“นั่นคือ แผนที่ตาแก่วางไว้อย่างนั้นเหรอ?”
“ในความเห็นของข้า พวกเราควรจะไปให้ถึงการประนีประนอมที่สมเหตุสมผล แถมเรายังใช้โอกาสนี้ในการทำให้ฝ่ายเป็นกลางเป็นหนี้บุญคุณเราได้ด้วย”
เราถกกันถึงเรื่องที่ว่า การประนีประนอมที่สมเหตุสมเป็นจะออกมาเป็นอย่างไร ผมเตรียมทางเลือกอื่นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว และดูเหมือนผมจะสามารถพามาถึงจุดนั้นได้
บาร์บาทอสไม่อาจโยนเรื่อง การพิจารณาคดีทิ้งได้ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการโน้มน้าวชักจูงฝ่ายเป็นกลาง
สุดท้ายแล้ว ข้อแนะนำของผมก็เป็นที่ยอมรับ
ผมแอบเหลือบมองมาร์บาส เป็นสัญญาณบอกว่า พวกเราคุยกันจบแล้ว มาร์บาสนั้นไม่ได้มองมาที่ผม มาร์บาสแทบไม่ได้มองมาที่ผมแล้ว แต่เขาก็สามารถแบ่งความสนใจมาที่ผมตลอดเวลา
พอเขาลุกขึ้นผมก็มองตามไป
“ดูเหมือนทุกท่านต่างกำลังสนุกกับงานเลี้ยง ในฐานะเจ้าภาพ ช่างเป็นเกียรติต่อตัวข้ามาก ขอให้ข้าได้ดื่มอวยพรแด่ กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราด้วย!”
“แด่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา!”
เหล่าจอมมารดื่มหมดแก้วในอึกเดียว
เมื่อมาร์บาสให้สัญญาณกับพวกเขาเสียงดนตรีค่อยๆลดเบาลง ชายหนุ่มหญิงสาวที่เคยเต้นเปลือยก็ค่อยๆออกไปอย่างช้าๆ เขาช่างเป็นจอมมารที่มีนอกจากจะชำนาญการเรื่องการเมืองแล้วยังสามารถวางแผนจัดงานได้ละเอียดละออเหลือเกิน
“ถึงแม้โดยส่วนตัวแล้ว ข้าปรารถนาให้มีงานนี้ไปตราบชั่วกาลนาน”
มาร์บาสมองไปยังจอมมารแต่ละคน จนครบทุกคน
“โชคไม่ดีนัก พวกเรากำลังอยู่ในสนามรบ เป้าหมายของงานเลี้ยงครั้งนี้ก็มีแก่เหล่าผู้บัญชาการกองทัพของพวกเรา เพื่อให้มีความคุ้นเคยต่อใบหน้าค่าตาของพันธมิตรที่จะร่วมเดินทัพไปพร้อมกันลงสู่สนามรบ ดังนั้นสงครามจึงเป็นเป้าหมายแรกและเป็นหมายที่สำคัญที่สุด”
พอมาร์บาสพยักหน้า ภาพสามมิติก็ฉายมายังกลางห้อง มันเป็นแผนที่ของที่ราบบรูโน่ สถานที่ที่กองทัพจอมมารและกองทัพมนุษย์ตั้งอยู่ในตอนนี้
มันฉายภาพตำแหน่งที่ตั้งกองทัพทั้ง 6 ภาค แห่งกองทัพพันธมิตร และกองทัพชาติมนุษย์จากจักรวรรดิฮับบวร์ก ไปจนถึงราชอาณาจักรบริททานี่ได้อย่างแม่นยำ
“กองกำลังของฝ่ายมนุษย์นั้นมีทหารรวม 140,000 นาย และกองทัพพันธมิตรของพวกเรามีทหารรวม 110,000 นาย”
มาร์บาสยังคงพูดต่อไป
“หากเราจะพิจารณาถึงคุณภาพของทหาร ก็จะเห็นได้ชัดว่า พวกเรานั้นได้เปรียบเป็นอันมาก แต่ถึงกระนั้น มีอัศวินถึง 25 หน่วยย่อยที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายมนุษย์ด้วย
ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น รวมถึงเหล่าอัศวินจาก <ผู้ชำนาญดาบ> <Master of Swords> รวมอยู่ด้วย
ในที่สุดแล้วนี่ไม่ใช่การรบที่ง่ายดาย หากพวกเราไม่อาจเชื่อใจกันได้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราจะล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในฐานะเจ้าภาพแห่งงานเลี้ยง และในฐานะหัวหน้าฝ่ายเป็นกลาง ข้าจะขอความกรุณาพวกท่านว่า ได้โปรดวางความขัดแย้งลงเสีย พวกท่านจะยินดีรับคำขอของข้าหรือไม่?”
