เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 135: ก้อนมานาปริศนา (3)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 135: ก้อนมานาปริศนา (3)
< < 107Sec3 > >
ยามเย็นของเกาะวาเรอร์ พระอาทิตย์จะสวยเป็นพิเศษ–นี่เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาพิสูจน์ให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต ไอ้การที่มานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินบนเกาะวาเรอร์น่ะ
ในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเองก็มีเด็กสาวสองคนกำลังเดาะลูกฟุตบอลให้กันกันไปมาอย่างสบายใจ สองคนนั้นที่ว่าก็คือ โซล่าและหนิงนั่นเอง
“นี่หนิง”
“ว่าไง”
“คุณเรเซอร์กำลังทำงานเพื่อส่วนรวมอยู่สินะ”
“ไม่บอกหรอก เป็นความลับเฉพาะกลุ่มนี่”
“จริงๆฉันรู้ตั้งนานแล้วล่ะนะ เธอแอบหลุดบ่อยจะตาย”
หนิงหยีตาลงพลันทำคิ้วกระตุก
“แอบฟังนิสัยไม่ดี–นะ!”
“เดี่ยวสิ! เตะแรงไปแล้วๆ ฉันไม่ได้แรงช้างแบบหล่อนน——-นะ!!”
“ก็แรงดีนี่!”
“หน๊อยแน๊ะ!! อย่ามาวอนนะย่ะ!!”
โซล่าอัดแรงเดาะบอลสุดแรงทำให้บอลปลิวไปไกลจนลับสายตา ..หนิงเท้าสะเอวแล้วก็ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า
“ฟู่ว เตะซะไกลเลย”
“นั่นสินะคะ ..ว่าแต่นั่นไม่ใช่บอลของพวกเรานะ”
“แย่จริงๆ”
ทันใดนั้นกลุ่มเด็กผู้ชายราวๆเจ็ดคน อายุแต่ล่ะคนไม่เกินหลักสิบทั้งนั้น ทุกคนวิ่งมาทางทั้งสองคน เด็กๆล้วนพากันส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายกันหมด
“นะ นะ นะ นี่แก นี่แก!!!!”
“กล้ามากนะ นังปีศาจ!”
“อะไร มีอะไร? ไหนพูดให้ชัดๆสิ”
หนิงถามกลับเสียงแข็งทำให้เด็กๆพากันสะดุ้งโหยงเป็นแถวๆ
“บอลของพวกเรา ..พวกเราเจ็ดคนรวมเงินซื้อมันมานะ”
เด็กที่เป็นหัวโจกออกหน้าคุยกับหนิงแทนเด็กๆที่กลัวหนิงกัน
อนึ่งหนิงไม่ได้ทำอะไรเด็กๆเลยนอกเสียจากการโชว์เหนือเล่นฟุตบอลข่มเด็กทั้งเจ็ดจนเงียบกริบ ทำให้พวกเด็กๆรู้สึกกลัวหนิงไปโดยปริยาย
“อ๋อเรอะ ถ้านั้นก็รีบไปเก็บซะสิ”
“แต่ว่า—พวกเธอเป็นคนทำมันปลิวไปนะ!”
