* * *
ผมไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้วหลังจากทำแม่แบบโครงสร้างดันเจี้ยนเสร็จสมบูรณ์
แม้ผมอยากจะเริ่มสร้างดันเจี้ยน แต่ผมก็ต้องรอเงินจากสิตริก่อน แถมตอนนี้สงครามทัพพันธมิตรนั้นกำลังมาถึงจุดสิ้นสุด แล้วจากนั้นสิตริจะได้โยกย้ายเงินของเธอได้
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นผมก็มีเวลาว่างมากมายกว่าสงครามจะจบ
ช่วงนี้ผมคุยกับสิตริผ่านออร์บเวทย์มนตร์อยู่บ่อยๆ โดยสถานการณ์การรบนั้นเป็นไปตามที่ฝ่ายกองทัพจอมมารปรารถนา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาที่กองทัพพันธมิตรไม่อาจแก้ไขได้อยู่ นั่นก็คือ ปัญหาเรื่องขาดเสบียง
– ในที่สุดพวกเราก็รวมทัพกัน แต่ถึงอย่างนั้นแต่ละภาคก็ยังทำตามใจตัวเองอยู่ดี
ภาพของสิตริกำลังทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ จำนวนมอนสเตอร์ 10,000 ตัวที่กำลังกินอาหารนั้นเป็นภาพที่ดูอลังการ ดังนั้นเสบียงของกองทัพภาค 6 ก็ลดฮวบฮาบจนเกือบเกลี้ยงคลังในทันที
–ไอ้เจ้าพวกมนุษย์นั่นก็เอาแต่หนีไปหนีมาตอนที่จะสู้กับพวกเราอยู่นั่นแหละ ……กรรร!
เมื่อกองทัพของมอนสเตอร์ต้องการอาหาร ดังนั้นการรบครั้งใหญ่จึงเป็นสิ่งจำเป็น ศพของมนุษย์ที่เป็นผลจากการรบนั้นจะกลายเป็นอาหารของมอนสเตอร์ในทันที
แน่นอนว่า พวกมนุษย์ก็รู้เรื่องนี้ดี กองทัพฝ่ายมนุษย์จึงไม่ทำอะไรเลยนอกพยายามอย่างมากที่จะเลี่ยงการปะทะกับกองทัพจอมมารและทำให้การรบเป็นไปอย่างยืดเยื้อ
สิ่งที่เกิดตรงหน้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจนักสำหรับกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
กองทัพมนุษย์เที่ยวไปปล้นสดมภ์ฟาร์มในพื้นที่รอบๆโดยไม่เลือกหน้า แล้วขนอาหารกลับมายังแนวรบ พวกเขาเลือกที่จะไล่กวดชาวนาเมื่อพบว่า มอนสเตอร์นับพันนับหมื่นเข้ามาใกล้ พวกเขาเลือกที่จะแบ่งอาหารที่ปล้นมาให้กับชาวนาบางส่วน
มันคงจะโอเคสำหรับผู้คนที่ได้รับการชดเชย แต่สำหรับคนที่แทบไม่ได้อะไรไม่พอ แถมยังต้องโดนปล้นชิงไปนั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน
เธอกำลังจะบอกว่า กองทัพมนุษย์เองนั่นแหละที่เผาหมู่บ้านมนุษย์ด้วยกันเอง
“กลศึกเซียงหยา สินะ”
– หา……? กลศึก เสียนา? คืออะไรล่ะนั่น?
ผมเข้าใจแล้ว แม้คำว่า เซียงยาจะไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ แต่คำที่ผมใช้ก็โดนแปลงความหมายโดยอัตโนมัติ มีหลายครั้งที่ระบบของโลกใบนี้แปลภาษาให้เอง ผมจึงอธิบายรายละเอียด กลศึกเซียงหยาให้สิตริฟัง
(บันทึกผู้แปล : กลยุทธเซียงยา ก็คือ การเผาไร่เผานานั่นเอง)
สิตริเลิกคิ้วสงสัยขณะที่ฟังคำอธิบายจากผม
– เอ๋? แล้วอย่างนี้ต่อไปพวกเขาจะทำยังไงกับคนพวกนั้นล่ะ?
