พี่เบเลธวิ่งออกจากเต๊นท์ในทันทีที่เจ้าหน้าที่รายงานจบ พี่เซปาร์และผมก็ตามเขาไปในทันที ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเบื้องหลังพวกเรา นั่นหมายความว่า จอมมารตนอื่นๆก็เข้าใจในสิ่งที่เจ้าหน้าที่คนนั้นเพิ่งรายงานไป
เนื่องจากฝนตก ผืนดินจึงเต็มไปด้วยโคลน พวกเราวิ่งแล้วโคลนก็กระเด็นไปรอบข้าง ร่างของพวกเราต่างเปียกโชกเพราะฝนแต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป
มีหน่วยทัพหนึ่งกำลังเดินทัพออกจากค่ายไปผ่านฝนและดินโคลน มันเป็นหน่วยของอันเดดมอนสเตอร์
“นายท่าน นายท่านบาร์บาทอส!”
นายพลเซปาร์ที่ปกติจะมีสีหน้าจริงจังเสมอตอนนี้กลับแสดงสีหน้าช็อคออกมา
“พวกเราต้องหยุดเธอทันที! การพุ่งเข้าใส่กองพลภาค 1 ด้วยกำลังเพียง 5,000 นายนี่มันบ้าไปแล้ว!”
“โจมตีพวกแม่งทั้งแบบนี้นี่แหละ!”
หนึ่งในจอมมารที่ตามหลังพวกเรามาตะโกนอย่างนั้น น้ำฝนปกคลุมดวงตาทำให้เห็นใบหน้าของพวกเขาได้ไม่ชัด แล้วนายพลเซปาร์ก็ตะโกนขึ้นมา
“ศัตรูมีจำนวน 30,000 นาย ในขณะที่พวกเรามีไม่ถึง 20,000 นาย ด้วยซ้ำ ! ถ้ายังเลวร้ายไม่พอ นี่เจ้ากำลังจะบอกให้พวกเราพุ่งเข้าใส่แนวป้องกันของพวกเขาด้วยรึ? หากอยากฆ่าตัวตาย เจ้าก็จงทำมัน―”
เสียงฟ้าผ่า คำพูดของนายพลเซปาร์ถูกกลืนหายไปกับสายฟ้านั้น
ให้ตายเถอะ อากาศเลวร้ายมาก ผมอยากครอบครองเมืองใกล้ๆนี้แล้วพักผ่อนสบายๆ แต่มอนสเตอร์ของเราก็คงบ่นแหละว่า เมืองนี่มันอยู่ไม่สบายเลย ซึ่งพวกเราก็คงทำแบบนั้นไม่ได้
เฮ่อ เจ้าสัตว์ห่านี่
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยกันในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเราวิ่งไปหามอนสเตอร์อันเดด พวกมอนสเตอร์ต่างออกมาดูว่า เกิดความวุ่นวายอะไรกันขึ้น
นับเป็นโชคดีที่ อันเดดมอนสเตอร์นั้นหยุด ตอนที่พวกเราพึ่งออกจากฐาน พี่เบเลธที่วิ่งออกมาล่วงหน้าก่อนจึงขวางทางพวกมันไว้
พี่เบเลธและบาร์บาทอสนั้นทะเลาะกัน มองแล้วยักษ์สูง 4 เมตร กับเด็กสาวตะโกนใส่กันนี่ก็เป็นภาพน่าสนใจดีนะ
ไม่หรอก แม้จะบอกว่า กำลังตะโกนใส่กันอยู่ก็จริง
…….แต่ส่วนมาก เด็กสาวกำลังทุบตีเจ้ายักษ์อยู่ เธออัดไปที่น่องและต้นขาของเบเลธด้วยหมัด ด้วยเตะ พวกเราได้ยินบทสนทนาก็ตอนที่วิ่งตามพวกเขาทันแล้ว
“หลีก! หลีกทางไปสิวะ อย่ามาขวาง ไอ้ห่า!”
“…….”
“อีลูกกะหรี่! ข้าบอกให้หลีก!”