“ถ้าจำไม่ผิดพวกเราแข่งกันสินะ ใครชนะจะได้ครองสนามเย็นนี้แล้วก็ได้ตังค์ประมาณสองร้อยอิกดราซิลด์(200บาทไทย) แล้วพวกเธอเจ็ดหน่อก็ต้องคอยบริการพวกเราเวลาเล่นบอลกันตลอดเวลา อย่าลืมหน้าที่ตัวเองสิเด็กๆ ไปๆ รีบไปได้แล้ว”
“ตะ แต่”
“ไม่มีแต่ รีบๆไปเก็บบอลได้ล่ะ เดี่ยวมืดแล้วจะเอาไม่เจอเอานะ อ่า แล้วก็ฝากซื้อน้ำมาให้ด้วย เดี่ยวฉันคืนเงินให้”
เด็กหัวโจกพูดอะไรต่อไม่ได้ เขาเลยเดินหันหลังกลับมาและปล่อยโฮ เพื่อนๆที่เหลือก็พากันมาปลอบ
“ไม่เป็นไรนะ เดี่ยวพวกเราไปช่วยกันหาเถอะ”
“อย่าร้องสิ ..ถ้านายร้องฉันก็จะร้องตายนะ”
“พวกบ้า ยิ่งร้องยัยผู้หญิงโฉดนั่นยิ่งได้ใจนะ”
โซล่าหรี่ตามองหนิงแบบเอือมระอา
“รังแกเด็กชัดๆ”
“แค่ทำตามข้อตกลงเอง ฉันกำลังสอนให้พวกเด็กน้อยรู้ไงว่าอย่ารับคำสัญญากับคนอื่นง่ายๆ แล้วก็การพนันน่ะไม่ดีด้วย”
“ไม่ใช่ว่าเธอแค่ชอบรังแกเด็กเหรอ ..แต่ว่านะหนิง ถ้าเกิดยูจิมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
“แน่นอน ฉันจะทุ่มประสาทสัมผัสของตัวเองทั้งหมดเพื่อตามหาลูกบอลมาให้เด็กๆทันที”
โซล่าถอนหายใจเฮือกโต เธอหยิบอุปกรณ์วิเศษในกระเป๋าออกมาแล้วก็อธิบายให้หนิงฟังแปปหนึ่งสั้นๆได้ใจความประมาณว่า—อุปกรณ์ชิ้นนี้จะลอยตามเป้าหมายไปและส่งภาพบันทึกมาให้เจ้าของอย่างโซล่า กล่าวจบโซล่าก็ปล่อยให้อุปกรณ์เวทย์ลอยไปทางเดียวกับที่เด็กๆวิ่งไป
“ปล่อยให้เด็กไปหาของตอนเย็นแบบนี้อันตรายนะคะ เธอทำอะไรก็ระวังหน่อยสิ”
“ไม่ต้องห่วง ในระยะที่บอลปลิวไปฉันสามารถพุ่งไปถึงได้ในทันที ถ้าเกิดอะไรขึ้นน่ะนะ”
โซล่าไม่เข้าใจว่าหนิงเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่จากที่ตัวติดกันมาตลอดสามสัปดาห์ ทำให้พอรู้ว่าหนิงไม่ปกติ เป็นตัวตนที่เข้าขั้นสัตว์ประหลาดเลย บางทีอาจเป็นเพราะเธอไม่เคยเจอมังกรมาก่อนก็ได้ ทำให้ไม่ได้สันนิฐานว่าหนิงคือมังกร
“..อ๊ะ ได้กลิ่นยูจิ กำลังตรงมาล่ะ ..แล้วก็เสียงเด็กร้องไห้ด้วย”
“เอาแล้วไง” โซล่าหัวเราะอุบอิบ นั่นทำให้หนิงเริ่มหวาดกลัว “เป็นยังไงไม่รู้ด้วยแล้วนะ”
“ดะ เดี่ยวสิ สังหรณ์ใจไม่ดีเลย เธอเห็นใช่เปล่า!? เห็นภาพเด็กๆกับยูจิได้จากไอ้อุปกรณ์เวทมนตร์แปลกๆนี่ใช่รึเปล่า”
“อย่ามาเรียกว่าอุปกรณ์เวทย์แปลกๆนะ นี่คือ ‘แอร์โรว์วินด์ III’ รุ่นจำกัดที่มีแค่ร้อยชิ้นบนโลกนะ มันถูกทำขึ้นเพื่อจะขยายวงการทำงานตามติดของเวทย์ตามติดที่มากสุดก็อยู่ได้แค่สามสิบนาที แต่เจ้าอุปกรณ์นี่สามารถอยู่ได้ถึงสองชั่วโมง แถมยังสามารถปรับสภาพร่างได้ตามสภาพแวดล้อมอีก ถึงตอนนี้จะยังไม่เนียนมาก เพราะพึ่งพัฒนามาได้สามขั้น แต่ถ้าพัฒนาต่อไปเรื่อยๆมันจะดีกว่าเวทย์ตามติดในยุคนี้ได้แน่นอน”
“ช่างเถอะเรื่องนั้น
(ทีคุณยูจิพูดบ่นแบบนี้ดันฟังมันทุกประโยค แถมจำได้ทุกคนอีกนะนังนี่! อีสองมาตรฐาน!) โซล่าแอบบ่นหนิงในใจ
“ฟังนะ ในหลังจากนี้อีกสิบปี เมื่อเทคโนโลยีเวทย์มีพัฒนาไปได้ไกลเท่าไหร่ ผู้คนก็จะเปลี่ยนมาใช้เจ้านี่แทนที่จะฝึกเวทย์ด้วยตัวเอง หรือก็คือ มันจะเป็นก้าวแรก เป็นยุคผลัดเปลี่ยนของวงการณ์จอมเวทย์!”
