เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 56: การเยี่ยมเยือนป่ามหาภูตของวิน (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 56: การเยี่ยมเยือนป่ามหาภูตของวิน (1)
< < 47 > >
ปี 2369 (เริ่ม0ตอนที่มหามังกรถือกำเนิด) (ปีเดียวกับที่เรเซอร์เข้าเรียน และเวลาเดียวกันกับที่เรเซอร์เต้นรำสานสัมพันธ์จบไป..) ณ อาณาจักรเนลยอน แห่งทวีปเนลยอน แดนแห่งมหาสมุทร
“—เฮ้อออ เหนื่อยชะม๊าดดด”
สาวน้อยร้องออกมาขณะที่เดินอยู่ตามทางตามเดิน หล่อนเดินไปบิดขี้เกียจไปด้วย ราวกับคนแก่วัยเกษียน
เธอมีเลือนผมเป็นสีทองทรงหางม้า ซึ่งบนศรีษะถูกปัดไว้ด้วยหมวกแก๊ปลายทะเลดูเห่ยและเก่า
และเธอคนนี้แต่งตัวสุดจะแปลกตา ..หล่อนสวมเสื้อยืดสีขาว และเสื้อนอกลายคลื่นทะเล และพระอาทิตย์อัสดงยามเย็น พร้อมกับลายก้อนเมฆสีขาวซึ่งลอยอยู่เหนือคลื่นทะเล สวมกางเกงยาวถึหัวเข่าสีดำ สวมรองเท้าอีแตะเก่าๆโทรมๆ ดูเหมือนผ่านศึกมาเยอะ
รวมๆแล้วแต่งตัวได้ไม่ลงตัวเลย เหมือนยัดเอาของที่ชอบๆมาใส่ยัดๆก็แค่นั้น—เธอคนนี้เหมือนกับแต่งตัวมางานเทศกาล ทั้งๆที่ไม่ใช่
“พอเหนื่อยมากๆแล้วจะทำอะไรมันก็เบื่อไปหมดเลยเนอะ อาจารย์”
หล่อนพูดออกมา ..ทั้งๆที่ไม่มีใครสนทนาด้วย—ไม่สิ พูดให้ถูกคือสนทนากับวิญญาณอยู่
ยากจะเชื่อ แต่มนุษย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ที่ครอบครองวิญญาณระดับเทพอย่าง ‘แรกซ์ ราชันย์แห่งไสยศาสตร์’ นามนั้นคือ ‘วิน’
และตอนนี้หล่อนก็กำลังคุยโต้ตอบกับวิญญาณระดับเทพในพันธสัญญาซึ่งใช้คำเรียกแทนว่า ‘อาจารย์’ บ่งบอกให้เห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ในสถานนะนายบ่าวกับแรกซ์ แต่อยู่ในฐานะศิษย์และอาจารย์
“ใช่มะๆ อยากกลับไปนอนตายชักแล้ว ..อือๆ ดันโดนเนลยอนบังคับมานี่นะ”
วินพูดคุยกับวิญญาณระดับเทพอย่างไม่อายสายตาใคร การถูกมองว่าแปลกสำหรับเธอเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“เอาเป็นว่า รีบๆเคลียร์ให้จบแล้วกลับไปนอนดีกว่า”
ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย ณ หน้าคฤหาสน์ขนาดยักษ์ วินชะโงกหน้ามองตรงกระจกที่เปิดอยู่
“ดีละ”
กล่าวจบหล่อนจึงกระโดดไต่กำแพงและข้ามฝากหน้าต่างออกมายันห้องของที่หมาย—–ทันใดนั้นก็ปรากฏให้เห็นกับเด็กหนุ่มหรือเด็กสาวไม่แน่ชัด ที่มีเลือนผมสีฟ้าประกาย ตัวเตี้ยราวเด็กมัธยมต้น ..ตัวตนเบื้องหน้าคือ ‘มหามังกรวารี เนลยอน’
หนึ่งในสุดยอดตำนานของโลกตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน
เนลยอนส่งสายตาที่หงุดหงิดมาทางวินอย่างไม่ปิดบัง เขาไร้ซึ่งความหวั่นเกรงต่อวินผู้ครอบแรกซ์
“..ไม่ใช่ว่าเคยเตือนแล้วหรือไงเจ้าลิง ว่าให้เข้าหน้าประตูดีๆแบบไม่วิ่งน่ะ”
วินเท้าสะเอวตัวเองพลางเขม็งกลับแบบหน่ายใจ