“โดยพื้นฐานกลศึกนี้นั้นจะไม่คิดถึงอนาคตภายภาคหน้าอยู่แล้ว มันมีประสิทธิภาพแหละ
……นักปกครองมนุษย์นั้นต่างจากจอมมาร พวกเขาไม่รู้สึกถึงอารมณ์ของผู้คนของตน ดังนั้นจึงขาดความเห็นใจต่อพวกเดียวกันเอง”
แม้ผมจะพูดไปแบบนั้น แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า มันเป็นไอเดียที่ดีเลยล่ะ
นอกจากจะจัดการผู้คนที่จะต้องถูกกินโดยมอนสเตอร์แล้วยังเป็นการเพิ่มเสบียงอาหารฝ่ายตนอีกด้วย
มันจะมีอะไรสำคัญไปกว่าข้ออ้างเพื่อการปล้นชิงอาหารจากชาวนาที่ได้มาด้วยเลือดเนื้อแรงกายอีกล่ะ จอมมารบุกมาแล้วนะ กองทัพมอนสเตอร์ขนาดใหญ่เข้ามาใกล้แล้ว……ไม่มีข้ออ้างใดที่มีน้ำหนักมากเท่านี้อีกแล้ว
‘ไม่หรอก มันก็ไม่ใช่แบบนั้นเสียทั้งหมดหรอก’
มีแผนบางอย่างเข้ามาในหัวผม
หากผมเป็นผู้นำกองกำลังทหารฝ่ายมนุษย์ ผมจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรักษากำลังใจของกองทัพ
ชายผู้มีนามว่า ดันทาเลี่ยนนั้น ได้แพร่พิษกระจายไปทั่วผ่านพิธีการพูดสุนทรพจน์
เกิดความตึงเครียดกันระหว่างทหาร แล้วพวกเขาจะดับไฟที่โหมกระหน่ำในกองทัพได้อย่างไร?
มันง่ายมาก พวกเขาก็แค่บังคับ ให้เกิดสภาวะทางจิตไปในแนวทาง ‘ร่วมสมคบคิด’ กันสิ
พวกเขาจะปล่อยให้ทหารปล้นหมู่บ้านได้ตามใจชอบ พวกทหารนั้นยากจนอยู่แล้วดังนั้นพวกเขาก็มีเหตุจูงใจให้ปล้นอยู่แล้ว พวกเขาต้องการจะเติมเต็มท้องไส้ที่โหยหิวมานาน
แล้วต่อจากนั้นจะทำอะไรล่ะ? พวกเขาจะด่าโทษชนชั้นสูงโดยไม่รู้สึกผิดต่อตัวเองอย่างนั้นหรือไง……?
พวกเขาปล้นชิงจากผู้อื่นเพื่อเอาชีวิตรอด ทหารกับชนชั้นสูงต่างเหมือนกันตรงจุดนี้ พวกเขาไม่อาจเชื่อใจชนชั้นสูงได้ แต่อย่างนั้น ก็ยากที่จะตำหนิได้เต็มปาก พอเป็นแบบนั้นก็สามารถที่จะป้องกันการที่กำลังใจหดหายจนก่อจราจลขึ้นมาได้
ตามด้วยวิธีการนี้
‘หากเป็นผม ผมจะแจกจ่ายสมุนไพรดำให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านที่โดนปล้น’
ในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวที่ผ่านมา ชาติต่างๆของมนุษย์ต่างทำทุกอยางเพื่อให้เก็บเกี่ยวสมุนไพรดำ
จริงอยู่มันอาจไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งชาติ แต่ก็มีพอสำหรับทหาร อาจจะมีบางส่วนเหลือด้วยซ้ำ ผมจะใช้ตรงส่วนนั้นแหละ
หากชาวบ้านโดนปล้นโดยทหาร ชาวบ้านก็จะด่าว่าเป็นรายบุคคล ผู้ปกครองก็จะแสดงความเมตตาออกมาตอนนั้นเอง แล้วแจกจ่ายสมุนไพรดำให้กับชาวบ้าน
ไม่เพียงแต่ได้ทำการชดเชยให้พวกเขา หากแต่ผู้ปกครองเองก็ได้ภาพลักษณ์ดีๆด้วย
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ? ทหารที่ไม่อาจเป็นที่ไว้ใจสำหรับทหารชนชั้นสูง แต่อย่างน้อยก็ยังมีความเชื่อใจให้กับผู้ปกครองผู้มีเมตตาเหลืออยู่บ้าง
……นั่นคือ สิ่งที่พวกเขาจะเชื่อกัน ทหารจะไม่ยอมลงทำงานหนักหากไม่มีคำสั่งโดยตรงมาจากผู้ปกครอง แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้ปกครองก็ได้อำนาจที่เพิ่มมากขึ้น
หากคุณมองกองทัพเป็นก้อนๆเดียว ก็จะสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้บัญชาการและทหารทั่วไป ซึ่งนั่นจะก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก
ถึงอย่างนั้นก็ดี หากพวกผู้ปกครองรู้ว่าในอนาคตอันใกล้ สถานการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้……พวกเขาก็รับรู้ได้เช่นกันว่า วิกฤติสามารถพลิกเป็นโอกาสได้
พวกชนชั้นสูงไม่ได้โง่หรอก พวกเขารวบรวมสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันในทันทีเพื่อจัดการกับผู้ปกครองที่คิดจะเริ่มทำอย่างนั้น มีเพียงผู้ปกครองเท่านั้นที่มีความเชื่อมั่นพอที่จะจัดการกับเหล่าชนชั้นสูงได้
แล้ว ผู้นำชาติประเทศไหนล่ะที่จะใช้วิธีนี้? ชาติใดล่ะที่แข็งแกร่งพอที่จะเสี่ยงเดิมพันแบบนี้? ลองจับตาดูในศึกสงครามดูก็จะเห็นคำตอบเด่นชัดขึ้นมาเอง
น่าสนใจเหลือเกิน ผมคิดถึง เฮนริเอตต้า จากราชอาณาจักรบริททานี่ และอลิซาเบธ จากจักรวรรดิฮับบวร์ก พวกเธอนั้นแสดงผลงานเป็นอย่างดีในสงครามครั้งนี้
เธอทั้งสองต่างเป็นสุดยอดผู้ปกครองแห่งทวีปใน <Dungeon Attack> แล้วใครจะเป็นผู้นำในโลกนี้กันล่ะ……?
