เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 359
< < 222 Sec2 > >
ภายในโบสถ์งานแต่งที่เหลือทิ้งไว้เพียง ‘แมมม่อน’ และ ‘แอสโมเดียส’
แมมม่อนเดินเข้ามาข้างในด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสจากเวทย์เพลิง เขาหายใจฮอบอย่างยากลำบาก สายเลือดโลหิตที่ปกคลุมทั่วทั้งร่างพากันสลายเป็นผุยผง แอสโมเดียสควบคุมลมหายใจ พลางจับจ้องมาทางแอสโมเดียสที่ยืนตั้งท่าหอกอยู่เบื้องหน้า
“ไม่ได้พบกันนานนะ แมมม่อน โตขึ้นเยอะเลย”
“ถึงผมจะคิดว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ตาม แต่ก็แล้วแต่จะคิดครับ”
“เหรอ ..จริงๆแค่คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี ฮะๆๆๆ”
“รู้อยู่แล้วละครับ”
…..
…..
ทั้งสองนิ่งเงียบใส่กัน ไม่พูดไม่จาอะไร แอสโมเดียสมีสีหน้าลำบากใจ แมมม่อนเรียบเฉย ..สุดท้ายแอสโมเดียสก็พูดขึ้น
“เหมือนว่าพวกเราจะไม่ถูกกันจริงๆด้วยนะ”
****
อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงทองคำขาว ให้พูดอย่างเป็นรูปธรรมแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ [อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง] ซึ่งเพลิงมีลักษณะเป็นสีทองคำขาวบริสุทธิ์ก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น
จอมมารดิลุคใช้ปลายมือสัมผัสเพลิงทำคำขาวด้วยใบหน้าแสนเรียบเฉย
“จุดประสงค์คืออะไรเหรอ ที่ทำก็แค่เปลี่ยนสีเพลิง ไม่ได้มีผลลัพธ์อะไรที่ต่างไปจากเดิมเลยนะ”
“เพราะเธอชอบทองคำขาว ฉันก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ซะหน่อย”
“น่าสนใจดี เป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การหายใจเข้าออก”
กล่าวจบเปลวเพลิงสีขาวก็พวยพุ่งออกมา กลมกลืนไปกับเพลิงทองคำขาวเสมือนว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“รู้ด้วยเหรอว่าตัวเราชอบอะไร”
ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ ในฐานะแฟนคลับนิยายต้นฉบับน่ะนะ
ดิลุคหลงใหลใน ‘ทองคำขาว’ ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่เพลิงสีขาวของเธอก็มีต้นแบบมาจากสีของทองคำขาว ทั้งกลิ่นของเปลวเพลิงยังเหมือนกับทองคำขาวเป๊ะๆอีก บอกว่าเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ยากจะเข้าใจก็คงได้ มันชวนให้สงสัยน่ะว่าทำไมจอมมารผู้ใช้ชีวิตตามเหตุผลมากที่สุดอย่างดิลุค จึงมีสิ่งที่ชอบ หรืองานอดิเรก
จริงๆแล้วมันก็มองว่าไม่ได้แปลกอะไรเลยได้เหมือนกัน แต่ในฐานะนักอ่านที่เฝ้ามองเรื่องราวมาตลอด ..หรือกระทั่งตอนนี้ในฐานะ เรเซอร์ ดราแคล์ ก็คิดเหมือนกันหมด
“ก็ต้องรู้สิ เธอก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”
“อือ จะมาไม้นี้สินะ” ดิลุคถอนหายใจ “โน้มน้าวใจมันใช้ได้แค่กับพวกที่ลังเลในเส้นทางของตัวเอง แต่ใช้กับเราไม่ได้หรอกนะ เรเซอร์เองก็น่าจะรู้นี่ว่าเราน่ะผ่านอะไรมามากมายกว่าที่คิด ผลลัพธ์มันจึงลงเอยเช่นนี้ ..ไม่ใช่โศฐนาฏกรรม มันก็แค่สิ่งที่เราเลือก ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เราพร้อมแบกรับมันทั้งหมด”
รู้อยู่แล้วละ เรื่องนั้น
“อย่าได้คิดดูถูกเส้นทางที่เราเลือก หากคิดจะหลอกล่อด้วยคำพูดโลกสวย ตัวเราก็จะก่นด่าจากใจจริงด้วยสารพัดคำกล่าว ..แทนที่จะทำเรื่องไร้ราคาพรรค์นั้น สู้ใช้กำลังบังคับขืนใจกันเสียยังจะดูดีกว่า—เจ้าคนโลภมาก”
เพลิงสีขาวพุ่งเข้าใส่ผม—ผมตอบโต้ด้วยเปลวเพลิงในปริมาณที่มากกว่าหลายเท่าตัว
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แน่นอนว่าเพลิงสีขาวคือพลังทำลายล้างที่มากที่สุดบนโลก เพลิงที่กลมกลืนไปกับทองคำชาวผ่านเพลิงทำลายล้างของผมเข้ามาอย่างง่ายดาย
“เบลลามี!”