“ใช้งานคนให้ไปทำงานข้ามทวีปมายังจะบ่นจุกจิกอีกนา เพราะแบบนี้ไงเลยโสดสนิทมาตั้งแต่โดนวีรสตรีกระทืบจนฟันน้ำนมร่วงน่ะ” วินยิ้มมุมปาก เป็นหนึ่งในการหยอกล้อที่เธอชื่นชอบ
“สมกับเป็นลิง ขุดแต่เรื่องเก่าๆ”
“หวายๆ จี้ใจดำอะสิ”
“..จะทำเมินให้”
เนลยอนทำทีเปลี่ยนเรื่อง วินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ
“ช่วยรายงานผลด้วย”
“เข้าใจแล้วค่า เข้าใจแล้ว”
วินนั่งลงกับเก้าอี้ตรงข้ามเนลยอน และเริ่มเล่าให้ฟัง ..เกี่ยวกับเรื่องที่เมืองชันไม และป่ามหาภูต
..รวมไปถึง ความบังเอิญที่ได้พบกับ ‘สัตว์ประหลาดที่แท้จริง—-เอเธอร์’ ตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกคนปัจจุบัน
****
(มุมมองของวิน)
ขณะนี้ตัวฉันที่เป็นคนจากอาณาจักรเนลยอนแท้ๆกำลังเดินเล่นอยู่ในเมืองชันไม ซึ่งเปรียบได้ดั่งเมืองขึ้นของอาณาจักรฟัฟนิร์ ..น่าแปลกเนอะ ทำไมคู่อริจากเนลยอนอย่างฉันถึงได้มาเยือนเมืองแห่งนี้ได้
เรื่องนั้นเป็นเพราะงานที่จู่ๆเนลยอนก็โยนมาให้—
‘จงไปยืนยันสถานะของยูนาที่ป่ามหาภูต’
เห็นว่ามางี้ ไอ้ฉันตอนนั้นพึ่งกลับมาจากงานหนักๆเองแท้ๆ ดันไล่ให้ไปทำงานต่อไปแล้ว ไร้ซึ่งความเมตตาจริงๆมหามังกรวารีท่านนั้นเนี่ย
“ใช้งานเยี่ยงทาสยังไม่พอ เอาแต่เรียกกันว่า ไอ้ลิง~ เจ้าลิง~ ลิงโง่~ บ้างละ” ฉันหยักไหล่บ่นให้คนข้างตัวฟัง “อาจารย์ไม่คิดว่าใจร้ายหน่อยเหรอ?”
แม้ข้างๆฉันจะไม่มีใครเลย แต่คนข้างตัวที่ว่าหมายถึง ‘ราชันย์ไสยศาสตร์’ ผู้ปัจจุบันได้รับการบรรจุเป็นวิญญาณระดับเทพ ว่าอีกอย่าง ฉันคือผู้ใช้วิญญาณระดับเทพละ
‘ฮึ ฮึ เนลยอนมันเป็นเช่นนี้แหละ สมัยที่มีเรื่องกับยูนาก็วางท่าข่มเจ้าตัวตลอด ..ว่าอีกอย่างคือมังกรนั่นจะข่มผู้ที่เหนือกว่าตน’
“เหวอ~ หนูเนี่ยนะ?”
‘อือ หนูนั่นแหละจ๊ะ’
อนึ่งเวลาพูดกับอาจารย์ฉันจะแทนตัวเองว่า ‘หนู’ และอาจารย์ก็จะเรียกฉันว่า ‘หนู’ เช่นกัน น่ารักใช่มั้ยล่ะ? ไอ้ฉันชอบการพูดแบบนี้สุดๆเลย พอคิดว่าวิญญาณระดับเทพโต้ตอบแบบนั้นแล้วมันชวนตลกพิลึก
‘คิดแบบนี้กับอาจารย์เองสินะ’
ล้อเล่นน่า ล้อเล่น~
อย่างที่เห็น ฉันกับอาจารย์สนิทกันดี พวกเราเริ่มจับคู่กันก็ตั้งแต่เกิด ..ใช่ ฟังไม่ผิด ตั้งแต่เกิดฉันก็ได้ครอบครองวิญญาณระดับเทพแล้วละ เพราะเหตุผลทางอาณาจักรแสนจะสกปรกหลายต่อหลายอย่าง~ อะนะ
‘จะว่าไปวิน ไม่ใช่ว่าเธอต้องไปป่ามหาภูตหรือไง?’
แหม่~ มันก็อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทั้งที ค่อยไปก็ได้มั้งป่ามหาภูตอะไรนั่นน่ะ
‘นั่นสินะ สมกับเป็นเธอดี ฮึ ฮึ’ อาจารย์หัวเราะพึมพำในลำหัว ‘แล้วคิดจะไปไหนละ?’
“..นั่นสินา” ฉันมองไปรอบๆ ก่อนขมวดคิ้วหน่อยๆ “เมืองมันสวยก็จริงแต่ไม่ได้ต่างกับเนลยอนเท่าไหร่เลย ..มีอะไรเจ๋งๆบ้างเนอะ”
เคยได้ยินชื่อเสียงของชันไมมาบ้าง เห็นบอกว่าไม่ป่ามหาภูตก็บ่อน้ำร้อน ..อาจารย์เป็นอดีตอาจารย์ของท่านวีรสตรีคนนั้นไม่ใช่หรือไง?
‘คนนั้น? ยูนาน่ะรึ?’
