ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว - ตอนที่ 47 : ฉันยินดีให้เธอทำให้ฉันเป็นมลทิน
ถ้าเธอไปทานข้าวกับฟางซวี่เจ๋อล่ะก็ ต้องพบเจอกับเรื่องไม่ดีแน่ๆ
แค่เรื่องครั้งนี้ก็เอาเธอขวัญผวาขนาดที่ว่าแม้แต่อาหารฟรีก็ไม่อยากไปกินแล้ว
ฟางซวี่เจ๋อ :"คนดี อย่าดื้อหน่อยเลยครับ งานยุ่งแต่ก็ต้องทานข้าวนะ"
ไม่ใช่ว่างานเธอยุ่งหรอกนะ แต่เธอไม่อยากไปก็เท่านั้น อย่ามาหลอกตัวเองหน่อยเลย
ฟางซวี่เจ๋อ : "งั้นถ้าคุณไม่ทาน ก็ไปเป็นเพื่อนผมแทนดีมั้ยครับ"
ไม่ดี
ประธานฟางหล่อจะตาย ใจร้ายเกินไปมั้ย ตัวเองไปทานข้าวแต่ให้เธอไปนั่งดูเนี่ยนะ
จิตใจชั่วร้ายจริงๆ นิสัยไม่เห็นเหมือนหน้าตาเลย คนหล่อไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีไปทุกคน นายฟางมันคนคนดี!
"คุณซินเหยาครับ คุณไม่ได้ไปทานข้าวกับผมนานแล้วนะครับ วันนี้ไปกับผมนะครับ"
ให้ตายเถอะ พูดอย่างกับว่าฉันไปทานข้าวกับเขาบ่อยๆอย่างนั้นแหละ
เธอคิดว่าการแสดงออกของฟางซวี่เจ๋อคนนี้จะเกินไปแล้ว ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงใช่มั้ย?
"ฉัน……." เธอเม้มปากเตรียมตัวจะปฏิเสธ แต่จู่ๆความรู้สึกของเธอก็ลดลงไปอย่างนั้น เพียงแค่หันหลังไปเผชิญหน้ากับสายตาของป่าปี้ เธอก็ตกใจจนใจเธอแทบจะร่วงแล้ว
แล้วเสี่ยวเหยาเหยาที่ตกใจป่าปี้ก็เข้าไปในรถของฟางซวี่เจ๋อด้วยความสับสน
ถึงแม้จะมีคนเลี้ยงข้าว แต่ทำไมกลับไม่ดีใจเลยนะ?
เมื่อถึงตอนที่กำลังทานข้าวอยู่ ฟางซวี่เจ๋อก็กลับมาเป็นปกติ
ไม่ได้แสสดงกิริยาเลี่ยนๆรวมถึงไม่ได้พูดคำพูดหวานๆเหล่านั้นจนทำให้เธอขนลุกซู่แล้ว
ถังซินเหยาเกิดความสงสัยในระหว่างทาง ไม่ใช่ว่าฟางซวี่เจ๋อเปลี่ยนกลยุทธ์หรอกนะ
อาหารมื้อนี้ก็อร่อยพอไปวัดไปวาได้ไม่ถึงกับทำเอาคนที่ทานเข้าไปอย่างเธออาหารไม่ย่อยเหมือนกัน
พอกลับมาถึงบริษัทหลี่เวยชี้ไปที่ห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉิน แสดงให้เห็นว่าเยี่ยจิงเฉินอยากพบเธอ
เมื่อเข้าไปถึงเธอเเห็นสายตาที่หม่นหมองคู่นั้นของป่าปี้ ในใจของเธอทำทีว่าไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
แต่เธอก็รู้สึกผิดอยู่นะ เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดไปนี่นา(→_→)
เมื่อเปิดประตูห้องทำงาน ถังซินเหยาก้าวเข้าไปในนั้นสองก้าว
เธอกลับไม่พบร่างของป่าปี้ในห้องทำงานเลย เธอจึงเดินเข้าไปอีกสองก้าวแล้วมองหา แต่ก็ยังไม่พบป่าปี้อยู่ดี
หรือว่าหลี่เวยจะหลอกเธอนะ?
"แกร็ก…." เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้นมา
ถังซินเหยาหันมาและเธอก็พบกับเยี่ยจิงเฉินที่ยืนอยู่หลังประตู เธอลูบหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเองพร้อมกับมองป่าปี้ที่อวัยวะสัมผัสทั้งห้าที่สวยงามของเขาอย่างไม่ละสายตา ทั้งเก๋ทั้งหล่อ หล่อจนตาแทบจะบอดเลยโอเค๊?
