มันเป็นความจริงที่แน่ชัดอย่างไม่น่าเชื่อในตัวเองอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างอยู่ท่ามกลางการเมืองภายใน
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากกองกำลังจอมมารที่แผ่ออร่าแห่งการเป็นศัตรูของมนุษยชาติ บุกเข้ามาระหว่างเวลานี้?
เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิจะใช้โอกาสนี้ใช้ไพ่ตายด้วยการกระทำดังเช่นว่า ‘ทั้งหมดเป็นไปเพื่อมนุษยชาติ!’ แล้วรวบอำนาจทางการทหารไว้หมด
ข้ออ้างใดๆต่างพังทลายไปต่อหน้าข้ออ้างนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ตำแหน่งไหนจากไม่ร่วมมือกับฝ่ายเจ้าหญิงจักรวรรดิ ผู้นั้นจักถูกประหารในนามแห่งมนุษยชาติ
หากพวกเราเดินทัพไปเมืองหลวงตอนนี้แล้ว สิ่งที่เราทำก็ถือได้ว่า เป็นไปตามที่เจ้าหญิงจักรวรรดิปรารถนา…….
“พูดอีกอย่างก็คือ หากพวกเราไม่ทำอะไร เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิก็จะแห้งตายไปเอง ไม่ว่าเธอจะพยายามแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองทำไปมากแค่ไหน ความจริงที่ว่า เธอเป็นผู้ก่อรัฐประหารมันไม่เปลี่ยนไปหรอก ความชอบธรรมของเธอนั้นช่างอ่อนยวบ
ดังนั้นเธอจึงต้องสร้างความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากผู้คน”
นี่คือ ชะตากรรมของการรัฐประหาร ผู้ที่มีอำนาจน้อยจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความสำเร็จทางใดก็ทางหนึ่งมาให้จงได้
ไม่ว่าจะมอบสิทธิให้ผู้คนหรือการปฏิรูปเศรษฐกิจก็ตาม
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นยึดอำนาจใต้ข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องประเทศชาติจากภัยคุกคามของจอมมาร ในกรณีนั้นแล้ว ความสำเร็จอย่างเดียวที่เธอจะทำได้ นั่นคือ ความสำเร็จทางการทหาร
“ยิ่งเราไม่ทำอะไรนานเท่าไหร่ ฝ่ายเจ้าหญิงจักรวรรดิก็ยิ่งอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เธอประกาศว่าจะปราบปรามกองทัพจอมมาร แต่หากพวกเราไม่เข้าไปใกล้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ศัตรูทางการเมืองก็ย่อมต้องโจมตีเธอ
เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านไปเธอก็จะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องลงมือก่อน เจ้าหญิงจักรวรรดินั้นก็จะเคลื่อนกองทัพมาจากฝั่งของเธอเองนั่นแหละ”
“โอ้ว?”
บาร์บาทอสฮัมออกมา
“ถ้าอย่างนั้นแทนที่จะจู่โจมมัน พวกเราก็ล่อพวกมันมาหาเราแทนใช่มะ ?”
“ใช่ มันเป็นไอเดียที่ดีมากหากจะปล่อยข่าวลือไป”
มกุฏราชกุมารได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในแนวหน้า มันเป็นการขัดขืนที่องอาจ แล้วดูสิ เจ้าหญิงกำลังพยายามทำอะไรอยู่?
เธอน่ะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพด้วยซ้ำ ไม่ออกจากวังไปไหน ส่วนมกุฏราชกุมารกลับต้องพ่ายแพ้ เพราะเจ้าหญิงจงใจขัดขวางเขา …….
“เอาล่ะ ประมาณนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“เคะเคะเคะ”
ไอเดียของผมได้รับการตอบรับในทันที
ผมยิ้มชั่วร้ายหลังจากออกจากที่พักของบาร์บาทอส
ผมเพิ่งโกหกเธอไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดน่ะมันได้ผล หากไม่นับกองกำลังภาค 1 ของไพมอน กองกำลังมหาศาล มอนสเตอร์ 30,000 ตัว ที่นำกำลังโดยไพมอนและกองทัพฝ่ายภูเขาที่กำลังเดินทัพมาหาเราในตอนนี้
เจ้าหญิงจักรวรรดิก็จะขอให้มีการพักรบในทันที บาร์บาทอสจะส่ายหัวและตั้งคำถามว่า ไอ้พวกมนุษย์มันเมายากันรึยังไง?
