“ตาแก่มาร์บาสเรียกประชุมน่ะ”
บาร์บาทอสเก็บแส้ ขณะที่พูดขึ้น ร่างกายของผมสั่นไปหมดขณะที่ถกกางเกงขึ้น หลังจากโดนบังคับให้ได้รับประสบการณ์เหมือนกับการเล่น SM
ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นในทันทีที่กางเกงนาบกับก้น…….
“ประชุมหรือ?”
“ตาแก่มาร์บาส นังกะหรี่แพศยา และข้า เขาต้องการให้มีการประชุมแค่เราสามคน”
นังกะหรี่แพศยาที่ว่า คงหมายถึงไพมอน
บาร์บาทอสไม่พอใจที่จะเรียกไพมอนว่า นังกะหรี่ หรือ นังแพศยา จึงเอาสองคำนั้นมาเรียกรวมกันเสียเลย ผมหัวเราะขึ้นแล้วก็ตอบ
“อย่าไป มาร์บาสจะพยายามทำตัวเป็นคนกลางระหว่างเธอกับไพมอน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปในตอนนี้ หากเธอรออีกสักหน่อย เธอจะได้เปรียบยิ่งกว่านี้”
“หืมมม”
การประชุมดังกล่าวไม่เพียงมีขึ้นเมื่อ กองทัพภาค 2 มาถึง แต่จะต้องเป็นตอนที่ กองทัพภาค 3 ภาค4 และภาค 5 มาถึงพร้อมกันด้วย
ยิ่งกองทัพจอมมารมาอยู่พร้อมกันมากเพียงใด ความยากที่ฝ่ายภูเขาจะร่วมมือกับจักรวรรดิฮับบวร์กก็ยากขึ้นเพียงนั้น กองทัพจอมมารและฝ่ายจักรวรรดิฮับบวร์กยังคงเป็นศัตรูกัน
ยิ่งไปกว่านั้น มันจะยิ่งเป็นปัญหามากยิ่งขึ้นสำหรับฝ่ายภูเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังจอมมารแล้วยังเป็นพันธมิตรกับฝ่ายจักรวรรดิของมนุษย์ด้วย
……พูดอีกอย่างคือ สิ่งนี้ทำให้ฝ่ายที่ราบของพวกเราได้เปรียบมากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็แค่รอ”
“ใช่ ตอนนี้เวลาอยู่ข้างพวกเรา”
พวกเราตัดสินใจที่จะหยุดรออย่างสบายๆ
ดังนั้นก็ผ่านไปหลายต่อหลายวัน จอมมารแห่งที่ราบนั้นก็ผ่อนคลายกันมากขึ้น พวกเขาเดินไปเดินมาที่ค่ายอย่างสบายใจเฉิบราวกับว่า ตอนที่พวกเขาบ่นอย่างกังวลว่า
‘พวกเราควรสู้ตายอย่างมีเกียรติหรือ เอาชีวิตรอดดี แม้มันจะดูขี้ขลาดก็ตาม’ นั่นเหมือนเป็นอดีตอันแสนไกลโพ้น
โดยเฉพาะกับพี่เบเลธที่มักจะฉีกยิ้มขึ้นมาบ่อยๆ เวลาที่พวกเราอยู่ในปราสาทแบรนเดนเบิร์ก เขาก็มักจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆกับเหล่าจอมมารหลายตน เมากันกลางค่ายนั่นแหละ
……เอ่อ ถ้าทำกันแต่พอประมาณก็ไม่เป็นไรหรอก
แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะดีใจมากหากจะเลิกบังคับให้ผมไปดื่มกับเขาได้แล้ว ให้เทียบๆไปก็จอมมารลำดับ 13 อย่างเบเลธก็เหมือนกับเตียวหุยในสามก๊กนั่นแหละ
เขาเชื่อว่า ทุกคนบนโลกใบนี้มีเอนจอยกับเหล้าเหมือนกับที่เขาเป็น ออเกอร์เลือดผสมร่างสูงเกือบ 4 เมตรนั้น ยกถังเหล้าไม้สูง เกือบ 1 เมตร ราวกับนักยกน้ำหนักมืออาชีพแล้วกระดกมัน!