แม้รูปร่างเธอจะเป็นอย่างนั้น แต่พละกำลังของเธอเยอะเป็นบ้าเป็นหลัง ดูได้จากหมัดที่ทรงพลังนั่น
ถึงอย่างนั้นเบเลธยังคงเงียบ ทั้งที่ยังทนรับการเตะต่อยของบาร์บาทอส เขาปล่อยให้ฝนไหลผ่านลงบนใบหน้าทั้งที่ยังมองตรงไปข้างหน้า
“แก, แกนี่มัน―!”
บาร์บาทอสอัญเชิญเคียวของเธอออกมา มันเป็นอาวุธประจำตัวเธอ เธอได้หยิบเครื่องดนตรีแห่งความตายออกมาแล้วตะโกน
“หลีกไป หรือจะให้ข้าทำให้แกหลีก!”
“…….”
“แกคิดว่า ข้าจะไม่ทำอย่างนั้นเรอะ!?”
เธอตั้งใจที่จะแกว่งเคียว นายพลเซปาร์นั้นรี่พุ่งเข้ามาระหว่างทั้งสอง เขากางแขนออกแล้วพูด
“การบุกไปครั้งนี้ยังไม่สมควรครับ ท่านบาร์บาทอส”
“นี่พวกแกทุกคนกินยาผิดหรืออะไรวะ……? อะไรนะ ยังไม่สมควรงั้นเหรอ? ข้าเป็นผู้บัญชาการโว้ย!”
“ไม่กองทัพใดที่ไปสู้เพื่อตั้งใจจะถูกกำจัด”
พี่เซปาร์เปิดปากพูดจากด้านหลังของเซปาร์
“หากพวกเราจะสู้ พวกเราควรทำให้ถูกต้อง หากพวกเราจะวิ่งใส่เหมือนหมา พวกเราก็แค่ทอดทิ้งพรรคพวกของเราเหมือนที่เจ้าหนูเซปาร์เคยทำ นายท่าน เราไม่ควรทำอย่างนั้น”
“เขาพูดถูกแล้ว”
นายพลเซปาร์เห็นด้วย ผมของเขาลู่ต่ำลงเพราะฝน ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว พี่เบเลธและจอมมารตนอื่นๆ และบาร์บาทอสต่างเปียกโชก
“ปกตินายท่านน่ะ ทั้งสงบเยือกเย็นมาตลอดไม่ใช่หรือครับ? ตอนนี้คือเวลาที่ท่านควรจะสงบใจให้มากที่สุดแล้ว การต่อสู้ที่ไร้แผนการไม่ได้นำอะไรมาให้เลย”
“แผนของเรามันเพื่ออะไรกันวะ!”
บาร์บาทอสตะโกนออกมา
“เหตุผลในการสู้ของเรามันพังหมดแล้ว ความภาคภูมิใจของเราโดนขยี้!
เซปาร์ หากทางเลือกสุดท้ายที่เรามีคือ สู้
―แล้วจะมีอะไรเหลือไว้สำหรับนักรบที่หลงทิศหลงทางไปแล้วล่ะ!?
พวกเราน่ะเป็นเครื่องจักรสังหาร พวกเราจะฆ่าไอ้ระยำพวกนั้นที่มันดูถูกเราที่นี่!”
“ท่านบาร์บาทอสครับ……!”
“ไอ้หมูพวกนั้นจากฝ่ายภูเขามาหาเราด้วยท่าทีหยิ่งยโส แถมยังมากระหนาบพวกเราอีก!”
เสียงร้องของเธอสะท้อนไปในสายฝนและเสียงฟ้าผ่า
“ความภาคภูมิใจของพวกเราอยู่ในสงคราม แต่อีดอกนั่นมันพยายามใช้ตีนหมูของมันมาเหยียบย่ำทำลาย! ข้าจะปล่อยให้พวกมันทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน !?
จอมมารทั้งหลาย! ไอ้ลูกชาย คนสนิทข้า!
ข้าขอถามเจ้าหน่อยสิวะ! เจ้าจะปล่อยให้พวกแม่งทำอย่างนั้นได้หรือยังไง!?”
“…….”