ผมยืนขึ้น
“ข้า ลำดับ 71 ดันทาเลี่ยน ขอโอกาสให้พูดในฐานะตัวแทนของฝ่ายที่ราบ เนื่องด้วยเจตนาของฝ่ายภูเขา ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเรานั้นถูกคุกคาม
เพื่อการให้อภัยต่อความผิดที่พวกเขาได้กระทำไป ฝ่ายภูเขาจะต้องพิสูจน์ตนว่าไม่คิดจะทรยศพวกเรา”
“อืมม”
มาร์บาสพยักหน้า
“แล้วพวกเขาจะพิสูจน์ตนเองได้อย่างไรกัน? พวกเขาไม่มีหลักฐานสนับสนุนเลยสักชิ้น”
“พวกเราสร้างขึ้นได้ ดังนั้น เหล่าสมาชิกแห่งฝ่ายภูเขา!”
ผมจ้องไปที่ไพมอนและสิตริ
“จงไปยืนในฐานะแนวหน้าแห่งสงครามอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า!
การกระทำที่ต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ตรงหน้านั้นเพียงพอแล้วที่จะเป็นหลักฐานพิสูจน์ตนว่า พวกท่านยังคงภักดีต่อกองทัพจอมมาร”
พอผมพูดจบ สิตริทำหน้าเหมือนกำลังเคี้ยวแมลง
การเป็นแนวหน้าในสงครามขนาดใหญ่ย่อมต้องสูญเสียมากมายโดยไม่ต้องสงสัย ไม่มีทางที่จะหลีกหนีความสูญเสียได้เมื่อต้องสู้ปะทะกันในสงครามที่มีจำนวนรวม 200,000 นาย
ว่าง่ายๆ พวกเราบอกให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการหลั่งเลือด
“ไอ้ระยำนี่…….”
“จำไว้ให้ดีว่า คำขอของพวกเรานั้นใจกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเราไม่ได้ให้พวกท่านชดเชยด้วยเงินหรือขอโทษต่อสาธารณะ พวกเราแค่เสนอเกียรติภูมิแห่งการได้เป็นแนวหน้าในฐานะกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา”
“หาาา เกียรติภูมิ? พวกเราจะตายเหมือนกันต่างหากโว้ย!”
สิตริเริ่มเดือดอีกครั้ง เธอนี่ช่างเป็นผู้ติดตามที่เลือดร้อนเสียจริงเชียว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีบางสิ่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้
“ข้าได้บอก ท่านได้ก่อนแล้ว ว่าไม่มีพื้นที่ให้ต่อรองอีกต่อไป ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธเงื่อนไขนี้
พวกท่านก็มีแค่สองทางเลือก หากท่านปฏิเสธเงื่อนไขนี้ ฝ่ายที่ราบจะประกาศสงครามกับฝ่ายภูเขาทันที”
ผมไม่ได้บลัฟ บาร์บาทอสนั้นไม่ใช่คนที่อ่อนโลกพอที่จะไม่ทำอะไรเมื่อโดนทำร้าย เธออยากจะแก้แค้นถึงแม้มันจะเป็นการทำให้การระดมกำลังของทัพพันธมิตรล้มเหลวก็ตามที นั่นก็เพื่อศักดิ์ศรีกลุ่มของเธอ
สิตริอึ้งเป็นอีโง่ไปเลย
“พวกแก ต่างหากที่เป็นฝ่ายทรยศกองทัพพันธมิตร!”
