< < 55 > >
พระอาทิตย์ถูกย้อมเป็นสีแดงส้ม และค่อยๆลงสู่ผืนดิน ในโรงเรียนเวทมนตร์เรดฮอตเองก็เช่นกัน ในช่วงเย็นราว 17.00 เธอผู้มีเลือนผมสีดำสนิทกำลังนั่งพับเพียบอยู่บนพื่นหญ้าโดยที่ในมือกำลังลูบหัวสิ่งมีชีวิตตัวน้อยอย่างหมาอยู่
‘เบลลามี’ กำลังลูบหัวลูกหมาเล่นอยู่กลางสนามหญ้าแห่งเรดฮอต
ระหว่างนั้นเองเรเซอร์ได้โผล่มาข้างหลังเบลลามี
“ทำอะไรอยู่เหรอ?”
“อย่างที่เห็นน่ะ”
เรเซอร์ยิ่มกรุ่มกริ่มพลางคิดในใจว่า ‘นี่แหละเบลลามีตัวจริงเสียงจริง’ เบลลามีมักเป็นพวกพูดตรงๆแบบขวานโลกโดยไม่รู้ตัวเอง ถึงอย่างนั้นเรเซอร์ก็ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก กลับกัน พักหลังเริ่มตกหลุมรักวิธีพูดเช่นนี้ของเบลลามีแล้วล่ะ
เขาถอนหายใจก่อนจะลงไปนั่งข้างๆเบลลามีในท่าชันเข่า
“หมาหลงมารึ ปกติโรงเรียนห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามานะ”
“อือ เราพึ่งเห็นตอนเลิกเรียนเลยว่าจะพาไปหาเจ้าของ กลัวว่าคนอื่นจะเห็นแล้วจับไปให้เจ้าหน้าที่ก่อน เราเลยจะอุ้มไปหาเจ้าของ แต่..มันไม่ยอมให้เราอุ้มเลย เจ้าตัวน้อยนี่”
เบลลามีแทนลูกหมาว่า ‘เจ้าตัวน้อย’ นั่นทำให้เรเซอร์รู้สึกฟินขึ้นสมอง มันคือการเซอร์วิสของนางอวยชัดๆ
“เบลลามีที่เรียกมาว่าเจ้าตัวน้อย นี่สุดจะน่ารักเลยนา~”
“..เทียบกับเจ้าตัวน้อยแล้วเรายังด้อย” เบลลามีเบือนหน้าหนีโดยที่ในมือยังไม่หยุดลูบหัวเจ้าตัวน้อย “อย่ายอกันให้มากเลย”
“โทษทีนะ~ แล้วจะเอาไงกับหมาต่อรึ?”
“คงต้องเอาไปให้เจ้าหน้าที่ช่วยหาให้”
“เจ้าพวกนั้นเป็นพวกเงินไม่มางานไม่ไปด้วยสิ ทั้งๆที่เป็นจิตอาสา ไปขอพึ่งไม่ได้หรอก”
เบลลามีพยักหน้ารับ พวกเราเข้าใจดีถึงความย่ำแย่ของพวกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลประชาชน
“แทนที่จะฝากน้องหมาสุดน่ารักให้พวกนั้น สู้พาไปส่งเจ้าของเองเป็นการดีเสียกว่า”
“มีวิธีเหรอ?”
เบลลามีมองเรเซอร์ด้วยความคาดหวัง เห็นเช่นนั้นเรเซอร์ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และยกแขนขึ้นฟ้า ทันทีนั้นก็มีนกสีขาวโผล่กลางฝ่ามือ
“[เวทมนตร์แสงขั้นสูง]-[อีเกิลไลท์]”
แสงสีขาววูบขึ้นกลางย่อมหญ้าสีเขียวขจี พร้อมกับเหล่านกสีขาวเป็นผนึกที่บินออกจากฝ่ามือนับสิบๆตัว
“..สวย..จัง”
“ใช่มั้ยละ? นี่คือหนึ่งในเวทย์ชั้นสูงที่ฉันใช้ได้ถนัดที่สุด เป็นวิชาสำหรับตรวจจับศัตรูและสะกดรอยน่ะนะ”
[อีเกิลไลท์] เป็นการสร้างเหล่านกอินทรีออกไปตรวจจับหรือสอดแนมสิ่งที่ผู้ร่ายต้องการ โดยที่เหล่านกเมื่อพบสิ่งที่เจ้านายต้องการหาเมื่อไหร่จะแจ้งเตือนให้ทราบพร้อมการนำทางทันที ทั้งหมดทำให้มันกลายเป็นเวทมนตร์ขั้นสูงที่ทรงประสิทธิภาพ เป็นหนึ่งในเวทมนตร์ชั้นยอดด้านเทคนิคช่วยเหลือ
จริงๆเวทมนตร์จะถูกแยกย่อยอีกทีในแต่ละด้านอาทิเช่น ด้านการโจมตีหรือด้านการช่วยเหลือ ที่มีหน้าที่ซัพพอร์ตการต่อสู้อย่าง [อีเกิลไลท์]
“ก็รู้อยู่หรอกว่าเรเซอร์ใช้เวทย์ขั้นสูงได้ แต่นึกว่าใช้ได้แค่เพลิงเสียอีก”
“ถ้าแค่เวทมนตร์ขั้นสูง ฉันใช้ได้ทุกธาตน่ะนะ”
“..สุดยอดอัจฉริยะ”
“ฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก ..อ๊ะ เหมือนว่าจะมีคนกำลังตามหาสัตว์เลี้ยงที่หายอยู่นะ ไปดูหน่อยดีมั้ย?”