“อือ”
ผมเลือกจะคว้าตัวเบลลามี และกระโดดหนีออกมา จากนั้นก็ร่ายเวทย์ทับเข้าไปบนอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงทองคำขาว
“[อินเฟอร์นอร์ฟิลด์] !!”
ก่อนที่คอมโบการระเบิดจากภายในของผมจะเริ่มต้นขึ้น-
“[อินเฟอร์นอร์ฟิลด์]”
ดิลุคคาดเดาได้ และขัดมันด้วยการร่ายเวทย์บทเดียวกันทับ ทำให้ข้อได้เปรียบต่อจากนี้ถูกหักล้างจนหมดสิ้น ทั้งยังไม่ใช่แค่นั้น-
“[อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง]-[ทองเจิดจรัส]”
ราวกับล้อเล่นกัน ดิลุคสร้างอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงสีทองขึ้นมา ซึ่งดูเป็นขั้วตรงข้ามกับทองคำขาวสุดๆ
สุดท้ายข้อได้เปรียบจากเขตุแดนทั้งหมดก็โดนหักล้างโดยดิลุค และด้วยมานาที่มหาศาล ทำให้เธอไม่มีทางถูกบีบด้วยขีดจำกัดเหมือนดั่งที่ผมเผชิญหน้ากับเอเธอร์ กล่าวก็คือต่อให้ผมมีวิหคอมตะ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมได้เปรียบในแง่ของระยะเวลาการต่อสู้เลยสักนิด
“ชวนให้นึกถึงตอนบนเกาะวาเรอร์เลยแฮะ!”
“เป็นประสบการณ์ที่เลวร้าย” เบลลามีเสริมอย่างหดหู่
ให้พูดในฐานะตัวผม การต่อสู้กับดิลุค มันยากลำบากกว่าการสู้กับเอเธอร์มาก ในกรณีของเอเธอร์ผมได้เปรียบด้วยอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะมานาที่น้อยนิดของเอเธอร์ ทำให้ไม่สามารถแก้ทางการถล่มด้วยเวทมนตร์เชิงเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งกินมานามหาศาลได้ แต่กับดิลุคผมไม่มีข้อได้เปรียบอะไรมาใช้กดเธอได้เลย เพราะเธอมีมานามากมายพอจะแก้ทางทุกอย่างได้—กลับกัน เธอสามารถทำทุกอย่างที่เอเธอร์ทำได้ แม้จะไม่ใช่ด้านพลังกายหรือทักษะการต่อสู้ แต่วัดกันที่เวทมนตร์ หรือศาสตร์เกี่ยวกับมานาทั้งหมดบนโลกใบนี้ เธอเหนือกว่าผมหลายเท่าตัว อยู่ในระดับไล่เลี่ยกันกับเอเธอร์ด้วยซ้ำ
เป็นเอเธอร์ในเวอร์ชั่นที่ด้อยเรื่องร่างกาย แต่ทดแทนด้วยมานาที่ท่วมท้น
ทุกอย่างที่ผมทำได้ เธอทำได้มากกว่า และดีกว่า คงมีแค่ ‘ยูนา’ และ ‘วิหคอมตะ’ สองอย่างเท่านั้นที่เธอไม่สามารถเลียนแบบได้
อย่างไรก็แล้วแต่ ที่ผมจะพูดก็คือ—กับดิลุค ผมไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย
“[เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ] [เสริมการลอยตัว] [เสริมการเดิน] [เสริมการเกาะผืนดิน] [เสริมกระปีนไต่] [เสริมการทรงตัว] ”
“ [เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ] [เสริมการลอยตัว] [เสริมการเดิน] [เสริมการเกาะผืนดิน] [เสริมกระปีนไต่] [เสริมการทรงตัว] .. [เสริมการทนทานต่อเพลิง] ”
ดิลุคจงใจเลียนแบบการขอพรของผม และจงใจเกทับด้วยจำนวนพรที่มากกว่าหนึ่งข้อ
“[เสริมการทนทานต่อเพลิง] !” ผมทุบอกดังลั่น และโพล่งออกมา “ [ตัดมิติ]-[ถลายขีดจำกัด] !!!!!”