แต่อยู่ๆกองทัพภาค 1 จะโผล่มาจากข้างหลังกองทัพภาค 6 แล้วตอบรับสัญญาสงบศึกแทน บาร์บาทอสจะยืนเหวอเหมือนกวางที่โดนไฟหน้ารถสาดใส่
ดังนั้นจากมุมมองของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ ไม่สำคัญว่า พวกเราจะบุกเข้าไปหรือไม่ หากพวกเราเข้าไปเธอก็จะกุมกำลังทหารทั้งหมดแล้วสู้กลับ แต่หากไม่บุกเข้าไป เธอก็จะรอจนกว่า กองกำลังภาค 1 ของไพมอนจะมาถึง ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีไพ่ตายด้วยเช่นกัน คงเป็นความหลงผิดไปเองหากเธอจะคิดว่า สามารถจัดการผมได้เงียบๆด้วยมือตัวเองน่ะ
เจ้าหญิงอลิซาเบธเอ๋ย อ้อ เธอก็ด้วย ไพมอน
ก็อย่างที่ทุกคนพูดกันนั่นแหละ ผมนั้นเป็นสุภาพบุรุษ ผมคงรักษาความเป็นสุภาพบุรุษไว้ต่อไปไม่ได้หากปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้หญิง ดังนั้นผมจะคอยคุ้มครองพวกเธออย่างอ่อนโยนเลยล่ะ
* * *
อย่างที่ผมคาดไว้นั่นแหละ ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างรีบเร่ง เพียงไม่กี่วัน ฝ่ายเจ้าหญิงอลิซาเบธ นั้นก็ประกาศขอสงบศึกเป็นการชั่วคราว
บาร์บาทอสน่ะไม่สามารถปกปิดสีหน้างุนงงสับสนของตัวเองได้ตอนที่พบว่า หนังสือสัญญาสงบศึกที่ส่งโดยเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิมาอยู่ตรงหน้า
แถมเธอยังลืมปกปิดความประหลาดใจที่พบว่า มีกองกำลังมอนสเตอร์ถึง 30,000 ตัวนั้นจู่ๆกลับมาปรากฏอยู่ที่ด้านหลังของพวกเราในวันต่อมา
“……ห๊าาา? ไอ้พวกระยำฝ่ายภูเขาแม่งมาทำอะไรที่นี่วะ?”
การอภิปรายกันอย่างร้อนแรงเริ่มต้นในฝ่ายกองทัพภาค 6 พวกเขาคงจะใช้เส้นทางที่พวกเราแผ้วทางไว้ให้ข้ามภูเขาดำมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อาจจะวางแผนร่วมมือกับพวกเราเพื่อจัดการกับจักรวรรดิฮับบวร์กก่อนแล้วค่อยมุ่งหน้าไปยังราชอาณาจักรทิวทันก็ได้?
แต่ทั้งสองทฤษฏีนี้ไม่ได้เฉียดใกล้คำตอบที่ถูกต้องเลย
บาร์บาทอสหงุดหงิดใจมากจึงส่งทูตไปยังกองทัพภาค 1 เธออยากจะรู้ว่า พวกนั้นทำอะไรกันอยู่
ผมขอย้ำอีกครั้งว่านี่ผมพูด เล่าอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เพราะข้อความในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยคำสบถด่า แช่งชัก หยาบคายเต็มไปหมด
แต่ถึงอย่างนั้นการตอบสนองของไพมอนก็เพียงพอที่จะทำให้กองมารแห่งฝ่ายที่ราบนั้นหน้าซีด
“ไม่ เธอเป็นใครถึงคิดว่าตัวเองจะมายอมรับการสงบศึกนี่กัน?!”