“ค่า ค่า ค่า ยังไงก็เถอะ รีบๆส่งมาให้ดูได้แล้ว”
“อ่า เดี่ยวรอสักแปปนะ เอาลงมาก่อย”
“สอยเอาก็ได้นี่—โอ่ย!”
หนิงโยนก้อนหินใส่ ‘แอร์โรว์วินด์ III’ แต่เพราะกะแรงผิดทำให้ ‘แอร์โรว์วินด์ III’ เหลือแต่เศษซาก ไม่สิ จริงๆต่อให้ปาร่วงลงมามันก็ไม่ใช่ทางที่ถูกซะเท่าไหร่ด้วย—โซล่าออกวิ่งไปทางที่เศษซากของ ‘แอร์โรว์วินด์ III’ หล่นลงทันที
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!! ‘แอร์โรว์วินด์ III’ ของฉ้านนนนนนนนนน!!!!!!!!!”
“พลาดซะแล้ว”
โซล่าวิ่งสไลด์กับพื้นประหนึ่งนักเบสบอล เธอรับเศษซากทั้งหมดไว้บนมือด้วยสีหน้าที่ซีดเผือกและมีน้ำตาปริ่มๆอยู่ตรงหางตา
“ไม่นะ ไม่ๆ อย่าตายนะลูก อย่านะ …ยะ..อย่า…พังซะแล้ว ..ตัวทำงานสำคัญพังหมดเหลือ”
“โทษที แอร์โรว์รินด์IIII นั่นราคาเท่าไหร่ล่ะ เดี่ยวซื้อให้” หนิงยิ้มมุมปาก “เดี่ยวซื้อรุ่น IIIII ให้แทนเลย”
“ฉันจะฆ่าเธอ!!”
โซล่าผลักหนิงล้มลงกับพื้น เธอขึ้นคร่อมแล้วบีบคอหนิงทันที แต่นั่นไม่สะท้านหนิงเลยแม้แต่น้อย
“แอร์โรว์วินด์ปัจจุบันมีแค่รุ่นสามนี่แหละ! อย่ามาโดดข้ามขั้นเอาง่ายๆนะหล่อน! แล้วแอร์โรว์รินด์บ้านหล่อนสิ! เรียกชื่อให้ถูกหน่อย!!”
“ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยเนี่ย”
“นั่นลูกรักฉันนะ คิดว่าฉันอดนอนกี่วันเพื่อออกแบบโครงสร้างมันกันย่ะ!!? แค่หยามแอร์โรว์วินด์ของฉันไม่พอ ยังมาทำเป็นตลกกับแอร์โรว์วินด์อีก! แล้วก็แอร์โรว์วินด์รุ่น III ราคาไม่ได้ถูกๆหรอกนะ! ต่อให้ขุนนางชั้นสูงก็ไม่ได้ซื้อกันได้ทุกคน ไม่นั้นมันไม่เป็นรุ่นลิมิเต็ดที่มีแค่ร้อยชิ้นหรอก ..บัดซบ จะฆ่าแกให้ดู นังอสรพิษ!! อุตส่าห์คิดว่าเป็นเพื่อนมาตลอดแท้ๆ!!”
“..นี่เธอ ..คิดว่าฉันเป็นเพื่อนด้วยเหรอเนี่ย?”