“กองทัพพันธมิตรอย่างนั้น กองทัพพันธมิตรอย่างนี้……. หากรักกองทัพพันธมิตรจากใจจริง ก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการกระทำสิ
การกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของฝ่ายภูเขานั้นเห็นได้ชัดเลยว่า ขัดแย้งกับจุดมุ่งหมายของกองทัพพันธมิตร
ไม่มีใครเชื่อน้ำลายเธอหรอกหากเอาแต่พูดแต่ไม่ลงมือทำอะไรเลย”
ผมหัวเราะขึ้นมา
“เธอคงไม่อยากที่จะไปสู้แนวหน้าอย่างนั้นสินะ แต่ก็อยากทำตัวราวกับว่า ทำเพื่อประโยชน์ของเหล่าปีศาจ
……และพอมาคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองแล้ว เธอก็เลยเริ่มคิดวางแผนจะเจรจาสงบศึกขึ้น?
แหม คงจะมีความสุขน่าดูเชียว ข้าล่ะอิจฉาเธอเสียจริง”
แผนนั้นเป็นดั่งดาบสองคม หากแผนพลาดเมื่อไหร่พวกมันก็จะวกกลับมาทำร้ายคุณได้รวดเร็วเหมือนดั่งลูกธนู
หรืออย่างน้อยที่สุด แม้ลูกธนูจะแล่นออกจากแล่งไปแล้ว แต่คันธนูก็จะเสียดสีหนังของคุณจนลอก
กระสุนก็สามารถฆ่าคนวางแผนได้ด้วยการสะท้อนกลับมาด้วยเช่นกัน
นั่นแหละสาเหตุที่ว่า ทำไมนักวางแผนมักขุดหลุมไว้สองหลุมเสมอ หากเขาตั้งใจที่จะฆ่าอีกฝ่าย พวกเราก็ต้องเตรียมใจตายไว้ด้วยเช่นกัน
ไพมอน, เธอน่ะเตรียมใจเรื่องนั้นไว้แล้วหรือยังล่ะ?
“ไอ้อ่อนกากนี่ ทำตัวสูงส่งเสียเหลือเกิน―”
“ช้าก่อน”
ไพมอนพูดแทรกขณะที่สิตริกำลังจะตะโกนอะไรบางอย่าง สิตริดูไม่พอใจแต่เธอก็ถอยไปอย่างว่าง่ายเมื่อ ไพมอนหยุดเธอ
นั่นเป็นการเปิดปากครั้งแรกของไพมอน ในวันนี้
“ดันทาเลี่ยน พวกเราจะยอมรับข้อแนะนำของเจ้า”
“พะ-พี่สาว!?”
สิตริถึงกับช็อค
“อยู่เงียบๆก่อน ……หากพวกเราเป็นแนวหน้าให้กับกองทัพพันธมิตรแล้ว ท่านจะเชื่อว่าเราบริสุทธิ์ใช่ไหม?”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว ข้าขอยืนยันว่า ฝ่ายที่ราบนั้นจะไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ หลังจากนี้อีก”
“เยี่ยมเลย ถึงอย่างนั้นพวกเรามีเงื่อนไข”
“เงื่อนไข?”
ไพมอนพยักหน้า
“มีพิธีการหนึ่งที่ต้องปฏิบัติเสมอก่อนทำสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้ ผู้หนึ่งจะเป็นตัวแทนของฝ่ายแล้วออกมากล่าวสุนทรพจน์เพื่อลดกำลังใจศัตรูและเพิ่มกำลังใจพันธมิตรของตน
สิ่งนี้อาจไม่ใช่ปฏิบัติการณ์ที่เร่งด่วน แต่การทำอย่างนั้นมันจะเป็นประโยชน์อย่างมาก”
อ่าา
ผมว่า ผมพอรู้แล้วนะว่า เธอพูดถึงอะไร มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมีเวทย์มนตร์ในโลกของ <Dungeon Attack>
ตัวแทนคนนั้นจะถูกฉายภาพขึ้นจอโฮโลแกรมและขยายเสียงของเขาเพื่อให้สามารถกล่าวสุนทรพจน์ไปยังอีกฝั่งของกองทัพ
บ่อยครั้งที่ใช้เพื่อโอ่อวดกำลังทหาร และประกาศว่าศัตรูนั้นอ่อนแอแค่ไหน เพื่อสร้างความชอบธรรมในสงครามของตน และปฏิเสธความชอบธรรมของฝ่ายศัตรู
ตัวเอกในเกม <Dungeon Attack> มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้
มนุษย์ทั้งหลาย ลุกขึ้นเถิด! จงลุกขึ้นร่วมสู้ด้วยกัน!