มติเห็นชอบในการพักการสงคราม
เอกสารนั้นเต็มไปด้วยบรรทัดที่ระบุว่า กองทัพจอมมารและจักรวรรดิฮับบวร์กนั้นต่างฝ่ายต่างยอมรับอำนาจของกันและกัน แถมท้ายเอกสารยังมีการประทับตราของจักรวรรดิฮับบวร์กและตราประจำตัวของไพมอนอีกด้วย
ที่น่าตลก คือ ความจริงที่ว่า มีแม้กระทั่งพื้นที่ที่เตรียมไว้ให้บาร์บาทอสประทับตราของเธอด้วยเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่ชวนอึ้งสำหรับบาร์บาทอสผู้ที่ทะลวงภูเขาดำและรบอย่างหนักในสมรภูมิเอ้าท์เตอร์ลิทซ์
อยู่ๆเธอกลับมาถูกบอกว่า ให้มาคืนดีกับศัตรูที่บากบั่นฆ่าฟันมามาตลอดเวลาอันยาวนาน มันคงคิดไม่ถึงจริงๆนั่นแหละ
บาร์บาทอสนั้นตะโกนออกมาและพยายามจะหันกองทัพของเธอไปโจมตีกองทัพภาค 1
กระทั่งกองทัพของฝ่ายเจ้าหญิงอลิซาเบธนำกองกำลังทหารมาถึง 40,000 นาย เดินทัพมาหาพวกเรานั่นแหละ บาร์บาทอสถึงได้ตระหนักได้ว่า มีอะไรผิดปกติ
สถานการณ์นั้นเป็นไปอย่างล่อแหลมมาก
“เดี๋ยวก่อน ฟัคคคค หรือนี่ข้าคนเดียวใช่ไหม ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้น่ะ? ห๊ะ ? ห๊ะ???”
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกอย่างหนัก
บาร์บาทอสเรียกประชุมด่วน บาร์บาทอสไม่ใช่คนเดียวที่มีสีหน้าเคร่งเครียดบนใบหน้า หากแต่ใบหน้าจอมมารทั้ง 8 ตน ต่างยับย่นราวกับลูกบอลฟอยล์อลูมิเนี่ยม ทั้งร่างของพวกเขาเปียกปอนไปหมดเพราะถูกฝน จึงดูเหมือนโกรธหนักขึ้นไปอีก
“อีตัวจักรวรรดินั่นอยู่ๆก็มาขอสงบศึกกับเรา แล้วไอ้ระยำฝ่ายภูเขาก็มาที่นี่แทนที่จะไปทิวทัน
เอาล่ะ ต่อให้มีเหตุผลของพวกแม่งเองก็เหอะ แต่ทำไมนังจักรวรรดิกับไอ้ฝ่ายภูเขานั่นแม่งต้องมาปิดหน้าปิดหลังพวกเราวะ? ฟัค นี่แม่งตั้งใจจะข่มขู่พวกเราทั้งสองฝั่งเลยใช่ไหม?”
บาร์บาทอสกระทืบเท้า รูปทรงของเท้าขวาโผล่ออกมาให้เห็นเป็นรอยบนพื้น
“นังกะหรี่ไพมอนแม่งขอร้องพวกมนุษย์ให้มากำจัดเรางั้นสิ!?”
“ไอ้พวกลูกกะหรี่นั่นมันต้องลงนรก!”
เบเลธคำรามออกมา
จอมมารตนอื่นในฝ่ายที่ราบนั้นเริ่มตะโกนอย่างเห็นด้วย
พวกเขาตะโกนกันประมาณว่า คนทรยศต้องตาย พวกเขาดูแค้นกันมาก ราวกับว่า หากบาร์บาทอสสั่งพวกเขาตอนนี้ให้ไปรบ ก็คงกระโดดออกจากค่ายบัญชาการแล้วไปซัดอีกฝ่ายในทันที
ตอนนั้นเองที่ผมพูดขึ้น
“ทุกคนครับ ไพมอนตั้งใจที่จะกวนน้ำเพื่อจับปลา”
สายตาของเหล่าจอมมารมองมาที่ผม พวกเขานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร
แต่ถึงอย่างไรจิตสังหารก็กลายเป็นความขึ้งโกรธ จากความขึ้งโกรธก็กลายเป็นตกตะลึงเมื่อผมอธิบายอย่างละเอียด
พอผมอธิบายจบ เต๊นท์ก็เงียบจนแทบไม่อยากเชื่อว่า ก่อนหน้านี้มันเคยเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกมาก่อน
“แต่ดันทาเลี่ยน”
นายพลเซปาร์พูดขึ้น
“ข้าเข้าใจที่ไพมอนจะได้รับผลประโยชน์ไม่ว่า พวกเราจะสู้หรือไม่
หากพวกเราสู้ นั่นก็เป็นโอกาสที่จะกวาดล้างพวกเรา หากพวกเราไม่สู้พวกนั้นก็จะรับความสำเร็จ ‘ยึดดินแดนในโลกมนุษย์’ อยู่ดี
ไม่ว่าทางใด ไพมอนมิใช่ผู้ทรยศต่อวงศ์วานเผ่าปีศาจมิใช่ทรยศแต่เราหรือ? พวกเราจะอยู่เงียบๆแล้วปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือ?”
