< < 136 Sec10 > >
ภายในห้องที่ถูกแยกออกจากกันด้วยวิชาไสยศาสตร์ [เขตุแดน] นั้นมีทั้งหมดสามส่วนที่ถูกแยก
หนึ่ง คือเรเซอร์และคนของเรนอีกเก้าคน
สอง คือราเมียร์ โทมิเรีย และมิร่าที่อยู่กับมนุษย์ต้นไม้
และสุดท้ายสาม คือวินดาฟและคนของเรนอีกสิบเอ็ดคน
ขณะนี้เองทางด้านวินดาฟก็กำลังยืนเผชิญหน้ากับคนถึงสิบเอ็ดคน
นักดาบไม่ทราบระดับห้าคน นักเวทย์ไม่ทราบระดับสี่คน และผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ราวสองคน อย่างน้อยทุกคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาก็อยู่ขั้นสูงขึ้นไป อีกทั้งยังเป็นพวกขั้นสูงที่เน้นความสามารถด้านการต่อสู้เป็นหลัก
ในขั้นเบื้องต้น วินดาฟสามารถวิเคราะห์ออกมาได้ประมาณนี้
“ราชาจอมเวทย์ วินดาฟ ..”
คนที่ยืนนำอีกสิบชีวิตซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้านั้นยืนเหงื่อตกอยู่ เมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองเป็นถึงราชาจอมเวทย์—แต่ต่อให้กลัว ต่อให้รู้ว่าระดับมันต่างกันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต่อสู้ตามแผนที่เรนเป็นผู้มอบมาให้
“ฝ่ายจอมเวทย์ เตรียมตัวยิง ฝ่ายวิชาไสยศาสตร์เตรียมวิชาซัพพอร์ต ฝ่านนักดาบตามฉันมา”
นักดาบผู้เป็นหัวหน้าชักดาบออกจากฝักและพุ่งเข้าใส่วินดาฟอย่างรวดเร็ว ทุกท่วงท่าการพุ่งและการตวัดดาบถัดๆมานั้นสมบูรณ์แบบ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือจริงๆ
วินดาฟหยิบ—[เซปเตอร์เดธ(คทาแห่งความตาย)] ออกมาจากข้างหลัง
ตัวของเซปเตอร์เดธนั้นเป็นคทาขนาดเรียวที่ยาวถึง 1.5 เมตร บริเวณหัวมีผลึกสีแดงเลือดหมู สิ่งนี้คือแกนกลางของเซปเตอร์เดธ เป็นบ่อเก็บพลังทั้งหมดของตัวคทา และบริเวณก้นคทานั้นก็มีลักษณะคล้ายกับหอก โดยตัวหอกนั้นก็ทำมาจากวัสดุที่ดีที่สุด รวมถึงช่างฝีมือที่ดีที่สุดด้วย คุณภาพของมันจึงเทียบได้กับอาวุธระดับแม่ทัพคนสำคัญในกองทหารทีเดียว
วินดาฟทำการเหวี่ยงฝั่งที่มีผลึกลงพื้น และใช้ฝั่งที่เป็นปลายหอกในการต่อสู้—เขาใช้เซปเตอร์เดธปัดป้องการโจมตีด้วยดาบทั้งหมดห้าทิศทางโดยใช้เพียงปลายหอกของเซปเตอร์เดธเท่านั้น
เป็นนักเวทย์แท้ๆ–แต่วินดาฟกลับสามารถตอบโต้การโจมตีของนักดาบที่ไม่ต่ำกว่าขั้นสูงถึงห้าคนได้พร้อมๆกัน ด้วยท่วงท่าการขยับอันงดงามประหนึ่งเต้นลำและความเร็วของร่างกายที่มากกว่านักดาบอย่างมาก
พอเห็นอย่างนั้นนักดาบทั้งห้าก็พยายามมากขึ้น จนผิดตำแหน่ง-และนั่นก็เป็นจังหวะสิ้นๆที่ทำให้หนึ่งชีวิตได้ดับสูญไป
หัวกระเด็นหลุดออกจากบ่า ร่างกายค่อยๆล้มลงกับพื้น นักดาบอีกสี่คนที่เห็นก็รีบกระโดดถอยหลังหนีไปตั้งหลัก ..