ไม่มีใครสามารถตอบการร่ำร้องของเธอได้ ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่เห็นด้วยกับเธอหรอก พวกเราทั้งหมดต่างรู้สึกเหมือนกัน แต่หากพวกเราเห็นใจเธอ ณ ตอนนี้ทุกอย่างก็จบสิ้น
……ทั้งความฝันในการพิชิตโลก รวมถึงชีวิตของพวกเรา
บาร์บาทอสหายใจหนักขณะที่มองไปรอบๆ พอเธอเห็นว่าไม่มีใครตอบรับคำพูดเธอ อารมณ์ของเธอก็ค่อยๆพังลง บาร์บาทอส ผู้เป็นเหมือนปราการไม่มีวันแตกพ่าย กำลังแหลกสลาย…….
ฝนนั้นพัดกระหน่ำลงมายังใบหน้าของเด็กสาว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่ามันใช่ฝนหรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นเธอปล่อยเคียวจากมือ อาวุธที่ไม่เคยหลุดจากมือเลยแม้ในการรบที่สิ้นหวังกลับตกลงสู่โคลนอย่างไร้กำลัง
“อะ-อ๊าา…….”
ณ ตอนนั้นเอง พี่เบเลธและเซ)าร์ต่างจับผ้าคลุมมาไว้ในมือ พวกเขาคลุมตัวบาร์บาทอส ผ้าคลุมที่ปลิวเป็นดั่งม่านช่วยกำบังบาร์บาทอสจากสายตาทุกคน
เสียงร้องไห้อาจจะได้ยินจากด้านหลังของผ้าคลุมสีแดงสด
“ฮึก, อ๊าา……ฮือ…….”
ตามหลักแล้ว หัวหน้าฝ่ายที่ราบนั้นต้องเป็นจอมมารผู้ไม่อาจเอาชนะได้
จอมมารอันดับ 1 บาอัล เป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่
จอมมารอันดับ 2 อากาเรส เป็นจอมมารที่แข็งแกร่งที่สุด
จอมมารอันดับ 3 เวสซาโก้ เป็นจอมมารที่ฉลาดที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น จอมมารที่แน่แน่วที่สุดที่ยืนอยู่แนวหน้าเสมอ
―ผู้ที่ป้ายธงไม่เคยหล่น ผู้เดินไปข้างหน้าไม่เคยหยุด ผู้ตะโกนกู่ร้องอย่างไม่จบสิ้น และยังเป็นผู้ที่ผลักดันเผ่าปีศาจจากเบื้องหลัง นำพวกเขาไปสู่ดินแดนใหม่อยู่เสมอ
ผู้นั้นคือ จอมมารลำดับ 8
ลอร์ดผู้ไม่มีวันตาย
“ฮือออฮือออ……ฮึกๆ, อาาา…….”
ดังนั้น บาร์บาทอสจึงไม่อาจร้องไห้ได้ การร้องไห้ของเธอต้องไม่มีอยู่
เธอเป็นนักรบ เธอเป็นจอมมารที่เป็นตัวแทนของเหล่าปีศาจทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ต้องการจะพิชิตโลกทั้งใบทวีปทั้งทวีป
หากเธอนั้นตกสู่ความสิ้นหวังแล้วร้องไห้ออกมา นั่นจะเป็นการคร่าชีวิตของปีศาจทุกตัวให้จมกองเลือด
“ฮึกกกฮึก……อ่า,ฮืออออออ……อาาา…….”
เบเลธและเซปาร์นั้นประคองผ้าคลุมและมองไปข้างหน้าราวกับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พวกเราต่างทำเหมือนกัน พวกเราหันหลังให้บาร์บาทอส และมองออกไปยังที่ที่ไกลแสนไกล
เบเลธและเซปาร์เป็นกลุ่มบุคคลแรก ต่อจากนั้นก็จอมมาร ต่อจากนั้นจนในที่สุด มอนสเตอร์ทั้้ง 18,000 ของพวกเราต่างหันหน้าออก ฝนยังคงตกห้อมล้อมเราไว้ ใช่แล้วล่ะ สิ่งเดียวที่พวกเราได้ยิน คือ เสียงของฝนบ้านี่
พวกเราไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
ไม่ได้ยินอะไรเลย
* * *
“แปลกจัง”
จอมมารลำดับ 9 ลอร์ดไพมอนบ่นกับตัวเธอเอง เธออยู่ใต้หลังคาที่ไว้กันฝน เธอไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ เธอชอบหลังคาที่อยู่เหนือเต๊นท์ เพราะนั่นทำให้เธอเห็นพื้นที่ภายนอก
“พี่สาว มีอะไรแปลกเหรอคะ?”