มนุษย์ทุกคนนั้นตอบรับต่อเสียงเชียร์ทันทีเมื่อตัวเอกตะโกนคำพูดเหล่านั้น
ถ้าเป็นในเกมก็จะมีการโยนลูกเต๋าเพื่อวัดดวงว่า กำลังใจของฝ่ายคุณนั้นจะเพิ่มหรือลด พูดง่ายๆก็คือ การมอบบัฟให้นั่นเอง
ระบบนั้นในเกมถูกทำเหมือนเป็น ‘พิธีการ’ ในโลกแห่งนี้ แต่แล้วยังไงล่ะ? ผมมองไพมอนด้วยแววตาสงสัย
“ดันทาเลี่ยน ข้าขอให้เจ้าเป็นตัวแทนกล่าวสุนทรพจน์แทนพวกเรา”
“อะไรนะ?”
“นี่คือ เงื่อนไขของฝ่ายภูเขา พวกเราก็ไม่ให้โอกาสต่อรองด้วยเช่นกัน”
ไพมอนปิดปากทันทีเมื่อพูดสิ่งที่ต้องพูดจบ
“…….”
มันไม่สมเหตุสมผลเลย แล้วจะออกไปเป็นตัวแทนกล่าวสุนทรพจน์ในเงื่อนไขแบบนี้ได้ยังไงกัน?
ผมขอเวลาไปคิดสักครู่ และออกไปพูดคุยกับบาร์บาทอสเป็นการส่วนตัว ผมไม่มั่นใจที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
แล้วอยู่ๆเสียงดนตรีก็ดังขึ้นในห้องอีกครั้ง พอมาคิดดูแล้ว ดนตรีนั้นจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้คนได้ยินบทสนทนาต่อกัน มาร์บาสนี่ช่างละเอียดรอบคอบเสียจริงๆ
“ไพมอนอาจจะใช้พันธสัญญาเวทย์มนตร์กับเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก ข้าไม่แน่ใจนะ แต่เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“อาฮ่า นั่นคือ สาเหตุที่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ หากเธอเป็นฝ่ายประกาศสงครามก่อน”
ข้อสังเกตของบาร์บาทอสนั้นเป็นไปได้
ไม่ว่าจะเจ้าหญิงจักรวรรดิหรือไพมอน พวกเขาต่างแอบทำสัญญาลับๆระหว่างเผ่าที่ห้ำหั่นกันมากว่า 2,000 ปี พวกเธอคงต้องเตรียมการณ์ป้องกันไว้ก่อนนั่นแหละ
ตัวอย่างเช่น ใส่เวทย์ที่จะร่ายคำสาปใส่พวกเขาไว้ หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดสัญญาแล้วโจมตีอีกฝ่าย หืมมม
เวทย์มนตร์ออกจะใหม่สำหรับผม ผมไม่เคยรู้ถึงความเป็นไปได้แบบนั้นมาก่อน เอาล่ะ มันไม่สำคัญนักหรอก เราไม่มีทางรู้ว่า พวกเธอจะทำสัญญาต่อกันแบบไหน…….
“แต่ทำไมถึงเป็นข้าล่ะ?”