ผมส่ายหัว
“ท่านครับ นี่ก็ 2,000 ปีแล้ว กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้ล้มเหลวมาถึง 2,000 ปี
ปีศาจจำนวนมากมายก่ายกองเริ่มตั้งข้อสงสัยการมีอยู่ของกองทัพพันธมิตร พวกเขาเหนื่อยหน่ายต่อสิ่งนี้แล้ว และหากยอมรับการทำการสงบศึก กองกำลังจอมมารจะได้รับดินแดนบางส่วนที่รับรองอย่างเป็นทางการจากจักรวรรดิฮับบวร์ก”
“อืมมม”
“แทนที่จะเสี่ยงให้การพิชิตที่อาจล้มเหลวสูญเสีย พวกเราสามารถได้ดินแดนนบางส่วนอย่างแน่นอน……. สิ่งนี้ดึงดูดผู้คนในโลกปีศาจมากกว่า”
พวกเขาจะสรรเสริญไพมอน จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถทำสำเร็จได้ ความสำเร็จแรกที่เกิดขึ้นในทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา อันควรค่าแก่การเป็นประวัติศาสตร์
นายพลเซปาร์เข้าใจความหมายของผมดี และกลืนน้ำลาย ความเงียบงันเข้าครอบงำเต๊นท์อีกครั้ง
“……แล้ว, แล้วมันยังไงวะ?”
บาร์บาทอสที่นั่งเงียบมาตลอด พูดด้วยเสียงต่ำ
“อีกะหรี่ไพมอนจะมาชุบมือเปิบไป ไม่ว่าเราจะสู้หรือจะยอมรับการสงบศึกงั้นเรอะ?
ยิ่งกว่าน้ั้นมีโอกาสน้อยมากที่ผู้คนในโลกปีศาจจะสนับสนุนเรา? แกต้องการจะสื่ออย่างนั้นใช่ไหม?”
“…….”
ผมโค้งหัวให้แทนคำตอบ
สีหน้าของบาร์บาทอสนั้นว่างเปล่า
“แต่ทำไมวะ……. ไม่ใช่ไอ้พวกระยำภูเขาห่านั่นหรอกเหรอที่ทรยศน่ะ? ทำไมพวกเราถึงถูกโดนข้ามหัวไปวะ? ห้ะ?”
เธอจ้องใบหน้าจอมมารทีละคน ราวกับรอคนตอบเห็นด้วยกับเธอ
“พวกเราเป็นพวกเดียวที่สู้อย่างหนักหนาสาหัสไม่ใช่รึไง? พวกเราไม่ใช่เหรอที่เสียเลือดเสียเนื้อกันไป? เพื่อความฝันของผู้คนแห่งเผ่าปีศาจ……มีคนของเรากี่คนแล้วที่ต้องสูญสิ้นชีวิตไป ณ ต่างแดนนี้……?
ทำไมอีไพมอนถึงได้รับการสนับสนุนล่ะ ทั้งที่แม่งไม่ทำห่าอะไรเลยนอกจากเฝ้ามองดูอย่างเงียบๆจากข้างสนามตลอด?