ใช่ๆ เห็นว่าสนิทกันด้วย เคยเล่าว่าตัวเองเป็นวิญญาณระดับเทพก่อนยูนาขั้นหนึ่งนี่
‘..คงนั้น แล้วยูนามาเกี่ยวอะไรกับการเที่ยวเล่นละ?’
ช่วยพาหนูทัวส์ประวัติศาสตร์โลกหน่อยสิ ที่เมืองชันไมเป็นที่ตายของท่านวีรสตรีไม่ใช่เหรอ? โชคดีมีไกด์แบบอาจารย์ของท่านยูนาทั้งที
‘นั่นสินะ’ อาจารย์นึกครู่หนึ่งก่อนโพ่งขึ้น ‘เมืองชันไมมาตั้งหลังยูนาเสียน่ะ ไม่น่ามีประวัติอะไรหลงเหลือนอกจากประวัติปลอมๆหรอก ..ถ้านั้นช่วยออกนอกเมืองทีสิ บริเวณรอบป่ามหาภูตน่ะ ที่นั่นมีประวัติศาสตร์สำคัญอยู่’
โอเคร~ เอาตามนั้นนะ
ว่าจบฉันก็มุ่งไปตามที่อาจารย์บอก …
..สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หลุมศพของใครสักคน ..ตัวหลุมศพทำจากหินล้วนๆ รอบนั้นล้อมไปด้วยดอกไม้ที่น่าจะหายสาบสูญตั้งแต่พันปีก่อนแล้ว ..
“..นี่มัน”
‘หลุมศพของสหายยูนาน่ะ เรียกว่าคนสำคัญที่สุดยังได้เลย’ อาจารย์หัวเราะพึมพำ ‘เพราะการตายของเธอคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้ยูนาเริ่มต่อกรเหล่ามังกรธาตุอย่างเอาจริงเอาจัง’
หมายความว่าก่อนหน้านั้นไม่ได้เอาจริงสินะ—เหวอ~ ท่านวีรสตรีนี่สัตว์ประหลาดชัดๆ
‘คงจะอย่างนั้น ยูนาสมัยมีชีวิตแข็งแกร่งมากเลย เธอมีพลังสุดแกร่งตั้งแต่กำเนิด ดาบมหาภูต และเกราะที่ทำจากหนังของมหามังกรทุกธาตุ และหัวใจของราชันย์มังกร …เธอในเวลานั้นแข็งแกร่งทัดเทียมจอมมารดิลุคเลยละ’
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้รับบรรจุชื่อเป็นวิญญาณระดับเทพ
“จะว่าไปทุกวันนี้ดาบมหาภูตของท่านยูนาเนี่ย กลายมาเป็นมหาภูตแล้วใช่มั้ยอาจารย์?”
‘ใช่แล้ว’
..ตื่นเต้นจังนา จะได้เจอกับตัวตนระดับนั้นแล้ว มหาภูตเป็นคนยังไงอะ?
‘..นิสัยค่อนข้างมีปัญหาหน่อย สมัยก่อนเป็นคู่กัดกับยูนา เวลาสู้จะทะเลาะกันด้วยไปตลอด ต่างคนต่างทวงบุญคุณกัน ..เป็นพวกชอบหาเรื่องชาวบ้านน่ะ แล้วอยู่เป็นด้วย’
รวมๆแล้วไม่น่าคบหา …
ฉันเอือมกับท่านมหาภูตหน่อยนึง
“แล้วเพื่อนของท่านวีรสตรีละ?”
หมายถึงคนในหลุมศพ
‘..เรียกได้ว่าคนดียากจะหาได้ง่ายๆเลย ทะเลาะกับยูนาบ่อยก็จริงแต่เป็นการทะเลาะแบบเพื่อนคุยเล่นกัน’ อาจารย์ถอนหายใจ ‘สมัยนั้นลูกชายของอาจารย์ไปเป็นทหารที่นั่นน่ะ เลยมีเหตุการณ์เยี่ยมเยือนอยู่ประจำ’
..ลูกชายของอาจารย์เหรอ..
ฉันเกิดซึมขึ้นมา เพราะลูกชายคนนั้นอาจารย์เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ—-เล่าถึงสัตว์ประหลาดที่กระหายความเป็นอมตะจนหลงผิด จนถูกยูนากำราบลง นามของสัตว์ประหลาดผู้กระหายในชีวิตที่เป็นนิรันดร์นั้นคือ ‘เรน’ ลูกชายแท้ๆของราชาไสยศาสตร์ที่ตัวฉันถือครองในปัจจุบัน
“สมัยนั้นลูกชายอาจารย์ยังไม่เกรียนแตกสินะ”
‘เวลานั้นเรียกว่าชายฉกรรจน์ในอุดมคติยังได้เลย’
ทำอีท่าไหนถึงหลงผิดได้ขนาดนั้นกันนา
‘ก็หลายๆอย่าง เอาเป็นว่าอย่าคิดมากเลย’
นั่นสินะค่ะ ขอโทษด้วยนะอาจารย์
‘ไม่หรอก แค่พาศิษย์รักทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์เอง’
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ติดลมเล่าเรื่องในอดีตตามภาษาคนแก่เกือบๆชั่วโมงจนจบ ..