สิตริ คนรักของไพมอนและเป็นจอมมารลำดับ 12 ได้ถามเธอ สิตริถูดาบโซ่ของเธอด้วยเศษผ้า เธอเตรียมพร้อมแล้วเพราะไม่รู้ว่า กองทัพภาค 6 จะโจมตีมาเมื่อไหร่
“ข้ากำลังพูดถึงบาร์บาทอส เธอควรจะโกรธแล้วตอนนี้…….”
“หืมมมม? ไม่ใช่หัวแม่นั่นเย็นเป็นน้ำแข็งเหรอ?”
สิตริเอียงคอ
เธอเคยเข้าร่วมกับการสำรวจของทัพพันธมิตรหลายครั้ง
มีหลายครั้งที่สิตรินั้นร่วมสู้กับบาร์บาทอสหลักจากได้จัดไปอยู่หน่วยเดียวกัน บาร์บาทอสนั้นมักนำทัพของเธอด้วยความสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ ตรงข้ามกับกองทัพอื่นที่มักตะโกนร้องใส่ การเดินทัพของเธอที่เงียบมากเป็นลักษณะเด่นของบาร์บาทอส
“บ่อยครั้งผู้คนมักเข้าใจผิดไป แต่ความจริงแล้วบาร์บาทอสนั้นหัวร้อนง่าย”
ไพมอนหัวเราะเอิ้ก
“เธอมักใช้เหตุผลในความสำเร็จมาเพื่อกลบเกลื่อนความรุนแรงทางอารมณ์ของเธอ แต่นิสัยพื้นฐานที่รุนแรงและชั่วร้ายนั้นพร้อมจะผุดพรายขึ้นมาได้ทุกขณะ
ใครๆก็สามารถบอกได้ว่า เธอนั้นยังคงเฝ้าตามความฝันเฝื่องที่หวังพิชิตโลกมากว่า 2,000 ปี เธอคนนั้นน่ะเป็นเด็กน้อยเจ้าอารมณ์”
“อย่างนั้นเหรอ? ดูพี่จะรู้จักบาร์บาทอสดีจังเลยนะ พี่สาว?”
“……พวกเราเคยเป็นสหายร่วมรบกัน แค่นั้นแหละ”
หนึ่งในสหายผู้ที่เชื่อใจกันและกัน
ทัพกองกลางนำโดยมาร์บาส ปีกซ้ายบัญชาการโดยไพมอน และปีกขวานำโดยบาร์บาทอส
นี่เป็นตำแหน่งของพวกเขาเมื่อ สงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 1 และ 2 ใน ช่วง 1,700 ปี ก่อนหน้า ตอนนั้นพวกเขาได้รับการชื่นชมว่าเป็นกองทัพไร้พ่ายที่สามารถกวาดล้างราชอาณาจักรมนุษย์ไปถึงสองแห่ง
หากพวกพันธมิตรของพวกเขาไม่ชิงตัดเสบียงก่อน ก็เชื่อได้แน่ว่า พวกเขาคงเดินทัพไปจนสุดทวีปนั่นแหละ
หลังจากนั้น กองทัพพันธมิตรก็ถอยกลับ ไม่อาจนำกองกำลัง 100,000 นายได้อีกต่อไป กองทัพก็ตกต่ำลงเหลือขนาดเพียง 10,000 ถึง 30,000 นาย ต้องจัดหาเสบียงด้วยวิธีใหม่ในทันที
มันเป็นฝันร้ายหากกองทัพทหารจำนวน 100,000 นาย ไม่มั่นใจเลยว่า พันธมิตรของพวกตนจะตัดเสบียงเมื่อไหร่
ในช่วงกองทัพพันธมิตรครั้งที่ 2 มาร์บาส ไพมอน และบาร์บาทอสนั้นได้ล่าถอยขณะที่บุกลึกเข้าไปในทวีปแล้ว พวกเขาต้องอยู่อย่างนั้นถึง 3 สัปดาห์โดยไม่มีสเบียงและถูกห้อมล้อมโดยศัตรู
เมื่อไม่มีเสบียง ออเกอร์ก็กินออร์ค ออร์คก็กินก็อบลิน และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น พวกอัศวินไม่ให้เวลาพัก พวกเขาชาร์จเข้ามาเต็มกำลังไม่หยุด…….