“คุ ฮ่าาาา เจ้าพวกมนุษย์นี่รู้จักทำเหล้าดีๆเหมือนกัน”
“…….”
ผมมองดูถังเหล้าสูง 1 เมตร เกลี้ยงในทันที ผมถึงกับงงไปเลย นี่ท้องเขากว้างใหญ่ขนาดไหนกันนะ? ถึงได้สามารถบรรจุเหล้าในถังสูง1เมตรได้ ผมไม่คิดว่า มันควรจะเรียกว่า ท้องอีกต่อไปแล้วล่ะ
“เอ่อะะะะะะะ”
เบเลธเรอออกมา กลิ่นเหม็นของเหล้าแผ่ออกไปรอบตัวเขา ผมแทบจะเป็นลม
ผมรู้สึกรำคาญมากที่ถูกลากเข้ามาเพียงเพราะบังเอิญผ่านมาพอดี แถมยังต้องมาได้กลิ่นปากของผู้ชายคนอื่นด้วย
……พูดจริงๆนะ แถวนี้แม่งเถื่อน โลกนี้แม่งโหดร้าย
“มาตอนนี้ ดันทาเลี่ยน ดื่มเลย!”
เบเลธเทเหล้าลงในแก้วของผม
“นี่มันมากไปแล้ว…….”
“ไร้สาระน่า ถ้าแกเป็นลูกผู้ชาย แกก็ควรจะดื่มด้วยจมูกได้ด้วยซ้ำไป!”
ถ้าจะเอาตามมาตรฐานหมอนี่ ลูกผู้ชายที่ว่าก็ต้องมีเลือดของออเกอร์ก่อน
โชคไม่ดีนะ ผมเป็นมนุษย์น่ะ แต่ดูเหมือนเจ้าออเกอร์ลูกผสมนี่จะมองผิด แถมยังทำเหมือนผมเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเขาอีก ซึ่งมันไม่ถูกต้องเลย
ผมถอนใจออกมา ก่อนจะกระดกเหล้าลงคอ
“อู้วววว”
จอมมารตนอื่นรอบๆเปล่งเสียงออกมาโอเวอร์เกินจริง หนึ่งในน้ันก็พูดออกมา
“น่าประทับใจ ดื่มได้เยอะขัดกับรูปร่างเลยนะ”
“รูปร่างข้ามันทำไมรึ?”
หากเป็นไปได้ผมก็อยากบอกกับพวกเขาว่า สไตล์ของผมคือ ชนชั้นสูงหนุ่มโว้ย พวกกล้ามล่ำบึ้กอย่างพวกนายเนี่ยไม่ใช่เทรนด์ในยุคนี้หรอก
เทรนด์น่ะต้องผอมเพรียวแบบผมนี่ ผมพูดจริงจังนะ ผมไม่ใช่พวกชนชั้นสูงหนุ่มที่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆสักหน่อย
“คุคุ เวปาร์ แพ้แล้ว! แพ้ไป 4 คนแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถ้าอยากเอาชนะข้าในการแข่งดื่มเหล้า เจ้าต้องเอามามากกว่านี้สักสามเท่า!”
จอมมารลำดับ 42 เวปาร์ล้มพับไป ยังมีจอมมารตนอื่นอีก 3 คน กองกับพื้นใกล้ๆเขา ทั้งหมดต่างท้าดวลดื่มกับพี่เบเลธและแพ้ไปอย่างน่าอดสู พวกนี้นี่มันไอ้บ้าโดยแท้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะไอ้ขี้เมาก็ไม่น่าดูทั้งนั้นน่ะแหละ
“ต่อไปเป็นเจ้า ดันทาเลี่ยน!”
เหล้าบางส่วนพ่นออกมาจากปากของเบเลธตอนเรียกผมไปหา
“เอ๋!? ข้ารึ?”
