< < 68 Sec1 > >
ฉันเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ฉันอยากจะคิดอย่างนั้น และอยากจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันไม่ใช่เด็กธรรมดา
ตั้งแต่ที่จำความได้ฉันก็อยู่ในห้องโล่งๆห้องหนึ่งที่มองไม่เห็นข้างนอก เป็นห้องใหญ่ยักษ์ที่สามารถเดินได้เป็นนาทีกว่าจะครบรอบห้อง มันเกินความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของฉันมาก ภายในตัวห้องรายล้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย รวมถึงคนรับใช้ที่จะคอยอำนวยความสะดวกให้ฉัน ไม่ว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว หรือกินข้าว ชีวิตของฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ..ไม่สิ จะว่าไม่ก็มีอยู่ นั่นคือการอ่านหนังสือ
ตอนแรกฉันคิดว่าหนังสือแปลว่าองค์ความรู้ คิดว่าสิ่งเหล่านั้นมีหน้าที่มอบให้ฉันแค่ความรู้ที่ต้องใช้ในอนาคต เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด ทว่ามันไม่ใช่
ทุกวันฉันจำเป็นต้องอ่านหนังสือทั้งหมดที่คนรับใช้จัดเตรียมมาให้ พวกเขาเตรียมการณ์ให้ฉันและสั่งให้ฉันทำโดยไม่ต้องปริปาก เพราะฉันรู้หน้าที่ตัวเองดี ..ใช่ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น หน้าที่ของฉันมันถูกกำหนดไว้แล้ว
อาทิเช่น นั่งอยู่เฉยๆ พอถึงเวลาเรียนก็เรียน กินข้าว อาบน้ำ นอน ทำเช่นนั้นวนไปมา
องค์ความรู้ที่ได้ก็มีแต่สิ่งที่ต้องการจะให้ เรื่องภายนอกอย่างความรู้รอบตัวหรืออะไรต่างๆที่เด็กควรจะรู้กันฉันไม่ได้รับมา เรื่องของพ่อและแม่ฉันยังไม่รู้เลยว่ามีหน้าที่และเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร ฉันไม่รู้ว่าเด็กจะมีพ่อและแม่ ไม่ใช่ด้วยทางจิตใจแต่ด้วยทางสถานะสายเลือด
อย่างที่บอก ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่าางเกี่ยวกับโลกนี้ อย่างความตาย ฉันเวลานั้นก็ไม่รู้จักความ ในหนังสือไม่มีสอน ไม่มีใครสอนฉันด้วย ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีสอนฉัน
แต่ความตายถึงฉันจะไม่รู้จัก แต่ห้วงเวลานั้นฉันปารถนามันไม่ผิดแน่ พอมาย้อนกลับไปดูแล้ว
ช่วยไม่ได้นี่ ก็ชีวิตที่ได้แต่นั่งอยู่เฉยๆทำทุกอย่างตามที่ทุกคนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อยัดเยียดมาน่ะ มันน่าเบื่อ ทิ้งไปได้ก็ดี
ฉันมองเพดานห้องที่ถูกตกแต่งได้อย่างสวยงาม และได้แต่คิดกับตัวเองว่า ..ถ้าฉัน ..อะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักได้ คงจะดีไม่น้อย แบบว่า จู่ๆภาพในตาก็ดับไปเลย ไม่เหลืออะไรเลย ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรเลยสักอย่าง ฉันแค่ปล่อยใจให้ว่างเปล่า
ความเบื่อหน่ายและความอยากตาย ถ้าฉันตายไปแล้ว ฉันก็คงจะไม่มีวันสักอย่าง
..อา ..มันอะไรกันนะ
ทำไมฉันต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ?
ฉันไม่ได้ถามตัวเองเช่นนั้นหรอก ก็ฉันไม่รู้จักกระทั่งการตั้งคำถามด้วยซ้ำนี่
เรื่องราวเป็นเช่นนั้นต่อไปจนกระทั่ง ‘เขา’ โผล่มา
เวลานั้นฉันไม่รู้เพศชายหญิง สมัยนั้นฉันจึงแทนเธอว่า ‘เขา’
เขาหรือเธอคือคนรับใช้คนใหม่ของฉันในวัย 6 ขวบ เธอได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตฉัน
หญิงสาวอายุไม่น่าเกินยี่สิบปีโผล่มาหาฉัน เธอเป็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวที่สวยมากๆ เวลานี้เธอสวมใส่ชุดเมดชั้นเลิศ
“ยินดีที่ได้รู้จักคะ เจ้าหญิง ดิฉัน ‘แอน’ จะมารับหน้าที่เป็นสาวใช้เรื่องส่วนตัวคนใหม่คะ เนื่องจากว่าคนเก่าเกษียนตัวไปแล้วคะ”
แอน ..นั่นคืออะไรน่ะ-เวลานั้นฉันไม่รู้จักกระทั่งชื่อ แล้วก็เธอเรียกฉันว่า เจ้าหญิงด้วย หมายความว่ายังไงกัน? เกษียนด้วยมันแปลว่าอะไร?