กองทัพภาค 1 ที่เคยมีกองกำลังถึง 130,000 นายก็ลดลงเหลือ 20,000 นาย ใน 3สัปดาห์
ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่กลับกลายเป็นความล้มเหลวอันเลวร้ายที่สุด
สามจอมมารที่เป็นตัวแทนแห่งพละกำลังอันกล้าแข็งของฝ่ายจอมมารจบลงที่การประชุมอย่างรุนแรงเรื่องพันธมิตรเสี้ยวจันทราื
กลุ่มพันธมิตรนั้นมีขึ้นเพื่ออะไรกันแน่? พวกเราต้องเสียสละกันไปเพื่ออะไร?
จอมมารลำดับ 5 มาร์บาสนั้นไปก่อตั้งฝ่ายกลาง เขาเชื่อว่า การหยุดความโลภ และความขัดแย้งระหว่างจอมมารเป็นเป้าหมายสำคัญ ดังนั้นมาร์บาสนั้นจึงเป็นเจ้าภาพการจัดงาน ของเหล่าจอมมาร <ราตรีวัลเพอกีส> เขาต้องการการแก้ปัญหาทางการเมือง
จอมมารลำดับ 9 ไพมอนไปก่อตั้งฝ่ายภูเขา เธอเชื่อว่า การพิชิตโลกพิชิตทั้งทวีปนั้นเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต้องลดการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการร่วมมือกับมนุษย์และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เธอจึงหาทางประนีประนอม
จอมมารลำดับ 8 บาร์บาทอสก่อตั้งฝ่ายที่ราบ เธอไม่เชื่อพรรคพวกของเธออีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงรวบรวมจอมมารที่เธอเชื่อใจได้ จอมมารเหล่านั้นต่างรวมพลอยู่ใต้เสน่ห์ของบาร์บาทอสราวกับเป็นอัศวินองค์รักษ์ และเริ่มเคลื่อนทัพไปร่วมรบกันนับตั้งแต่กองทัพพันธมิตรครั้งที่ 3
พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นพวกหัวรุนแรงในหมู่พวกหัวรุนแรงทั่วไป
แล้วเวลาก็ผ่านไป 1,500 ปี
กลุ่มบุคคลที่เคยทำงานร่วมกันในกองทัพภาคเดียวกัน ตอนนี้กลับเดินบนเส้นทางคนละสาย แยกออกไปเป็น กองทัพภาค 2 กองทัพภาค 1 และกองทัพภาค 6 เพิ่มเติมให้คือ ไพมอนนั้นกำลังเดินทัพมาเพื่อขย้ำคอพรรคพวกของตัวเอง…….
‘สิ่งที่ข้ากำลังทำนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่จอมมารในแนวหลังเคยทำกับพวกเราในทัพพันธมิตรครั้งที่ 2 ’
ไพมอนเย้ยหยันตัวเธอเอง ใครจะคิดฝันกันล่ะว่า สุดท้ายมันจะกลายเป็นเช่นนี้ได้?