“เพราะแกเป็นน้องชายข้า ในเมื่อเป็นน้องชายข้าจริงๆก็ต้องดื่มให้ได้เหมือนข้าเช่นกัน!”
ผมโดนยัดเยียดแก้วเหล้าให้เข้ามาอยู่ในมือ มันคือชามกระเบื้องใบใหญ่ที่ถูกใช้เป็นแก้วเหล้าโดยเอามันมาจากห้องครัว เบเลธรินเหล้าลงในชามใบนั้น
“พะ-พี่ นี่มันมากเกินไปแล้ว”
“หืมมม? ข้าไม่ได้ยิน พูดอะไรนะ―?”
บ้าเอ๊ย นี่เขาพยายามทำตัวน่ารักอย่างนั้นรึ? มันดีกว่าแน่ถ้าแกจะกัดลิ้นแล้วฆ่าตัวตายไปซะ
……ไม่ ใจเย็นก่อน ท้องของเบเลธมันต้องมีขีดจำกัดอยู่แล้ว
เขาแข่งมากับคนอื่นก่อนหน้านี้ถึง 4 คน มันก็คงใกล้จะเต็มแล้วล่ะ ถ้ามองตามเหตุตามผล ท้องของเบเลธน่าจะใกล้เต็มแล้ว
……. ดังนั้น ผมชนะอย่างแน่นอน
ผมหัวเราะคิกคัก มันเป็นเรื่องง่ายดายมาก ที่นักปราชญ์จะรู้จักใช้หัวเมื่อเทียบกับพวกนักรบจะรู้จักแต่การใช้ร่างกาย
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้น ข้าจะรับสมญานักดื่มผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝ่ายที่ราบไปเอง”
“นั่นแหละจิตวิญญาณนักสู้! คุฮ่าฮ่าฮ่า ลุยเลยสิ ไอ้น้องชาย!”
ผมตะโกนขึ้นในขณะที่ยกชามเหล้าขึ้น
แล้วความจำของผมก็ปลิวหาย
พอผมฝืนลืมตาขึ้น ก็เห็นจอมมารอีก7คน นอนกองกับพื้นอย่างน่าเวทนารอบตัวผม เบเลธไม่ได้อยู่ในกลุ่มพวกนั้น เขาโค่นไปอีก 2 คนหลังจากผมล้มพับไป เขาจัดการพวกเราราบคาบโดยสิ้นเชิง
คุณไม่ควรเสี่ยงทำในสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคยในชีวิต
แม้จะมีเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆเช่นนี้บ้าง……แต่โดยมากบรรยากาศในฝ่ายที่ราบนั้นค่อนข้างดีเลย ทั้งกองทัพฝ่ายปีศาจและกองทัพฝ่ายมนุษย์ตั้งอยู่ในตำแหน่งของตัวเองทั้งคู่ ไม่มีฝ่ายไหนแสดงความกังวลหรือทำท่ายอมแพ้ออกมาให้เห็น
พวกเราก็ไม่ได้ย่อหย่อนจนเกินไปเช่นกัน พวกเรายังคงฝึกฝนทหารเกณฑ์และเสริมกำลังให้กับค่ายทหาร
พวกเราผ่อนคลายแต่ก็ยังเฝ้าระวังไม่หย่อนยาน กองทัพของพวกเรารักษาสภาพจิตกำลังใจไว้ได้ดี
จอมมารส่วนมากจากฝ่ายที่ราบเติบโตขึ้นมาในสงคราม ดังนั้นพวกเขารู้ดีว่า ควรผ่อนคลายได้เมื่อไหร่และอย่างไร ดียิ่งกว่าใครๆ
กองทัพทั้งหมดได้มารวมกันที่ทุ่งราบบรูโน่(Bruno Plains) สถานที่ที่พวกเราตั้งค่ายกัน
กองกำลังจากสาธารณรัฐบัทตาเวียมาถึงก่อน พอมาถึงแล้วมนุษย์ทั้งฝ่ายในที่ราบก็ส่งเสียงเชียร์ดังขึ้นมา