“เก็บไปหนึ่ง”
“อึก—สัตว์ประหลาดเอ้ย”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าเป็นไรเดน อาคาสะ พวกนายคงจะตายกันหมดแล้ว ซึ่งฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้น่ะนะ ช่างน่าละอายใจ”
วินดาฟถอดเสื้อคลุมออกและพันมันไว้กับบริเวณกลางของเซปเตอร์เดธ ตัวเสื้อคลุมที่มีคุณสมบัติพิเศษได้ลีบตัวเข้ากับเซปเตอร์เดธ กลายเป็นจุดผ้าที่ช่วยให้จับคทาได้โดยไม่เจ็บมือ
ตอนนี้ทั้งตัววินดาฟเลยเหลือแค่เสื้อยืดสีเทา และกางเกงสีน้ำตาลยาว และเพราะเสื้อที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้รัดกับร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของวินดาฟ
หนึ่งในนักเวทย์ของอีกฝั่งเห็นก็อึ้งไป
“..เป็นนักเวทย์จริงๆเหรอเนี่ย”
“นักเวทย์ที่ดีไม่ควรยึดติดกับเวทมนตร์จนลืมสิ่งอื่นนะ” วินดาฟบิดขี้เกียจนิดหน่อย “เคลื่อนไหวแบบนี้ง่ายกว่าเยอะเลยนา ..ฮึบ โอะ เจ็บๆ แก่แล้วก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย”
เมื่อเสร็จสิ้นการวอร์มวินดาฟก็หยิบคทาขึ้นมาควงไปมาพลางใช้มืออีกข้างลูบหนวดอย่างใจเย็น
“ไม่รีบเข้ามาล่ะ?”
“…”
“แบบนี้นี่เอง ไม่คิดจะเอาชนะตั้งแต่แรกแล้ว–แสดงว่ามีเป้าหมายอยู่สินะ อืม ใครกันนะที่เป็นเป้าหมาย ไม่รู้เลยนะ”
วินดาฟถอนหายใจ
“อืม ถ้าไม่อยากสู้ก็ไม่เป็นไร”
“เอ๊ะ หมายความว่ายังไง”
“ทางนี้จะนั่งอยู่เฉยๆพอ–ฮึบ”
ว่าแล้ววินดาฟก็ลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับวางเซปเตอร์เดธไว้ข้างๆตัว
“ระหว่างนั้นอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลยนะ ทางนี้ขอทำสมาธิให้ฟอร์มการใช้มานาเข้าที่ก่อน”
ว่าแล้ววินดาฟก็เสกน้ำออกมา และทำการควบคุมมันเปลี่ยนเป็นรูปร่างอื่นๆเพื่อให้ตัวเองเข้าฟอร์มที่ดีที่สุดในการต่อสู้ ..หา??
****
อีกฝั่งหนึ่งนั้น
“เหวอ โดนแยกซะแล้ว” ราเมียร์ถอนหายใจ “แล้วไอ้นี่มันอะไรเนี่ย”
ราเมียร์ยืนเท้าสะเอว โทมิเรียเห็นก็เดินเข้ามาเสริม
“นี่มันวิชาไสยศาสตร์ไม่ผิดแน่ค่ะ ระดับเองก็ค่อนข้างสูงทีเดียวเลย”
มิร่ายืนมองตัวเขตุแดนสักพักก่อนบังเอิญเห็นตัวประหลาดวิ่งมาทางนี้–มนุษย์ต้นไม้ตนเดิมวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านราเมียร์ ท่านโทมิเรีย”
“เข้าใจแล้ว!”
ราเมียร์ใช้ขาถีบมนุษย์ต้นไม้ และนั่นก็ถูกปัดป้องไว้ได้ด้วยพลังกายที่สูสีกัน
“ชิ!”
มนุษย์ต้นไม้ต่างกับราเมียร์ มันไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดได้ และร่างกายก็ไม่มีวันเสียหายถ้าหากการโจมตีนั้นมีอาณุภาพไม่มากพอ–มันจึงเคลื่อนที่โถมใส่ราเมียร์ได้ต่อติดๆ
การแลกหมัดนับสิบจังหวะเกิดขึ้นภายในชั่ววินาทีเดียว
โทมิเรียและมิร่ายื่นมือออกมาพร้อมกัน และทำการยิ่งเวทย์เพลิงและน้ำใส่มนุษย์ต้นไม้
‘อวากไกไกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!’