แล้วตอนนี้ ผมควรวางตัวอย่างไรดีนะ?
ผมตัดสินใจปล่อยข้อมูลบางอย่างให้สิตริไป
“ท่านสิตริ มีโอกาสที่กองทัพฝ่ายมนุษย์จะยอมแพ้แล้วยกตอนเหนือของฮับบวร์ก ไม่สิ ภาคกลางทั้งหมดของภูมิภาคด้วย”
– หา? นี่ท่านพูดอะไรของท่านอยู่น่ะ?
“หากเป้าหมายพวกเขาคือ ทำให้เสบียงของท่านหมด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเผาหมู่บ้านก็ได้ มอนสเตอร์นั้นไม่ต้องการหมู่บ้านอยู่แล้ว พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางทราย
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับเลือกที่จะเผา…….นั่นหมายความว่า พวกเขาเลือกที่จะทำลายดินแดนเพื่อไม่ให้ใครสามารถปกครองได้”
เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธนั้นรักประชาชนของเธอ เธอจะใช้ทุกวิถีทางแม้โหดร้ายหากจำเป็น แต่เธอก็ยังเป็นคนอ่อนโยนอยู่ลึกๆ
นี่เป็นยุคสมัยที่บางครั้งก็ต้องเข่นฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันเพื่ออำนาจ
แต่ถึงอย่างนั้นความจริงที่เธอต้องโศกเศร้าทนทุกข์กับการฆ่าน้องชายตัวเองนั้นก็แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของ อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กออกมาอย่างชัดเจน
มันไม่มีทางที่เจ้าหญิงจักรวรรดิอยู่ๆจะทำลายดินแดนตัวเองโดยไร้สาเหตุหรอก และไม่มีทางที่เธอจะสั่งการให้ทำด้วย เว้นเสียแต่ว่า เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นยอมยกดินแดนแถบเหนือและภาคกลางของฮับบวร์กให้
หลังจากส่งฮับบวร์กครึ่งหนึ่งให้กับกองทัพพันธมิตรแล้วเธอก็ตั้งใจที่จะปฏิรูปจักรวรรดิในทางตอนใต้
“แนวป้องกันสุดท้ายจะถูกเตรียมตัวขึ้นทางใต้ของฮับบวร์ก ในตอนนี้ ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะสู้จนตัวตายอยู่ที่นั่น อย่างเร็วก็ฤดูใบไม้ร่วงนี้ อย่างช้าก็ในช่วงหน้าหนาวที่กำลังมาถึง
…….กองทัพพันธมิตรนั้นจะเจอการโต้กลับครั้งใหญ่ในคราวนี้แหละ”
มันดูจะเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับชาติต่างๆที่จะส่งกำลังเสริมไปให้ไกลขณะที่กองกำลังมนุษย์กำลังถอยทัพ พอกองกำลังมนุษย์ถอยไปทางใต้ได้ พวกเขาก็จะเข้าร่วมกับกองกำลังชาติอื่นๆ
ผมไม่รู้ว่า จะมีคนเท่าไหร่มาเข้าร่วมเพิ่ม ผมจะไปรู้ประชากรยุคนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
– หืมม? แต่ ดันทาเลี่ยน ถ้าท่านพูดถูก……แบบนี้ก็แปลว่า พวกมนุษย์อยากจะตั้งรับในวงล้อมแทนการบุกโจมตีไม่ใช่หรือ?