เบลลามีพยักหน้ารับ พลันหันไปอุ้มลูกหมาขึ้นมา แต่มันก็ดิ้นไม่หยุดจนจะล่วง
“เดี่ยวสิ อย่าดิ้นสิเจ้าตัวน้อย”
ท่าปล่อยไว้ลูกหมาได้หล่นลงพื้นจนหนีกระเจิงด้วยความตกใจแน่ คิดดังนั้นเรเซอร์เลยขออุ้มแทน
“ฉันจัดการเอง” เรเซอร์ค่อยๆรับตัวหมามา และอุ้มอย่างนุ่มนวลทำให้มันไม่ดิ้น “เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ”
“..อือ”
ทั้งสองเดินตามหาเจ้าน้องให้น้องหมา เพียงไม่นานก็ส่งหมาคืนให้เจ้าของเรียบร้อย
“พอเป็นเรเซอร์แล้วอะไรๆมันง่ายไปหมดเลยนะ” เบลลามีซ้อนตามอง “ขอบคุณนะที่ช่วยเจ้าตัวน้อยเอาไว้น่ะ”
“เหรอ”
“อือ เรเซอร์พึ่งพาได้ตลอด”
“ไม่หรอกน่า ถ้าเบลลามีลำบากอะไรหน้าที่ของเรเซอร์ผู้นี้คือการมุ่งหน้าไปช่วยอยู่แล้วล่ะ ฟังไว้นะว่า …ว่า”
“ว่า?”
พลันใดนั้นเรเซอร์ก็หน้าแดงขึ้นมา
“ไม่มีอะไร เมื่อกี้ไม่ได้คิดจะพูดอะไรเสี่ยวๆอย่าง ‘แค่เธอมีความสุขทั้งหมดคือความสุขของผม’ อะไรทั้งนั้น”
น่าสงสัย
“เรเซอร์ทำตัวน่าสงสัยอีกแล้ว”
“มะ ไม่หรอก! อย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกได้ตลอดนะ ฉันขอตัวก่อน”
กล่าวจบเรเซอร์ก็ผละตัวออกพลางโบกมือลา-
“เดี่ยวสิ”
“มีอะไรให้เหรอ?”
“เปล่า ..เราเหมือนกัน ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกเราได้นะ”
เรเซอร์ยิ้มให้
“เข้าใจแล้ว”
…
…
“หวังว่าจะเข้าใจจริงๆนะ” เบลลามีพึมพำขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย
เธอมักจะฝันเป็นประจำ ฝันถึงภาพของคนที่เธอที่สุดในโลกทำผิดพลาดครั้งสำคัญ เขาผู้นั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าใครๆ ฉลาดรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง ใจดีประหนึ่งพ่อพระ ทุกเรื่องสำคัญถูกแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายพร้อมกับเสียงหัวเราะ
รอยยิ้มซึ่งมีสเน่ห์ยิ่งกว่าใครๆ รอยยิ้มที่สามารถพาทุกคนก้าวต่อไปได้ รอยยิ้มที่มอบให้กับศัตรูเสมอ ..สุดท้ายรอยยิ้มนี้ก็ทำให้เบลลามีเธอตกหลุมรักอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเธอคือหนึ่งในคนผู้ถูกรอยยิ้มของชายผู้นี้ช่วยเอาไว้
ชีวิตที่เหมือนกับอยู่คนละโลก มันถูกทำลายทิ้งโดยคนคนเดียว เขาจูงมือเธอออกจากโลกสีที่แตกต่างจากทุกคน ..ไม่สิ พูดให้ถูกคือทำให้เธอรู้ว่าโลกใบนี้มันไม่ได้มีเพียงสีๆเดียว
มันอะไรกันนะ? วินาทีนั้นหัวใจของเบลลามีได้ถูกแย่งชิงไปเสียแล้ว ความรู้สึกมากมายพวยพุ่งขึ้นมาในอก-มันคือความรัก อาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่เธอสามารถตอบตัวเองได้ทันทีในจิตสำนึกว่ามันคือความรักของเธอที่มีต่อผู้ที่ทำลายโลกที่ไร้สีสันต์ของเธอ
แต่ว่า ..สักวันหนึ่งในทุกๆครั้ง จนมันกลายเป็นล้านๆครั้ง เขาคนนั้นจะทำพลาด จะสูญเสียทุกสิ่งที่ทำมาตลอด และจมดิ่งสู่ความเศร้าโศก
เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้ง ชายคนนั้นจะแบกรับทุกสิ่งไว้ตลอด เขาชอบทำเหมือนว่าโลกอยู่บนบ่าของตัวเองเพียงคนเดียว ความรู้สึกด้านลบทุกอย่างถูกส่งมาให้เขาคนเดียว อุปสรรคทั้งหมดเขาเป็นผู้พิชิตคนเดียว ..ทุกครั้งที่เห็น เบลลามีรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เธออยากจะเข้าไปสวมกอดไว้ และสั่งสอนให้ราบจำ ..แต่ทำไม่ได้
เพราะในทุกห้วงเวลา เธอได้ตายจากไปแล้วจากโลกใบนี้ ..ทั้งหมดเป็นแค่ฝันก็จริง แต่ความรู้สึกของเธอคือของจริง
เบลลามีกุมหน้าอกตัวเอง พลางหรี่ตามองแผ่นหลังของเรเซอร์ที่ดูใหญ่และพึ่งพาได้ ..เธอขมวดคิ้วเข้าหากัน ยกปากขึ้นมาประกบ และก้มหัวลง
“ช่วยเข้าใจดีนะ เรเซอร์ ..”
