มอบให้พวกเขาด้วย”
แผนการของผมที่ตั้งใจจะเปลี่ยนฟรานเคียทั้งภูมิภาคให้กลายเป็นดินแดนไร้กฏหมายดำเนินไปอย่างราบรื่น
จอมมารเลราเจนั้นบุกไปในอาณาบริเวณนั้น ลอร์ดก็หวาดกลัวจึงจ้างทหารรับจ้าง หลังจากนั้นพวกเราก็สมรู้ร่วมคิดกับเลราเจ
…….โดยบอกแผนการและตำแหน่งของทหารของลอร์ดให้เลจาเจรู้ ดังนั้นเลราเจจึงกำจัดทหารพวกนั้นได้โดยง่าย
กองพันทหารรับจ้างก็มาเป็นผู้ยุติภัยคุกคามนั้นดั่งผู้ช่วยชีวิต
กองทหารรับจ้างขวานคู่นั้นได้บดขยี้กองทัพจอมมาร ‘อย่างรุนแรง’ และ ‘เกือบจะ’ ไล่ตามพวกนั้นไปได้ มันเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงหนักหนาเสียจน ลอร์ดต้องตายในการรบ
จากมุมมองของคนทั่วไป ทหารรับจ้างก็ได้ช่วยพวกเขาไว้ ในตอนที่พวกเขาต้องหวาดผวาจากการถูกมอนสเตอร์ฆ่า
แน่นอนล่ะ พวกเขาไม่ได้รู้สึกแค่นั้นแน่
“ว้าว! ท่านนักบวช ท่านนักบวช! ท่านนี่ยอดไปเลย!”
ลุคนั้นวิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส เด็กชายตัวน้อยมองมาที่ผมดุจดั่งฮีโร่
“เจ้าอยู่นั่นเองหรือ ลุค วันนี้ตั้งใจเรียนไหม?”
ไม่มีทางที่ผมจะไม่ตอบรับรอยยิ้มสดใสนั่นกลับไป
ผมยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนแล้วก็ลูบหัวเขาไปด้วย ลุคดูจะเขินอายอยู่เล็กน้อยแล้วก็ผงกหัว
“ครับ! ผมเรียนดาบตั้งแต่เช้ายันบ่ายเลยวันนี้!”
“เจ้าเป็นเด็กขยันดี ลุค องค์เทพีรักบุคคลที่ขยัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะ ลุคเอ๋ย เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า”
ผมทำหน้าจริงจัง
“เรียนดาบก็ส่วนเรียนดาบ และเรียนเขียนก็ส่วนเรียนเขียน วันนี้เจ้าได้เรียนตามตารางที่วางไว้สำหรับวันนี้แล้วใช่ไหม?”
“อ่า……เอ่อ ยังครับ…….”
“แหม เจ้าตัวยุ่งนี่”
ผมเขกหัวลุคเบาๆครั้งหนึ่ง มันไม่เจ็บนักหรอกแต่ก็ทำให้ลุครู้สึกหงุดหงิดจนกุมหัวตัวเอง
การเรียนของลุคนั้นมีทั้งการฝึกฝนการต่อสู้จากหัวหน้าแจ็กเกอรี่ และวิชาศิลปศาสตร์จากหัวหน้ามือสังหารเจเรมิ
“คุณนักบวชครับ! ลูกผู้ชายน่ะแค่เขียนชื่อได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ผมอยากจะรีบเป็นนักรบแล้วสู้ในนามขององค์เทพีอาเทมิสและเพื่อฟรานเคียให้เร็วที่สุด!”
“โธ่เอ๋ย ดูท่าเจ้าจะโดนชมจนเสียผู้เสียคนแล้วนี่”
ผมจับแก้มของเขาไว้แล้วดึงยืดจนลุคส่งเสียงร้องแปลกๆออกมา
“มันเอ็บ, จะ, เจ็บนะฮะ”
“ฟังให้ดีนะ หากเจ้าเรียนอย่างเดียวไม่รู้จักคิด เจ้าจะโดนคนอื่นหลอกเอาง่ายๆ
หากเจ้าเอาแต่คิดแต่ไม่รู้จักเรียน เจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตราย
เจ้าอ้างว่าอยากจะรับใช้เทพี ณ ตอนนี้เลย แต่เจ้ารู้หรือ ว่าการรับใช้พระนางนั้นเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่?”
“…….”
ผมปล่อยแก้มของลุค พอทำแบบนั้นเขาก็หรี่ตาลงและนวดแก้มตัวเอง
“ไม่ใช่ว่า องค์เทพีถูกเสมอหรอฮะ?”
“แล้วทำไมองค์เทพีถึงถูกเสมอล่ะ?”
“นั่นก็เพราะ……เพราะนางเป็นเทพี? เอ๋? ……อืมม?”
ลุคเอียงคอ
“โฮ่ นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าจะรับใช้เทพีอย่างหน้ามืดตามัวโดยไม่รู้ว่า ทำไมองค์เทพีถึงถูกต้องสินะ ลุคเอ๋ย?”
“มะ-มันมีอะไรแปลกๆแล้วครับ ท่านนักบุญ! ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่มันแปลก!”
“นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมข้าถึงบอกให้เจ้าไปตั้งใจเรียน เจ้าเด็กไม่รู้จักคิด”
ผมเขกหัวเขาอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้นเล็กน้อย
“อั่ก!”