‘โทษที ติดลมไปหน่อย’
ไม่หรอกจารย์ แต่ได้เวลาแล้วละ คิดว่า
ฉันหันหลังให้กับหลุมศพที่มีหน้าประวัติศาสตร์มากมายสลักไว้ และออกเดิน
“ไปป่ามหาภูตกันเถอะ อาจารย์”
****
ฉันก้าวเท้ามาสู่ป่ามหาภูต เพียงก้าวเดียวหลังจากที่เข้าสู่เขตุแดนป่าของเหล่าปวงภูต ฉันได้ถอนหายใจและผสานมือตัวเองเพื่อให้วงจรเวทย์ได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง พลันใดนั้นทั่วทั้งร่างได้ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวและดำ—
“[ไสยศาสตร์]—[แทรกซึม]—[จงปรากฏ]”
เพียงเชี่ยวเดียวอากาศก็ได้แปรปวง บรรยากาศรอบตัวพลันบิดเป็นเกลียว
..สุดท้ายฉันจึงโผล่มายันโลกหลากสีสันต์
“สุดยอดเลยเนอะ โลกของปวงภูตเนี่ย”
อย่างที่กล่าวไป ตอนนี้ฉันยืนอยู่บนมิติของเหล่าภูต หรือว่าง่ายๆคือ ‘โลกของปวงภูต’
ด้วยพลังของราชาไสยศาสตร์ทำให้ฉันสามารถใช้วิชาไสยศาสตร์ได้ทุกรูปแบบในระดับสูง หนึ่งในวิชาความสามารถทางไสยศาสตร์ของอาจารย์ที่ฉันใช้คือ ‘แทรกซึม’ ในระดับต่ำจะมีผลทำให้คนที่มานาน้อยมองไม่เห็น แต่ในระดับสูงจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปยันมิติหรือพื้นที่ลับของชาวบ้านได้
เป็นหนึ่งในความสามารถที่ใช้บ่อยสุดๆเลยละ ..ส่วนเหตุผลที่ต้องพูดไม่ใช่อะไรไร้สาระอย่างเท่ดีหรอก จริงๆไม่ต้องพูดมันก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่ถ้าพูดมานาในการเรียกใช้พลังของวิญญาณระดับเทพจะน้อยลงเกือบครึ่งเลย
แน่นอนตอนสู้จริงเขาไม่พูดกันหรอก เดี่ยวอีกฝั่งจะรู้ไต๋กันหมดอะนะ~
ฉันบิดขี้เกียจ พลางมองไปรอบๆ
“อาจารย์ ..โฮ ร่างทิพย์อาจารย์ไม่ได้เห็นตั้งนาน”
ภาพที่ปรากฏคือ ‘ราชันย์แห่งไสยศาสตร์ แรกซ์’ ในช่วงที่แกร่งที่สุดคือวัยกลางคน เขาคนนั้นกำลังยืนอยู่ข้างฉัน
อาจารย์เป็นคนที่สูงมาก ราว 2 เมตรได้ มีผมสีน้ำตาลยาวถึงบ่า และดวงตาสีเหลือง ร่างหนาตึกบ่งบอกถึงการฝึกฝนมาดี นอกจากนั้นยังมีบาดแผลทั่วทั้งร่าง ..เพียงแค่ใช้ตามองก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของชายผู้นี้แล้ว–นี่แหละอาจารย์ที่ฉันเคราพรัก ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยแกร่งสุดในประวัติศาสตร์
ขณะนี้เขาสวมชุดสำหรับฝึกดาบสีดำ และรองเท้าแตะเกี๊ยะ
“เพราะอยู่ในโลกของภูตเลยมีกายทิพย์ได้ ฮึฮึ แต่มันเดินลำบากหน่อยน่ะนะ”
เพราะปกติอยู่ในร่างวิญญาณจึงไม่คุ้นชินกับการเดินเท่าไหร่นักสินะ
“ถ้าจะล้มก็ประคองหนูไว้ละกัน จารย์”
“ขอบใจมาก”
ฉันกับอาจารย์กำลังจะเดินไปต่อเพื่อพบกับมหาภูตเซเนีย ..แน่นอนการบุกมาถึงทิ่นฐานชาวบ้านมันค่อนข้างไร้มารยาท
พวกภูตมากมายคงรู้สึกได้ถึงการมาของพวกเรา จึงพากันบินว่อนมาทางนี้
“เอาไงดีอาจารย์?”
“รอก่อน อีกฝ่ายคิดจู่โจมเมื่อไหร่ค่อยโต้กลับ ..ไม่คณามือศิษย์รักอยู่แล้วนี่?”