พอถูกหนิงถามสวนไปอย่างนั้นโซล่าก็หยุดมือและแก้มแดงแจ๋ขึ้นมา หนิงเห็นก็ส่งสายตาที่เย็นชาใส่ เหมือนข้องใจว่า (จะเขินทำซากอะไร)
“อะ…ยะ อย่ามานอกเรื่องนะ! โทษฐานที่ทำแอร์โรว์วินด์พังคือความตาย!!”
“จริงๆฉันก็คิดว่าเธอเป็นเพื่อนเหมือนกันแหละนะ”
รอยยิ้มของหนิงพลอยทำให้โซล่าหยุดมือโดยสมบูรณ์
“..อย่ามา ..อ้อนกันนะ”
(อ้อนซะอย่างนั้น เจอแค่นี้ก็คิดว่าอ้อนซะล่ะ ยัยนี่ง่ายชะมัด) หนิงคิดในใจพลางแสยะยิ้มและพูดโน้มน้าวใจโซล่าต่อ
“เพราะนั้นอย่างน้อยๆ ถ้าตายด้วยมือของเพื่อน ฉันก็ไม่มีอะไรจะสั่งเสียแล้วล่ะ แอร์โรว์วินด์ III ฉันจะไปหาเธอเดี่ยวนี้นะ ..มีอะไรอยากฝากไปบอกลูกรักของเธอมั้ย ฝากให้ฉันที่เป็นเพื่อนเธอไปบอกน่ะ”
“เดี่ยวจะเรียกเก็บเงินทีหลังแทนล่ะกัน”
“ขอบใจ”
โซล่าดึงหนิงให้ลุกขึ้น จากนั้นเธอก็เขม็งมองหนิง
“แต่บอกก่อน ฉันไม่หายโกรธเร็วๆนี้หรอกนะคะ”
ว่าจบก็หายใจเสียงดังฟุดฟิด ไม่รู้นึกอะไรหนิงดันหายใจฟุดฟิดตาม แต่มันดูพิลึกชอบกล
“แบบว่า กลิ่นยูจิใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว”
“รับผลกรรมซะนะหล่อน”
“..ผลกรรม”
หนิงหันไปทางที่ได้กลิ่นยูจิและพบว่ายูจิกำลังยืนอยู่โดยที่มีกลุ่มเด็กที่ถูกรังแกยืนอยู่ข้างหลัง ยูจิกำลังกอดอกและมองหนิงเหมือนโกรธอยู่
“..ไม่เคยเห็นยูจิโกรธเลย ..ฉันไปทำอะไรให้กันนะ”
“รอฟังคุณยูจิเขาว่าล่ะกันนะ”
****
“โดนบ่นยับเลยอ่า”
“ทำตัวเองทั้งนั้นค่ะ”
หนิงปล่อยโฮขณะที่กำลังเดินอยู่ในป่ากับโซล่า ที่มาที่ไปของเรื่องราวก็คือ—เด็กๆทีถูกหนิงรังแกบังเอิญเจอยูจิ แล้วก็ฟ้องยูจิเรื่องหนิงทันที เพราะรู้ว่าหนิงชอบยูจิมากๆเข้าขั้นที่ถ้าโดนสั่งอะไรก็จะทำตามไปหมด พอฟ้องยูจิผู้มีคุณธรรมในจิตใจสูงแล้ว ยูจิก็เห็นว่าหนิงผิดจริงเลยเดินมาว่ากล่าวสั่งสอนหนิง และให้หนิงไปเก็บบอลด้วยตัวเอง ทั้งหมดยูจิพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนโกรธจริงๆ แน่นอนไม่ใช่โกรธแบบเกลียด แต่เป็นโกรธแบบรัก—ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับ แม่(ยูจิ)-ลูก(หนิง) แปลกๆ
จริงๆหนิงต้องไปหาคนเดียวแล้ว แต่โซล่าว่างอยู่แล้วเลยอาสาไปด้วย ส่วนยูจิก็ช่วยเล่นกับเด็กเพื่อไม่ให้พวกเด็กๆอารมณ์บ่จ๋อยกัน
“ดูเธอจะชอบคุณยูจิเหลือเกินนะ”
“แน่นอนสิ ยูจิคือหนึ่งในสามสิ่งสำคัญของฉันเชียวนะ”
“สามอย่างนั้นมีอะไรบ้างเหรอ?”