ต่างจากทหารฝ่ายบัญชาการที่ต้องรวบรวมการสั่งการใหม่ พวกมนุษย์เหล่านั้นดีใจที่มีเห็นมนุษย์ด้วยกันพร้อมอาวุธครบมือเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
ต่อจากนั้นทหารจากราชอาณาจักรซาดิเนีย และราชอาณาจักร โพลิช-ลิทัวร์เนียก็มาถึงพร้อมกัน ทั้งสองมีทหารคร่าวๆ 20,000 นาย
ความทรงเกียรติของพวกเขาช่างน่าประทับใจ ทั้งเต๊นท์และป้ายธงของกองเปลี่ยนที่ราบให้กลายเป็นป่าขึ้นมา ด้วยสิ่งนี้เองกองกำลังประสมของทั้ง ฮับบวร์,ฟรานเซีย,บัทตาเวีย,ซาร์ดิเนียและโพลิช-ทิลัวเนีย รวมกองกำลัง 5 ชาติ ก็มีกองกำลังรวมราว 80,000 นาย กำลังใจของพวกเขาจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แต่แค่เพียงสี่วันเท่านั้น
“ฝ่าบาท โปรดออกมาข้างนอกเร็ว!”
ลอร่าวิ่งเข้ามาในเต๊นท์ทันที ผมคิดว่ามีเรื่องยุ่งวุ่นวายเกิดขึ้นจึงไม่ไต่ถามแล้วตามเธอออกไปดูข้างนอก และได้เป็นประจักษ์พยานฉากที่น่าตกใจ
“……ป้อมปราการ?”
ป้อมปราการขนาดใหญ่กำลัง ‘เคลื่อนที่’ สิ่งก่อสร้างขนาดราว 50 ถึง 80เมตร อยู่เหนือพื้นโดยมีกรงเล็บทั้ง 6 ที่เรียวบางเมื่อเทียบกับลำตัวของมัน มันทำให้ผมนึกถึง ปราสาทเวทย์มนตร์ของฮาวล์*
แน่นอนว่า หากไม่นับการที่มันสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง มันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
ทั้งรูปร่างลำตัวของป้อมปราการที่สูงขึ้น ส่วนขาก็ยาว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีล้อเฟือง อีก 3 ล้อนี่ใหญ่พอๆกับลำตัวแนบติดกับตัวป้อม ล้อเฟืองพวกนั้นมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ประหลาดใจ ทั้งจอมมารและมอนสเตอร์อื่นที่ออกมาจากค่ายก็มองไปบนท้องฟ้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่า มีเพียงบาร์บาทอสที่พูดออกมาอย่างนิ่งๆ
“อ๋อ นั่นมันของวาเลฟอร์”
“วาเลฟอร์? จอมมารอันดับ 6 ?”
(Rank 6 Valefor)
บาร์บาทอสพยักหน้า
“นั่นคือ ปราสาทจอมมารของวาเลฟอร์ ป้อมปราการเคลื่อนที่ <ไลบาริททอส>,<Labyrinthos>”
โอ้ พระเจ้า! ผมถึงกับอ้าปากค้าง ดันเจี้ยนที่ไม่เคยมีมาก่อนในเกม
ถ้าผมจำไม่ผิดนี่ วาเลฟอ์นั้นมีปราสาทขนาดใหญ่เหมือนจอมมารระดับสูงตนอื่นๆแต่ถึงอย่างนั้น เจ้าสิ่งนั้นความจริงมันอยู่ในมหาสมุทรไม่ใช่รึ
…….เดี๋ยวก่อนสิ มหาสมุทร?
ผมจึงถามบาร์บาทอส
“นี่ ขอถามด้วยความอยากรู้หน่อย ปราสาทของเขาปกติตั้งอยู่ที่ไหน?”