ใจของเธอเต้นระรัวราวกับมีกวางน้อยที่กระโดนเล่นซนอยู่ เต้นระรัวไม่หยุดเลย แต่ไม่ใช่เพราะความหล่อของป่าปี้หรอกนะ
แต่เป็นเพราะว่า…….เธอตกใจต่างหากล่ะ
"ประธานเยี่ยคะ คุณตามฉันมา มีอะไรรึเปล่าคะ?" ถังซินเหยาตบหน้าอกของเธอเบาๆพร้อมกับถามป่าปี้ที่หน้าหล่อเหลาและไร้อารมณ์อย่างกลัวๆ
เยี่ยจิงเฉินไม่ตอบ แต่กลับเดินมุ่งหน้ามาทางถังซินเหยาทีละก้าวๆ
ถังซินเหยาลอบกลืนน้ำลายของเธอด้วยความรู้สึกผิด รู้สึกราวกับว่าอ่อร่าแห่งความโกรธของป่าปี้จะพุ่งออกมาแล้วยังไงอย่างงั้น
เธอก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว
เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เธอก็อดใจไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกผิดอยู่ดี
เยี่ยจิงเฉินก้าวเข้าหาเธอหนึ่งก้าว เธอเองก็ถอยหลังออกห่างไปอีกหนึ่งก้าว
ขาของถังซินเหยาไม่ได้ยาวเท่าขาของเยี่ยจิงเฉิน เธอเลยถอยได้ไม่ไกลเท่าที่เยี่ยจิงเฉินเข้าหาเธอ
ไม่ถึงสองนาที ระยะห่างระหว่างของทั้งสองคนก็ลดลงเรื่อยๆ
เยี่ยจิงเฉินที่เห็นว่าถังซินเหยาหลีหเลี่ยงตัวเอง ใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินก็เคร่งขรึมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เขาจึงก้าวใหญ่ๆ เพื่อตามเธอ
ถังซินเหยาวิ่งถอยไปรอบโซฟาในห้องทำงานอย่างไม่หยุด
"เธอวิ่งหนีอะไร?" เยี่ยจิงเฉินถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ถังซินเหยายืนอยู่อีกด้านของโซฟาพร้อมกับปากสีแดงที่กำลังหอบกล่าวว่า : "ก็คุณไล่ตามฉันนี่คะ ทำไมฉันจะวิ่งไม่ได้ล่ะ?"
"ถ้าเธอไม่วิ่ง ฉันก็ไม่ไล่ตามเธอหรอกนะ"
"ถ้าคุณไม่ตาม ฉันเองก็ไม่วิ่งหรอกค่ะ"
"งั้นก็โอเค"
เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ถ้าวิ่งก็เท่ากับว่ากลัวน่ะสิ แล้วจะวิ่งไปทำไมล่ะ
ป่าปี้ก้าวของยาวของเขาเดินมุ่งไปทางถังซินเหยา
ถังซินเหยาวิ่งหนีอีกแล้ว
"เธอวิ่งทำไม?"
"คุณก็อย่ามาใกล้ฉันเกินไปสิคะ มีเรื่องอะไรจะพูดก็ยืนพูดตรงนั้นเลย"
เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาจนถังซินเหยารู้สึกราวกับว่ามีสัตว์ร้ายกับกำลังจ้องมองเธอจนเธอขนลุกพอง
แม้ว่าจะสัตว์ร้าย แต่ป่าปี้ก็เป็นสัตว์ร้ายที่หน้าตาหล่อเหล่าที่สุดเลย
"ก็ได้ งั้นเธอก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วกัน" เยี่ยจิงเฉินเม้มปากแน่นพร้อมกับเจรจากับเธออย่างประนีประนอม
เห็นได้ชัดว่าถังซินเหยารู้สึกโล่งอกขึ้นมาเลยทันที
ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเสร็จ ป่าปี้ก็รีบเคลื่อนตัวเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็วทันที
เมื่อเธอรู้สึกตัวก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปที่ประตูทันที
แต่เพียงผ่านไปครู่เดียวตัวเธอก้ร่วงไปกับพื้นและถูกร่างสูงใหญ่ของเยี่ยจิงเฉินทับตัวเธออีกทีจนเธอแทบหายใจไม่ออก
เธอน้ำตาคลอเบ้าอย่างไร้เดียงสาและน่าสงสาร
เธอรู้ดีว่าคนที่ไม่มีเหตุผลแบบป่าปี้คงไม่เจรจากับเธอแบบง่ายๆหรอก
เมื่อรู้ความจริงแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา
"ทำไม เธอกลัวฉันหรอ?"