มนุษย์ต้นไม้ปลิวไปกับการโจมตีนั้น ทั้งๆที่ความรุนแรงน้อยกว่าหมัดของราเมียร์ด้วยซ้ำ–มนุษย์ต้นไม้เมื่อลอยไปแล้ว เวทมนตร์ทั้งสองก็ได้ชนกันและเกิดการระเหยขึ้น
ตู้ม!!!! แรงระเบิดไอน้ำขนาดย่อมนี่ทำให้บดบังวิสัยทัศน์ในระดับหนึ่ง เมื่อโทมิเรียเห็นอย่างนั้นก็ได้ร่ายเวทมนตร์ขั้นสูง [เฮอริเคน] มาดูเอาตัวแปรที่ไม่ปกติออกจนหมด และเผยให้เห็นมนุษย์ต้นไม้ที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น
“ไม่เลวเลยนี่เจ้าหญิงทั้งสอง”
โดยเฉพาะโทมิเรีย เธอสามารถใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้ อีกทั้งการระเบิดไอน้ำเมื่อครู่ก็เกิดจากฝีมือเธอเป็นหลักด้วย
“ไม่หรอกค่ะ ที่สำคัญแค่นี้คงไม่จบหรอก”
“โอ๊ะ ..นั่นสินะ”
ราเมียร์แอบแปลกใจกับท่าทีที่สุขุมของโทมิเรีย เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้โทมิเรียที่เหมือนกับเด็กประถมได้พูดคุยกับเรเซอร์ในเรื่องที่ดูไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่ ทำให้คิดว่าตัวจริงของโทมิเรียน่าจะเป็นแค่เด็กนั่นแหละ
ท่าทีที่ใจเย็น และการใช้เวทมนตร์ที่เข้ากับสถานการณ์ ทำเอาราเมียร์แอบรู้สึกผิดที่ไปคิดว่าโทมิเรียเป็นเพียงเด็กไม่ได้เรื่องไปเลย แม้ว่านิสัยจริงๆจะเป็นเพียงเด็กประถม แต่ตัวจริงของเธอก็เป็นถึงเจ้าหญิงของตระกูลอามาเทราสึอันเก่าแก่ ตัวเธอย่อมเปี่ยมไปด้วยภาวะความเป็นผู้นำและความสามารถอยู่แล้ว
และตามคาด มนุษย์ต้นไม้ค่อยๆลุกขึ้นมา
“..เอ๊ะ”
มิร่าหลุกตกใจออกมา เพราะจู่ๆบนมือขวาของมนุษย์ต้นไม้ก็มีเวทย์เพลิงของตัวเธออยู่ นอกจากนั้นที่มือซ้ายก็มีเวทย์น้ำของโทมิเรีย
“สามารถดูดซับพลังได้สินะคะ” โทมิเรียพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เพราะอย่างนั้นการโจมตีเดิมๆเลยใช้ไม่ได้ผล ถ้าพวกเราเอาแต่กระหน่ำโจมตีใส่โดยเปล่าประโยชน์ก็มีแต่จะถูกไล่ต้อนขึ้นเรื่อยๆ แถมยังช่วยทำให้สิ่งนั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วย”
“แล้วจะให้ทำยังไงดีล่ะ?”
“ถ่วงเวลาค่ะ”
“หือ?”