“ไม่ได้เห็นตั้งนาน”
ร่างของผมมีรอยกระจกแตก และพร้อมกันนั้นร่างก็เลืองแสงออกมา ทุกอย่างถูกยกระดับไปหลายขั้น–ผมบินขึ้นไปบนฟ้า และกระหน่ำยิงเพลิงทำลายล้างเข้าใส่ดิลุคในจำนวนที่มาก พร้อมเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
‘เรลันดาฟ’ [ฟอร์มคทาเวทย์] สร้างวงแหวนขึ้นสิบวง ทั้งสิบวงคือการร่ายเวทมนตร์พร้อมกันสิบบท ผมเร่งประสิทธิภาพสมองตัวเองด้วยวิหคอมตะ เพียงพริบตาเดียวการทำลายล้างระดับถล่มเมืองก็พุ่งเป็นประกายเพลิงเข้าใส่ดิลุคบนพื้นดิน
“พัฒนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ ..ระดับตอนนี้ค่อนข้างสุดยอดเลย”
ดิลุคเหวี่ยงแขน–ทำเพียงแค่นั้น เวทมนตร์ทุกบทก็ถูกเผาทิ้งด้วยเพลิงสีขาว
ไม่ได้แม้กระทั่งเสียง พูดถึงสิ่งที่สัมผัสได้น่าจะมีแค่กลิ่นทองคำขาวซึ่งลอยเข้าจมูกมาเท่านั้น
“เบลลามี ..ตัวเธอดิลุคนี่มัน”
“สุดยอดเลยนะ เราก็ไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาตัวเอง”
นี่แหละนะ ตัวตนที่เคยเกือบจะมอบจุดจบให้แก่โลกได้สำเร็จ ..ไม่ใช่ว่าถ้าเป็นดิลุคในปัจจุบันนี้จะสามารถเอาชนะ ‘เทพมังกร’ ได้ด้วยตัวคนเดียวแล้วหรอกนะ? เทียบกับตอนยุคโบราณ คิดว่าดิลุคคงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลผ่านเวลานับล้านปี
“มีดีแค่นี้เหรอ? มีแค่นี้แล้วคิดมาท้าทายจอมมารคนนี้เหรอ?”
คำท้าทายที่เปื้อนด้วยเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ดิลุคเอ่ยทั้งรอยยิ้มที่ว่างเปล่า คล้ายกับเอเธอร์
“ถ้าเป็น ‘ท่านพี่’ ของเราละก็ เขาจะพุ่งมากระซากเพลิงสีขาวของเราทิ้ง และอัดเราเสียจนเละได้แล้วนะ และหากเขาถือครอง ‘ดาบแห่งผู้กล้า’ อยู่ เราก็จะตัวขาดครึ่งในทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องใช้จังหวะหนึ่งสองสามเล่นงานเรา”
แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยสินะ ..บางทีผมอาจจะเหลิงเกินไปที่เกือบจะชนะเอเธอร์ได้ ที่ผมชนะได้เป็นเพราะได้เปรียบจากข้อเสียของเอเธอร์ล้วนๆ เลย ผมก็แค่บังเอิญเป็นตัวแก้ทางเอเธอร์เท่านั้น แต่เดิมการชนะ หรือเสมอกับเอเธอร์มันก็ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์อย่างผมจะทำสำเร็จได้อยู่แล้ว—อะไรฟร้ะนั่น พี่น้องคู่นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งขนหัวลุก
แข็งแกร่งที่สุด ไม่ได้หมายถึงเอเธอร์ก็หมายถึงจอมมารได้เหมือนกันละมั้งเนี่ย
“เริ่มจากลดภาระตัวเองโดยการโยนตัวเราเบลลามีลงพื้นมาดีกว่ารึไม่ จากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที”
โอ๊ะ พูดถึงเบลลามีที่เกาะหลังผมเป็นสล็อตอย่างนั้นอีก ใจร้ายซะจริงๆ
“ให้โยนเบลลามีทิ้งได้ที่ไหนกัน–ก่อนจะสั่งสอนอะไร ก็ช่วยเอาชนะฉันให้ได้ก่อนละกันนะ!”
