[ฝั่งป้อมปราการเดธวอลเลย์]
” ว่าไงนะ ! มอนสเตอร์ที่อยู่ในป่าฝั่งตะวันตกหายไปอย่างไร้ร่องรอยงั้นเหรอ ! ” เสียงดังที่เกิดจากความตกใจจากการที่ได้รับข้อมูลที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นสะท้อนกังวานภายในห้องของผู้ที่ตำแหน่งสูงที่สุดในที่ทำการกิลด์นักผจญภัยสาขาป้อมปราการเดธวอลเลย์
” คะ-ครับ ! นักสอดแนมในกลุ่มของข้าที่คอยประจำอยู่ใกล้ ๆ ป่าฝั่งตะวันตกบอกว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ในฝั่งตะวันตกหายไปหมดเลยครับ ! ” หนุ่มนักผจญภัยผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินที่คอยเป็นดั่งมือขวาของกิลด์มาสเตอร์รายงานข้อมูลที่แม้แต่ตนเองก็ยังทำใจเชื่อไม่ลง
กลุ่มนักผจญภัยเหยี่ยวสีน้ำเงินได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักผจญภัยที่อยู่ในระดับ A และมีชื่อเสียงจากการทำผลงานให้กับกิลด์อย่างมากมาย โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินเป็นเหล่าลูกศิษย์ที่กิลด์มาสเตอร์สอนมาเองกับมือ โดยสมาชิกของกลุ่มมีด้วยกัน 4 คน ได้แก่ บาซ่า ออสเปร เกรย์ และ
บาซ่า ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มที่เปรียบดั่งผู้ช่วยและมือขวาของกิลด์มาสเตอร์ที่คอยรับภารกิจหรือคำจ้างวานโดยตรง เป็นหนุ่มนักผจญภัยที่มีอนาคตไกล มีทั้งความรอบคอบและใจเย็นทั้งยังสามารถอ่านสถานการณ์ได้อย่างดี แม้จะมีความสามารถด้านการต่อสู้ไม่โดดเด่นมากนักแต่ก็เป็นที่พึ่งพาของกลุ่มและทุกคนได้เป็นอย่างดี
ออสเปร ผู้เปรียบเสมือนกับเงาของกลุ่มที่คอยทำหน้าที่สอดแนมหรือวางกับดัก หรือแม้แต่ลอบสังหารล้วงแนวหลังของศัตรู ออสเปรเป็นคนที่แม้จะมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดีนักแต่ก็เป็นที่ไว้ใจได้ของคนในกลุ่มทั้งยังมีความฉลาดและวางแผนการให้กับกลุ่มอยู่เสมอและข้อมูลที่ได้มาในคราวนี้ หรือข้อมูลในตอนอื่นก็มักจะเป็นออสเปรที่เป็นคนสืบมาให้เสมอ
เกรย์ บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นดั่งกำแพงเหล็กให้กับคนในกลุ่ม เป็นคนที่สื่อตรงและจริงใจแม้ในสมองจะมีแต่กล้ามแต่ทั้งนั้นก็มีความเป็นห่วงเพื่อนพ้องถึงกับที่เอาตัวเองเข้าแลกมาหลายต่อหลายครั้ง ลักษณะร่างกายที่ใหญ่โตที่มีกล้ามเนื้ออันสวยงามโดดเด่นก็เรียกความน่าเกรงขามและออร่าความแข็งแกร่งจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
เบสร่า เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินผู้เป็นดั่งคลังข้อมูลและมันสมองอีกคนร่วมกับออสเปร แม้ว่าเบสร่าและออสเปรจะไม่ค่อยถูกกันก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลางานทั้งคู่กับเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เบสร่าแต่เดิมนั้นไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของกิลด์มาสเตอร์มาก่อนแต่เคยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเวทย์มนตรา และได้เป็นที่สองของชั้นเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เบสร่าเจ็บใจมาจนถึงทุกวันนี้เพราะตนได้พ่ายแพ้ให้กับคนหนุ่มนักเวทย์วัยเดียวกับตนที่ตอนนี้ทำงานเป็นนักเวทย์ของราชสำนักในเมืองหลวง แถมยังเป็นผู้ช่วยให้กับจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์คนนั้นอีก