“พวกเราต้องรอท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหารไม่ก็ท่านราชาจอมเวทย์มาช่วยเท่านั้น”
ราเมียร์พยักหน้ารับ และทุกคนก็เตรียมตั้งรับการโจมตีของมนุษย์ต้นไม้ต่อ
****
ลับประสาทสัมผัสให้คมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เร่งการจินตนาการให้ถึงขีดสุด ขยับร่างกายให้ได้ดั่งใจนึก—
“[เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริ–”
ใช้เวทย์บัฟแบบจอมมาร เวทมนตร์ที่มีแค่ข้อผิอพลาดของโลกอย่างผมและจอมมารเท่านั้นที่ใช้ได้ ทว่าในจังหวะที่ร่ายนั้นนักดาบราวห้าคนก็โถมเข้าใส่ผมทันที
สมกับเป็นพวกนักดาบมีฝีมือ–เร็วมาก แต่ผมสามารถเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดได้ไม่ยาก อีกทั้งยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากกว่าหลายขั้นได้
ด้วยทักษะเสริมที่ขโมยมาจากจอมมาร มันช่วยยกระดับผมไปอีกขั้น สิ่งนี้ถ้าหากได้รับการเสริมโดยตัดมิติของยูนาอีก ต่อให้เจอนักดาบระดับสูงรึบรรลุโดยทั่วไปแล้วเป็นสิบคนมันก็คงไม่คณามืออะไรมาก
ผมหลบจังหวะดาบพร้อมกันห้าครั้ง จากนั้นก็ย่อตัว
“[ดาบแห่งแสง]”
เวทย์แสงขั้นสูง กลายร่างเป็นดาบบนมือผม—ผมเหวี่ยงดาบแห่งแสงเข้าต่อสู้กับนักดาบทั้งห้า
แม้จะไม่สามารถหาจังหวะโจมตีได้เลย แต่ผมก็ปัดป้องทุกการโจมตีได้ไม่ยาก
ในขณะที่สู้ก็อ่านจังหวะเท้าของทุกคน และนำมาปรับใช้ให้ตัวเองในพร้อมๆกัน เพียงไม่นานก็เข้าใจรูปแบบการต่อสู้ของอีกห้าคนได้ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวต่อๆไป
ซ้าย ขวา หน้า ซ้าย ซ้าย หลัง บน—ผมหลบและปัดป้องทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“อะ ไอ้เด็กนี่ การเคลื่อนไหวบ้าอะไรวะเนี่ย!?”
“ประมาทเกินไปนั้นเหรอ? ช่างมัน! อย่าให้มันได้พัก”
ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงตั้งรับ เพราะไม่มีจังหวะให้โจมตีรึร่ายเวทย์มาช่วยเลย
ในขณะที่กำลังจะแอบร่ายเวทมนตร์นั้น—นักเวทย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เริ่มกระหน่ำเวทมนตร์นับสิบๆบทใส่ผม
แสงสีเสียงมากมายพุ่งเข้าใส่ผมจังๆ นักดาบที่รู้หน้าที่ก็กระโดดถอยหลังออกมา และวิ่งวนพร้อมจะโจมตีต่อในตอนที่สิ้นสุดการปะทะเวทย์
แต่เพราะอย่างนั้นทำให้มีเวลาร่ายเวทย์
ผมยื่นมือขึ้นฟ้า—และอัดเวทย์เพลิงเปล่าๆที่ไร้ชาติตระกูลใดๆออกมา
ตู้ม!!!!!!!!!!! เพลิงจำนวนมหาศาลกลืนกินเวทย์ต่างๆนานาทั้งหมดเอาง่ายๆ
“ปะ เป็นไปไม่ได้น่า! สามารถหักล้างเวทมนตร์มากขนาดนั้นได้เพียงแค่ปล่อยเพลิงธรรมดาเนี่ยนะ”
ผมหายใจ ฟู่ว แบบโล่งอก—เพราะเช็ตติ้ง ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ นี่แหละนะ
ในช่วงเก็บตัวสองเดือน ผมได้ทำการทดลองหลายอย่าง ได้หาวิธีพัฒนาตัวเองหลากหลายเลยทีเดียว และก็ทำให้พบว่าผมสามารถยกระดับเวทมนตร์ตัวเองได้เหนือกว่าคนอื่นในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆเพลิงโง่ๆทั่วๆไปของผมก็มีพลังมากพอจะหักล้างกับพวกเวทย์โจมตีที่รุนแรงระดับขั้นสูงได้ไม่ยาก ถ้าเป็นการต่อสู้โดยการปะทะเวทย์เปล่าๆ พูดตามตรง บนโลกนี้คงมีแค่ราชาจอมเวทย์กับเอเธอร์เท่านั้นแหละที่ชนะผมได้
แต่อีกฝ่ายก็หัวดีใช่ย่อย พวกนั้นรู้แล้วว่าไม่สามารถใช้เวทย์ตรงๆกับผมได้ จึงใช้ไม้กวาดบินล้อมผมไว้สี่ทิศ โดยที่ให้นักดาบอีกห้าคนเข้ามาสกัดผมไว้ และเตรียมร่ายเวทย์บทต่อไป
“โจมตี!!”