“นั่นสินา~”
บอกตามตรง ที่แห่งนี้คนที่สู้กับฉันได้สูสีมีเพียงมหาภูตเท่านั้น—-พวกภูตรู้ถึงเรื่องนั้นดีจึงพากันเบรคเป็นแถวๆ แล้วจ้องมาราวกับดูเชิง
..มีแต่ภูตวัยรุ่นแบบนี้ยิ่งว่างใจได้ ในกรณีที่ถูกไล่ออกจากป่าฉันยังพอหนีได้ไม่ยาก
“โทษทีนาคุณภูต ฉันมีธุระกับท่านมหาภูตน่ะ”
ภูตเงียบไป …
อาจารย์ถอนหายใจแล้วพูดเจรจาแทน
“ในหมู่ภูตน่าจะมีภูตเก่าแก่อยู่นี่ จำฉันไม่ได้หรือไง? อาจารย์ของยูนาไง แค่มาเยี่ยมเท่านั้น”
พวกภูตที่ดูสว่างกว่าภูตวัยรุ่นเริ่มพูดตอบ
‘จำได้ครับ เพียงแต่..คงปล่อยผ่านไปง่ายๆไม่ได้’
“ฮึฮึ ดูจะระแวงจริงนะ สมัยก่อนไม่เห็นเป็นเช่นนี้เลย”
เห็นว่าสมัยก่อนเดินเล่นเหมือนบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
‘..เร็วๆนี้ทางเราเริ่มมีมาตราการน่ะครับ เพราะคราวก่อนป่ามหาภูตเกือบโดนเผาทั้งเป็นแล้ว’
เหวอ ป่ามหาภูตเนี่ยนะโดนเผาทั้งเป็น ..
อาจารย์ได้ยินเช่นนั้นก็ขำไม่ออก เขาส่งสายตาจริงจัง
“..หมอนั่นเองสินะ” พึมพำอะไรที่เข้าใจอยู่คนเดียวจบ จึงพูดต่อ “บอกไว้ก่อนว่าทางเรามาดี”
“ใช่ๆ แค่จะมาถามท่านมหาภูตนิดเดียวเองนา~”
ฉันพูดเสริมไป พวกมหาภูตดูจะเกรงใจอาจารย์เหลือเกิน ทางฉันที่เป็นถึงผู้ถือครองเลยมีน้ำหนักในการพูดขึ้นไปด้วย
ความน่าเกรงขามของอาจารย์ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เอาไปใช้เป็นเส้นได้เสมอๆเลยละ
‘…ถึงจะว่าอย่างน–’
‘ท่านผู้นั้นเป็นแขกของเรา’
ก่อนจะพูดจบดันมีตัวตนอันน่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นก่อน—-แสงสีเขียวบินผ่านภูตทั้งมวลตรงมาตรงหน้าฉันและอาจารย์ ก่อนที่แสงจะวูบหายไปเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวรูปงาม
เธอผู้นั้นมีเส้นผมสีเขียวอ่อนเป็นลอน ดวงตาสีฟ้าประกายภูต ชุดเดรสสีเขียวเปิดไหล่และเนินอกขนาดยักษ์ ..ไม่ผิดแน่ เธอคนนี้คือ ‘มหาภูตเซเนีย’
เซเนียในร่างมนุษย์มองมาทางเรา และก้มหัวให้
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ ท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์? มหาภูตคนนั้นใช้ภาษาสุภาพกับอาจารย์มากด้วย
“กับเซเนียก็เคยฝึกสอนเหมือนกันน่ะ” อาจารย์ผงกหัวกลับ “ขอโทษด้วยละ ที่มารบกวนแบบไม่บอกกล่าว”
“สำหรับท่านจะมาตอนไหนก็ได้ ..ว่าแต่เด็กสาวผู้นั้นคือผู้ถือครองคนปัจจุบันหรือคะ?”
“ใช่ อย่างที่เห็นเธอคือผู้ถือครองที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
เซเนียหรี่ตามองฉันอย่างสนอกสนใจ
“ถ้าวัดที่คุณสมบัติเพรียวๆ ..ไม่เคยมีใครเข้ากับวิญญาณระดับเทพได้เท่านี้มาก่อนเลย”
อนึ่งความเข้ากันของแต่ละคนย่อมต่างไปด้วย เช่นให้ฉันไปคู่กับยูนาอาจจะเละได้เพราะไม่มีความเข้ากันเลย ถึงจะมีคุณสมบัติ ..แต่อาจารย์กับฉันมีความเข้ากันสูงมาก ระดับที่โดนเรียกบ่อยๆว่า ‘ราชันย์ไสยศาสตร์ร่างเกิดใหม่’ เลยละ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ฮาๆ~”
เอาจริงๆ พวกเขายอกันเกินไปหน่อย ที่มาความแข็งแกร่งของฉันมันไม่ได้โปร่งใสนัก
เซเนียยิ้มให้ ก่อนโพ่งขึ้น
“แล้วเดินทางมามีธุระอะไรหรือคะ?”