เมื่อมองเข้ามาจากภายนอกกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินก็เรียกได้ว่ามีองค์ประกอบครบถ้วนของกลุ่มนักผจญภัยมากฝีมือ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจก้าวไปถึงระดับ S ได้ จริงอยู่ที่กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินแข็งแกร่งและถูกจัดอยู่ในระดับ A แต่หากจะต้องรับมือกับการอาละวาดของมอนสเตอร์ในครั้งนี้ที่มีจำนวนมากกว่า 500 ก็ยังเป็นสิ่งที่เกินตัวไปมาก
แต่ไม่นานข้อมูลที่เป็นดั่งความหวังก็ถูกรายงานมาจากออสเปรผู้เป็นดั่งเงาของกลุ่ม มอนสเตอร์จำนวนมากที่ประจำอยู่ในป่าฝั่งตะวันตกที่ออสเปรจับตาดูอยู่ห่าง ๆ ได้หายไปอย่างลึกลับ ทั้งยังไม่มีแม้แต่วี่แววการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ใด ๆ จำนวนของมอนสเตอร์ที่ประมาณได้คร่าว ๆ อยู่ราว ๆ 200-300 ตัว ก็นับว่าเยอะมาก หากจะเคลื่อนไหวหรือเกิดการต่อสู้กับมนุษย์หรือนักผจญภัยอื่น ๆ ก็น่าจะรู้ตัวบ้าง แต่กลับหายไปเฉย ๆ
เมื่อบาซ่าได้รับรายงานดังกล่าวจึงได้ขอให้ออสเปรเข้าไปตรวจสอบในป่าเพื่อจะได้รู้สาเหตุ แม้ว่านั่นจะเหมือนกับการขอให้เพื่อนเข้าไปตาย แต่ออสเปรเองก็รู้ดีกว่าข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรายงานและยืนยันก่อนสิ่งอื่นใด ในขณะที่ออสเปรเข้าไปในป่าเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมบาซ่าก็จะรีบไปรายงานต่อกิลด์มาสเตอร์
” ตอนนี้ข้าให้ออสเปรเข้าไปตรวจสอบภายในป่าดูแล้วครับ คิดว่าไม่นานน่าจะทำให้รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในป่า ” บาซ่าที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงข้ามกับกิลด์มาสเตอร์วัยกลางคนที่ดูกำยำแข็งแร็ง แม้จะอายุเกิน 50 แต่ก็ยังมีออร่าของความแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อยเรียกได้ว่าถึงจะเกษียณตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่เว้นการฝึกฝนตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
” งั้นเหรอ…หรือว่าจะถูกเผ่าปีศาจควบคุมให้ไปที่อื่นกันนะ ” กิลด์มาสเตอร์คิดพลางลูบคางไปด้วย สีหน้าที่แสดงออกมามีความสงสัยและประหลาดใจอยู่บนใบหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบัง
” ข้าเองก็คิดว่ามันแปลกครับ ไม่คิดว่ามอนสเตอร์จำนวนขนาดนั้นจะเคลื่อนไหวกันแน่อย่างแน่นอน ” บาซ่าที่เสนอความคิดสอดคล้องกับกิลด์มาสเตอร์ออกมา ทำให้แนวคิดที่ว่าเผ่าปีศาจควบคุมยิ่งมีน้ำหนัก
” แต่ถ้าเป็นอย่างที่พวกเราคิดละก็ ไม่แน่ว่าบางทีออสเปรอาจจะเข้าปะทะเป่าปีศาจไปป่าก็เป็นได้นะครับ ถึงจะเป็นออสเปรที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนก็ตาม แต่เผ่าปีศาจที่สามารถควบคุมมอนเตอร์ได้มากถึง 500 ตัวคงไม่ใช่ทำธรรมดาแน่ ๆ ” บาซ่าที่คิดแบบเป็นระบบพูดถึงความคิดของตนที่สื่อถึงความเป็นห่วงพวกพ้องออกมา
” ข้าเองก็คิดแบบนั้น ยังไงซะตอนนี้เราคงต้องเตรียมพร้อมไม่แน่ว่ามอนสเตอร์ที่หายไปพวกนั้นอาจจะไปรวมตัวกันในทิศทางอื่นที่พวกเราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ”
” ถ้าหากออสเปรกลับมาเมื่อไหร่ข้าจะรีบมารายงานครับ ” บาซ่าเมื่อพูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้องไป ทิ้งไว้ให้กิลด์มาสเตอร์นั่งครุ่นคิดอยู่เพียงคนเดียวในห้องที่มีเพียงความเงียบ
” เฮ้อ…ถ้ามีเทพธิดามาโปรดให้พวกเรารอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ก็คงดีสินะ ”
เสียงบ่นเบา ๆ ที่ราวกับคำขอพรจากสวรรค์ดังขึ้นท่ามกลางห้องทำงานที่มีแสงแดดอ่อน ๆ แสดส่องผ่านมาทางหน้าต่างยามบ่าย สะก้อนกังวานไปมา ๆ จนในที่สุดก็หยุดลง
.