ฉันเอียงคอฉงนมองเธอจากมุมต่ำเพราะฉันตัวเล็ก เธอยิ้มให้ฉัน
“เหมือนท่านมีอะไรอยากจะถามนะคะ?”
เธอว่ามาอย่างนั้น ..มีอะไรอยากจะถามนี่มัน?
ตลอดมาฉันไม่เคยถาม แต่ว่าในหนังสือสอนมาอยู่เล็กน้อย เลยพอรู้ว่าคืออะไร
‘มีอะไรอยากจะถาม’ นี่น่าจะประมาณเดียวกับ ‘อยากรู้อะไรเพิ่ม’ เหรอ?
ไม่เข้าใจ แต่ตอบตามหนังสือไปน่าจะได้ รึเปล่านะ?
ฉันกำลังจะพูดแต่เสียงมันไม่ออก ..พูด? ตลอดมาฉันเคยพูดมาแล้วกี่คำกันนะ
บางทีอาจไม่เคยพูดเลยสักคำ นั่นหมายความว่าฉันไม่รู้จักกระทั่งการออกเสียง
ต้องทำยังไง
“อ่า เอ่อ อ่า”
ทำยังไงให้พูดได้กัน ..แอนเธอยิ้มให้ฉัน
“อะ เอ๋? หรือว่านี่เจ้าหญิงพูดไม่ได้หรือคะ?”
พูดไม่ได้ ใช่ ฉันพูดไม่ได้
ฉันพอเข้าใจจึงพยักหน้าไป แอนเห็นดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ เธอเล่ห์มองคนรับใช้คนอื่นที่น่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างเอือมๆ
“พวกเขาไม่ได้สอนอะไรเด็กเลยเหรอเนี่ย”
..เด็ก
“มะ ..มั่ย..สน..อะ..ระ..เด็ก?..เด็ก?..เด็ก?”
แอนลงมานั่งกับพื้นที่ฉันนั่งอยู่ พวกเราอยู่ในจุดที่เท่าเทียมกัน
“เด็กคือคนที่อายุน้อยค่ะ”
“คะ กะ คะ”
แอนเห็นสภาพฉันแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะนึกไอเดียได้เลยเดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาพร้อมกับดินสอ
“ถึงพูดไม่ได้แต่เขียนได้ใช่มั้ยคะ”
“..ดา..ดา”
“จะพูดอะไรก็ลองเขียนดูนะค่ะ ฉันจะคอยช่วยเรื่องการพูดทีล่ะนิดเอง” แอนยิ้มให้ “ยังไงก็เป็นหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมายมาอยู่แล้วคะ”
ฉันเขียนกระดาษไปว่า ‘เข้าใจแล้ว 1.แอนคืออะไร 2.เกษียนคืออะไร 3.เด็กคืออะไร 4.เธอมาทำไม’
แอนหัวเราะเบาหวิว
“ถามห้วนจังเลยนะคะ เช่นนั้นแล้วจะตอบคำถามนะ” แอนพูดพร้อมกับยกนิ้วตอบคำถามทีล่ะข้อ “แอนคือชื่อของฉันคะ”
เธอชื่อแอน
“เกษียนคือการสิ้นภาระหน้าที่คะ”
สิ้นภาระหน้าที่ ..คือ? ไว้ค่อยถามล่ะกัน
“เด็กคือคนที่อายุน้อยค่ะ มนุษย์เราจะมีอายุขัยอยู่ที่ 1ถึง100ปี โดยประมาณกว้างๆนะคะ ซึ่งคนที่เป็นเด็กจะอยู่ในช่วง 1ถึง12ปีคะ จากนั้นก็ วัยรุ่น ผู้ใหญ่ วันกลางคน วันชรา คะ”
..มีแต่คำที่ไม่รู้จัก
“ต่อไป ฉันมาทำไมสินะคะ ..ฉันมาเพื่อมอบความรู้ให้เจ้าหญิงคะ”
มอบความรู้ให้?