อย่างน้อยๆเบลลามีก็ไม่ต้องการให้ เรเซอร์ เป็นเหมือนกับชายที่อยู่ในฝันของเธอ ..เพราะเธอ ‘รัก’ เรเซอร์
ทว่ามันช่างน่าเศร้า ที่เรเซอร์นั้นคล้ายกับชายที่อยู่ในฝัน อย่างน้อยก็เรื่องที่ชอบทำเหมือนปัญหาทุกอย่างเป็นของตัวเอง
****
หลังแยกกับเรเซอร์ เราก็ได้เข้าหอเพื่อเตรียมชุดใช้เปลี่ยน ก่อนจะลงมาข้างล่าง และเดินออกจากภายในรั้วโรงเรียน–เรามีความลับที่บอกใครไม่ได้อยู่
ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้เราเริ่ม ‘ทำงานพิเศษ’ ..ใช่ งานพิเศษ เพราะเราต้องการจะหาเงินทุนสำหรับการทำวิจัยโรคมานาย้อนกลับให้ได้เยอะ เลยเริ่มหางานที่ให้ค่าตอบแทนดีกว่างานทั่วๆไป สุดท้ายเราเลยได้เจอกับงานที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบัน
มันคืองานพิเศษที่จะแต่งตัวตามแบบที่ผู้ชายชอบกัน และคอยบริการพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เป็นงานที่แปลก เพราะต่อให้ไม่ยิ้มคนที่เข้ามาในร้านก็ชอบใจกัน บางครั้งต่อให้มองลูกค้าเยี่ยงแมลงสาบยังคงชอบกันอยู่เลย ..งานที่ทำอยู่คือ–’เมด’ ในร้านเมดคาเฟ่ห์อันทรงเกียรติ
ที่ที่เราเลือกทำเป็นร้านที่เคยมากับเรย์ และเรเซอร์ เนื่องจากเป็นร้านที่ใกล้ที่สุด ทำให้สะดวกต่อการทำงาน และกลับจากงานเอามากๆ
เราเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว และพริบตาเดียวก็พลันหยุดยิ้มไปเมื่อพบกับชายที่ยืนอยู่หลังเสาหน้าร้านเมดคาเฟ่ห์ของเรา
ชายที่ยืนตัวโด่อยู่นั้นมีเลือนผมดำสนิทประบ่า ดวงตาสีแดงประหนึ่งพระจันทร์สีเลือด สวมเสื้อโค้ทยาวถึงข้อเท้า มีเสื้อเชิ้ตข้างในเป็นสีขาว และสวมกางเกงสีดำสนิท มีต่างหูเป็นรูปหน้าสิงโตแยกเขี้ยว เป็นหนุ่มหล่อในมาดชายวัยกลางคน
ความรู้สึกแรกเห็นต่อชายผู้ยืนเกาะหลังเสาคือ ‘น่าสงสัย’ เพราะเขากำลังยืนน้ำลายยืดอยู่หน้าร้านเมด ..
..ไม่สิ พอเราเบือนหน้าตามที่เขามองก็พบป้ายที่มีรูปอาหารน่าอร่อยติดอยู่ ..แบบนี้นี่เอง ค่อยยังชั่วหน่อย เรานึกว่าจะเจอโลกจิตแล้วเสียอีก
“หิวเหรอ?” เราเข้าไปทักอีกฝ่าย
ชายวัยกลางคนผู้น่าสงสัยตอบกลับ
“ตอนนี้ตัวข้าหิวเอามากๆ ..แล้วท่านเป็นใครกั..”
เขาหันมามองทางเรา และเงียบไปเมื่อได้สบสายตากัน
“นะ ..นาย..นายท่าน!?”
ทันทีที่เห็นเบลลามี ชาย่าสงสัยก็ได้พุ่งเข้ามาหมายจะกอด แต่เบลลามีถอยหลังหนีได้ทันก่อน
“ถ้ากอดแล้วเราป่วยขึ้นมาเนื่องจากเชื้อโรคจะทำยังไง ..เราจำไม่เห็นได้เลยว่าเราไปเป็นนายท่านใครตอนไหน” เบลลามีโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เรียบเฉย
ปกติเรามีหน้าที่เรียกคนอื่นว่า ‘นายท่าน’ เสียด้วยซ้ำ เพราะทำงานเป็นเมดอยู่
เขายังคงจ้องหน้าฉันไม่กระพริบตา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเป็นอันปล่อยวาง
“..นั่นสินะ ถึงหน้าจะคล้ายแต่ไม่น่าใช่ท่านหรอก ขออภัยด้วย”
“ให้อภัย”
“เช่นนั้นท่านเป็นใครกัน?”
..
“เบลลามี”
“เป็นชื่อที่แปลกดีนะท่าน”
“อือ โดนทักบ่อยๆเหมือนกัน”
“ชื่อเหมือนกับผู้ชายในยุคสมัยก่อนเลย”
..คนคนนี้
“นายนี่ ..มนุษย์สัมพันธ์ดีนะ”
คุยเก่งมากเลย แถมยังพูดดีเข้าหูอีก เราต้องศึกษาเอาเป็นแบบอย่างแล้วล่ะ– (ไม่ใช่ มีแค่เบลลามีเท่านั้นแหละที่คิดแบบนั้น)
“ขอย้ำอีกครั้ง หิวอยู่ใช่รึเปล่า?”
“ใช่แล้วท่าน ตัวข้ากำลังหิวโหยอยู่ ..กำลังถูกความเจ็บปวดจากความอดอยากกลืนกิน” ชายแปลกหน้าขยี้ศรีษะของตัวเองอย่างเร้าอารมณ์ “กำลังถูกกัดกิน!”
“ลำบากแย่เลยนะ”
ไม่รู้ทำไมแต่จู่ๆชายแปลกหน้าก็หมดอารมณ์บิดตัวไปมา และจ้องหน้าเราด้วยใบหน้าที่ดูงงๆ เห็นเช่นนั้นเราก็งงไปแล้วถึงกับต้องเอียงคอตาม
“รีแอ็คชั่นของท่านแปลกจริง”
“สนใจจะกินข้าวในร้านเมดคาเฟ่ห์สักจากมั้ย?”
เราชี้ไปทางป้ายหน้าร้านที่มีอาหารซึ่งชายแปลกหน้าจ้องอยู่เมื่อครู่
“กินได้หรือ?”
“ได้สิ”
ชายแปลกหน้ายิ้มร่า และพยักหน้ารัวๆ
“ในเมื่อท่านชวน ข้าก็ขอตกลง”
เป็นอันตกลง เราหาลูกค้าเข้าร้านได้แล้วหนึ่งคน
เรานำทางชายแปลกหน้าเข้ามาภายในร้านเมดคาเฟ่ห์
“ยินดีต้อนรับค่า!”