“มียูจิ มีอาหาร แล้วก็… นั่นแหละ”
“พูดให้หมดสิค่ะ”
หนิงทำเป็นไม่รู้ไม่สนและเดินไปต่อ เหมือนจะไม่กล้าพูดว่าอย่างสุดท้ายคืออะไร
“ช่างเถอะ เรื่องไร้สาระ”
“สิ่งสำคัญนี่ไร้สาระเหรอ?”
“อือ สำคัญอย่างไร้สาระไงล่ะ”
พูดจบหนิงก็หัวเราะร่า โซล่าไม่เข้าใจเลยสักนิด ..เพราะสำคัญเธอ สิ่งสำคัญไม่ใช่ของไร้ค่าอย่างแน่นอน อาทิเช่นเรเซอร์ สำหรับเธอมันก็ไม่ได้ไร้ค่าเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มีค่าซะมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก
“นี่ ..ฉันเหมือนจะเข้ากันได้ง่ายกับคุณยูจิต่างกับเธอ”
“ต่างกับฉัน? พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”
“กลับกันเธอเองก็ดูจะสนิทกับคุณเรเซอร์มากกว่าฉัน”
“จีบแทบตาย ไม่ได้อะไรเลย โดนเมินอีก หิๆๆๆ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะกันเลย สภาพหล่อนก็ไม่ต่างกันแหละ”
หนิงหัวเราะไปสักพักก่อนหยุดหัวเราะ
“แล้วมีอะไรล่ะ?”
“ร่วมมือกัน ฉันจะช่วยเธอให้สนิทกับยูจิ เธอก็ช่วยฉันด้วย”
“..ไม่ล่ะ”
พูดจบหนิงก็เดินต่อ โซล่าพยายามคว้าไหล่หนิงไว้แต่ก็ไม่ทันเพราะหนิงเล่นกะจังหวะหลบ
“เดี่ยวสิ ทำไมล่ะ?”
“มันเป็นทิฐิของฉันอ่ะนะ ..ฉันจะทำให้ยูจิหลงรักฉันด้วยตัวเอง ด้วยสเน่ห์ของฉันเอง แค่นี้แหละ”
พูดจบหนิงก็บิดขี้เกียจ
“เอาเป็นว่ารีบๆไปเก็บลูกบอลกันเถอะนะ อยากรีบกลับไปหายูจิแล้วอ่ะ”
“เฮ้อ ..ช่วยไม่ได้นะคะ”
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปเรื่อยๆตามสัญชาตญาณของหนิงทำให้เจอลูกบอลในที่สุด หนิงคว้าลูกบอลมาแนบไว้กับตัว
“กลับกันเถอะ”
“ค่ะ”
ในจังหวะที่จับลูกบอล ..โซล่าสังเกตุเห็นอักษณแปลกๆบนต้นไม้
เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ไม่รู้ทำไม ..เธอถึงอ่านมันออก
“…นี่มัน”
โซล่าเอื้อมมือไปแตะต้นไม้นั่น และทันใดนั้นตัวอักษรก็หลุดออกจากต้นไม้ ล่วงลงพื้นและ—-เกิดวงแหวนเวทย์ขึ้นตรงเท้าของโซล่า
“—-โซล่า!!”
