ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับหิ้วกล่องข้าวไปด้วย
ทันทีที่ลงไปถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงแตรรถ
มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอกฟางซวี่เจ๋อเปิดประตูรถลงมาอย่างสง่า เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามาก มองดูแล้วสบายตาที่สุด ถ้ามองหน้าเขาเวลารับประทานอาหารสามารถอิ่มแทนข้าวได้เลย
“ซินเหยา เค่อหลาน ลั่วหลิงสวัสดีตอนเช้าครับ “ฟางซวี่เจ๋อเดินเข้าไปหาพวกเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“เช่นกันค่ะ” ถังซินเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ซวี่เจ๋อทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้?”
“ผมรู้ว่าวันนี้โรงเรียนของเค่อหลานและลั่วหลิงจัดงานกีฬา ผมมาเพื่อให้กำลังใจพวกเขา” ฟางซวี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
รอยยิ้มของถังซินเหยาหยุดชะงัก ฟางซวี่เจ๋อใจกว้างแบบนี้จนเธอไม่สามารถปฏิเสธได้
“ลั่วหลิงและเค่อหลานต้องสู้ๆ นะลุงฟางจะคอยเป็นกองเชียร์ให้”ฟางซวี่เจ๋อมีท่าทางที่อ่อนโยนและพูดด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดูลั่วหลิงและเค่อหลาน
“ ขอบคุณค่ะลุงฟาง” เค่อหลานยิ้มหวาน
“ขอบคุณครับ” ท่าทีของลั่วหลิงเย็นชาเล็กน้อย
“ซวี่เจ๋อ งานที่บริษัทเดินได้ใช่ไหม วันนี้เป็นวันศุกร์” ถังซินเหยาถาม
“ไม่เป็นไรตอนนี้ผมเป็นใหญ่ที่สุดในบริษัท ผมไม่เข้าไปบริษัทก็ไม่มีใครมาตามหรอก ” ฟางซวี่เจ๋อพูดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง “พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปสายเอา”
ท่านประธานมีเหตุผลเพียงพอที่สามารถพูดได้อย่างเต็มที่กับลูกน้อง ถึงจะไม่มีปัญหาจริงๆ แต่ไม่กลัวคนอื่นในบริษัทจะเลียนแบบเหรอ?
อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจที่อ่อนโยนเสมอมาจู่ๆก็กลายเป็นยกตนข่มท่าน ถูกความหล่อเหลาของเขาครอบงำจนต้องตาบอด
ถังซินเหยาไม่สามารถพูดอะไรได้ ถ้าเธอยังพูดต่อไปอาจจะกลายเป็นเธอที่ดัดจริต
“โอเคค่ะ วันนี้ขอบคุณมากนะคะ” ถังซินเหยาปล่อยวางภาระในใจของเธอและยิ้มผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบเค่อหลานและลั่วหลิงมาก” ดวงตาของฟางซวี่เจ๋อจับจ้องไปที่ร่างของถังซินเหยา ถ้ารอยยิ้มบนใบหน้าของถังซินเหยาเปลี่ยนไปเขาสามารถดูออกโดยธรรมชาติ
ไม่ช้าก็เร็ว อย่างน้อยในเวลานี้ถังซินเหยาก็ยอมรับเขาจริงๆ
สุภาพบุรุษฟางซวี่เจ๋อเปิดประตูรถให้สามแม่ลูกเข้าไปนั่งในรถ
“งานกีฬาวันนี้ลั่วหลิงกับน้องสาวทำให้ดีที่สุดก็พอแล้วไม่ต้องทุ่มเทจนสุดชีวิตหรอก ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยรู้ไหมคะ” ถังซินเหยานั่งตรงกลางโดยมีนางฟ้าตัวน้อยน่ารักนั่งอยู่ด้านข้างและเธอกำชับพวกเขาด้วยความสุข
“หม่ามี้ไม่ต้องกังวล พวกเราจะระวังให้มากที่สุดและเรายังต้องเป็นที่หนึ่งอีกด้วย” ใบหน้าเล็กๆที่บอบบางของเค่อหลานมีความสดใส มีชีวิตชีวาและมีความมั่นใจ
“อืม” ลั่วหลิงยังคงมีท่าทีที่เย็นชา
“โอเค หม่ามี้เชื่อว่าทั้งสองคนเก่งที่สุดในโลกเลยgivemefive” ถังซินเหยายิ้มและให้กำลังใจลั่วหลิงและเค่อหลานอย่างร่าเริง
รถจอดหยุดรอไฟแดง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในรถผ่านทางหน้าต่างส่องไปที่ตัวถังซินเหยา เธอยิ้มอย่างสดใสท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา รอยยิ้มของเธอเปรียบเสมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคม ทันใดนั้นฟางซวี่เจ๋อก็รู้สึกใจเต้นแรง
ดังนั้นวันนี้ที่โรงเรียนเต็มไปด้วยความคึกคัก ทั่วบริเวณโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คน
