นางขยับตัวไปข้างหน้าหยุดยืนอยู่ที่หน้าเตียงของไท่ซั่งหวง
เพียงสองวันเท่านั้น ร่างกายของเขากลับดูผ่ายผอมลงไปมาก สีหน้าเหลืองคล้ำ ริมฝีปากเขียวคล้ำ ขนคิ้วยุ่งเหยิงดุร้าย นี่เป็นเพียงความน่าเกรงขามสุดท้ายที่เหลืออยู่แล้ว
นี่คือบุรุษที่เคยเป็นผู้เก่งกล้าสามารถที่สุดของแคว้นเป่ยถัง
ตอนนี้แม้แต่ความเป็นและความตายก็ไม่อาจควบคุมได้
หยวนชิงหลิงวางมือของนางไว้บนหน้าอกของเขาเพื่อสัมผัสหัวใจที่เต้นอย่างเชื่องช้าและลมหายใจอันไร้จังหวะ
"เป็นอย่างไรบ้าง?" รุ่ยชินอ๋องนึกว่านางกำลังตรวจร่างกายด้วยการฟังเสียงจึงเข้ามาถาม
หยวนชิงหลิงส่ายหน้าเล็กน้อย "ยังไม่ทราบแน่ชัดเพคะ"
รุ่ยชินอ๋องมีท่าทางผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กลับมีสีหน้าราวกับปกติ เขามองไปทางหมอหลวงที่กำลังทดสอบยา
หมอหลวงโล่งอกแล้วจึงหันมาทูลรายงาน "ฝ่าบาท เป็นผงชาดผสมกับพิษของจื่อเถิงพ่ะย่ะค่ะ"
"รักษายากหรือไม่?" รุ่ยชินอ๋องถาม
"ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ เมื่อรู้แล้วว่าเป็นพิษอะไรก็สามารถใช้ยารักษาได้ตามอาการ ใช้ยาแก้พิษเดิมที่เคยใช้ไม่ได้ผลกับผงชาและจื่อเถิง ต้องเปลี่ยนตำรับยาพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงกล่าว
ในเมื่อหมอหลวงสามารถแก้พิษได้จึงไม่มีเรื่องอะไรสำหรับหยวนชิงหลิงอีก จักรพรรดิหมิงหยวนตี้จึงให้นางกลับไปดูแลอวี่เหวินฮ่าว
ยามที่ทูลลา จักรพรรดิหมิงหยวนตี้มองนางและกล่าวว่า "เย็นนี้อยู่กินอาหารเย็นเป็นเพื่อนเจิ้นเถอะ"
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่านี่เป็นความกรุณาอันยิ่งใหญ่ เพียงคิดไปว่าคงเป็นการรับประทานอาหารตามปกติเท่านั้น อย่างไรก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันจึงได้รับปากแล้วจึงออกไป
รุ่ยชินอ๋องมองท่าทางไม่สะทกสะท้านของนางนั้นก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
ที่จริงแล้วในใจของหยวนชิงหลิงยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังเป็นกังวล นั่นก็คือส่วนนั้นของอวี่เหวินฮ่าว
แผลบาดเจ็บตรงส่วนนั้นของเขาเพิ่งจะเย็บไป ไม่รู้ว่าไหมจะขาดหรือไม่ อย่างไรตลอดทางที่เข้าวังมาก็กระทบกระเทือนยิ่งนัก อีกทั้งยังเดินอีกหลายร้อยก้าว บาดแผลนั้นใกล้กับส่วนนั้นของเขา หากบาดแผลฉีกขาดจะเจ็บปวดจนถึงขั้นทำให้คนคลุ้มคลั่งไปได้
คนผู้นี้มีความสามารถในการอดทนเป็นเลิศ
ก่อนหน้านี้ในตำหนักมีคนมากเกินไป อีกทั้งสถานการณ์ก็ยังค่อนข้างร้ายแรง นางไม่อาจคำนึงถึงสิ่งอื่น ตอนนี้ในตำหนักคงมีทังหยางและซวีอีคอยดูแลอยู่ เช่นนั้นก็คงไม่เป็นไร
เมื่อเข้าไปในตำหนักด้านข้างก็เห็นซวีอีและทังหยางเฝ้าอยู่ตามที่คาด เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงกลับมา ทังหยางก็รีบกล่าวว่า "พระชายา ไท่ซั่งหวงอาการเป็นอย่างไรบ้าง?"