นักดาบวิ่งเข้าใส่ผมแบบบ้าคลั่ง ผมแสยะยิ้มและหัวเราะออกมา
“อะไรของมันวะ!”
“เป็นไปตามแผน”
ผมวิ่งเข้าใส่พวกมันพร้อมกับดาบแห่งแสงบนมือ–ผมใช้มืออีกข้างดึงดาบที่ชินมอบให้ผมออกมา บนมือถือดาบสองเล่มก็จริง แต่เอาเข้าจริงๆผมใช้แค่ดาบแห่งแสงอย่างเดียวเท่านั้น–โอ๊ะ
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ผมที่พัฒนาระหว่างการต่อสู้สินะ
“ยิง!!”
เสียงตะโกนของโจมเวทย์ดึงดูดความสนใจของผมไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ผมพลาดโดนนักดาบถีบเข้าที่หน้าท้องในระหว่างปะทะดาบกัน—ร่างของผมปลิวไปติดกับกำแพง พร้อมกันนั้นเวทมนตร์ก็กระหน่ำยิ่งใส่ผมที่จนตรอก
“–อึก”
เวทมนตร์นับสิบบทพุ่งเข้าใส่ร่างอย่างไร้ความปราณี
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เกิดแรงระเบิดขนาดยักษ์ขึ้นโดยที่เป้าหมายการโจมตีมีเพียงแค่ชีวิตคนชีวิตเดียวอย่างผมเท่านั้น
แม้ผมจะสามารถต่อกรกับเหล่าท็อปโลกของโลกใบนี้ได้ แต่ร่างกายผมไม่ได้แข็งแกร่งเข้าขั้นสัตว์ประหลาด เพราะอย่างนั้นต่อให้เป็นผม การโดนกระหน่ำขนาดนี้ก็คงจะ ..ไม่ไหวน่ะนะ—
การยิงเวทมนตร์แบบ้าคลั่งครั้งนี้ทำให้เกิดฝุ่นควันขึ้นเป็นจำนวนมาก มันบดบังการมองเห็นของทุกคนในที่แบบนี้
“ควันไม่เยอะไปหน่อยรึไง”
“นายใช้เวทย์ [เฮอริเคน] ได้นิ ช่วยดูดควันพวกนี้ไปทีสิ”
“เข้าใจแล้–”
เสียงตัดไป …
“เฮ้ เป็นอะไรไป ..อึก—”
เสียงตัดไปอีกหนึ่ง
หนึ่งในสามนักเวทย์ที่เหลืออยู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบตะโกนขึ้น
“ไม่ดีแล้ว—ถูกโจมตี!!”
“อยู่ไหนกัน ชิ มองอะไรไม่เห็นเลย”
“ใช้เวทย์ลมขั้นกลางไปก่อนก็ได้”
เวทมนตร์ลมขั้นกลางดูดเอาฝุ่นควันบางส่วนไป แม้จะไม่หมดแต่ก็ช่วยให้นักดาบและนักเวทย์ที่เหลือมองเห็นกันได้ อีกทั้งยังเห็นศพที่กองอยู่กับพื้นทั้งหมดสองศพได้ด้วย
“บ้าอะไรวะเนี่—”
“ระวังหัวหน้า!!”
ขณะที่ผู้เป็นหัวหน้ากำลังพึมพำนั้น ก็มีมนุษย์คลั่งพุ่งตัวออกจากฝุ่นควันที่เหลืออยู่—บนมือของผมถือดาบคู่ใจเอาไว้ และมืออีกข้างนั้นก็—ถือเวทมนตร์ขั้นบรรลุ [ทวนสายฟ้า] เอาไว้อยู่
“ทะ ทวนสายฟ้า!!!!!”