ร่างของเยี่ยจิงเฉินทับถังซินเหยาอยู่พร้อมกับใช้มือของเขาเชยคางของถังซินเหยาขึ้นมา
เขาเลื่อนใบหน้าของเขาไปชิดกันกับเธอจนหัวของทั้งสองชิดติดกันพร้อมกับปลายจมูกที่แนบติดกัน และถามถังซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์และกล้าหาญ
คุณมันคนฉลาดระดับไฮเอนด์ ทั้งเย็นชาทั้งเท่ ใครบ้างที่จะไม่กลัวคุณน่ะ?
แค่ป่าปี้แสดงอารมณ์โกรธออกมา ถ้าเธอพูดความจริไปจะไม่โดนป่าปี้ฆ่าก่อนหรอ?
แต่นี่มันสังคมแห่งเรียลลิตี้นีเนอะ ป่าปี้ทั้งรวยแล้วก็ทั้งหล่อขนาดนี้
แต่ยังไงก็คงไม่ได้ติดคุกหรอก และสังคมนี้มันเป็นสังคมที่มองกันที่หน้าตาด้วย ชาวเน็ตทั้งหลายก็คงจะให้อภัยป่าปี้ที่ทั้งหล่อเหลา ทั้งรวย ทั้งหนุ่มอย่างป่าปี้อยู่แล้วมั้ยนะ?
เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะ
เห้อ…….ไอคิวสูงเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกันแฮะ ไม่สบายใจเลยจริงๆ
"ไม่ค่ะ…..ไม่ได้กลัว"
ไม่กลัวสิแปลก เธอกลัวจนพูดติดอ่างแล้วเนี่ย
"ไม่กลัวแล้วทำไมเธอต้องหลบฉันด้วยล่ะ?"
ป่าปี้ทั้งเอาแต่ใจทั้งล้ำลึกขนาดนี้ เป็นใคร ใครเขาก็ต้องหลบอ่ะโอเค๊?
"ฉันไม่ได้หลบคุณนะคะ"
"งั้นเธอจะวิ่งทำไมล่ะ?"
"นั่นมันเพราะว่าประธานเยี่ยหล่อมากเกินไป เก่งมากเกินไป ฉันเลยไม่กล้าเข้าใกล้คุณค่ะ เพราะคุณเหมือนกับพระอาทิตย์ที่อบอุ่นในฤดูหนาว เหมือนลมเย็นๆในฤดูร้อน เหมือนดาวที่สว่างในยามกลางคืน เหมือนแสงไฟในที่ที่มืดมน คุณเป็นคนทีดึงดูดทุกคนอยู่ตลอดเวลา ฉันกลัวว่าวันนึงฉันจะจมดิ่งลงไปในดวงตาอันลึกซึ้งแล้วก็อ่อนโยนของคุณ คุณคือพระจันทร์ที่สว่างไสวนะคะ ฉันกลัวว่าตัวฉันจะไปให้คุณเป็นมลทิน ดังนั้นฉันเลยได้แต่เตือนตัวเองในทุกๆเวลาว่าไม่ต้องมีความรู้สึกกับคุณไปมากกว่านี้ แต่คุณดูดีเกินไปค่ะ ฉันกลัวว่าฉันจะหักห้ามตัวเองไม่ได้ ฉันก็เลยทำได้แค่บังคับให้ตัวเองอยู่ห่างจากคุณค่ะ"
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ…….หัวเราะแด่การเซ่นไหว้ศีลธรรมของเธอ
โอเค จริงๆศีลธรรมของเธอมันหายไปแล้วแหละ กลายเป็นความก้าวร้าวแทน จะกู้มันกลับมาก็ไม่ได้แล้ว
การดูละครหลังข่าวหลังสองทุ่มไม่เปล่าประโยชน์นี่ เขียนบทละครได้ดีเยี่ยมเลย
ถึงแม้จะรู้ว่าถังซินเหยานั้นโกหกแต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการเอาใจเยี่ยจิงเฉิน
ปากของเยี่ยจิงเฉินเหยียดเป็นเส้นตรง ทำให้เห็นว่าเขาคลายความตึงของเขาแล้ว
"ฉันยินดีให้เธอทำให้ฉันเป็นมลทิน" เยี่ยจิงเฉินกล่าวพร้อมกับประทับริมฝีปากของตัวเองไปที่มุมปากของถังซินเหยา