เพื่อนรักทั้งหลาย ความผิดร้ายแรงที่พวกเราทำมีเพียงอย่างเดียว คือ การที่พวกเรานั้นสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเลือดตาแทบกระเด็น”
จอมมารตนอื่นต่างก้มหัวลงเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของบาร์บาทอส
“พวกมันบอกว่า เหนื่อยหน่ายมากว่า 2,000 ปี อันแสนยาวนาน? แล้วพวกเราล่ะ? ผ่านมา 2,000 ปี พวกเราไม่เคยพักกันเลยแม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาด พวกเรายังคงสู้ สู้และสู้ต่อไป พวกเราปฏิเสธที่จะยอมแพ้…….
แล้วอะไรที่เราจะต้องมาอุทิศตัวด้วยเลือดแบบนั้นล่ะ? พวกเราสามารถใช้พลังอำนาจของเราใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายก็ได้ พวกเราไปยุ่งวุ่นวายกับการสร้างกองกำลังของพวกเราขึ้นมา
ที่พวกเราต้องทำทั้งหมดนั้นก็เพราะมีไอ้หน้าที่ห่าลากในฐานะจอมมารนั่นแหละ พวกเราจึงได้เพียรเดินหน้ามาตลอด 2,000ปี โดยไม่หยุดพัก
……แล้วตอนนี้มันก็มาบอกให้ข้าหยุดงั้นเรอะ? ไอ้คนทรยศไม่ใช่คนที่ผิดหากแต่เป็นพวกเรางั้นเรอะ?”
เธอทุบโต๊ะ เศษไม้กระเด็นไปในอากาศทันทีที่กำปั้นของเธอกระทบเข้า
“อย่ามาทำให้ข้าหัวเราะ! พวกมันกล้าดียังไงวะ! พวกมันกล้าดียังไงมาดูถูกความภาคภูมิใจของพวกเรา! เลือดของเรา ดินแดนของเรา!”
“……ท่านครับ”
“ข้าสูญเสีย คนไป6,000 ในสงครามพันธมิตรครั้งที่1! ข้าเสียแขนเสียขาไปอย่างละข้างตอนสงครามครั้งที่ 2! กองทัพของข้าแหลกเป็นชิ้นในสงครามครั้งที่ 3 เพราะพวกมันไม่ส่งเสบียงมาให้นานกว่า 2 เดือน แล้วพวกเราก็โดนกวาดล้างไปในสงครามครั้งที่ 4 หลังจากพันธมิตรของเราไม่สนใจเรา! ครั้งที่ 5 ครั้งที่ 6 หรือจะครั้งที่ 7 ของกองทัพพันธมิตรมันก็ไม่ต่าง!”
เธอร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ใครกันที่เป็นผู้สูญเสียเลือดเสียเนื้อในโศกนาฏกรรมทั้งเจ็ดครั้งนี่? ใช่พวกที่มันนั่งเงียบๆอยู่ในโลกปีศาจรึไง ? ไอ้พวกระยำฝ่ายภูเขาที่แม่งคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองอย่างงั้นเหรอ?
ไม่ใช่เลย แน่นอนเลยว่ามันไม่ใช่!
พวกเรา―พวกเราที่อยู่ในแนวหน้านี่แหละ! พวกเราที่ทุ่มเทและกล้าหาญ! นี่หรือคือรางวัลตอบแทน 2,000ปี แห่งความทุ่มเทอุทิศตัวและความกล้าหาญ?!―อย่ามาทำให้ข้าขำนักเลย!”
บาร์บาทอสยืนขึ้น
“ไพมอน อีกะหรี่เหี้ยนั่น ……ได้ มึงอยากได้สงครามเลือดนักใช่ไหม ได้เลย? ก็เอาเลย! กล้าดียังไงมากับความภาคภูมิใจของข้าเป็นเหมือนพรมเช็ดตีน ……กูจะฆ่ามึง”
เธอออกไปจากเต๊นท์ แต่ละย่างก้าวของบาร์บาทอสนั้นหนักแน่น และเปี่ยมไปด้วยการคุกคาม จอมมารอื่นรวมถึงผมไม่กล้าที่จะหยุดเธอ
พวกเราที่เหลือออยู่ในเต๊นท์ แต่ไม่พูดอะไรต่อกัน บางคนถอนใจออกมา ทั้งตอนนี้และต่อจากนี้
ผ่านไปสักพักหนึ่งนายพลเซปาร์จึงพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ข้าเชื่อว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ การตอบรับคำขอสงบศึก”
เขาพูดแค่ประโยคเดียว จอมมารอื่นก็ดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในประโยคเดียวนั่น มันชัดเจนในตัวแล้วว่า พวกเขาต่างคิดอย่างเดียวกัน
อย่างไรก็ดีทุกคนต่างเงียบเพราะไม่อาจฝืนความจริงที่ท่วมทับพวกเขาได้ว่า การที่พวกเราต้องหยุดสู้นั้นเพราะตกอยู่ในแผนการของจอมมารตนอื่น
พี่เบเลธนั้นขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน
“แกเข้าใจไหมวะ ว่าพูดอะไรออกมา?”