หยวนชิงหลิงเหลือบมองอวี่เหวินฮ่าว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนาง นัยน์ตาแฝงไปด้วยคำถาม
"หาทางรักษาได้แล้ว" หยวนชิงหลิงตอบ
อวี่เหวินฮ่าวมีท่าทางโล่งอกอย่างชัดเจน ศีรษะและไหล่ของเขาต่างก็ตกลง
ในตำหนักแห่งนี้ไม่ใช่ที่สนทนาที่ดีนัก ทุกคนต่างก็กล่าวว่าดีนักสองสามประโยคแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
หยวนชิงหลิงกล่าวกับซวีอีและทังหยางวา "พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะดูแผลให้ท่านอ๋อง"
อวี่เหวินฮ่าวเบิกตากว้างถลึงตามองหยวนชิงหลิงทันที "บาดแผลไม่เป็นไร ไม่ต้องดู"
"ต้องดู!" หยวนชิงหลิงพูดอย่างใส่ใจ
ทังหยางดึงซวีอีออกไปอย่างรู้งาน "กระหม่อมรออยู่ด้านนอก ท่านอ๋องมีอะไรก็ตะโกนเรียกได้เลยพ่ะย่ะค่ะ"
อวี่เหวินฮ่าวหน้าบึ้ง จะให้เขาตะโกนเรียกอะไรเล่า ไม่ใช่สตรีเสียหน่อย
หยวนชิงหลิงเปิดกล่องยาออกมาเตรียมจะให้น้ำเกลือและฉีดยาระงับปวดแก้อักเสบ เรื่องการให้น้ำเกลือนั้นในใจอวี่เหวินฮ่าวยังคงปฏิเสธ การมองสิ่งของอะไรก็ไม่รู้ไหลเข้าสู่ร่างกายนั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือการได้เห็นหยวนชิงหลิงใช้สายตาที่แฝงแววเยาะเย้ยมองมายังเขาและได้ยินนางกล่าวว่า "อ้าขาออก!"
ในตำหนักมีเสียงทักทายบรรพบุรุษสิบแปดเหง้าของหยวนชิงหลิงดังออกมา
ที่จริงแล้วหยวนชิงหลิงอยากจะให้ความรู้เรื่องหลักการเป็นมนุษย์แก่อวี่เหวินฮ่าว เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตนเองอ่อนแอกว่าผู้อื่นและยังไม่ผิดหลักการนั้น ไม่ต่อต้านดีที่สุด จงเชื่อฟังทุกสิ่ง เช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำให้ตนเองเจ็บตัวน้อยลง
บาดแผลไม่ได้มีปัญหานัก เพียงจัดการเล็กน้อยก็พอแล้ว
หยวนชิงหลิงพูดอย่างเหนื่อยอ่อน "เขยิบไปข้างในหน่อย ให้ข้านอนบ้าง"
"ขยับไม่ไหว" อวี่เหวินฮ่าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของนางก็ขยับตัวอย่างเชื่องช้าและเว้นที่ว่างให้นาง
หยวนชิงหลิงล้มตัวลงนอนคว่ำอยู่ข้างกายเขา มือสองข้างของนางประสานรองอยู่ตรงหน้าผากและกล่าวออกมาอย่างอัดอั้น "หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น ให้ข้าได้อยู่อย่างสงบไปอีกหลายวัน"
"หากไท่ซั่งหวงไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าก็ขอพระราชโองการออกจากวังกลับจวนเถอะ" อวี่เหวินฮ่าวกล่าว
"รับประทานอาหารแล้วก็จะไป" หยวนชิงหลิงตอบ
เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "ในจวนไม่มีข้าวให้เจ้ากินหรือไง? อาหารในวังมีอะไรอร่อยนัก?"
"ฝ่าบาทให้ข้าอยู่รับประทานมื้อเย็นกับพระองค์" หยวนชิงหลิงกล่าว
อวี่เหวินฮ่าวตะลึง "เสด็จพ่อให้เจ้าไปรับประทานอาหารด้วย? ให้เจ้ารับประทานอาหารเสร็จแล้วค่อยไปงั้นหรือ?"