หนิงสังเกตุสิ่งผิดปกติได้อย่างทันท่วงทีและพุ่งมาจับร่างโซล่าไว้—-หนิงเร่งเพลิงมหามังกรของตัวเองออกมาแต่ก็ช้าเกินไป
รู้ตัวอีกที ภาพก็ตัดมาอยู่ที่ที่มืดซะจนไม่เห็นกระทั่งแสง
“..หนิง”
“ฉันอยู่นี่ๆ”
หนิงส่งเสียงทำให้รู้ว่าทั้งสองยังอยู่ข้างๆกันเหมือนเดิม จากนั้นหนิงก็เรียกบอลเพลิงออกมาเป็นสิบลูก ทำให้ความมืดสลายไปและปรากฏให้เห็นห้องทดลองเก่าๆโทรมๆ
รอบๆเต็มไปด้วยหนังสือที่มีตัวอักษรปริศนา แล้วก็มีโต๊ะไม้ที่สภาพใกล้จะพังอยู่แล้วอยู่
โซล่าเดินออกไปอ่านหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะ และเผยยิ้มออกมา
“นี่มัน ..สุดยอด หนิง..นี่มันสุดยอดการค้นพบเลย” โซล่าหยิบหนังสือมากางให้หนิงดู “ในหนังสือทั้งหมดนี่เป็นบันทึกเกี่ยวกับยุคโบราณทั้งหมดเลย! ไม่รู้ว่าเรื่องแต่งรึเปล่านะ แต่แค่นิทานหลอกเด็กมันก็มีค่าพอให้ศึกษาแล้วค่ะ!”
ยังไงก็ไม่มีทางสานตำนานไปถึงความจริงได้ แต่ผู้คนก็ยังปารถนาจะรู้อดีต เพราะอย่างนั้นแหละถึงได้มีนักประวัติศาสตร์เฉพาะด้านบนโลก
“เธอ..รู้เหรอ อ่านออกเหรอ..ทั้งหมดเป็นอักษรโบราณ เรเซอร์เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อประติดประต่อพวกอักษรโบราณนั่นแหละ แต่ว่าเธอกลับอ่านได้”
“อักษรโบราณ? นี่เป็นหนึ่งในงานของเรเซอร์ด้วยเหรอสินะคะ”
หนิงปิดปากตัวเอง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว โซล่าที่รู้ทุกอย่างก็ยิ้มจนแก้มปริ่ม
“แล้วทำไมเธอถึงอ่านออกล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ..อยู่ๆมันก็เข้ามาในหัว ยิ่งไปกว่านั้น”
โซล่าอ่านเอกสารเป็นร้อยหน้าและตีความสั้นๆได้ในปราดเดียว หลังวิเคราะห์เสร็จเธอก็เดินตรงไปโดยที่มีแสงไฟของหนิงนำทาง จนมาหยุดอยู่ที่หลอดน้ำที่มีสายพันกันไปมา
“รูปทรงเหมือนกับเครื่องแปลงพันธุกรรมของมนุษย์ไม่มีผิด ..แต่แตกต่างกันมาก”
โซล่าสัมผัสหลอดทดลองนั้น—ตัดหลอดทดลองสะท้อนให้เห็นงู? ไม่สิ ใกล้เคียงแต่ไม่ใช่ มันเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายงูสีทอง
ถ้าจะให้นิยามแบบง่ายๆมันคือมังกรจีน—–โซล่านึกขึ้นได้ว่างูในหลอดทดลองมันมีรูปร่างอย่างกับถอดแบบมาจากมังกรประจำประเทศเธอ
“นี่มันน่าสนใจจริงๆ ..”
โซล่าชำเลืองมองบริเวณใต้หลอดทดลองซึ่งมีตัวอักษรโบราณเด่นๆอยู่
“..ตรงนั้นเขียนว่าอะไร” หนิงถาม
โซล่าชายตามอง เธอเงียบไปสักพักก่อนจะตอบหนิง
“เทียนหลงล่ะ”
‘เทียนหลง’
“..ชื่อเดียวกับมังกรสวรรค์ผู้รับใช้ทวยเทพ เทียนหลงเป็นต้นแบบมังกรประจำจักรวรรดิบ้านเกิดของฉัน ประวัติของท่านมังกรสวรรค์ฉันรู้ดี ..ในเอกสารมีบอกไว้ว่านี่คือเทียนหลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีที่มาที่ไปของสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด ถ้าอ่านมันทั้งหมดได้ก็จะรู้ทุกอย่าง จะได้รู้ความจริงของเทียนหลงแล้วก็เหตุผลที่ต้องจองจำเทียนหลงไว้ที่นี่ ก็จริงที่ข้อมูลอาจเป็นแค่ของปลอม แต่ว่านะ ..ฉันเองก็เคยวิเคราะห์เรื่องที่ที่เทียนหลงจะอาศัยอยู่เหมือนกัน โดยสรุปออกมาได้สามที่ และหนึ่งในนั้นก็มีเกาะวาเรอร์จริงๆด้วย!”