“ปกติจะตั้งอยู่ที่มหาสมุทรเจอมาเนีย(Germania Ocean) หมอนั่นชอบมหาสมุทร”
“เข้าใจแล้ว”
ผมเข้าใจขึ้นมาทันที เจ้าปราสาทสุดโอ่อ่านั่นปกติแล้วจะตั้งอยู่เฉยๆบนมหาสมุทร ตามปกติก็ดูเหมือนมันจะลอยอยู่บนผิวน้ำเฉยๆ แต่ความจริงมันสามารถทีจะเดินไปรอบๆอย่างตอนนี้ได้ด้วย แม้แต่แฟนตัวยงของ <Dungeon Attack> อย่างผมก็ไม่เคยรู้ความลับของเซตติ้งนี้…….
ปราสาทของจอมมารลำดับ 6 วาเลฟอร์นั้นทำให้ทุกคนที่มองดูอยู่ทึ่ง
ในยุคสมัยที่ไม่มีตึกสูงชะลูด คุณสามารถใช้ชีวิตทั้งชนิดโดยไม่มีทางเห็นตึกสูงเกิน 10 เมตร และแต่อยู่ๆก็มาเห็นสิ่งก่อสร้างที่สูงไม่น้อยกว่า 60 หรือ 70 เมตร แถมเจ้าสิ่งนั้นมันก็ยังเดินไปไหนมาไหนได้ด้วย กำลังใจของกองทัพมนุษยจึงลดลงทันที
แถมจอมมารลำดับ 6 วาเลฟอร์แห่งกองทัพภาค 4 ยังร่วมทัพกับจอมมารภาค 3 เวสซาโก้ (Rank 3 Vassago) สองคนจึงเปรียบได้กับทั้งกองทัพภาค ลองคิดดูสิ ป้อมปราการที่ไม่มีทางพังทลายแถมยังสามารถเคลื่อนที่ด้วยตัวเองได้ด้วย จำนวนกลยุทธที่สามารถใช้ได้มีจำนวนมากจนเกินจินตนาการเลย
วันต่อมา อันดับ 2 อกาเรส(Rank 2 Agares)
ก็มาถึงพร้อมกับกองทัพภาค 3 กองกำลังหลักของจักรวรรดิแฟร้งค์(Frankish Empire)ก็มาถึงในเวลาเดียวกัน กองทัพของประเทศทั้งหลายต่างเร่งมารวมตัวกันในฐานะผู้ร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกัน
การมาถึงของกองทัพพวกนั้นกินเวลาไปเกือบหนึ่งสัปดาห์
กองกำลังของฝ่ายมนุษย์ที่ตามหลังมานั้น เพื่อมาสมทบกำลังกัน
20,000 นาย จากจักรวรรดิฮับบวร์ก
20,000 นาย จากราชอาณาจักรทิวทัน
5,000 นาย จากสาธารณรัฐบัตตาเวีย
35,000 นาย จากจักรวรรดิแฟร้งค์
25,000 นาย จากราชอาณาจักรซาดิเนีย
25,000 นาย จากราชอาณาจักรโพลิช-ลิทัวเนีย
และอีก 5,000 นายจากราชอาณาจักรบริททานี่
―รวมทหารทั้งหมดทั้งสิ้น 135,000 นาย
กองกำลังฝ่ายจอมมาร กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรามีดังต่อไปนี้
30,000 นาย จากกองทัพภาค 1 (อันดับ 9 ไพมอน)
20,000 นาย จากกองทัพภาค 2 (อันดับ 5 มาร์บาส)
35,000 นาย จากกองทัพภาค 3 (อันดับ 2 อกาเรส)
5,000 นาย จากกองทัพภาค 4 (อันดับ 3 วาสซาโก้ กับ อันดับ 6 วาเลฟอร์)
5,000 นาย จากกองทัพภาค 5 (อันดับ 4 กามิกิน กับ อันดับ 7 อมอน)
15,000 นาย จากกองทัพภาค 6 (อันดับ 8 บาร์บาทอส)
―รวมทหารทั้งหมดทั้งสิ้น 110,000 นาย
หากคุณเอากำลังทหารทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายมารวมกัน ในสงครามนี้ก็จะมีทหารมากเกินกว่า 200,000 นาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ พวกเขาทั้งหมดต่างตั้งใจเดิมพันกันในสงครามครั้งนี้