“อีนั่นพยายามแก้แค้นคืนไง เจ้างั่ง”
บาร์บาทอสดูจะมีความสุขกับโชคร้ายของผม ถึงกับหัวเราะเอิ้กอ้าก
“ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ แกน่ะเอาแต่วางแผนอยู่หลังม่าน แกว่าจะเกิดอะไรขึ้นละ ถ้าแกก้าวไปโชว์ตัวแล้วเป็นตัวแทนประกาศสงครามที่ใหญ่ระดับนี้ ? ทั้งมนุษย์และปีศาจต่างก็จะจำหน้าแกได้ไง”
“แม่งเอ๊ย แค้นฝังหุ่นซะจริง”
ถึงจะฟังดูสมเหตุสมผลแต่ก็ไม่เพียงพอจะทำให้ผมเชื่อได้หรอก นี่จะบอกว่า ไพมอนวางเงื่อนไขนี้ไว้เพราะความแค้นส่วนตัวของเธอที่มีต่อผมอย่างนั้นหรือ?
ไม่จะมองมุมไหน มันออกจะใจแคบและไร้วุฒิภาวะมากไปหน่อย เหตุผลที่ไพมอนล้มเหลวนั่นไม่ใช่เพราะความชั่วร้ายของผมสักหน่อย แต่เป็นเพราะเธอทำพลาดเองต่างหาก ผมก็แค่ไหลไปตามแผนการของเธอเท่านั้นเอง
ผมถอนใจออกมา
“เอาล่ะ …… มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ”
“โอ้ ? นี่แกคิดจะตอบรับเรอะ?”
“ใช่ว่าการขึ้นพูดสุนทรพจน์จะทำให้ข้าเจ็บปวดขนาดนั้นสักหน่อย”
ว่ากันตามตรง มีมนุษย์ไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ว่า ผมเป็นจอมมารลำดับ 71 ดันทาเลี่ยน
มันก็ไม่เห็นต่างไม่ใช่รึไง? ชื่อของผมอาจเป็นที่รู็จักถ้าผมเป็นตัวแทน แต่ก็แค่นั้นนี่
ถึงอย่างไรผู้คนก็จดจำแต่ชื่อนายผลผู้ยกทัพ ไม่ใช่ทูต อย่างมากค่าชื่อเสียผมอาจจะขึ้นสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก
การที่ผมได้ออกพูดในฐานะของตัวแทนกองทัพจอมมารนั่นออกจะเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติด้วยซ้ำไป
ตอนนั้นเองที่ไอเดียดีๆก็เข้ามาในหัวผม
ผมให้คำตอบกลับไปในทันทีหลังจากปรึกษากับบาร์บาทอสแล้ว
“ยอดเยี่ยม หากเหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายต่างเห็นด้วย ข้าก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นตัวแทนของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา”
เหล่าผู้บัญชาต่างเห็นด้วย มันเป็นเพราะมาร์บาสนั้นร้องขออย่างแข็งขัน
จอมมารผมบลอนด์กามิกินดูไม่พอใจอย่างดื้อด้านจนถึงที่สุด เธอหงุดหงิดอย่างมากที่ ทั้งยังผิดหวังที่ไม่สามารถใช้โอกาสนี้ในการบดขยี้ฝ่ายภูเขาได้
แล้วการเจรจาก็สิ้นสุดลง
ข้อสรุปคือ ฝ่ายที่ราบของพวกเรานั้นสามารถบังคับให้ฝ่ายภูเขาเข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องพบกับความสูญเสียโดยที่มือของเราไม่ต้องเปื้อนเลือดเลยด้วยซ้ำ
ฝ่ายเป็นกลางนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความอำนาจ สามารถในการจัดการความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขาอีกครั้ง
จอมมารอื่นๆที่ไม่เกี่ยวก็สามารถป้องกันไม่ให้ฝ่ายภูเขาผู้ขาดความสำเร็จจากกองทัพพันธมิตรไปเป็นของกลุ่มตัวเองกลุ่มเดียวได้
และในที่สุดฝ่ายภูเขาก็สามารถฟอกให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธ์ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นทุกฝ่ายต่างก็ถือว่า ได้รับความพอใจกันถ้วนหน้าจากการประชุมครั้งนี้