เธอรีบเข้าเรื่องเลย เห็นดังนั้นฉันจึงอธิบาย
“อยากจะถามเรื่องเกี่ยวกับท่านยูนาน่ะ ..เห็นว่ามีผู้ถือครอบเธอคนนั้นไปแล้ว”
ในหมู่วิญญาณระดับเทพตนที่ทำสัญญาด้วยยากที่สุดคือยูนา ตลอดสองพันปีมานี้ไม่เคยมีใครได้ถือครองเธอมาก่อนเลย เพราะอย่างนั้นเนลยอนจึงสนใจเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่ทำสัญญายากอย่างเดียว กับยูนาที่เป็นอริเก่าย่อมอยากรู้การเคลื่อนไหว
ได้ยินเช่นนั้นเซเนียเลยถอนหายใจออกมา
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเปลี่ยนที่คุยหน่อยดีกว่า เห็นด้วยหรือไม่ทั้งสอง”
ฉันกับอาจารย์พยักหน้ารับ เซเนียจึงดีดนิ้วเบาๆ—พลันใดนั้นทิวทัศน์โดยรอบก็ถูกปกคลุมด้วยใบไม้สีเขียว—-
รู้ตัวอีกทีพวกเราก็นั่งอยู่ในห้องรับแขกสุดหรูแล้ว
…พลังของมหาภูตเซเนีย ‘สร้างมิติ’ ตรงข้ามกับยูนา หากวัดที่ความหลากหลายในการใช้งานของเซเนียจะดีกว่า แต่ถ้าวัดกันที่การต่อสู้ของยูนาจะดีกว่ามาก ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างก็เป็นพลังที่มีศักดิ์ทัดเทียมมังกรธาตุหรืออาจารย์ของฉันได้สบาย—ยิ่งกว่านั้น สมัยก่อนสองพลังนี้ได้รวมเป็นหนึ่งด้วย ..นึกออกไม่ยากเลย ความแข็งแกร่งของยูนาและมหาภูตเซเนียสมัยก่อนไร้ซึ่งข้อกังขา
“พักนี้เป็นอย่างไรบ้างรึ?”
อาจารย์เอ่ยขึ้น
เริ่มจากความไถ่ความเป็นมาสินะ
เซเนียลูบแก้มตัวเอง เงยหน้ามองเพดานเหมือนนึกหลายๆเรื่อง
“ยังโสดเช่นเดิมคะ”
…
อาจารย์ก่ายหน้าผากตัวเอง
“เจ้ากับยูนาชอบเถียงกับเรื่องโสดไม่โสดตลอดนี่นะ ..เอาแต่เถียงแต่ไม่เคยคิดจะหาจริงๆจังๆเลย เหมือนอยากจะเถึยงแต่ไม่รู้จะเถียงอะไรเลยยกเรื่องนี้มามากกว่า” อาจารย์ทำสีหน้าลำบากใจสไตล์ ‘ครู’ “..ตอนนี้ยังทะเลาะกันเรื่องนี้อีกหรือ?”
เซเนียแก้มแดงหน่อยๆ ..สวยมากเลยคนคนนี้ ถ้าเกิดฉันไม่มีภูมิต้านทาน เพราะทำพันธสัญญากับวิญญาณระดับเทพอาจหลงเสน่ห์ไปแล้วก็ได้ ทั้งๆที่เป็นเพศเดียวกันนี่แหละ
“..ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทะเลาะแล้วนะคะ”
“ดีเลยนี่”
“ก็เจ้าตัวออกจากป่ามหาภูตไปแล้วน่ะคะ”
…นั้นเองเหรอ
ฉันเริ่มพูดเข้ามาในวงสนทนา
“หรือก็คือท่านยูนาได้ทำพันธสัญญาแล้วสินะคะ?” ฉันยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก
เซเนียมองมาทางฉันด้วยรอยยิ้มบางๆ
“แบบนี้นี่เอง ทั้งสองคนตะหงิดใจกับเรื่องพันธสัญญาของยูนานี่เอง ..ใครวานมาละคะ?”
“เนลยอน”
“มังกรน้ำจอมยโสนั่น ..เรื่องตลกอะไรกันนะ” เซเนียหรี่ตามองอาจารย์ “ท่านพลันตัวไปเป็นพวกอาณาจักรเนลยอนแล้วหรือคะ?”