คลื่นแห่งความสำนึกผิดบาปถูกชำระออกไปทันทีเมื่อเธอนึกได้ถึงเสียงหัวเราะเด็กๆของบาร์บาทอส บาร์บาทอสนั้นไม่ได้ทำผิดพลาดแต่ประการใด ไพมอนรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว
เหตุผลที่ทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราล้มเหลวเสมอมันไม่ใช่ความผิดของจอมมารตนใดตนหนึ่ง มันเป็นเพราะจอมมารทุกตนนั้นต่างมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ และความกลัวที่เกิดขึ้นว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากกองทัพพันธมิตรนั้นทำสำเร็จ……
เมื่อเป็นดังนั้น กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราจึงไม่เคยสำเร็จ
ไพมอนแน่ใจเลยว่า ในช่วง 1,500 ปีที่ผ่านมา เผ่าปีศาจจะไม่ใช่ผู้คว้าชัยในท้ายที่สุด หากแต่เป็นเผ่ามนุษย์ต่างหากที่จะชนะในตอนจบ
สิ่งนี้อาจจะสายเกินไปแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดที่เธอควรทำคือ พลีร่างกายของเธอให้และอ้อนวอนขอร้องให้มนุษย์นั้นมอบดินแดนบางส่วนให้ปีศาจอยู่ อย่างน้อยก็สักหนึ่งเมือง
……. ไพมอนนั้นเชื่อมั่นในความงามและเสน่ห์ของตน เสน่ห์ที่จะทำให้มนุษย์นั้นตกหลุมรักโดยง่ายไม่ต่างจากแย่งขนมเด็ก
แต่การทำแบบนั้นมันช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน จะต้องไม่มีเผ่าพันธุ์ใดเหนือเผ่าพันธุ์ให้โดยสมบูรณ์ เผ่าพันธุ์ทั้งหลายจะต้องอยู่บนเส้นที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน และต้องเคารพให้เกียรติต่อกันและกัน
……นั่นคือ สาเหตุที่ว่าทำไมการสงบศึกถึงจำเป็น
ก่อนอื่นนั้น กองทัพภาค 1 และภาค 6 จะเริ่มการทำสนธิสัญญากันกับจักรวรรดิฮับบวร์ก นั่นจะเป็นตัวจุดประกายให้จอมมารตนอื่นและมนุษย์อื่นๆต่างตระหนักได้ว่า
‘พวกเขานั้นเป็นฝ่ายที่เราสามารถทำสัญญาด้วยได้นี่ ถ้ามันจำเป็นน่ะ’
‘สิ่งนี้แหละที่จะนำมาซึ่งการจบสิ้นแห่งยุคสมัยของการฆ่าล้างฆ่าฟันกันเพื่อความอยู่รอด ไม่สิ ข้าต้องทำให้มันจบให้จงได้……!’
ไพมอนเชื่อในความละโมบโลภมากของทั้งมนุษย์และปีศาจ เธอมีประสบการณ์การหักหลังอย่างรุนแรงด้วยความโลภพวกนั้น เธอจึงไว้วางใจในความโลภมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
หลังจากทั้งฝ่ายปีศาจและมนุษย์ต่างสู้รบกันไปสักพัก พวกเขาจะเริ่มมาทำข้อตกลงกัน หากเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้
แม้จะเชื่องช้าราวกับหอยทาก แต่สันติสุขของปีศาจและมนุษย์นั้นจะมาถึงเสียที แม้มันจะกินเวลาเป็นพันปี
เฉกเช่นกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี เป้าหมายนี้ก็อาจต้องการระยะเวลาอีก 2,000 ปี
‘มันไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก’
ไพมอนตั้งปณิธานไว้กับตัวเธอเองแล้วว่า เธออยู่มานานแล้วถึง 2,000 ปี และการจะอยู่ต่ออีกสัก 2,000 ปี ไม่ใช่อะไรที่น่าหวาดกลัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เธอมีความหวังแล้ว เธอมีความหวังถึงโลกที่มนุษย์และปีศาจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเสมอภาคเท่าเทียม