พวกเราต่างเห็นตรงกันว่า การรบจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แล้ว พวกเราได้ระดมพลจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าสู่การรบครั้งใหญ่ด้วยความจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวเสบียง เนื้อมนุษย์นั่นไง
กองทัพจอมมารมีการเปลี่ยนสลับตำแหน่งกัน อย่างไม่เป็นระเบียบ
กองทัพภาค 1 ฝ่ายภูเขา มาเป็นแนวหน้า
กองทัพภาค 2 ฝ่ายเป็นกลาง ,กองทัพภาค 4 เวสซาโก้และวาเลฟอร์ ,และกองทัพภาค 6 ฝ่ายที่ราบ กลายเป็นทัพกลาง
ส่วนทัพจอมมารที่เหลือเป็นแนวหลัง
ใช้เวลา 2 วันเต็มๆสำหรับพวกเราในการสลับตำแหน่งให้เสร็จอย่างนั้น
ระหว่างช่วงเวลานั้นเองกองทัพมนุษย์ก็มีการจัดกำลังรบเช่นกัน พวกเราเห็นธงจักรวรรดิแฟร้งโบกสะบัดข้ามผืนทุ่งราบ ดูเหมือนจักรวรรดิแฟร้งนั้นจะเป็นแนวหน้าของพวกมนุษย์
สงครามใกล้เข้ามาแล้ว
ผ่านไป 2 วัน ผมเก็บตัวอยู่แต่ในฐานวุ่นวายกับการเตรียมสุนทรพจน์ ผมจบลงด้วยบทบาทสำคัญ นั่นคือการได้รับบทพูดสุนทรพจน์ที่ใกล้เข้ามา
แน่นอนว่า ทหารรวมกันทั้งฝ่ายมนุษย์และปีศาจถึง 200,000 ต้องหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแน่ หากผมเผลอกัดลิ้นตัวเองระหว่างพูดสุนทรพจน์ ผมจะไม่ทำตัวเองขายหน้าแบบนั้น!
“ดิฉันเชื่อว่า ท่านเตรียมตัวพอแล้วค่ะ”
ลาพิสแสดงความเห็น
นี่ก็สักพักแล้วนะ นับแต่ที่เธอ พนักงานของบริษัทเคียนคุสก้า และยังเป็นพ่อค้าคนพิเศษของผม ได้มาถึง
ผ่านไปนานแล้วนับตั้งแต่ที่ผมได้เห็นผมสีชมพูของเธอครั้งล่าสุด น่าจะราวๆ 2 เดือนได้ที่ได้พบกัน
(TTL : ลาพิสที่หายไปโคตรนาน โคตรคิดถึง 555)
“ฝึกเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ”
“อ่า อย่างนั้นหรือคะ?”
เธอได้ทำตามคำสั่งผมด้วยการกระจายข่าวลือไปทั่วทั้งโลกมนุษย์และโลกปีศาจ แถมเธอยังติดต่อกับชนชั้นนำของกองทัพมนุษย์ ทั้งยังมีสินบนด้วยหากจำเป็น
พูดง่ายๆว่า เธอเป็นเหมือนมือเท้าของผมในขณะที่ผมเข้าร่วมกับกองทัพ
“ในเรื่อง ฝ่าบาทไพมอน เธอได้ติดต่อกับบริษัทเคียนคุสก้าของพวก ดังนั้นพวกเราจึงรู้ความเคลื่อนไหวของเธอ เธอนั้นได้ให้ความสนใจกับการรวบรวมข้อมูลของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเป็นอย่างมาก”
“หืมม? ข้าเนี่ยนะ?”
“ใช่แล้วค่ะ เริ่มมาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว”
ก็นับว่านานอยู่นะ หากเริ่มเมื่อเดือนก่อน แล้วเธอก็รวบรวมข้อมูลของผมมาโดยตลอด
“……นี่เธอได้รู้หรือยังว่า ข้าน่ะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?”
“ข้อมูลของดิฉันไม่อาจล่วงรู้ไปไกลถึงขนาดนั้นได้ค่ะ”
ลาพิสพูดต่อ
“แต่ขอให้ระวังค่ะ ฝ่าบาทไพมอนนั้นไม่ได้เป็นจอมมารระดับสูงแต่ในนาม มันมีโอกาสที่เธอจะซ่อนไพ่ตายไว้”
MANGA DISCUSSION