พี่ๆเมดหลายคนเดินบริการลูกค้ากันให้ควั่ก ทันทีที่ชายแปลกหาเห็นเขาถึงกับตค้าง
“มีเมดเต็มไปหมดเลย ทั้งๆที่ไม่ใช่สิ่งที่มองได้เสมือนมองนกกา..ข้าปลื้มใจเหลือเกิน”
“ที่นี่คือร้านเมดคาเฟ่ห์ เราไม่รู้รายละเอียดอะไรมากก็จริง แต่เมดมีอยู่ทั่วเมืองเลยนะ”
เห็นว่าร้านเมดคาเฟ่ห์เป็นที่นิยมจนผุดขึ้นตามจุดต่างๆในเมืองเต็มไปหมด เรย์ว่ามาอย่างนั้น
“..ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วสินะ”
เป็นคนค่อนข้างมีอายุนี่เอง
“ใช่ นั่งเลือกเมนูก่อนเลย”
“อ่า ขอทำตามที่ท่านว่า”
ชายแปลกหน้าลงไปนั่งกับโต๊ะเก้าอี้สีชมพูสดใสซึ่งดูขัดกับลุคมาดเข้มของชายกลางคน
“..เอาเป็นออมไรซ์ล่ะกัน”
“รับทราบค่ะ”
เรารีบตรงเข้าไปในห้องเตรียมตัว เพื่อเปลี่ยนชุดเป็นเมด และนำออเดอร์ไปส่งให้ฝ่ายทำครัว..
“พาใครมาล่ะนั่นเบลลามี”
หัวหน้าเมดทักถามเราด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง
“เราเจออยู่หน้าร้านน่ะ เห็นบอกว่าหิวอยู่เราเลยชวนเข้ามา”
“เห๋ เบลลามีเริ่มรู้วิธีตกลูกค้าแล้วสินะ ร้ายใช่เล่น~”
เราเอียงคองง ก่อนที่สะบัดหัวตั้งสติ รีบเปลี่ยนชุดทำงาน
****
แต่งตัวเสร็จแล้ว เราเดินออกจากห้องแต่งตัวในชุดเมดสีดำขาวอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับในมือที่ถือออมไรซ์เอาไว้
ดวงตาของชายแปลกหน้าเบิกกว้าง เขาจ้องมาทางฉันไม่กระพริบตา โดยที่ในตามีมวลแปลกๆคล้ายจะร้องไห้
“ชอบเมดขนาดนั้นเลยเหรอเจ้าคะ?”
เราถามออกไปด้วยความนึกสงสัย ชายแปลกหน้าส่ายหัวให้ก่อนจะดึงทิชชู่ขึ้นมาเช็ดน้ำตา
“พอเห็นท่านในชุดเมดมันก็ชวนรู้สึกว่าคนที่หน้าคล้ายท่านอย่างนายแห่งข้า ไม่มีทางสวมชุดเช่นนี้แน่นอน” ชายแปลกหน้าหรี่ตาลง “หน้าตาของท่านจะคล้ายคลึงกับนายเหนือหัวของข้าเกินไปแล้ว”
“ขอโทษนะ รักเจ้านายมากสินะ ..เจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องพูดสุภาพกับข้าก็ได้”
“มันเป็นงานน่ะค่ะ”
คาแรคเตอร์ที่เราได้เป็นคุณเมดหน้านิ่งสายสุภาพ ..เรื่องหน้านิ่งเราไม่ค่อยมั่นใจเลยว่าจะทำได้ดี กังวลจริง ได้แต่หวังว่าจะไปได้สวย
“ถ้าเป็นงานข้าก็เข้าใจ แม้แต่ข้ายังเคยถูกให้ใส่ชุดบิกีนี่เลย”
“..สุดยอดเลย”
ในหลายๆความหมาย
เราวางออมไรซ์ไว้บนโต๊ะ พร้อมกับหยิบซอสมะเขือเทศขึ้นมา และกล่าวทั้งรอยยิ้ม
“ขอทราบชื่อนะเจ้าคะ”
“..ท่านฝืนยิ้มได้แย่มาก แต่เอาเถอะ ข้าไม่ตะหงิดใจอะไรหรอก แล้วก็-ถามนามของข้าใช่รึไม่?”
จู่ๆคนแปลกหน้าก็โพล่งขึ้นอย่างจริงจัง
“..ค่ะ”
“เช่นนั้นก็ฟังไว้—ข้าคือที่ถูกบันทึกให้เป็นสิ่งที่ดำมืดที่สุดของมนุษย์ อารมณ์ความรู้สึกอันน่ารังเกียจในตัวมนุษย์-บาปเจ็ดประการแห่งมนุษย์ในตำนาน ตัวตนผู้เปรียบได้ดั่งภัยพิบัติแห่งโลก ทัดเทียมกับเหล่ามหามังกรหรือจอมมาร นามนั้นคือ ‘ลูซิเฟอร์ มหาบาปแห่งความหยิ่งยโส’ ทูตสวรรค์ผู้ครั้งหนึ่งได้ถูกความมืดย้อมจนกลายเป็นเจ็ดมหาบาปในที่สุดยังไงล่ะ ..ลูซิเฟอร์คือนามของข้า”
‘เจ็ดมหาบาป’ ตำนานปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก ถูกบันทึกไว้ในฐานะนิทานชื่อดังของโลก
“…สุดยอด”
คนที่อ้างตัวว่าชื่อลูซิเฟอร์ถึงกับเหงื่อตก สายตาเขาลอกแลกไปมาเหมือนกับว่า ‘เสียท่าให้แล้ว’ อย่างไรอย่างนั้น
“นะ นามนั้นเป็นนามต้องห้ามแท้ๆ ข้าดันพูดออกมาหน้าตาเฉย!” ลูซิเฟอร์กุมขมับตัวเอง “ยกโทษให้ข้าด้วย นายเหนือหัวแห่งข้า!”
“เท่สุดๆเลยเจ้าค่ะ”
“..เท่?-ก็พูดไปท่าน”
ลูซิเฟอร์กุมแก้มตัวเองพลางบิดไปมาด้วยความสุข-เขาชอบโดนยอนี่เอง
“แต่ตามตรรกะแล้วจะบอกชื่อเช่นนี้ให้คนทั่วไปฟังคงไม่ได้”
“ออกจะเท่นะเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ๆ ชื่อนี้ไม่ผ่านอย่างแรก ‘มหาบาปแห่งความโกรธ ซาตาน’ บอกมาว่าไม่ไหวน่ะ ข้าต้องทำตามที่สหายร่วมรบว่า”
..มีชื่อมาอีกคนแล้ว พ่อแม่สมัยก่อนนิยมตั้งชื่อลูกตามตำนานปีศาจสินะ ความรู้ใหม่เลย
ลูซิเฟอร์นั่งกอดอกขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ไม่นานเหมือนนึกอะไรออก
“ได้ชื่อแล้ว”
“ชื่ออะไรหรือค่ะ”
“.. ‘ลูซี่’” ‘ลูซี่(ชื่อใหม่)’ ยิ้มกริ่มเหมือนภูมิใจ “ลูซิเฟอร์มันดูอันตรายใช่มั้ยล่ะ ถึงจะเท่ก็เถอะ ข้าเลยคิดตรงข้ามจากน่ากลัวเป็นน่ารักดู และตัดคำว่าเฟอร์ออก ทำให้ได้ชื่อ ‘ลูซี่’ มา ยอดเยี่ยมเลยว่าไงท่าน?”