“เย็นไว้ ไอ้หมูป่า แกควรเข้าใจว่า ไม่มีตัวเลือกอื่นใดนอกจากตอบรับคำขอสงบศึกนี่”
“ใช่ แกก็พูดแบบนี้เสมอ ไอ้หนูเซปาร์ ข้าอาจจะโง่แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ คือ พวกเราเป็นนักรบและพวกเราโดนยั่วโมโห นักรบจะไม่จบที่ยอมรับการยั่วโมโหนั่น!”
เบเลธตะโกนก้องออกมา
แม้เขาจะทำอย่างนั้น เซปาร์ก็ไม่ถอย เขายังพูดต่อ
“แล้วแกตั้งจะทำยังไง หากไม่ยอมรับการยั่วโมโหนั่น?”
“นั่นเป็นคำถามเหรอวะ พวกเราจะสู้ไง!”
“แกจะสู้? นี่แกมั่นใจว่า จะสามารถสู้กับกองทัพภาค 1 ที่มีกำลังทหารถึง 30,000นาย ? ไม่ใช่เพียงกองทัพภาค 1 อย่างเดียวที่แกต้องเผชิญหน้า ยังมีการประกบหลังจากทหารจักรวรรดิฮับบวร์กอีก 40,000 นาย
มอนสเตอร์ 30,000 ตัว และทหารมนุษย์อีก 40,000 นาย พวกเราไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย”
“จงสู้ จนกว่าจะหมดโชค นั่นคือ ชะตาของเหล่านักรบ! ข้าไม่รู้ว่า ต้องสู้นานแค่ไหน ต้องสู้อีกกี่ศึกถึงจะชนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหล่านักรบต้องไม่ยอมแพ้! ทำลาย ฆ่าล้างทุกสิ่งทุกอย่าง! แค่นั้นแหละ!”
นายพลเซปาร์ทำหน้าบึ้ง
“ไอ้บ้าสงคราม……นี่แกตั้งใจจะฆ่าล้างฝ่ายที่ราบอย่างนั้นรึไงกัน!?”
“ฝ่ายที่ราบที่สูญเสียความภาคภูมิใจแล้ว ก็ไม่ใช่ฝ่ายที่ราบอีกต่อไป!”
ความขัดแย้งเริ่มปะทุเดือดขึ้น จอมมารก็แยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสนับสนุนสงคราม อีกฝั่งสนับสนุนสันติภาพ
คนโง่นั้นไม่คิดถึงอนาคต และคนขี้ขลาดไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรสู้
คำดูหมิ่นถูกโยนเข้าใส่กันจากทั้งสองกลุ่ม
แต่ความเห็นส่วนใหญ่คือ ฝ่ายสันติภาพ เบเลธและพวกบ้าสงครามนั้นต้องการจะสู้จนตัวตาย
เอาจริงๆแล้ว ไม่มีใครอยากจะเริ่มสงครามที่เห็นได้ชัดว่าต้องพ่ายหรอก…….
“ขะ-ข่าวร้ายครับ!”
ตอนนั้นเองที่ เจ้าหน้าที่เผ่ามนุษย์สัตว์วิ่งเข้ามาที่เต๊นท์ เขาเริ่มพูด้วยน้ำเสียงตึงเครียดระหว่างจอมมารทั้งหลาย ข่าวด่วนที่มานั้นเหมือนดั่งน้ำเย็นสาดใส่บรรยากาศร้อนฉ่าที่ระอุอยู่
“ฝ่าบาทบาร์บาทอสกำลังจะเข้าไปบุกเขตศัตรูแล้วครับ!”
MANGA DISCUSSION