ฉันจ้องตาเธอ เธอจ้องตาฉัน พวกเราเหมือนได้แลกเปลี่ยนบางอย่างซึ่งกันและกัน และนั่นคือครั้งแรกในชีวิตของฉัน
ฉันนั่งสนทนากับแอนด้วยกระดาษไปเรื่อยๆ จนไม่รู้กระทั่งเวลา ฉันลืมเวลาเป็นครั้งแรกในชีวิต ห้วงเวลาที่แสนจะอืดอาดตอนนี้มันหายไปแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าแอน
“ตามธรรมชาติแล้วเด็กรุ่นเจ้าหญิงควรพูดเป็นแล้วนะคะนั่น บางคนนี่พูดเก่งอ้อนเก่งด้วย เช่นนั้นแล้ว หลังจากนี้ก็มาพยายามด้วยกันนะคะ”
แอนพูดไปยิ้มไป เธอเป็นคนช่างยิ้ม
“..ธะ..ธะมา..ชัต..”
ฉันยกกระดาษที่เขียนไว้ว่า ‘คือ’ ขึ้นมา
เมื่ออ่านจบแอนก็เงียบไป เธอครุ่นคิด บางทีมันอาจเป็นคำที่ยากเธอจึงไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
คำที่แม้แต่แอนยังไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ฉันเองก็คงไม่รู้จักเหมือนกัน
“นั่นสินะค่ะ ประมาณความธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วๆไป ควาหมายนี้จะใช้ในเชิงเปรียบเปรยซะส่วนมากอย่างที่ฉันพูดก่อนหน้านี้” แอนพูด “แล้วก็ธรรมชาติคือสิ่งแวดล้อมคะ คือทะเล คือป่า คืออากาศ คือทะเลทราย คือสิ่งมีชีวิต คือมนุษย์ อ่า อีกเยอะแยะเลย ธรรมชาติเป็นคำที่กว้างขวางคะ ให้มานั่งพูดเจาะจงทั้งวันก็ไม่หมดคะ”
..น่าสนใจ
ฉันพุ่งเข้าไปหาแอนจนเธอสะดุ้ง
“อะ องค์หญิง?”
“ธะ..ธะมาชัต” ฉันรวบรวมสมาธิเพื่อพูด “–อยากรู้”
…แอนแหงนหน้ามองเพดาน
“ลำดับแรก ถ้าเป็นธรรมชาติจะไม่มีกำแพงรอบๆนี่แล้วก็เพดานคะ”
แอนชี้ไปที่รอบๆสิ่งก่อสร้างที่ขังฉันไว้
“..ธรรมชาติคืออิสระคะ”
อิสระ?
“อิสระคือโลกใบนี้คะ เพราะนั้นแล้ว ธรรมชาติก็เท่ากับโลกคะ”
โลก..นั้นเหรอ
เป็นคำที่ดูดีจังนะ โลกนี่
โลก โลก โลก …อิสระคือโลก เป็นสิ่งที่โลกมีอยู่
ฉันมองไปรอบๆห้อง ห้องที่ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงและของตกแต่งสวยงาม ..ทั้งหมดนั่นมันไม่ใช่โลกที่มีอิสระอยู่
อยากจะรู้จัก ‘โลก’ ใบนี้ให้มากขึ้นเหลือเกิน
ที่นี่เล็กเกินไป
จากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มรู้สึกชอบกินข้าว อาหารทุกชนิดที่เข้าปากฉันชอบหมด เพราะมันมีรสชาติ มันมีรสชาติที่เป็นธรรมชาติอยู่ ถึงทุการกินจะมีข้อจำกัดมากมาย แต่ฉันก็พอทนได้เพราะตลอดมาฉันก็กินแบบนี้นั่นแหละ ต่อให้อยากกินเยอะกว่าเดิมเป็นสิบๆเท่าก็ตามที
แล้วก็ฉันเริ่มฝึกพูดกับแอนมาเรื่อยๆ
พวกเราสนิทกัน ..คิดว่า
เวลาว่างถ้าเธออยู่ เธอก็จะเข้ามาพูดคุยกับฉันและสอนคำศัทพ์ใหม่ๆรวมถึงวิธีพูดออกเสียงให้ฉัน
ฉันต้องเรียนรู้ทั้งหมดอย่างยากลำบากเพื่อที่จะพูดให้ได้ ..และคำแรกที่ฉันพูดออกมาก็คือ—-
อะ
“แอน!”