จะยังไงก็ช่างมันไป จะคู่ควรหรือไม่ ทำไม่ได้หรือไม่ ไว้ค่อยไปคิดหลังจากลงนรกก็แล้วกัน สำหรับตอนนี้ต่อให้โอกาสมีเพียงหนึ่งในสิบ ผมก็จะทำ!!
“ [ไฟเยอร์]!!!!”
เหมือนดั่งที่คนที่ผมนับถือเคยกล่าวเอาไว้ ..
“เรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ให้ตัวเองในวันพรุ่งนี้จัดการ!”
เหมือนกันกับ-เรื่องตอนแพ้แล้วลงนรกก็ให้ตัวเองตอนลงนรกไปแล้วจัดการกับความรู้สึกเอง ไงละโว้ย!!!!
****
เป้าหมายคืออะไรกัน?
ตู้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เปลวเพลิงทำลายล้างถูกย้อมด้วยเพลิงสีขาว และเป็นธุรีในทุกๆวินาที ภายในอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงทองคำขาว โลกใบนี้ได้สั่นสะเทือนนับครั้งไม่ถ้วนจากการปะทะกันระหว่างจอมมาร และเปลวเพลิงของทั้งสองจอมมาร
ผู้เรียกตนว่า ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ ได้ท้าท้าย ‘จอมมารแห่งจุดเริ่มต้น’ โดยไม่สมความต่างที่มี
มีเพียงความอวดดีเท่านั้น ควรจะคิดเช่นนั้น แต่จอมมารแห่งจุดเริ่มต้น ดิลุคกลับคิดมากเกินไป
“การต่อสู้พรรค์นี้มีความหมายอะไรกัน”
เธอตั้งคำถาม ขณะที่รับมือกับการกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่งเบื้องหน้า เป็นสุดยอดการโจมตีที่บนโลกใบนี้ไม่น่ามีใครจะตั้งรับได้โดยตรง นอกจากเธอ และคนอีกราวสองคน อาทิเช่น ‘เทพมังกร’ และ ‘คำโกหกของทวยเทพ’ ซึ่งแม้แต่เอเธอร์คนนั้นก็ไม่ได้ติดอยู่ในลิสต์รายชื่อนี้
กล่าวก็คือจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยละ กระนั้นนี่ก็ยังเป็นการต่อสู้ที่ไร้ค่า ไม่มีอะไรนอกจากการกระหน่ำจูู่โจมอย่างไร้ความหมาย จอมมารจึงตั้งคำถาม
“หืม?”
[ทวนสายฟ้า] พุ่งมาทางซ้ายของร่างพร้อมกันสิบบท—-จอมมารดีดนิ้ว เรียก [หลุมดำ] ออกมากลืนกินทุกบท พร้อมกับใช้มืออีกข้างร่ายเพลิงสีขาวมาตั้งรับเพลิงทำลายล้างจากข้างบน
“….”
“—!!”
เรเซอร์ ดราแคล์ เคลื่อนตัวผ่านเปลวเพลิงมาประชิด พร้อมกับตัวเธอเบลลามี ทั้งสองใช้การตัดมิติช่วยเร่งสปีดตัวเองให้เข้ามาประชิดได้ในอึดใจเดียว
ก่อนที่เพลิงทำลายล้างจะเข้าทำลายดิลุค เธอพึมพำเบาหวิว-เพลิงสีดำทมิฬเข้าปกคลุมรอบๆ การโจมตีทั้งหมดของเรเซอร์ไร้ผลด้วยเพลิงแห่งการกลืนกิน จากนั้น [ดาบแห่งแสง] ก็ส่องประกายหนึ่งจังหวะ แขนข้างขวาของเรเซอร์ถูกสะบั้นจนขาดในพริบตาเดียว พร้อมกันกับเบลลามีที่โดนลูกหลงจนขาขาด
เพลิงสีขาวหดเข้าสู่มือของผู้เป็นนาย มันเปลี่ยนร่างกลายเป็นดาบ
“ [ดาบประกายแสงดาว] ”
ประกายดาบพุ่งผ่านหน้าท้องของเรเซอร์ เข้าทำลายวงจรเวทย์ทุกอย่างจนหมด-เสมือนการตัดสิทธิ์การใช้งาน ‘วิหคอมตะ’ กลายๆ
“ไอวิชาบ้านี่อีกแล้ว-!”