แผนของไพมอนที่วางไว้สลายไปในอากาศ
หรือเธอจะยังคงอยู่ในฝ่ายมนุษย์ในสถานการณ์เช่นนี้กันล่ะ? แต่เดิมแล้วเจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิก็มิได้มีอำนาจเหนือกองกำลังมนุษย์ทั้งหมดอยู่แล้ว
―เธอเป็นเพียงว่าที่ผู็สืบทอดราชบัลลังค์ อายุ 17 ปี ไม่มีทางที่เธอจะได้รับการยอมรับจากการบัญชาการกองทหารที่มหึมาขนาดนี้
―เป็นที่สงสัยด้วยซ้ำว่า พวกหัวหน้าฝ่ายกองกำลังมนุษย์นั้นจะยังร่วมมือกับไพมอนได้ขนาดไหนกัน แค่ไม่แทงหลังเธอก็ดีใจแล้วด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้น ฝ่ายเราก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ หากเธอคิดจะทรยศพวกเราแล้วล่ะก็เดี๋ยวจะได้เห็นดีกันแน่ โลกปีศาจจะเข้าใจว่า เธอนั้นหลอกใช้กองทัพภาค 6 ฝ่ายที่ราบเพื่อเป็นแกะเซ่นสังเวย แต่ต่อจากนี้ไม่มีใครที่จะคิดว่า การกระทำที่กองทัพภาค 2 จะเอากองทัพภาค 6 ให้เสียสละแทนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆแล้วล่ะ
เธอไม่ได้รับข้ออ้างอันชอบธรรมอีกต่อไป และจะยังถูกแปะป้ายว่า เป็นผู้ทรยศ
“ตาแก่มาร์บาส เรียกไปประชุมอีกครั้ง”
บาร์บาทอสยิ้มชั่วร้ายขณะที่ส่งจดหมายให้ผม
มันเป็นคำขอถึง ‘เหล่าผู้บัญชาการระดับสูงทุกภาคส่วนให้มารวมตัวกัน’ เขียนเรียบไว้บนแผ่นกระดาษ
“ตอนนี้ข้าไปร่วมได้แล้วใช่ไหม?”
“แน่นอน ไป แล้วก็ซัดไพมอนให้จมดิน”
เราสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะอย่างร้ายกาจ พวกเรานั้นดูสมเป็นจอมมาร
“โอ้ ใช่ เธอเองก็อย่าลืมทำตัวให้ดูเศร้าที่สุดล่ะ”
ผมเตือนบาร์บาทอส
“ผู้บัญชาการผู้ยิ่งใหญ่ของเราที่เป็นดั่งสาวน้อยใสซื่อ เกือบถูกสังเวยในแผนชั่วร้ายของไพมอน ดังนั้นแล้ว เธอต้องทำตัวให้ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ”
“เคะเคะเคะ อย่าห่วงไปเลย ถึงยังไงข้าก็เป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ผู้ใสซื่ออยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นความบริสุทธิ์ของโลกใบนี้คงโดนกำจัดทิ้งหมดเกลี้ยงแล้วล่ะ”
“แกอยากโดนกำจัดก่อนเลยไหม?”
เราสองคนหยอกล้อขณะที่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ประชุม
—–
*Howl’s Moving Castle
ปราสาทเวทย์มนตร์ของฮาวล์ ภาพยนตร์อนิเมแฟนตาซีของญี่ปุ่นฉายในปี 2004 กำกับโดย ฮายาโอะ มิยาซากิ แห่งสตูดิโอ จิบลิ เค้าโครงเรื่องมาจาก นิยายเด็กผลงานของไดแอนา ไวนน์ โจนส์(1986)
MANGA DISCUSSION