ฉันรวบรวมพลังและสมอง ณ เวลานั้นสุดตัวเพื่อเรียกชื่อเธอออกมา
นี่เป็นการทุ่มสุดตัวของฉัน เป็นการพูดครั้งแรกในชีวิตของฉัน หวังว่าจะออกมาดีนะ
แอนนิ่งสนิท เธอไม่ตอบฉันสักคำเดียว แต่ทำเพียงลูบแก้มตัวเองไปมา เหมือนกับเล่นกับขนมปังนิ่มๆ
“ชะ ช่วยเรียกอีกรอบนะคะองค์หญิง”
“อะ แอน!”
“อีกรอบคะ”
ทำไมล่ะ? เพื่ออะไร? ฉันพูดได้ห่วยเหรอ?
“แอน! แอน แอน แอน แอน!
“..น่ารัก”
แอนลงไปนอนกับพื้นเธอปิดหน้าตัวเองไว้และม้วนตัวไปมา เหมือนกับหมอนข้าง..เพื่ออะไร?
“องค์หญิงทำให้ต่อมความเป็นแม่ของดิฉันตื่นขึ้นซะแล้วคะ”
ต่อมความเป็นแม่?
“อีกรอบคะ”
แอนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
อยากถามแอนจังว่าเพื่ออะไร?
สุดท้ายฉันก็ต้องพูดจนฉันออกเสียงได้ชัดแลกกับอาการเจ็บคอหน่อยๆของฉันแล้วนับว่าคุ้มค่า
การพูด สนุกกว่าที่คิดมาก
บางทีอาจไม่ใช่เพราะการพูดเพรียวๆ แต่เป็นเพราะฉันได้พูดกับแอนมากกว่า ฉันถึงได้รู้สึกมีความสุข
ตอน 10 ขวบ ฉันเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเบื่อการอ่านหนังสือเรียน ฉันเกลียดหนังสือเลยแหละ แต่ฉันจำเป็นต้องอ่านเพราะมันคือหน้าที่
วันหนึ่งฉันบอกแอนว่ฉันเกลียดการอ่านหนังสือ วันต่อมาเธอก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ฉัน
ฉันรับมันมาอ่านอย่างจริงจังเหมือนกับหนังสือเรียน ..ทว่ามันไม่ใช่นักสือเรียน ตัวฉันที่อ่านหนังสือเล่มนั้นรู้สึกสนุกถึงที่สุด
เรื่องราวของใครสักคนได้ถ่ายถอดโลกใบนี้ให้ฉันเห็น ..โลกที่เต็มไปด้วยอิสระ ในหนังสือเล่มนี้มีอยู่
เมื่ออ่านจบฉันก็นั่งเงียบ สักพักก็ร้องไห้ออกมาเอง
“..สวยงาม”
โลกใบนี้ช่างสวยงาม-แม้เนื้อหาจะมีการสูญเสีย มีด้านมืดของโลก ความต่ำทรามของสิ่งมีชีวิต ยุคสมัยที่ดำมืด ต่างๆนานาที่แสนจะโหดร้าย
ระดับที่ตายซะยังจะดีกว่า การตายในโลกนี้เป็นทางออกของใครหลายๆคน เป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตที่สุด ..ทั้งอย่างนั้น บทสรุปกลับสวยงามอย่างน่าเหลือเชื่อ มันเป็นบทสรุปที่บอกให้รู้ว่าต่อให้โลกนี้จะดำมืดยังไง แต่มันก็ยังมีด้านที่สวยงามอยู่
ฉันที่อ่านจบก็ได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้และเข้านอนโดยที่นึกถึงเรื่องในหนังสือซ้ำไปซ้ำมา ..สนุกอย่างน่าเหลือเชื่อเลย
วันต่อมาแอนอธิบายให้ฉันฟังว่าหนังสือเล่มนี้มันคือ ‘นิยาย’ หนังสือที่ใช้อ่านเรื่องราวต่างๆ
ฉันขอให้แอนเอามาอีก เธอก็บอกว่าเธอแอบเอามาเพราะอย่างนั้นจะหาให้ได้แค่อาทิตย์ล่ะครั้ง กันโดนจับได้-แน่นอน ฉันพยักหน้ารับโดยเร็ว และเฝ้ารอหนังสือเล่มต่อไปเรื่อยๆ