การบดขยี้บาร์บาทอสให้อยู่ใต้เท้านั้นเป็นก้าวแรกไปสู่โลกใบนั้น
‘บาร์บาทอส เธอน่ะโหดเหี้ยมรุนแรงเกินไป จึงแผ่ความหวาดกลัวให้ไม่ใช่แค่กับมนุษย์ หากแต่กับพวกปีศาจก็ด้วย’
ไพมอนหวังว่า บาร์บาทอสจะไม่อยู่เฉยแล้วพุ่งเข้ามาโจมตีเธอ แต่ถึงบาร์บาทอสจะไม่ทำอะไร เธอก็จะได้อะไรบางอย่างไปอยู่ดี แต่การใช้โอกาสนี้เพื่อกวาดล้างพวกที่ราบนั้นมันเย้ายวนใจกว่า
เธอกวาดตามองไปที่ทิวทัศน์ตรงหน้าใต้หลังคา มุมมองของเธอนั้นจำกัดเพราะฝนที่ตกหนัก แต่เธอรู้ว่า บาร์บาทอสคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในสายฝน
‘ข้าจะรักษาชีวิตเจ้าไว้ในฐานะที่เราเคยสนิทกันมาก่อน ……แต่เธอจะไม่อาจกลับไปสู้รบได้อีกต่อไปแล้ว’
ในวันนั้นบาร์บาทอสไม่ได้เข้ามาโจมตี
มีเพียงฝนที่ตกอย่างหนักใส่ทั้งสองกองทัพ
ไพมอนเขียนจดหมายด้วยคำพูดที่ยั่วยุให้โกรธเพื่อหวังล่อบาร์บาทอสออกมา น้ำเสียงในจดหมายนั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย มีคำประกาศชัดแจ้งว่า จะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นหากไม่ยอมมาเซ็นลงนามสงบศึกภายใน 2 วันนี้
ยุทธศาสตร์ของไพมอนนั้นง่ายมาก
ก่อนอื่น ให้เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดินั้นแจ้งให้บาร์บาทอสทราบว่า
‘พวกเราจะเห็นด้วยกับสัญญาสงบศึก หากพวกท่านออกไปจากดินแดนของเรา’
แน่นอนว่า ไม่มีทางที่บาร์บาทอสจะยอมรับหรอก เจ้าหญิงนั้นจะทำ ‘การทดลอง’ บางอย่างเพื่อให้บาร์บาทอสจากไป
มันจะเป็นการโจมตีที่อ้างชื่อว่า เป็นการทดลองบางอย่าง แล้วบาร์บาทอสแห่งกองทัพภาค 6 ก็จะตอบโต้
ตรงจุดนั้นเอง ไพมอนแห่งกองทัพภาค 1 จะเข้าร่วมการรบเพื่อ ‘ชักนำ’ ให้เกิดการสงบศึก การสงบศึกนั้นเป็นข้ออ้างอันชอบธรรม
ซึ่งความจริงแล้วเป้าหมายแท้คือ การผลักให้กองทัพภาค 6 ของบาร์บาทอสนั้นไปสู่ตำแหน่งที่จะโดนกระหนาบทั้งสองฝั่งแล้วโดนกำจัดทิ้ง
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็จะเสียความสามารถในการต่อสู้ จึงต้องถูกบังคับให้ยอมจำนนในการยอมสงบศึก
สงครามการเมืองแบบคลาสสิก
ไพมอนรออย่างสบายอกสบายใจ แผนนี้ไม่มีรูโหว่ให้บาร์บาทอสสามารถหลุดรอดไปได้เลย
ไพมอนจะแสดงพลังแห่งแผนการในหนึ่งหรือสองวันนี้เอง
แต่ถึงอย่างนั้น มีจุดที่ไพมอนผิดพลาดไป นั่นคือ มีผู้ที่ล่วงรู้แผนของเธอมานานแล้ว
―แล้วช่างเป็นโชคร้าย ที่ผู้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายที่ราบ มิใช่ฝ่ายภูเขา
เช่นเดียวกับการที่ปกติจอมมารไม่มีทางคาดคิดว่า จอมมารจะมุ่งโจมตีจอมมารด้วยกันเอง ไพมอนเองก็ล้มเหลวที่จะตระหนักว่า ก็ยังมีจอมมารที่คาดหวังให้จอมมารตนอื่นทำร้ายกันเองด้วยเช่นกัน
มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก หากคุณไม่ใช่ผู้ที่เห็นอนาคตล่วงหน้า
ราคาของความผิดพลาดนั้นยิ่งใหญ่นัก
MANGA DISCUSSION