โซล่าเริ่มพูดร่ายยาว ทำให้หนิงมีสีนหน้าเอือมระอา
“เธอเนี่ย เวลาเข้าโหมดโอตาคุนี่น่าหยะแหยงจริงๆนะ”
ตามปกติโซล่าจะเหน็บหนิงกลับว่า ‘ทีคุณยูจิทำไม่เห็นบ่นแบบนี้เลยนะคะ’ แต่ครั้งนี้ความสนใจทั้งหมดของโซล่าได้เบี่ยงเบนมาทางเทียนหลงแทนแล้ว
“ยังไงก็เถอะ ฉันจะไปก่อนนะ ต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกทุกคนก่อน”
“เดี่ยวก่อน” โซล่าพูดเสียงแข็ง “อย่าบอกพวกคุณเรเซอร์เด็ดขาด ..”
“ทำไมล่ะ?”
หนิงมองไปในดวงตาของโซล่า—ดวงตาของเธอราวกับกำลังลุกไหม้ ประหนึ่งเพลิงที่กำลังส่องแสงให้ในตอนนี้ ..ไฟในดวงตาของเธอมันลามไปเรื่อยๆแทบจะกลืนกินทั้งดวงตาไปเสียแล้ว
‘อย่าเล่นกับไฟ’ นั่นคือคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ให้โซล่าได้ในตอนนี้ ซึ่งเธอจะฟังรึเปล่าก็อีกเรื่อง ..
****
ผมตื่นขึ้นจากการหลับใหล ผมค่อยๆพยุงร่างตัวเองออกจากเตียง และเดินไปเปิดหน้าต่าง กะจะรับอากาศยามเช้าแต่ที่พบดันเป็นความมืด
ผมหันไปมองนาฬิกา ..ตอนนี้น่าจะตีสี่ได้ ใกล้จะเช้าแล้ว ถือว่าผมหลับไปนานพอดูเลยแฮะ
ผมกอดอกพิงระเบียงห้องนอน เฝ้ามองแสงจันทร์บนท้องฟ้าและรับอากาศที่แสนเย็นสบาย ผมถอนหายใจเป็นไอ ถ้าเป็นที่ไทยคงทำได้ยากที่จะหายใจเป็นไอ นับว่าเป็นความรู้สึกที่ดีเยี่ยม
‘มาสเตอร์ ฉันมีเรื่องต้องบอกก่อน’
“ไว้ทีหลังนะ ฉันขอพักผ่อนสักหนึ่งชั่วโมง”
“นั่นสินะคะ เว้นเรื่องปวดหัวไว้สักชั่วโมงน่าจะดีกว่า”
เรื่องปวดหัวสินะ ดูท่ายูนาจะไปเจอเรื่องปวดหัวเข้าอีกแล้ว ให้ตายสิ ..ชีวิตผมจะได้พักผ่อนกับเขาบ้างมั้ยนะ รู้สึกว่าช่วงนี้ทำงานแทบตายเลย เรียกว่าขายวิญญาณยังได้เลย ตอนนี้น่าจะก้าวขาไปกว่าครึ่งในนรกแล้วล่ะมั้ง แต่ก็นะ แค่หนึ่งชั่วโมง ปล่อยให้ผมมีความสุขกับโลกที่แสนสงบตรงเบื้องหน้านี้หน่อยเถอะ
ผมหัวเราะพึมพำขณะอาบบรรยากาศดีๆที่ไม่ต้องคิดเรื่องปวดหัวอะไรทั้งนั้น พลางคิดในใจว่า ..ถ้าสงบแบบนี้ได้ตลอดคงจะดี