ชีวิตของฉันวนกับการรออ่านนิยายจากแอน และในใจก็มีเรื่องโปรดขึ้นมาอย่างเรื่อง ‘การเปิดร้านอาหารในใจกลางสี่ทวีป’ มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับนักผจญภัยในตำนานที่พลันตัวไปเปิดร้านอาหารตรงกึ่งกลางระหว่างทวีป ฟัฟนิร์ เกรล เนลยอน และ แซร์อิซ เพราะอย่างนั้นการเปิดร้านอาหารธรรมดาของเขาเลยไม่ธรรมดา
มีตัวตนระดับตำนานหรือผู้นำประเทศระดับสูงมากมายโผล่มาแวะกินอาหารของเขา และบ่อยครั้งก็เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทหรือปัญหาระดับประเทศแถวร้านของเขา มันจึงกลายเป็นเป็นเรื่องราวสุดเหนือธรรมชาติทั้งๆที่ตัวเอกแค่เปิดร้านอาหารธรรมดาเท่านั้น
ฉันหลงใหลในอาหาร และชื่นชอบในวิทีชีวิตของตัวเอก ชีวิตธรรมดาท่ามกลางเรื่องไม่ธรรมดา มันดูน่าสนุก
บ่อยครั้งที่หลังอ่านนิยายเรื่องนี้จบ ฉันจะรู้สึกอยากทำอย่างนั้นบ้าง ..ถ้ามีโอกาสอยากเปิดร้านอาหาร ไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ สักร้าน อยากเปิดเป็นของตัวเองจริงๆ
แล้วก็ ..ตัวเอกเรื่องนี้มีคนรักอยู่ ..ฉันเองก็อยากจะมีเหมือนกัน นะ นิดหน่อยน่ะนะ ถ้าเลือกได้ก็อยากได้คนที่เหมือนกับตัวเอก ถึงเขาจะเป็นตาลุงอายุ 40 ปี แต่เขาก็เท่และรักคนสำคัญของตัวเองดี เป็นคนที่เอาใจใส่คนรอบข้างตลอด เรื่องที่ไม่ว่ายังไงก็ทำไม่ได้ก็จะทำให้ได้เมื่อเกี่ยวข้องกับคนสำคัญ เขาให้ความเท่าเทียมกับเพื่อนทุกคน ติทุกคนที่ทำผิดอย่างจริงใจ เป็นคนที่ดิบเถื่อนแต่บางมุมก็อ่อนโยน บ้างก็ซื่อจนน่าปวดหัว …รวมๆแล้ว-เท่มากเลย
ในวัยสิบขวบฉันเริ่มกลับมารักการอ่านหนังสือและได้ตกหลุมรักตัวละครสมมุติตัวหนึ่งขึ้นมา แม้ว่าในปกจะเขียนไว้ว่าอินมจากเรื่องจริง แต่ฉันไม่เชื่อ ..
วันหนึ่งในช่วง 10 ขวบ ฉันอยากเจอครอบครัวตัวเอง
ในหนังสือที่อ่านมีหลายเล่มทีพูดถึงครอบครัว ส่วนใหญ่มักจะเป็น คุณพ่อและคุณแม่ เด็กทุกคนมีพ่อและแม่ แต่ฉันไม่เคยเจอพวกเขาเลย
แรกๆฉันคิดว่าแอนเป็นแม่ด้วยซ้ำ พอเธอได้ยินฉันว่าอย่างนั้นก็ดูจะดีใจเล็กน้อยก่อนอธิบายให้ฉันฟังว่าไม่ใช่ คุณพ่อและคุณแม่ของฉันไม่ว่างมาหาเพราะพวกเขางานยุ่งมาก
..ตอนนั้นฉันเลยบอกแอนไปว่า-อยากเจอสักครั้ง
แอนบอกว่าเร็วๆนี้จะได้เจอกันแน่ เพราะคุณพ่อว่างพอดี อยากจะดูการเติบโตของฉัน ..นั่นหมายความว่าคุณพ่อแคร์ฉันสินะ?
เคยคิดว่าถูกเกลียดมาตลอดเลยโดนเลี้ยงอย่างนี้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ คุณพ่อน่าจะแค่งานยุ่งเลยไม่มีเวลาให้ฉันเลยสินะ?