“สุดยอดเลยค่ะ ชื่อน่ารักมาก อัจฉริยะชัดๆ”
เราตบมือ แปะๆ แสดงความยินดีกับลูซี่ด้วย
“เช่นนั้นก็” เราน้อมตัวและเขียนชื่อลูซี่ลงในข้าวออมไรซ์ “ทานให้อร่อยนะเจ้าค่ะ นายท่ายลูซี่”
ลูซี่อึ้งไป เขาหันไปมองทางเมดรอบๆที่ทำเหมือนกับเรา ก่อนจะหยักไหล่และยิ้มเจื่อนๆ
“เมดนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ ..สมัยข้าพวกเมดคือนักฆ่าที่เก่งกาจ”
“เรื่องเมื่อสิบปีก่อนดูจะโหดร้ายน่าดูนะเจ้าค่ะ”
ดูจากหน้าของลูซี่แล้วเขาน่าจะอายุราวๆสามสิบเกือบสี่สิบ ทำให้เราอนุมานเวลาประมาณสิบปีนี่แหละ
“อ่า ..ยุคสมัยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้สิ่งหลายอย่างก็ดีขึ้น-บาปทั้งเจ็ดถูกยับยั้งไว้ได้ด้วยศีลธรรม และความปลอดภัย ..แม้จะยังไม่สมบูรณ์มาก สักวันโลกจะไปถึงวันที่ทุกชีวิตไม่จำเป็นต้องตายด้วยเหตุผลที่ว่าสมควรตายโดยประสงค์ของใครสักคน รึเปล่านะ?”
ลูซี่พึมพำออกมาเหมือนกับตัดพ้อ ได้ยินเช่นนั้นเราเลยคิดตาม ในมุมของคนรุ่นปัจจุบัน
“..สมัยนี้เรื่องฆ่าอย่างไร้เหตุผลยังคงมีอยู่ค่ะ ทั้งสงครามหรืออำนาจมืด แต่เทียบกับสมัยก่อนแล้วคงดีขึ้นเยอะเลย”
“คำตอบคือกำลังดีขึ้นเรื่อยๆเรอะ” ลูซี่พูด “เมื่อถึงเวลา ข้าจะจำใจทำลายโลกใบนี้ได้รึไม่นะ ต่อให้ศัตรูจะเป็นเหล่าเทพที่น่ารังเกียจตั้งแต่อดีตก็ตาม แต่เวลานั้นข้าจะทำตามคำสั่งของนายท่านอย่างจริงใจได้รึเปล่า ..ข้าเวลานี้ไม่คู่ควรกับตำแหน่งบาปแห่งความเย่อหยิ่งเอาเสียเลย เมื่อทุกอย่างบรรลุข้าควรสละนามนี้ทิ้งไปได้แล้วกระมัง”
“..ลูซี่”
เหล่าเทพที่น่ารังเกียจ? ศัตรู? ทำลายโลก? ทั้งหมดเป็นคำพูดที่น่ากลัว และไม่น่าไว้วางใจ แต่ไม่รู้ทำไมช่วงลึกของจิตใจเรา ไม่รู้สึกกลัวชายที่มีนามจริงว่า ‘ลูซิเฟอร์’ ได้เลย กลับกัน ..ในฐานะคนรู้จักหรือเพื่อน เรารู้สึกคุ้นเคยแปลกๆด้วยซ้ำ รู้สึกประมาณว่า ..สามารถสนิทกับคนๆนี้ได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร
เป็นความคุ้นเคยที่น่าแปลกใจ ไม่เคยเจอกันมาก่อนแท้ๆ
..ตอนนี้ทำงานก่อนดีกว่า
เราตบหน้าตัวเอง และลงมือเขียนชื่อลงในออมไรซ์จนเสร็จเรียบร้อย
“ทานให้อร่อยนะคะ นายท่านลูซี่”
“ขอบพระคุณท่านมาก”
ลูซี่ตักออมไรซ์เข้าปากรัวๆด้วยรอยยิ้ม
เพียงชั่วเดียวลูซี่ก็กินจนหมด เขายืนขึ้น และก้มหัวทำความเคราพต่อออมไรซ์ และ–จะเดินออกจากร้าน ยังดีที่หัวหน้าเมดมาดึงปลายเสื้อของลูซี่ไว้ได้ทันท่วงที
“ช่วยจ่ายเงินด้วยคะ นายท่าน”
หัวหน้าเมดกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความจริงใจ
“ต้องจ่ายเงินด้วยเหรอท่าน?”
“ไม่ได้มาทำบุญค่ะ”
“..หึๆ ..หึๆ ..เรื่องตลกประจำวันสินะนั่น ท่านนี่พูดติดตลกเก่งจริงๆนะ
“ค่า ค่า ตลกก็ได้ ถือซะว่าเป็นเซอร์วิสพิเศษ ยังไงช่วยจ่ายเงินด้วยค่ะ”
..ลูซี่หันมามองทางเราด้วยแววตาที่เป็นประกายอุ๋งๆ ก่อนถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเราไม่มีทีท่าจะช่วยอะไรทั้งนั้น
..ลูซี่ไม่มีเงินเหรอ? แต่ตอบรับคำเชิญเราหน้าตาเฉยเลยนะ ..เรื่องแปลกประจำวัน? เก็บไปเล่าให้เรเซอร์ฟังดีกว่า
“ว่าตามตรง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินในยุคนี้เป็นสีอะไร เป็นทอง? เป็นเหรียญ? ข้าไม่รู้ โปรดเข้าใจด้วยนะท่านทั้งหลาย”
ทั่วทั้งร้านต่างจ้องลูซี่ด้วยแววตาที่สุดจะเอือมระอา
รู้ตัวอีกทีเราก็เห็นลูซี่กำลังนั่งล้างจานอยู่หลังร้านแล้ว …
****
เราใช้เวลาทำงานอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงเป็นอันเสร็จสิ้น พร้อมกับร้านที่ปิดพอดี แน่นอนว่าถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะได้เลิกงานพร้อมกับลูซี่ที่ไม่มีเงินจ่ายจนต้องไปล้างจานหลังร้าน ..
ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ลูซี่เอาแต่จ้องเราไม่ยอมลามือสักที ต่อให้บรรยากาศมันจะเงียบไม่มีใครพูดอะไรแค่ไหนก็ตาม ..เราทำอะไรผิดไปเหรอ? นึกไม่ออกเลย
ลูซี่ยังคงจ้องต่อไปจนมีเสียง ‘จี๊’ ดังขึ้นหวิวๆ ?
“ทำไมท่านไม่บอกข้าด้วยล่ะว่าจำเป็นต้องมีเงิน”
“..มันสามัญสำนึกเลยนะ กินแล้วต้องจ่ายน่ะ”
“ที่บอกกินได้นั่นเป็นเพียงคำเท็จเรอะ! ข้าดูท่านผิดไปจริงๆ!”
เราได้แต่เอียงคอฉงน ส่วนลูฟี่กุมขมับตัวเองอย่างเจ็บปวด
“ลูซี่พิลึกมาก”
“..ข้าพิลึก?”
ลูซี่เอียงคองง ทำให้พวกเราทั้งคู่เอียงคอเข้าใส่กัน
“ปกติเวลาข้ารับประทานอาหาร ข้าไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหรอกนะ”
“สุดยอดเลยลูซี่ลูกคุณหนูตัวจริง”
“ไม่ใช่สิ เห็นแบบนี้แต่ข้าก็ทรหดพอตัว ตายมาเป็นสิบๆครั้งแล้วนะท่าน เคยสู้ข้ามวันข้ามคืนกับมังกรสวรรค์กับเฟนริลด้วย พวกเทพก็เคยประมือเป็นระยะในยุคโบราณ”
สุดยอดเลยคนตายยังพูดได้เนี่ย-ควรเชื่อมั้ยนะ? แต่ละเรื่องมันเหลือเชื่ออย่างกับในนิยาย
“ลูซี่นี่ ..พูดได้เข้าใจยากจังนะ”
“..ข้าโดนทักเช่นนั้นบ่อยๆเหมือนกัน ว่าก็ว่าเถอะ ทางท่านเองก็ด้วย มิเคยโดนใครทักเช่นเดียวกับที่ทักข้าเลยเหรอ”
“..ปกติเราไม่..ไม่..เอ๋?”
จะว่าเคยก็เคยนะ บ่อยด้วย โดยเฉพาะเคียวยะ เรามักจะโดนบ่นจนหูชาประจำเลย มีแอบโดนโซเฟียบ่นเป็นระยะๆด้วย ..
“หรือว่าเราพูดเข้าตัวเองกัน?”
“ลำบากแย่เลยนะท่าน ท่าจะโดนบ่นบ่อยเชียว”
งั้นเองเหรอ ..เราถึงกับไหล่ตก
“อย่าได้ไปคิดมากเลยท่าน เราหัวอกเดียวกัน จะไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องเมื่อครู่จะเป็นไรไป”
ลูซี่นิสัยดีมากจริงๆ
“เข้าใจแล้ว ถ้านั้นอย่าบ่นมากนะ” เราพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้สึกดลใจเหลือเกิน ว่าท่านจงใจรึเปล่า ..จุดนี้เป็นแต้ม เพราะเหมือนกับนายเหนือหัวของข้ามาก การได้เห็นอะไรเช่นนี้ฆ่าเวลา นับว่าไม่เลวล่ะท่าน”
สงสัยว่านายของลูซี่จะเป็นคนที่คล้ายๆกับเรา คนแบบนั้นมีด้วยสินะในโลกใบนี้
“เราขอตัวกลับก่อนนะ พรุ่งนี้มีเรียน”
“รับทราบ ทางข้าเองก็ขอตัว ..ไม่สิ”
ลูซี่มองซ้ายและขวาตามซอกตึก ก่อนจะถูคางตัวเองอย่างสนอกสนใจ
“ให้ข้าไปส่งดีมั้ยท่าน?”
“จะดีเหรอ”
“ข้าชื่นชอบในการเดิน เพราะฉะนั้นไม่ได้ลำบากอะไรข้าหรอก ..ยังไงก็ไม่มีบ้านให้ซูกหัวนอนอยู่แล้วน่ะนะ”
ลำบากแย่เลยนะ
สุดท้ายลงเอยโดยการที่ลูซี่เดินกลับกับเรา ระหว่างทางพวกเราก็สนทนากันไปเรื่อย
“ทำไมท่านถึงเลือกทำงานพิเศษดึกนักล่ะ เห็นว่าเป็นนักเรียนด้วย ลำพังเรียนก็หนักแย่แล้วยังจะทำงานพิเศษอีก เหนื่อยตายเลยนะท่าน” ลูซี่ถาม
“เพราะเรามีความฝันน่ะ”
..เราไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังง่ายๆ แต่ ..กลับลูซี่มันมีความคุ้นชินแปลกๆ ต่อให้พูดความในใจที่น่าอายไป เขาไม่มีทางจะหัวเราะเด็ดขาด
“ความฝันหรือ น่าสนใจ ถ้าไม่เป็นการขัดใจอะไร เล่าให้ข้าฟังได้นะ”
“ลูซี่รู้จักโรคมานาย้อนกลับรึเปล่า”
“มานาย้อนกลับ-แบบนี้นี่เอง” ลูซี่ยิ้มแบบมีเลศนัย “ยิ่งกว่ารู้จักอีก”
ยิ่งกว่ารู้จัก ..เหรอ?
“สักวันเราต้องการจะรักษาโรคมานาย้อนกลับให้ได้ เพื่อที่จะไม่ต้องมีใครต้องเศร้าจากโรคร้าย เราเลยได้เริ่มทำการวิจัยที่ต้องมีเงินทุน ..เราจะต้องรักษาโรคมานาย้อนกลับให้ได้”
ทันใดนั้นลูซี่ก็หยุดเดิน เขาสบตากับเรา
“มีอะไรเหรอ?”