“จริงๆก็นานแล้วละ”
เซเนียถอนหายใจ
“จริงๆฉันตะหงิดใจกับหลายเรื่องมากเลย โดยเฉพาะกับสาวน้อยผู้ถือครองท่าน ..พลังชีวิตต่ำมาก อย่าว่าแต่สิบปีแล้ว แค่ห้าปียังไม่ถึงเลยละมั้ง แต่กลับมีคุณสมบัติพอจะครอบครองท่านอาจารย์ได้–น่าเหลือเชื่อกว่านั้นยังเป็นผู้ถือครองที่ยอดเยี่ยมสุดในหน้าประวัติศาสตร์”
…มหาภูตคนนี้รู้เกี่ยวกับฉันหมดในพริบตาเดียว เธอดูมีน้ำโหเมื่อรับรู้ถึงความลับ
“ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ทัดเทียมอาจารย์เพรียวๆ แต่มีพรสวรรค์ที่เหมือนกับท่านอาจารย์ไปซะทุกอย่าง” เธอเขม็งใส่ฉัน “ราวกับดูถูกวิญญาณระดับเทพ ไม่สิ การทำเช่นนี้เป็นการดูถูกกว่าครึ่งแล้ว”
เซเนียทุบโต๊ะดัง ปั้ง แล้วส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้ทั้งฉันและอาจารย์
“มนุษย์เทียมไม่ควรได้ถือครองวิญญาณระดับเทพ ..”
ใช่แล้วละ ..ฉันคือ ‘มนุษย์เทียม’ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำพันธสัญญากับ ‘ราชันย์ไสยศาสตร์ แรกซ์’ …ถึงจะเข้ากับอาจารย์ได้ดี แต่ข้อเสียคืออายุขัยสั้นมาก อีกไม่นานคงจะตาย สืบพันธ์มีลูกก็ไม่ได้ด้วย
เป็นตัวตนที่เกิดมาเพื่อรับพลังเพียงเท่านั้น
“ใครเป็นผู้สร้างเจ้ากันละ สาวน้อย”
“..ป๊ะป๋าเนลยอน”
ฉันพยายามติดตลก แต่เซเนียไม่ได้ขำด้วย
“ดูถูกกันเกินไปแล้ว เจ้ามังกรน้ำนั่น ยิ่งกว่านั้นท่านอาจารย์ไปเป็นอาวุธสงครามของพวกมนุษย์เนี่ยนะ?”
“ฉันมีเหตุผลของฉันอยู่”
“ถึงขนาดที่ต้องทิ้งศักดิ์ศรีเลยหรือ?”
อาจารย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“..เรียกว่าเป้าหมายสูงสุดในชีวิตยังได้เลย”
“อยากจะไปสูงยิ่งกว่าราชันย์แห่งไสยศาสตร์หรือคะ?”
อาจารย์ส่ายหัวให้ แล้วพึมพำเรื่องสุดโหดออกมาหน้าตาเฉย—
“คนแก่อย่างฉันไม่ต้องการจะแกร่งกว่านี้แล้ว ฉันแค่ต้องการจะฆ่าลูกชายของตัวเองเท่านั้น ..พูดให้ถูกคือฆ่าไอ้สัตว์ประหลาดจอมหิวโหย”
นี่คือเหตุผลที่อาจารย์ยอมร่วมมือกับอาณาจักรเนลยอน … ‘เรน’ คือคนที่ควรตายมากสุดในโลก อาจารย์อยากจะฆ่าด้วยมือของตัวเอง เพราะมันเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่ง
“คราวก่อนยูนาได้ไว้ชีวิตเรน และกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในที่สุด ดันบานปลายจนทุกอย่างพินาศ …ครั้งนี้จึงจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว” อาจารย์เขม็งใส่เซเนียกลับ “นี่แหละเหตุผล หวังว่าจะเข้าใจนะ ศิษย์รัก”
…เซเนียถอนหายใจ
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอโทษด้วยที่เสียมารยาท”
ฉันส่ายหัวให้รัวๆ
“พลังที่ฉันได้มามันก็ดูไม่บริสุทธิ์จริงๆนั่นแหละ”
“ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งก็เป็นของจริง อย่าได้ดูถูกตัวเองไปเลยศิษย์รัก”
“ขอยอมรับละกันค่ะ”
เซเนียถอนหายใจอีกรอบ ก่อนปั้นยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน
“หากตัดอคติไป ทั้งเราและเจ้าก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องนี่นะ ..ขอโทษจริงๆที่เสียมารยาทไป เราทำตัวไม่สมฐานะมหาภูตเลยนะ”
“มะ ไม่หรอกค่ะๆ” ฉันส่ายหัวให้รัวๆเหมือนตะกี้ “ถ้าอาจารย์ที่ฉันเคราพไปเป็นลิ้วล่อใคร ฉันคงโมโหเหมือนกันนั่นแหละ”
เซเนียยิ้มอย่างเอ็นดู
“อยากให้ยูนาอยู่ด้วยจังนะ เวลาแบบนี้” เธอกล่าวขึ้นอย่างคิดถึง
ถึงจะทะเลาะกันแต่ทั้งสองก็รักกันดีสินะ
“..ทั้งสองมาเพื่อถามเรื่องของยูนาสินะ?”