“บ้าน่า หมอนี่มันใช้เวทมนตร์ขั้นบรรลุได้ด้วย!”
หัวหน้าตั้งท่าดาบและตั้งสมาธิไว้สูงที่สุด—เมื่อทุกอย่างในร่างกายขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว ก็ได้เวลาเปิดใช้งานวิชาดาบ
“เคล็ดวิชาดาบ—”
วิชาดาบขั้นบรรลุสินะ ให้ใช้ได้คงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้านั้นก็—ผมเขวี้ยงทวนสายฟ้าใส่ตัวหัวหน้าเนี่ยแหละ ต่อให้มันหลบได้ อีกหลายชีวิตข้างหลังก็หลบไม่ทัน
หมอนั่นน่าจะสังเกตุเรื่องนี้ได้เลยเสี่ยงรับทวนสายฟ้าตรงๆ–ด้วยวิชาดาบขั้นบรรลุนั่นแหละ
“[ดาบทลายบุปผา]”
ตัวดาบและเวทมนตร์ขั้นบรรลุเข้าชนกัน—ทว่าทวนสายฟ้ากลับเอียงไปทางขวาเล็กน้อย มันพุ่งผ่านตัวดาบและลอยผ่านหน้าของหัวหน้าของพวกมันไป
“บะ บ้าน่า”
ใครจะโง่ไปปะทะกับวิชาดาบนั่นตรงๆกันเล่าส
ทวนสายฟ้าพุ่งเข้าใส่นักดาบข้างหลังแทน หนึ่งคนโดนแทงและลากติดกับกำแพง จากนั้นอีกคนก็ถูกแรงระเบิดที่ตามมาอัดเข้าใส่ร่างกายตรงๆ
ตู้ม!! หนึ่งชีวิตดับหายไป อีกหนึ่งชีวิตบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในสภภาพที่แขนขาดข้างหนึ่ง
“นี่แก!!!”
ผมเหวี่ยงดาบที่ชินมอบให้เข้าใส่ไหล่ของนักเวทย์บนฟ้า จากนั้นในจังหวะที่นักดาบหัวหน้าพุ่งมาหมายจะฟันผมให้ตายคาที่ ร่างของผมก็ลอยขึ้นฟ้าไปด้วยด้ายที่ติดไว้กับดาบคู่ใจ
ผมถีบนักเวทย์ตกจากไม้กวาด จากนั้นก็ยิง [แคนน่อนเอิร์ธ] ทะลุหัวใจของนักเวทย์นี่ไป
เท่านี้นักเวทย์บนฟ้าก็เหลือแค่คนเดียว
แน่นอนว่าพวกนักดาบที่เหลืออยู่ไม่มีทางปล่อยผมไปแน่ ทั้งหมดวิ่งไต่กำแพงมา ไม่เว้นแม้แต่นักดาบที่แขนขาด ทุกคนมีความเร็วมากพอจะวิ่งไต่กำแพงได้โดยที่ไม่ล้มไปกับแรงโน้มถ่วงซะก่อน
ผมขโมยการควบคุมจากไม้กวาดและลอยหนีไปจุดที่ปลอดภัยที่สุด
“เท่านี้ก็เหลือนักดาบสี่ และนักเวทย์หนึ่งสินะ ..”