เค่อหลานและลั่วหลิงเป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งที่อายุน้อยที่สุด ปกตินักเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุเจ็ดขวบ มีเพียงเค่อหลานและลั่วหลิงเท่านั้นที่อายุหกขวบ
เด็กอายุหกขวบสองคนดูผอมกว่าเด็กเจ็ดขวบมาก
ในความเป็นจริงการแข่งขันระหว่างเด็กหลายคนไม่มีอะไรมาก แต่พ่อแม่ทุกคนเฝ้าดูมันอย่างตั้งใจ
การแข่งขันไปเป็นอย่างคึกคัก ในที่สุดเค่อหลานและลั่วหลิงทั้งคู่ก็ได้รับรางวัลที่หนึ่ง
กีฬาที่เค่อหลานเข้าร่วมคือการวิ่งสั้นระยะห้าสิบเมตร แม้ว่าเค่อหลานจะมีรูปร่างเล็กและดูบอบบาง ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตา แต่พลังในร่างกายของเธอนั้นเยอะมาก
เวลาวิ่งดูเหมือนลูกวัวตัวน้อย ถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ลั่วหลิงเข้าร่วมในการวิ่งเช่นกัน แต่เป็นการแข่งวิ่งยาวระยะสองร้อยห้าสิบเมตร
ครั้งนี้เป็นการสู้กับความอดทน มีเด็กไม่กี่คนที่มีความอดทน
สีหน้าของลั่วหลิงหนักแน่น วิ่งความเร็วคงที่ตั้งแต่ต้นจนจบยังกับใช้เครื่องวัดตรวจสอบ ดูเหมือนชายชราตัวเล็กๆ ที่มีท่าทางนิ่งสุขุม ถังซินเหยาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อมองไปที่ลูกชายของเธอ
แน่นอนว่าผู้ชนะของการวิ่งระยะยาวคือลั่วหลิง
เด็กๆในปัจจุบันล้วนเติบโตมาจากครอบครัวที่ตามใจและถูกประคบประหงม เด็กบางคนวิ่งได้ครึ่งทางก็หยุดวิ่งแล้ว
ถังซินเหยามีความสุขมากที่เห็นว่าทั้งลูกชายและลูกสาวของเธอได้รับรางวัลที่หนึ่ง
นี่เป็นรางวัลแรกที่ลูกชายและลูกสาวได้รับในโรงเรียน ต้องรักษาหวงแหนไว้อย่างดี
เธอยิ้มอย่างมีความสุข ยิ้มจนแก้มปริ
ฟางซวี่เจ๋ออมยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มหวานๆบนใบหน้าของถังซินเหยา
เวลาช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ถังซินเหยารู้สึกว่าตัวเองคาดการณ์ไว้ไม่ผิด เป็นโชคดีที่เธอเตรียมข้าวกล่องมาเอง มีคุณค่าทางโภชนาการและก็ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น
เธอถามผู้รับผิดชอบของโรงเรียนและบอกว่าเธอต้องการใช้เตาไมโครเวฟในตอนเที่ยงผู้รับผิดชอบของโรงเรียนใจดีมากพาพวกเขาไปที่ห้องรับรองแขกของโรงเรียน ถังซินเหยาหยิบอาหารในกล่องเก็บความร้อนออกมาแล้วใส่ในเตาไมโครเวฟ
โทรศัพท์ของฟางซวี่เจ๋อดังขึ้นแล้วเขาก็เดินออกไปรับโทรศัพท์
ถังซินเหยานึกขึ้นได้ว่าไม่คิดว่ามีฟางซวี่เจ๋อจะมาด้วย อาหารเพียงพอแล้วแต่ขาดตะเกียบหนึ่งคู่
เธอต้องการออกไปซื้อ แต่ลั่วหลิงและเค่อหลานกำลังอุ่นอาหารที่นี่เธอกังวลมากกลัวว่าพวกเขาจะโดนความร้อนลวก
ลั่วหลิงเห็นถึงความลำบากใจของถังซินเหยา เขาอาสาและพูดกับถังซินเหยาอย่างกล้าหาญ”หม่ามี้ เดี๋ยวผมกับน้องออกไปซื้อให้”
“โอเค ระวังตัวด้วยนะ รีบไปรีบกลับนะลูก” ถังซินเหยาหยิบเงินออกมาแล้วยื่นให้ลั่วหลิง
เยี่ยจิงเฉินได้รับแจ้งจากผู้อำนวยการเมื่อคืนว่าโรงเรียนจะจัดงานกีฬาในวันนี้ หากไม่จัดขึ้นจะกลายเป็นจัดงานกีฬาฤดูหนาวแทน
ในเวลานั้นหลี่เวยกำลังรายงานสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทให้เขาฟัง ระบบการป้องกันของบริษัทพังทลายอย่างสิ้นเชิง เอกสารลับบางส่วนถูกขโมยไป
อินเทอร์เน็ตของบริษัทถูกแฮ็กและอินเทอร์เน็ตก็เป็นอัมพาต เรื่องนี้ร้ายแรงมากและแทบจะถึงจุดที่ปิดบังต่อไปไม่ไหว
ในความเป็นจริงเยี่ยจิงเฉินได้พยายามระงับข่าวนี้ให้มากที่สุด แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้เขาคนเดียวไม่สามารถทำสำเร็จ ประธานใหญ่ของบริษัทที่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง ตอนนี้มีข่าวออกมาบ้างแล้วและวันมะรืนนี้อย่างช้าที่สุดเรื่องนี้จะไม่สามารถปกปิดไว้ได้ ทุกคนจะรู้ว่าเยี่ยหวงถูกแฮกเกอร์ทำลาย ถ้าเอกสารที่เป็นความลับรั่วไหลออกไปจะเป็นอันตรายต่อบริษัทมาก
เยี่ยจิงเฉินบีบคางของเขาเบาๆคิดว่านี่อาจเป็นกลลวงของแฮกเกอร์
MANGA DISCUSSION