เซเนียถามซ้ำอีกรอบ ฉันจึงพยักหน้ารับ
“อยากรู้เฉยๆน่ะคะ ว่าเป็นไปเป็นมายังไง”
เซเนียลูบแก้มตัวเองและเล่าทุกอย่างให้ฟัง ยกเว้นชื่อสถานนะของอีกฝ่าย
“..สุดยอดเลยนะ อย่างกะเจ้าชายขี่ม้าขาว” ฉันมองเพดานด้วยตาที่เป็นประกาย .. “อยากมีแบบนี้บ้างจัง”
“ได้ยินว่าหลุดพ้นแล้วก็ดีใจแล้วละ” อาจารย์กล่าวอย่างพึงพอใจ “ตอนแรกคิดว่าใช้วิธีสกปรกจนได้ยูนามาครองเสียอีก”
“ถ้าอีกฝ่ายคิดโกงจริง เราจะฆ่ามันผู้นั้นเอง” เซเนียยืนยันข้อมูลให้ “เด็กนั่นทำผ่านเงื่อนไขทุกข้อจนยูนาตอบตกลง และเริ่มพันธสัญญา เรื่องมันมีแค่นั้น”
อาจารย์พยักหน้าแบบว่าง่าย
“เข้าใจแล้ว แล้วทางเจ้าละศิษย์รัก”
พูดถึงฉัน …เรื่องที่อยากถามเกี่ยวกับยูนาไม่มีแล้ว—แต่ผู้ที่ถือครองน่ะยังมีอยู่
“คนที่ได้ยูนาไปแข็งแกร่งมั้ย?”
“ตอนที่ได้ยูนาไปวงจรเวทย์ยังไม่สมบูรณ์”
“ดะ เดี่ยวนะ แปลว่าเขายังเป็นแค่เด็กน่ะสิ!?”
เซเนียพยักหน้ารับ
“ตอนนั้นอายุแค่ 12 กระมัง”
..เด็กที่ได้ถือครอบวิญญาณระดับเทพเหรอ ..นอกจากฉันมีด้วยเรอะคนแบบนั้น ไม่สิ อย่างฉันเป็นได้แค่ของเทียมมันนับได้ด้วยเรอะ ว่ากันตามตรง ..ชักตื่นเต้นแล้วสิ อยากเจอสักครั้งจริง
“น่าสนุก~”
เซเนียมองฉันแบบแหยงหน่อยๆ
“ศิษย์ท่านอาจารย์แปลกดีนะคะ”
“ลูกศิษย์ฉันมันแปลกทุกคนแหละ ฮึฮึ”
“..เฮ้อ” เซเนียถอนหายใจ “นั่นสินะ”
อาจารย์พนักหน้ารับ
“เจ้าเองก็โตขึ้นเยอะเลย รับตำแหน่งมหาภูตได้อย่างสมภาคภูมิเลย”
—เหวอ ตาเฒ่าหัวงูนี่~ ลวนลามนะนั่น~
“…”
อาจารย์หรี่ตามองฉัน มันทิ่มแทงสุดๆเพราะฉะนั้นไม่ขอแซวคนคนนี้อีกแล้ว
“เฮ้อ จริงๆก็อยากเจอยูนาเหมือนกันน…?”
จู่ๆอาจารย์ก็ขมวดคิ้ว ..ทางเซเนียเองก็เช่นกัน
พวกเขาสองคนมองออกไปนอกห้องมิติของเซเนีย
“..ใครกำลังมา?”
..ใคร? พูดถึงอะไรน่ะ?
ฉันไม่รู้สึกตัวเลย—–เซเนียลุกขึ้นและดีดนิ้ว
พริบตาเดียวก็ปรากฏจอสะท้อนภาพ ณ ป่ามหาภูต ..ที่ขณะนี้มีผู้บุกรุก
ชายร่างสูงโปร่งผิวซีด เลือนผมสีเทายาวถึงลำคอ ดวงตาดูเหม่อลอย และสวมชูทสีขาวทั้งชุด …เคยเห็นอยู่ ถึงจะแค่รูปภาพแต่ฉันเคยเห็นมานับๆร้อยรูป—-ตัวตนที่ทางอาณาจักรเนลยอนจัดไว้ว่าอันตรายที่สุด
.. ‘เอเธอร์’ สัตว์ประหลาดที่แกร่งสุดบนโลกใบนี้
พริบตาเดียวหลังจากที่แอบส่อง เอเธอร์ได้หยุดเดิน ..และแหงนหน้ามามองกล้องของมหาภูต เขายิ้มรับกล้อง
“มีแต่คนใหญ่คนโตนะครับนั่น”
—หัวของเขาโผล่เข้ามาในจอมิติของเซเนีย
…เร็วมาก ยิ่งกว่านั้นอย่างหลอนเลย
ร่างของเขาค่อยๆทะลุผ่านจอเข้ามา จนปรากฏให้เห็นชายรูปงามยากจะหาได้ ชายคนนี้ทั้งดูน่ากลัว และแกร่งสุดในโลก—เอเธอร์ได้เข้าร่วมวงสนทนาแล้ว
“..งานรวมญาติหรือครับ?”
เขากล่าวออกมาโดยไร้ซึ่งความหวั่นเกรง