“..ไม่มีอะไร”
ลูซี่โพล่งขึ้น
“ออกมาได้แล้ว!”
..หรือว่า
เราหันไปมองรอบๆ ก่อนจะพบว่ามีคนหลายสิบคนเดินออกจากซอกตึกตามที่ลูซี่เรียกร้อง ทุกคนถือของมีคมเอาไว้ในมือกันหมด
ลูซี่ถอนหายใจ
“ไม่ว่าจะยุคไหน สตรีก็ไม่สามารถเดินท่ามกลางความมืดคนเดียวได้ นี่แหละคือความสกปรกของโลกใบนี้ ทั้งๆที่โลกถูกสร้างมาให้ทุกคนได้ก้าวเดินอย่างเต็มฝ่าเท้าแต่กลับทำไม่ได้ ..นี่แหละความน่าเศร้าของโลก”
“พวกนายเป็นใคร?”
“ไม่บอกเฟ้ย! แล้วก็แกน่ะ ไอ้ลุงที่แต่งตัวแปลกๆนั่นแหละ แกแหละแก!”
ลูซี่ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยท่าทางหน่ายใจ
“มีอะไร”
“พล่ามอะไรไร้สาระดีนี่! คิดว่าพูดแบบนี้แล้วเท่มากมั้ง!”
“เท่ ..ถึงจะเป็นแค่พวกโจร แต่ตาถึงใช้ได้”
“หนวกหู ถ้าไม่อยากเจ็บตัวรีบไสหัวไปซะ”
“พวกท่านคิดจะทำอะไรกับสตรีผู้นี้?”
“แหงอยู่แล้ว หน้าตาสวยๆแบบนั้นก็ต้องจับไปขายเซ้!”
..ไม่ดีแล้ว
เราหันไปมองทางลูซี่-ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่มีท่าทางตื่นตระหนกเลย ต่อให้เจอพวกโจรกว่าสิบคน
“หลีกไปซะถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“..ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สองมือของมนุษย์ไม่ได้มีไว้เพื่อสร้าง หากแต่มีไว้เพื่อทำลาย”
“หนวกหูจริง”
หัวหน้าโจรเดินมาเตะลำตัวของลูซี่ แต่ร่างไม่สะดุ้งแม้แต่น้อย
“มนุษย์คือผู้สร้างและผู้ทำลายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้แต่ปีศาจหรือเทพก็มิอาจเทียบเคียงได้ ..ทว่ามนุษย์กลับไม่สามารถรู้จักตนเองและเข้าใจตัวเองได้ ต่อให้สร้างตำนานให้เล่าขานกันต่อไปกี่บทต่อกี่บทขึ้นมา มนุษย์ก็ยังคงเหมือนเดิน อ่อนแออยู่เรื่อยมา ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย น่าแปลกอ่อนแอทั้งๆที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้สร้างและผู้ทำลายที่แกร่งที่สุด” ลูซี่ไม่หยุดพล่าม “และถึงจะอ่อนแอมนุษย์หลายตนก็มักจะเดินไปข้างหน้าเสมอ ..สำหรับข้านั่นเป็นแต้ม แต่มันน่ารำคาญ เพราะเดินหน้าต่อไปจนไม่คำนึงถึงคู่ต่อสู้หรือการกระทำของตนเอง ..พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? วีรบุรุษเหรอ? วีรสตรีเหรอ? สิ่งมีชีวิตชั้นสูงเหรอ? ทวยเทพเหรอ? ถึงได้เข้ามาท้าทายข้าผู้นี้”
ลูซี่เปลี่ยนคำแทนอีกฝ่ายว่า ‘ท่าน’ เป็น ‘เจ้า’ พร้อมกับก้าวเท้าเข้าหาโจรโดยไม่หวั่นเกรงต่อของมีคมและจำนวนศัตรู
หัวหน้านักเลงขบฟันกรามแน่น ก่อนจะตะบะแตก
“–พล่ามอะไรไร้สาระอยู่ได้!! ไอ้จูนิเบียวนี่!!”
“จูนิเบียว-มันอะไรละนั่น”
ลูซี่หลบมีดของหัวหน้านักเลง และใช้หมัดขยี้หน้าของศัตรูจนลงไปนอนกับพื้น
เพียงพริบตาเดียว ทุกอย่างก็จบลง ลูซี่ส่งศํตรูลงไปนอนได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่มีแม้แต่เสียงหมัด
“ละ ลูกพี่!”
“แกทำอะไรลูกพี่ฟร้ะ!?”
“อยากตายใช่มั้ย!!?”
“เจ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำ–เข้ามาให้หมดเลย”
นักเลงนักสิบวิ่งเข้าใส่ลูซี่—–ลูซี่พุ่งปรี่เข้าไปอัดคนที่วิ่งมาเร็วที่สุดจนสลบในจังหวะเดียว ก่อนจะจับร่างเขวี้ยงเป็นอาวุธฟาดใส่ศัตรูจนลงไปนอนกับพื้น
มีหลายคนที่รอดจากการโจมตีได้พุ่งเอามีดเข้ามาฟัน แต่ทั้งหมดถูกหลบได้ง่ายดาย แต่น่าแปลก เพราะทุกการหลีกเลี่ยง ลูซี่ขยับเพียงไหล่หรือขาแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ทำเพียงแค่นั้นมันก็มากพอจะทำให้ศัตรูกระเจิงจนเผลอแทงกันเองโดยไม่ตั้งใจ
“เพราะพวกเจ้ามีพลังเพียงแค่นี้ถึงเป็นได้แค่โจร ระดับพวกเจ้าน่ะ-ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรืออำนาจแห่งบาปด้วยซ้ำ”
ลูซี่อัดหมัดเข้าลิ้นปี่อีกฝ่ายจนเกิดเสียงกระดูกหักดัง พร้อมกับหลบทุกการโจมตีของพวกโจร
..เพียงครู่เดี่ยว เหล่าโจรก็ลงไปนอนคลุกฝุ่นกับพื้นจนหมด
ลูซี่เดินไปเหยียบร่างของหัวหน้าโจร และโพล่งขึ้นมา ..