เหมือนว่าจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดคนนี้จะมีปมกับวิชาดาบของเทพดาบไม่ใช่น้อย สังเกตุได้จากสีหน้าที่คล้ายจะร้องไห้
คงเป็นปกติ เพราะวิชาดาบนี้ทำให้ชายคนนี้แพ้มาหลายต่อหลายครั้งอย่างเกินคาดตลอด
อย่างไรก็แล้วแต่ ผลลัพธ์จากการเข้ามาประชิดจอมมารแบบไม่คิดก็คือ–เรเซอร์สูญเสียวงจรเวทย์ เบลลามีสูญเสียการเคลื่อนไหว
ชัยชนะเป็นของจอมมารแล้ว
“แบบนี้แหละ”
ทว่า เบลลามีกลับพึมพำทั้งรอยยิ้ม
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนนั้นเหรอ? จอมมารตั้งคำถาม และพยายามไล่ทำความเข้าใจความคิดของตัวเองอีกคน
กลไกในสมองทำงานไปไม่ทันจะจบ คำตอบก็ปรากฏเมื่อมีสัตว์ประหลาดสองตนออกมาจากข้างหลังของเบลลามี มันคืออำนาจมหาบาป ‘บาปแห่งความตะกละ’ อำนาจที่จะกลืนกินชีวิตมาเป็นพลังให้แก่ตนเอง
ดิลุคเบิกตาโพงกว้าง ก่อนยิ้มมุมปาก
“-อย่างนี้นี่เอง”
จะว่าไป ..หลังจากที่ตายไป
“[บิลเซบับ]-[กลืนกิน]!!”
“พลังของบิลเซบับอยู่กับตัวเราเบลลามีนี่นะ ลืมไปเสียสนิทเลย”
ดิลุคก้าวถอยหลัง พร้อมกับเปลวเพลิงสีดำที่เข้ามาปกป้อง–เปลวเพลิงสีดำถูกอำนาจของบิลเซบับกลืนกิน และดูดเข้าไปภายในร่างกายของเบลลามี
“ขอยืมหน่อยนะ”
“ตามสบาย”
ดิลุคยกมือขึ้นฟ้า และสับลงพื้น เปลวเพลิงสีขาวพุ่งออกมา พร้อมกันกับเปลวเพลิงสีดำที่กลายเป็นของเบลลามีที่พุ่งเข้ามาปะทะกันเป็นเกลียว ก่อนที่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เบลลามีถีบตัวเองวิ่งเข้าใส่ดิลุค
“[มิติกระจก]!!”
เรเซอร์ ดราแคล์ที่น่าจะสูญเสียวงจรเวทย์ไปแล้วกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น-ดิลุควิเคราะห์ชั่วพริบตาเดียวก็ได้คำตอบ
เมื่อสักครู่นี้ เบลลามีใช้พลังที่เก็บไว้ในบิลเซบับในการรักษาวงจรเวทย์ส่วนเล็กๆของเรเซอร์ และให้เรเซอร์ใช้วิหคอมตะฟื้นฟูตัวเองอีกที
“เบลลามี!!!”
“เราจัดการเอง ..!”
สุดท้ายจอมมารก็พลาดท่า เพียงเพราะเผลอลืมการมีอยู่ของบิลเซบับไป ..เบลลามีเข้าประชิดดิลุคได้ และสวมกอดเธอ
“จะยังไงก็แล้วแต่.. [จงเป็นหนึ่ง] ”
“..เป็นปัญหาซะแล้วสิ”
แสงสว่างเข้าปกคลุมร่างของทั้งสอง ..
…….
……
บนโลกแห่งเปลวเพลิงทองคำขาว เหลือเพียงแค่คนสองคนที่ยืนอยู่
เรเซอร์ ดราแคล์ที่ทั้งร่างถูกคลุมด้วยวิหคอมตะ และจอมมารดิลุค ซึ่งมีปลายผมสีดำโผล่ออกมาอย่างปริศนา
“แฮก ..แฮก ..”