เสด็จพ่อโปรดการเสวยคนเดียว แม้แต่จะเสด็จไปที่วังของฮองเฮาก็ยังต้องเสวยเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะเสด็จไป
เขาโตขนาดนี้แล้ว นอกจากงานเลี้ยงแล้วก็ไม่เคยรับประทานอาหารกับเสด็จพ่อมาก่อน
หยวนชิงหลิงยังคงพูดอย่างอึดอัด "ไม่รู้ ฝ่าบาทกล่าวเช่นนี้ก็คงจะเพราะเกรงใจกระมัง"
อวี่เหวินฮ่าวกลับรู้ดีว่าเสด็จพ่อของเขาย่อมไม่เกรงใจผู้ใดแน่ ในสายตาของเสด็จพ่อนั้น การเลี้ยงอาหารนับว่าเป็นเรื่องที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก
หากจะพูดไปแล้ว หลังที่เสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ ผู้ที่เคยเสวยพระกระยาหารร่วมกับเสด็จพ่อก็คงมีแต่เสด็จปู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
"รับประทานอาหารกับฝ่าบาทต้องระวังอะไรไหม?" หยวนชิงหลิงกล่าวถาม
อวี่เหวินฮ่าวมีสีหน้าไม่ดีนัก "ใครจะไปรู้?"
หยวนชิงหลิงยกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่รู้หรือ?"
นึกว่าเขาไม่ยอมบอกนาง นางจึงกล่าวว่า "หากข้าทำขายหน้าก็นับว่าเป็นการทำจวนฉู่อ๋องขายหน้าไปด้วย"
อวี่เหวินฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ "ข้าไม่เคยได้รับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวกับเสด็จพ่อมาก่อน"
หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้น "ในครอบครัวมีคนมากมายเช่นนั้นย่อมไม่ได้รับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวแน่ ข้าก็ไม่ได้รับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวกับฝ่าบาทเช่นกัน"
"ไม่ใช่เจ้ากับเสด็จพ่องั้นหรือ? เช่นนั้นยังมีใครอีก?" อวี่เหวินฮ่าวข้องใจเล็กน้อย
"ไม่รู้สิ ปกติแล้วฝ่าบาทเสวยกับใครบ้าง?" หยวนชิงหลิงหันหน้ามามองอวี่เหวินฮ่าว สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมลง "คงไม่ใช่ว่ามีเพียงข้าและฝ่าบาทเท่านั้นหรอกนะ?"
อวี่เหวินฮ่าวตอบว่า "เสด็จพ่อไม่เคยเสวยกับผู้ใดเป็นการส่วนตัวมาก่อน"
หยวนชิงหลิงอึ้งงั้น "เช่นนั้นยามปกติแล้วฝ่าบาทเสวยเพียงคนเดียวหรือ?"
"อืม!"
"ทำไมหรือ?" หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจจริงๆ นางสนมในวังมีมากมาย อีกทั้งยังมีองค์ชายที่ยังไม่ได้แต่งตั้งขึ้นเป็นอ๋องและธิดาที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างก็สามารถร่วมโต๊ะเสวยได้ เหตุใดเขาจึงได้เสวยพระกระยาหารเพียงลำพัง?
ศีรษะของหยวนชิงหลิงแนบอยู่กับหมอน อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก นางไม่อยากร่วมโต๊ะเสวยกับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัว
"เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย เสด็จพ่อไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย"
หยวนชิงหลิงพูดอย่างอึดอัด "ข้าไม่ได้กลัว เพียงแต่ไม่คุ้นเคยการรับประทานอาหารเพียงสองคน คงจะน่าอึดอัดนัก ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร"
"จะพูดอะไรได้เล่า? เขาถามอะไรเจ้าก็ตอบไปเช่นนั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดให้มากแม้เพียงประโยคเดียว" เสียงของเขาบ่งบอกถึงความรำคาญ
หยวนชิงหลิงฟังออกถึงอารมณ์ของเขาจากน้ำเสียง นางไม่อยากยั่วโมโหเขาอีกจึงได้หลับตาลง
แต่ในใจของท่านอ๋องผู้นี้กลับเงียบเหงาลง เสด็จพ่อต้องการเสวยพระกระยาหารกับหยวนชิงหลิง เขาคิดว่ามีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือต้องการรู้จากปากนางว่าจวนฉู่อ๋องมีความเคลื่อนไหวเช่นไร อย่างไรเสด็จพ่อก็ไม่เชื่อเขา
มือสังหารกินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว เรื่องนี้จึงทำได้เพียงจบไปทั้งอย่างนี้ เขาไม่อาจลบล้างความน่าสงสัยในการใช้อุบายทุกข์กายไปได้
MANGA DISCUSSION