ทั้งหมดเป็นไปตามแผน อย่างที่คาดเดาไว้ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายที่เปิดเผยมาทีละนิด รวมถึงสไตล์การต่อสู้ ทำให้ผมเลือกใช้แผนที่สองที่คิดเอาไว้นั่นคือการกดดันให้พวกนักเวทย์แยกกันอยู่โดยไม่กระจุกรวมกัน โดยการใช้เวทมนตร์และทักษะการตั้งรับข่มขวัญ จากนั้นก็แกล้งทำเป็นพลาดหนึ่งจังหวะ
ในจังหวะที่พวกนั้นกระหน่ำยิงเวทย์เข้าใส่ ผมก็ทำการใช้เพลิงปัดป้องการโจมตีทั้งหมดจากมุมอัพ พร้อมกันนั้นก็ร่ายเวทย์ธาตุดินที่มีคุณสมบัติในการสร้างฝุ่นควันมาปกคลุมทั่วทั้งห้องนี้ และใช้ช่วงเวลานี้ไล่เก็บนักเวทย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเล็งเจ้าคนที่ดูแล้วจะใช้ [เฮอริเคน] ได้ ทำให้ยังเหลือฝุ่นควันช่วยให้ผมเคลื่อนไหวได้ง่ายอยู่
พอเป็นแบบนั้นแล้ว ผมก็ใช้ช่วงทีเผลอเล่นงานพวกนักดาบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงนี้น่าเสียดายนิดหน่อยที่ไม่สามารถปิดฉากหัวหน้าของพวกมันได้ก่อน เพราะอยากเลี่ยงการปะทะกับวิชาดาบขั้นบรรลุน่ะนะ
เอาเป็นว่า ด้วยแผนนี้ทำให้โอกาสชนะผมมากกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์แล้ว หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือขอละเอาไว้เป็นตัวกันหน้าแตกละกันนะ
ผมยิ้มให้พวกที่ยังเหลืออยู่ จากนั้นก็หยิบถุงมือออกมาจากกระเป๋า ..ถุงมือสีดำที่มีเส้นขีดๆสีม่วงอยู่ตามบริเวณเส้นเลือด และตรงกลางของถุงมือนั้นก็มีผลึกเวทย์สีม่วงอยู่ ..มันเป็นผลึกเวทย์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับผลึกของคทาเวทย์ในตำนาน ‘การาวิเทีย’ ทุกประการ
ก็แหงละ มันคือผลึกของการาวิเทียนี่แหละ
อย่างที่บอก ในช่วงสองเดือน ผมได้ลองทำอะไรหลายอย่าง หนึ่งในสิ่งที่ทำก็คือการฝึกฝนทักษะบัฟของจอมมาร แล้วก็—การเอาพลังของการาวิเทียมาไว้ที่ถุงมือเวทย์แทน
ผมสวมใส่ถุงมือเวทย์ จากนั้นก็ดีดนิ้ว
เพียงพริบตาเดียวผมก็เด็ดหัวจอมเวทย์บนฟ้าคนสุดท้ายได้
ผมลากจอมเวทย์มาด้วยการควบคุมแรงโน้มถ่วงของการาวิเทีย จากนั้นก็ใช้ดาบในมือตัดหัวทิ้ง
ร่างไร้วิญญาณดิ่งลงพื้นไปอย่างน่าเวทนา ..พวกนักดาบที่เหลือแหงนหน้ามองผมด้วยใบหน้าที่ซีดเป็นไข่ต้ม
ถ้าหากมีโอกาสใช้ถุงมือนี่ตั้งแต่แรก ผมคงไม่ต้องใช้แผนการอะไรทั้งนั้น ผมสามารถเอาชนะทุกคนได้แบบไม่ยากเย็นเลยแหละ แต่เพราะไม่มีเวลาเตรียมตัวนี่แหละเลยเป็นปัญหา
จุดนี้ผมพลาดเอง เพราะประมาทเกินไป ทำให้ไม่เตรียมตัวใส่ถุงมือเวทย์ไว้ก่อน แต่หากมองในแง่ดีคือผมได้มีโอกาสสู้โดยใช้เพียงตัวเปล่าๆแล้วหลังจากไม่ได้ทำมานานแสนนาน
ผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพึงพอใจทีเดียว ต่อให้เป็นผมตัวเปล่า ผมก็มั่นใจว่านักเวทย์ที่จะเอามาโค่นผมได้รึนักดาบ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นตัวตนระดับสูงบนโลกพอตัวเลยแหละนะ ไม่ใช่พวกนักเวทย์ขั้นสูงรึสูงพิเศษทั่วไป รึนักดาบขั้นบรรลุในระดับทั่วๆไป แต่ต้องเป็นพวกท็อปในหมู่ท็อปอีกที
“..พวกเราน่าจะเชื่อที่ท่านเรนบอก”
หัวหน้าของพวกที่เหลือพึมพำขึ้น
“นั่นสินะ”
ผมตอบกลับอย่างเย็นชา จากนั้นก็ทำการดีดนิ้วอีกครั้ง
เพียงไม่นานผมก็เก็บกวาดจนหมด
MANGA DISCUSSION