เมืองหลวงจักรวรรดิฮับบวร์กนั้นเป็นดั่งป้อมปราการที่เจาะไม่เข้า
ถ้าพวกเขาเอาแต่ปิดตัวเองอยู่ข้างก็คงจะป้องกันไปได้อีกหลายปี
พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ในการโจมตีฮับบวร์ก”
“อ้า พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
ผมส่ายหัว
“พวกเขามีอาหารไม่พอ”
– เอ๋ อาหาร?
สิตริเอียงคอ
– แต่นี่ก็จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว…….
“แม้ฤดูใบไม้ผลิจะใกล้เข้ามา แต่ก็ต้องการคนช่วยมาเก็บเกี่ยว ไม่ใช่แค่กาฬโรคอย่างเดียวที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย
แต่คนหนุ่มที่แข็งแรงๆก็ยังต้องไปเป็นทหารเกณฑ์กันด้วย พอฟาร์มพวกนั้นขาดกำลังคน
ข้ายืนยันกับท่านได้เลยว่า เร็วๆนี้พวกมนุษย์จะเจอปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างหนัก”
ผมยิ้ม
“ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้สุดกำลังในแนวรับแนวสุดท้าย ซึ่งอาจจะสามารถเปลี่ยนกระแสสงครามได้ในช่วงเวลานั้นก็ได้
เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น…….ท่านสิตริ ท่านต้องออกจากสงครามให้ไวที่สุด”
– หาาา?
สิตริอาจจะตามไม่ทันจึงเผยน้ำตาที่ขอบตาออกมา
โอ้ น่ารักเสียจริง ผมแอบเห็นใจเธอหน่อยๆ จึงใจดียอมอธิบายเพิ่มให้
“ลองคิดดูดีๆสินะ กองกำลังมนุษย์น่ะไม่สนใจความเป็นอยู่ของตัวเองจึงต่อสู้กลับอย่างสุดกำลัง แล้วจอมมารตนอื่นๆที่สู้อยู่นี่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ไหม?”
มีจอมมารน้อยตนนักที่หวังว่า การรวมทัพของพันธมิตรเสี้ยวจันทราจะสำเร็จได้
โดยมากแล้ว อย่างมากก็คงเป็นจอมมารฝ่ายที่ราบที่บ้าทำสงครามด้วยมั่นใจว่าจะสามารถสู้กับจอมมารลำดับสูงๆได้
ไม่ว่าใครต่างก็มีเหตุผลในการสู้รบด้วยกันทั้งนั้น
รวมๆแล้วก็นับว่า กองทัพทั้ง 8 ภาคของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นประสบความสำเร็จพอสมควรแล้ว
“ทุกคนต่างจะซ่อนมือไว้ข้างหลังแล้วเราดูว่าใครจะเปิดก่อน
ไม่หรอก
พวกเขาอาจจะไม่ได้ต้องการคุกคามขนาดนั้น พวกเขาแค่ต้องการสูญเสียบ้างเพียงเพื่อจะเป็นข้ออ้างในการออกจากกองทัพพันธมิตรนั่นเอง”
พวกเขานั้นให้ความสำคัญกับการที่ได้ยึดดินแดนให้กับตัวเองมากกว่า
“ท่านเองก็ควรจะเสียให้มากและยื้อให้นานที่สุดตราบเท่าที่ยังอยู่ที่นั่น”
– เอ่อออ……ขอโทษนะ ข้าไม่เข้าใจเลย ว่าตัวข้าต้องทำอะไรดี?
“ความซื่อตรงนั้นเป็นจุดแข็งของท่านเลยนะ สิตริ”
ผมยิ้มอย่างสดใส
“ก็สู้กับกองทัพมนุษย์นั่นแหละ แล้วสร้างความเสียหายให้พวกเขาระดับนึง ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ รบให้หรูหราอลังการสักหน่อย
……ถูกแล้วล่ะ การถูกปิดล้อมก็ถือว่าดีพอสมควรแล้ว แล้วเมื่อท่านก็ได้รับประสบการณ์ในการรบแบบนั้นแล้ว ท่านก็สามารถออกจากกองพันธมิตรได้ก่อน”
– โอเค ถูกปิดล้อมใช่ไหม?
“ท่านจะต้องสูญเสียบ้างนะ ในระดับที่พอรับได้ เอาให้อยุ่ในระดับที่พอรับได้นะ”
– ได้เลย!