เรเซอร์ลงไปนั่งกองกับพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้า และถอนหายใจเฮือกโต
****
บนโลกที่ไร้ซึ่งผู้คนรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โลกภายในจิตใจของ ‘จอมมาร’ ทั้งสองส่วนยืนอยู่ข้างๆกัน พลางมองไปรอบๆโลกที่พวกเธอเองก็ไม่อาจทราบแน่ชัดได้ว่ามันคือที่แห่งไหน
ดิลุคหันไปพูดกับเบลลามี
“ในช่วงที่แยกกันชั่วคราว ไปเก็บเกี่ยวของดีๆไว้เต็มตัวเลยสินะ”
“เพื่อเอาชนะตัวเราให้ได้ เพื่อไม่ให้เจตจำนงศ์ของบิลเซบับสูญเปล่าด้วย ..เลยใช้เวลาเก็บมาเยอะเลย”
“ในทีแรก เราคิดว่าจะเข้ามาโน้มน้าวเราโดยไม่ได้คิดอะไรเลยซะอีก แต่ก็สมกับเป็นตัวเรา อย่างน้อยก็ยังฉลาดพอจะคิดได้ว่าไม่ควรไปหาเรื่องใครโดยไม่วางแผน”
ดูไม่เหมือนคำชมเสียเท่าไหรก็จริง แต่เบลลามีดีใจหน่อยๆจนหลุดยิ้มจางๆออกมา
“แต่ว่าตัวเราดิลุค ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย”
“เพราะเผลอลืมตัวตนของบิลเซบับเข้าน่ะ”
“ไม่ใช่เผลอหรอก เธอจงใจลืมต่างหาก”
“อืม เป็นข้อสันนิฐานที่น่าสนใจดี”
“ความจริงต่างหาก ตัวเราดิลุคแค่พยายามจะลืมมันต่างหาก”
“มีเหตุอันใดจำเป็นต้องลืมด้วยล่ะ?”
“เพราะมันเจ็บปวดจนอยากจะลืม ..”
ดิลุคกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา
“เอาจนได้ จะมาไม้นี่กันสินะ”
“อือ ไม้นี้แหละ”
“ถ้าไม่สำเร็จ?”
“จะลงนรกพร้อมกันกับเรเซอร์”
“รู้รึเปล่าว่าชีวิตที่ฝากชีวิตไว้กับคนอื่นนั้นไร้ค่า โดยเฉพาะกับผู้หญิง เราเกลียดคนประเภทที่ยอมตายเพื่อคนอื่นได้ที่สุด ตัวเราเบลลามีคงจะเข้าใจดีนะ”
“ไม่เข้าใจหรอก ทำไมถึงไร้ค่าเหรอ?” เบลลามีฝืนยิ้ม และพูด “ชีวิตที่ต่างฝ่ายต่างฝากให้กัน มันไร้ค่ายังไงเหรอ?”
…….
มันต่างอะไรกับที่ทุกคนฝากชีวิตให้กับเธอด้วยเหรอ? แม้จะไม่ได้พูดออกมาโดยตรง แต่ดิลุคก็หลอนได้ยินไปอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว ในส่วนลึกของจิตใจเธอเองก็รู้ดีว่าในยุคโบราณ ..เธอฝากชีวิตตัวเองให้กับคนอื่นหลายต่อหลายครั้ง เหมือนกับที่เบลลามีพูด ยากที่จะปฏิเสธในหัวข้อนี้
“ถ้าคิดจะโน้มน้าวใจกันเราก็บอกแต่แรกแล้วว่าเปล่าประโยชน์”
“ไม่ได้ดูถูก และไม่คิดว่าที่ทำมันเปล่าประโยชน์ ..ตัวเราดิลุค—ช่วยเปลี่ยนใจด้วยเถอะ”
“….”
“ลามือจากการทำลายโลกเถอะนะ”
ดิลุคถอนหายใจ ก่อนจะได้พูดอะไร เบลลามีก็พูดขึ้นมาก่อน
“เป็นการแลกเปลี่ยน เรากับเรเซอร์ ..เรากับทุกคน จะแสดงให้เห็นเอง”