ลุคมองผมด้วยแววตาขัดใจ มันเป็นแววตาเหมือนหมาที่อยากใช้ห้องน้ำแล้วมองหน้าเจ้านาย
อย่าโกรธไปเลยน่า ผมน่ะอยู่มาได้นานขนาดนี้ก็เพราะความสามารถในการพูดอันไร้เทียมทาน หากผมมาแพ้เด็กเวรจากหมู่บ้านร้างที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกใบนี้ ผมคงกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปแล้วล่ะ
“เอาล่ะ รีบไปหาเจเรมิแล้วเรียนกับนางเถอะ”
“อ่า แล้ว……เอ่อ ครับ ผมแค่ต้องไปเรียน,ใช่ไหมฮะ……?”
ลุคนั้นห่อไหล่แล้วเดินจากไป
ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดหรือไม่ชอบการเรียนหรอก แต่การต่อสู้ การพูดเยี่ยงผู้กล้า และการลุกฮือขึ้นตรงหน้าเขา ทุกอย่างมันเป็นดั่งภาพประวัติศาสตร์ของเด็กชายผู้นี้
มันเป็นความจริงที่ว่า เขาไม่อาจได้มีส่วนร่วมกับมัน และต้องไปเรียนภาษาจักรวรรดิโบราณและภาษาสาธารณรัฐโบราณคงทำให้เขาห่อเหี่ยวนั่นแหละ
เอาแหละ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เจเรมินั้นไม่ได้สอนธรรมดาๆ
พูดให้จำเพาะกว่านั้น เธอให้ ‘การเรียน’ ในอีกระดับ
ลุคนั้นมุ่งไปที่โรงแรมที่อยู่ไกลออกไป ในขณะที่ทหารรับจ้างคนอื่นเข้าไปในโรงแรมด้วยเช่นกัน ผมหันกลับมาพูดต่อ
“เขานี่ช่างเป็นเด็กที่ใจดี ใสซื่อเลยจริงๆนะ เจ้าคิดอย่างนั้นเหมือนกันไหม?”
“…….”
เดซี่มองผมโดยไม่พูดอะไร
ดวงตาของเด็กสาวที่เคยต่อต้านจากตอนที่อยู่ในหมู่บ้านร้างอ่อนลงเป็นอย่างมาก
เร็วๆนี้ดวงตาของเธอเริ่มหมองมัวลง
“เจ้าต้องภูมิใจมากเลยล่ะที่มีพี่ชายอย่างลุค แน่ล่ะ เขาเองก็ต้องภาคภูมิใจที่มีเจ้าเป็นน้องสาว
พวกเราน่ะแสดงความรักใคร่ต่อกันทุกเย็นเลยนี่ ไม่ต่างจากพี่ชายน้องสาวปรกติเลย”
ผมหัวเราะคิก ดวงตาของเดซี่กลับมามีชีวิต
“……ท่านหลอกลวงลุค,ท่านพ่อ ทุกอย่างที่ท่านพูดในย่านการค้าเป็นคำโกหก”
เดซี่ยังคงดื้อรั้นที่จะเรียกผมว่า ท่านพ่อ เป้าหมายของเธอนั้นต้องการจะให้ชื่อเล่นนี่ติดตัวผมไป
“หืมม ทำไมเจ้าคิดแบบนั้นล่ะ?”
“ เมื่อใดก็ตามที่ท่านโกหก ฉันก็รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณที่สำคัญกว่านั้น ท่านพ่อ
ท่านไม่ใช้การลีลาอย่างนั้นเวลาพูดเรื่องจริง ท่านโกหกมดเท็จตอนพูดที่ย่านการค้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ลางสังหรณ์อย่างนั้นสินะ!? นั่นเป็นพรสวรรค์ที่เจ้ามีเลยล่ะ”
ผมฮัมอย่างอารมณ์ดี ตอนนั้นเองที่เดซี่ยกไหล่
“……อั่ก”
มันก็เริ่มขึ้นเหมือนทุกที
การทรมานจากสไลม์จิ๋มกระป๋องยังคงดำเนินต่อไป
เป้าหมายก็เพื่อกดข่มจิตใจของเดซี่ เพื่อสร้างประสบการณ์ และความรู้สึกผิดที่ไม่อาจชำระล้างได้ เจเรมิเองก็ได้เพลิดเพลินไปกับลุคในโรงแรมอยู่ด้วย ณ ตอนนี้
‘พี่ชายเจ้าไปไม่พ้นเงื้อมือพวกเราแล้วล่ะ’
ลุคนั้นกำลังอุทิศหัวใจให้ผม และอุทิศร่างกายให้กับเจเรมิ
ด้วยการกระทำแบบนี้ ผมกำลังจะได้ควบคุมว่าที่ฮีโร่
เดซี่กอดอกตัวเองราวกับต้องการจะอดทนต่อคลื่นแห่งความพึงพอใจที่สาดใส่
ผมเฝ้าดูเธอ
นั่นเพราะมันเป็นงานอดิเรกแย่ๆของผมนับตั้งแต่ที่เดซี่รู้สึกอายเวลาผมเฝ้าดูเธอ
แล้วผมก็วาดแผนที่ฟรานเคียขึ้นมาในหัว
‘ใกล้ถึงจุดที่ทุกอย่างจะระเบิดปะทุขึ้นมาแล้ว’
ผมได้ยินเสียงสามัญชนทั้งร้าวที่เกรี้ยวกราดดังอยู่เหนือที่พักของลอร์ด
เหล่าคนรับใช้ต่างพยายามสู้กลับมาอย่างรุนแรง แต่บุคคลที่มีอาวุธนั้นสามารถทิ่มแทงทำร้ายคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
ทางตะวันตกนั้นปั่นป่วนด้วยกองกำลังของบริททานี่ ในขณะที่ทางเหนือเองก็กลายเป็นพื้นที่ไร้กฏหมาย เพราะผมและจอมมารเลราเจ
อะไรบางอย่างกำลังจะปะทุขึ้นมา…….
MANGA DISCUSSION