สิตริพยักหน้าอย่างแข็งขัน เธอกำหมัดขณะที่ตัดสินใจที่จะทำตามแผนการณ์ของผม ความพึงพอใจของเธอนั้นแสดงออกให้เห็นกันอย่างเด่นชัด
ผมสัมผัสได้เลยว่า ฝ่ายสิตริจะต้องเสียหายไม่มากนัก เธอเป็นพันธมิตรกับผม ดังนั้นก็ควรจะได้ประโยชน์แบบนั้นไป
ผมใช้วันทั้งวันในการผ่อนคลาย ขณะที่ตามติดกับสถานการณ์ของกองทัพพันธมิตร แต่พอไม่มีอะไรทำแล้ว ผมก็ใช้ค่ำคืนอันเร่าร้อนไปกับลอร่าอีก แต่คราวนี้ลอร่าต่อต้านอย่างหนัก เธออ้างว่า ผมเอาแต่คิดเรื่องลามกจกเปรตเพราะผมเอาแต่ใช้เวลาอยู่ในถ้ำ
“ไปข้างนอก แล้วทำฟาร์มบ้าง! หากยังมีแรงเหลือเยอะก็ไปออกกำลังกาย ออกเหงื่อ”
“แต่ข้าไม่ชอบขยับร่างกาย ดังนั้น…….”
“นายท่าน ท่านอยากให้หญิงสาวผู้นี้แขวนคอตายหรืออย่างไรกัน?”
ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฟังดูเหมือนเธอจะทำอย่างนั้นจริง ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมออกไปข้างนอก ผมได้พักตากอากาศในบ้านที่พาร์ซิสร้างขึ้นในหมู่บ้าน แล้วใช้เวลาหน้าร้อนอยู่ที่นั่น
ผมใช้เวลาไปกับทุ่งนา แล้วก็เก็บเกี่ยวมัน ผมตัดสินใจจะเอามอนสเตอร์มาช่วยแล้วให้มันแกว่งจอบแกว่งพลั่ว แต่ดูเหมือนมันจะเก่งกว่าที่คิดไว้มาก ชาวนาคนอื่นๆถึงกับอึเงพอมาเห็น มอนสเตอร์กำลังทำนาเข้าจนต้องอ้าปากค้าง
“งานที่ต้องใช้ คนถึง 6 คน กลับสำเร็จเพราะมอนสเตอร์ตัวเดียว!”
“ฝะ-ฝ่าบาท หากมีกำลังคนเกิน โปรดให้พวกเรายืมบ้างสักตัวหนึ่ง…….”
“เฮ้ย! ไอ้พวกไม่รู้จักเคารพเอ๊ย”
แต่มีเพียงมอนสเตอร์เท่านั้นที่น่าประทับใจ
พาร์ซิสอนให้ผมทำฟาร์ม แต่ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดฮึดฮัดขึ้นมาทุกครั้งที่ผมแกว่งจอบ
“นี่ท่านห่วยเรื่องการใช้แรงงานสินะ ห้ะ?”
“…….”
แม้แต่พาร์ซิ ดูเหมือนผมนั้นยังห่วยกว่าเด็กอายุ 12 ด้วยซ้ำ บ้าเอ๊ย
แต่ถึงอย่างนั้นประสิทธิภาพไม่ใช่ปัญหา เป็นเรื่องประหลาดดี ที่ชาวบ้านต่างมีกำลังใจเมื่อเห็นผมลงพื้นที่มาทำนาทำไร่ทั้งที่ผมเป็นเจ้าของดินแดน
พวกชาวบ้านที่ทำงานหนักก็มาเข้าใกล้ผม ดูเหมือนพวกเขาจะเปิดใจให้กับผมแล้วตอนนี้
“แหมท่า ท่านจอมมาร กำลังจะกลับแล้วหรือครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“ท่านได้กินข้าวเช้าหรือยัง? หรือจะมาทานข้าวกลางวันกับผู้นี้ภายหลัง? ภรรยาของข้าน่ะอบขนมปังเก่งมาก”
เมื่อใดก็ตามที่ผมลงพื้นที่เพื่อไปทำนา ผมก็จะได้รับการทักทายอย่างเคารพและรักใคร่จากชาวนาคนอื่นๆ ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง แต่มันก็รู้สึกแปลกดี
การเฝ้าดูต้นข้าวสาลีเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่าการวิ่งวุ่นที่ผ่านๆมานั้นมันช่างไร้จุดหมาย ผมจะทำแบบนั้นไปทำไมกันนะ?
……นี่เหรอคือ โลกที่ชาวนามองเห็น?
ฤดูร้อนผ่านไปแบบนั้นเอง
MANGA DISCUSSION