“ผู้ที่มีสิทธิ์จะฆ่าข้ามีเพียงเหล่า ‘วีรบุรุษ วีรสตรี’ มีแค่ตัวตนที่ข้ายอมรับเท่านั้น ..เสียใจด้วยเจ้าหนู พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาอยู่เหนือหัวของข้า”
กล่าวจบลูซี่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาตรงมาหาเราด้วยรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลาย
เราในตอนนี้ได้แต่อึ้งตาค้างกับความแข็งแกร่งของลูซี่
“ลูซี่สุดยอด”
“เห็นแบบนี้แต่พลังของข้าหายไปเกินครึ่งเลยล่ะ”
เกินครึ่งยังขนาดนี้สุดยอดเลย ..
“หากนำข้าไปเทียบกับนายเหนือหัวของข้าหรือเหล่าสหาย-ข้าคงเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของท่าน”
“นั่นแค่คำยอสินะ?”
เราเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะรู้สึกได้ว่าลูซี่โกหก ..
“…ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบอกท่านล่ะนะ” ลูซี่ยิ้มให้ “ก่อนจะไปข้าขอเตือนท่านสักอย่างสองอย่างนะ”
“อือ”
“เปลี่ยนเวลาทำงานซะนะท่าน สตรีในยุคนี้ยังไม่สามารถทำงานตอนกลางคืนได้”
เราผิดเองเรื่องนั้น เพราะสะล่าใจเลยเกือบจะถูกจับตัวไปแล้ว คราวหลังต้องระวัง
“เข้าใจ แล้วอีกเรื่อง?”
“โรคมานาย้อนกลับ มันไม่ใช่โรคที่มนุษย์ทั่วไปสามารถจับต้องได้–หากยืนยันคำเดิมว่าจะรักษาโรคนี้ จนเตรียมใจที่จะล้มเหลวซะ”
“..เข้าใจแล้ว” เราย้ำคำ “เราจะไม่ยอมแพ้”
รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ความแปลกของโรคนี้ เพราะงานวิจัยมากมายที่อ่านผ่านตามา ทำให้รู้ว่าต่อให้พยายามทดลองหรือใช้วิทยาการทางแพทย์ช่วยมากเท่าไหร่ มันก็ไม่เกิดผลดีสำเร็จเลย มันเป็นโรคที่ไร้คำตอบ ..
“อย่าฝืนมากละกันนะท่าน อ่า ใช่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ข้าค่อนข้างถูกใจท่านทีเดียว จะให้คำไบ้เกี่ยวกับโรคนี้อีกอย่างละกัน”
“คำไบ้? มีด้วยเหรอ?”
“มีสิ คิดว่าข้าอยู่มากี่ปีกัน ฟังไว้อย่าได้ลืมล่ะ ..จงหาความหมายของ ‘มานาบริสุทธิ์’ ให้ได้ แล้วก็-สักวันจงหาคนที่สามารถโค่นสรวงสวรรค์และนรกให้ได้ซะ”
“มานาบริสุทธิ์?”
ยิ่งกว่านั้นยัง สรวงสวรรค์และนรก? มันมีเกี่ยวอะไรด้วยกัน เราไม่เข้าใจเลย
“ไม่ใช่แค่ภูมิความรู้ แต่ต้องมีพลังที่มากพอจะพิชิตโลกทั้งใบ–หึๆ” ลูซี่หัวเราะออกมา “หากท่านยังยืนยันคำเดิมเกี่ยวกับความฝันนั่น ..สักวันเราอาจได้เจอกันในฐานะศัตรู”
เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกกลัวลูซี่-ซึ่งชื่อจริงคงเป็น ‘มหาบาปแห่งความเย่อหยิ่ง ลูซิเฟอร์’ อย่างที่เขาเอ่ยมาในครั้งแรก
ขณะที่ลูซี่จะเดินหนีไป เราได้ทักขึ้นมาก่อน
“เดี่ยวสิ!”
จังหวะนั้นลูซี่ได้หยุดเดิน และหันกลับมามองเรา
“..ในเมื่อบอกว่าสักวันคงได้เป็นศัตรูแล้วทำไมถึงไม่ฆ่าเราไปให้จบๆตอนนี้เลย ..แค่สงสัยนะ อย่าทำจริง”
“เช่นนั้นก็อย่าถามสิท่าน แปลกคนเหลือเกิน เหมือนกับนายของข้าเลย” ลูซี่เกาหัวตัวเองหงึกๆ “..คงเป็นเพราะบาปไม่เลือกมิตรศัตรูกระมัง?”
“แต่ว่าลูซี่บอกว่ามีนายเหนือหัวอยู่”
“ข้าบอกอยู่นะท่านว่าบาปไม่เลือกมิตรศํตรู ..สักวันข้าอาจจะกลายเป็นคนทรยศก็ได้ ถึงลักษณะนิสัยตอนนี้จะต่างไปจากเมื่ออดีต แต่ยังไงข้าก็ยังเป็น ‘ความเย่อหยิ่ง’ ผู้ที่เคยทรยศสวรรค์และหันดาบเข้าสู่ผู้สร้างอยู่ดี”
…ผู้ทรยศสรวงสวรรค์
“แน่นอนโอกาสมันแสนจะเล็กน้อย เพราะความปารถนานายเหนือหัวแห่งข้าคือปารถนาของข้า–ไม่ไหว ข้าพูดมากเกินไปแล้ว ไม่รู้อะไรเข้าสิงทำให้ข้าพูดออกมาซะหมดเลย เอาเป็นว่าอย่าเอาไปพูดให้ใครฟังไปทั่วล่ะท่าน ยกเว้นเพียงผู้ที่ท่านมั่นใจว่ามีคุณสมบัติเป็นวีรบุรุษ ..ข้าขอตัวก่อน เดินทางกลับดีๆละ ข้าเช็คให้แล้วว่าไม่มีผู้ร้ายดักซุ่ม”
“..อือ”
เรามองส่งลูซี่ที่เดินเข้าไปในตรอกซอย
“..ลูซิเฟอร์เหรอ”
เราพึมพำชื่อนี้ขึ้นมาด้วยความหวนคิดถึง …
MANGA DISCUSSION