เป็นเช่นนั้นแน่ๆ
แอนบอกวันที่นัดกันไว้ให้ฉัน ทำให้ฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูก อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ ตื่นเต้นจนใจแทบระเบิด นอนไม่หลับ อยากข้ามวันเร็วๆ ตื่นเต้นมากๆ ในที่สุดก็ได้เจอคุณพ่อแล้ว
วันนั้นมาถึงแล้ว ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยตัวเองและออกไปตามที่นัดไว้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้ออกจากห้อง ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อยแต่แอนคอยนำฉัน ฉันเลยว่างใจได้เปราะหนึ่ง เพราะมีแอนอยู่ด้วย
แอนพาฉันเดินตามโถงทางเดินที่ยาวเยียด พวกเราเดินกันหลายสิบนาทีเลยกว่าจะถึงจุดนัดพบที่ว่า
ภายในห้องนั้นมีโต๊ะนั่งขนาดใหญ่ที่ทำจากวัสดุชั้นยอดอยู่ แอนบอกว่าเป็นห้องรับแขกเชิญให้ฉันนั่งรอก่อนเลย
ฉันนั่งตามที่แอนว่า แต่ตื่นเต้นมาก ฉันเลยนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้
ฉันถามแอนว่าไม่มานั่งด้วยเหรอ จะได้คุยเล่นกันด้วย แอนบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์นั่งหรอก-ฉันได้แต่งงในเวลานั้น เพราะฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวตัวเองเลย …
..รอไม่นาน ประตูก็ได้เปิดขึ้นพร้อมกับชายคนหนึ่งที่หน้าต่อหล่อเหลา
เขาตัวสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อระดับหนึ่ง ผิวสีขาวเหมือนหิมะ เลือนผมสีทองเช่นเดียวกันกับดวงตา สวมชุดที่ค่อนข้างแปลกตา สวมเสื้อสีขาวรัดเข็มขัด กางเกงสีดำยาวและร้องเท้าสีขาว มีเสื้อคลุมหนังสัตว์สีแดงปกขาว ตรงคอและหูมีเครื่องประดับทองติดอยู่ ทั้งสร้อยคอเอย ต่างหูเอย ที่สำคัญที่สุดบนหัวมีมงกุฬเล็กๆอยู่
ให้บอกโดยง่าย เขาสวมชุดเหมือนกับราชาที่เห็นได้บ่อยๆในหนังสือนิทาน ..สิ่งที่ทำให้คิดอย่างนั้นอีกอย่างคือ ‘คาริชม่า’ ที่ออกมาจากเขา
เหมือนกับมีสัมผัสบางอย่างที่ใช้บอกความต่างระหว่างเราสองคน
ผู้เหมือนราชาไม่ได้ทักทายอะไรฉัน ไม่ได้มองหน้าฉัน มีสีหน้าที่เรียบเฉย แต่เขาเดินมานั่งอยู่เก้าอี้ตรงข้ามฉัน เป็นที่ที่พ่อของฉันควรจะมานั่งคุยกับฉัน
..นั่นหมายความว่าเขาคือพ่อของฉัน
ฉันหันหน้าไปหาแอน โดยไม่ต้องพูดอะไร แอนพยักหน้าให้เป็นสัญญาณบอกว่า ‘ใช่แล้ว’
..พ่อของฉัน ..คือราชา
หมายความว่าฉันคือเจ้าหญิงอย่างที่แอนเรียกบ่อยๆ
ฉันรู้สึกตื่นเต้นกว่าเก่า ตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้ามองหน้าเขา ..แอนแอบแตะหลังของฉันเบาๆเหมือนจะผลักให้ฉันพูด
“..คะ คือ..”
ตอนที่ฉันเริ่มจะพูดอีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน
“เธอพูดได้ด้วยเหรอ?”
คนเป็นพ่อถามฉันอย่างนั้น-เอ๊ะ?
ไหงบอกว่าส่งแอนมาเพื่อให้ฉันพูดได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ ..
ฉันรวบรวมความกล้าเงยหน้ามองหน้าเขา และพบว่า ..คุณพ่อไม่ได้มองหน้าฉันเลยสักนิด เขามองอะไรบางอย่างที่อยู่ไกลออกไป แต่ไม่ใช่ฉันที่อยู่กับเขา
วินาทีนั้นฉันรู้ได้ทันทีเลย เขาไม่ได้สนใจฉันในฐานะลูกเลยสักนิด
MANGA DISCUSSION