.
.
[บริเวณทางเข้าป่าตะวันตกฝั่งหน้าป้อมปราการเดธวอลเลย์]
(‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทำไมพวกมอนสเตอร์ถึงได้หายไปหมด ทั้งที่เมื่อ 2 วันที่แล้วเรายังเห็นอยู่เต็มไปหมดแท้ ๆ’)
หนุ่มนักผจญภัยผมสีเขียวเข้มจนเกือบดำ มีผ้าผันคอสีเขียวแก่เข้ากันกับสีผมและชุดสีดำที่ดูจะเคลื่อนไหวได้ง่ายและดูกลมกลืนราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ใบที่ดูจะเรียกได้ว่า หน้าตาย ยามปกติ แต่เวลานี้กลับแสดงความวิตกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่มาสอดส่องหาข้อมูลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ในป่าตะวันตกนั่นคือ ออสเปร
ก่อนหน้านี้สองวัน ออสเปรได้มาสำรวจและสอดส่องดูความเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ในป่าฝั่งตะวันตกอยู่เป็นประจำ ตามข้อมูลที่ได้สรุปกันกับกิลด์มาสเตอร์มอนสเตอร์มีประมาณ 500 หรือมากกว่านั้น โดยแบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก อย่างละเท่า ๆ กันโดยที่ฝั่งตะวันออกจะมีคนของกิลด์มาสเตอร์คอยตรวจสอบให้อยู่แล้ว
โดยปกติแล้วออสเปรจะคอยสอดแนมอยู่เพียงบริเวณใกล้ ๆ กับทางเข้าป่าเท่านั้น เนื่องจากจำนวนมอนสเตอร์ที่มากมายขนาดนี้ถ้าหากเคลื่อนไหวที่ใกล้จนเกินอาจจะทำให้การสอดแนมถูกพบได้ ไม่ใช่แค่นั้นระดับมอนสเตอร์เองก็ใช่ว่าจะต่ำ ถึงส่วนใหญ่จะเป็นระดับ C แต่ก็มี B หรือ A ปะปนอยู่ด้วย โดยปกติแล้วถึงออสเปรจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ A แต่ก็ไม่สามารถสู้กับมอนสเตอร์แรงค์ A ได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะเนื่องจากความสามารถทางกายภาพและพลังชีวิตรวมไปถึงความอึดนั้นมอนสเตอร์เหนือกว่ามนุษย์เกือบทุกด้าน
สิ่งที่มนุษย์มีเหนือกว่าก็คงเป็นเพียงสติปัญญาเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่วายที่จะมีมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาสูงซึ่งจะพบได้ในระดับจ่าฝูงหรือไม่ก็ราชาของเหล่ามอนสเตอร์ในแต่ละชนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะต่อกรไม่ได้เลยซะทีเดียว เพราะถ้าหากว่าออสเปรได้ทำการวางกับดักล่วงหน้าก็อาจจะสามารถล้มมอนสเตอร์แรงค์ A ได้ในตัวคนเดียว ถึงจะลากเลือดไปสักหน่อยแต่เจ้าตัวก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าหากเตรียมตัวมาละก็ สามารถทำได้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำอย่างนั้น เพราะด้วยจำนวนขนาดนี้ถ้าหากโดนมอนสเตอร์เข้าจู่โจมพร้อมกันละก็ถึงจะเป็นออสเปรที่ถนัดด้านการหลบหลีกหรือเอาตัวรอดก็เสี่ยงตายได้เลยทีเดียว และยังมีเรื่องที่น่าสงสัยอีกอย่างคือถ้าหากว่าการรวมตัวกันของมอนสเตอร์เป็นฝีมือของเผ่าปีศาจจริงละก็ การที่ถูกพบตัวเข้าอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วเปลี่ยนแผนก็เป็นได้
(นะ-นี่มันอะไรกัน !! )
เมื่อเข้ามาส่วนลึกของป่าก็ได้เจอกับต้นเหตุที่ทำให้ออสเปรต้องเข้ามาตรวจสอบข้างในส่วนลึกของป่า นั่นคือซากศพของเหล่ามอนสเตอร์จำนวนมากที่ตายอย่างปริศนา ซากศพทั้งหมดมีลักษณะเหมือนถูกไฟเผาจนดำเป็นเถ้าถ่าน แต่ยังพอที่จะมองออกว่าเป็นมอนสเตอร์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นหลักคือใครเป็นคนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี่ต่างหาก
เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือของเผ่าปีศาจอย่างแน่นอน เพราะไม่น่าจะมีเหตุผลอันใดที่ทำให้เผ่าปีศาจจะลงมือจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์ที่ตนเป็นผู้ควบคุม จะบอกว่าหมดประโยชน์ก็ดูจะง่ายเกินไปหน่อย ในระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็สังเกตุเห็นว่าซากศพของเหล่ามอนสเตอร์ส่วนมากจะตายบริเวณกลางป่าที่เป็นลานที่นักเดินทางชอบมาตั้งแคมป์
(นะ-นี่หรือว่าจะเป็นฝีมือที่คนที่เดินทางผ่านป่าอย่างนั้นเหรอ )
ออสเปรที่จมอยู่กับความคิดของตนขณะที่อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ที่สามารถมองลงมาเห็นข้างล่างได้อย่างชัดเจน ความสงสัยและความหวาดวิตเข้าถาโถมอย่างกะทันหันจนออสเปรที่ปกติจะทำหน้าตายและไร้อารมณ์ยังเก็บสีหน้าไม่อยู่
สิ่งที่ออสเปรพอจะคิดว่าก็คือ ถ้าหากว่าเป็นฝีมือของผู้ที่เดินทางผ่านป่ามาละก็เขาคนนั้นก็คงเป็นสัตว์ประหลาดไม่มีผิดอาจจะถึงระดับนักผจญภัยระดับ S หรือเหนือกว่าเลยก็ว่าได้ เพราะสภาพของเหล่ามอนสเตอร์ที่ถูกเผาอย่างโหดเหี้ยมนั่นเรียกได้ว่าตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แน่นอนว่าเป็นเวทมนตร์ประเภทไฟอย่างแน่นอน แต่ออสเปรที่มีประสบการณ์การต่อสู้ไม่ว่าจะกับคนหรือมอนสเตอร์มาในระดับที่เรียกได้ว่าเจนสนามก็ยังคิดไม่ออกว่าใครกันที่สามารถใช้เวทย์ไฟระดับนี้ได้ สาเหตุของความสงสัยนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามาจากซากศพของมอนสเตอร์แรงค์ A อย่างพวกไซคลอปส์หรือโทรลล์ ที่แม้แต่ทีมเหยี่ยวสีน้ำเงินของตนก็ยากที่จะปราบ ถึงจะปราบได้แต่ก็ต้องใช้เวลา
แต่แล้วมอนสเตอร์ที่กระทั่งพวกออสเปรสู้อย่างยากลำบากกลับถูกเวทมนตร์ไฟโจมตีตายคาทีในครั้งเดียว คนที่จะทำแบบนี้ได้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ในระดับเดียวกับจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์หรือบางทีอาจจะเหนือกว่านั้นก็เป็นไป การที่มีผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ระดับนี้ได้นั่นไม่ใช่เรื่องปกติที่จะอยู่เฉยได้
เพราะไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู หรือไม่บางทีอาจจะเป็นเผ่าปีศาจที่คิดว่ามอนสเตอร์พวกนี้หมดประโยชน์จริง ๆ ก็เป็นได้ ออสเปรที่เป็นคนฉลาดและมักจะวางแผนอยู่เสมอคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลในห้วงแห่งความคิดบนต้นไม้ที่ถูกสายลมพัดผ่านแบบเบาบาง แต่ในระหว่างนั้นเองตัวตนที่แสนเด่นสะดุดตาก็สะท้อนเข้ามายังดวงตาของออสเปร
(จะ-เจ้านั่นมันอะไรกันน่ะ !! )
ร่างของหมาป่าสีเงินที่ใหญ่ถึง 4 เมตรที่ดูราวกับเป็นสัตว์ของเทพธิดา ขนสีเงินเงางามสะท้อนแสงแดดตอนเที่ยงเปล่งประกายจนน่าหลงใหล ลวดลายตามตัวที่เหมือนกับสัญลักษณ์โบราณที่ดูราวกับมนต์ขลัง ร่างกายที่ดูกำยำแข็งแกร่งปราดเปรียวและน่าเกรงขามอย่างกับราชันย์ของหมาป่าทั้งปวง รูปลักษณ์ทั้งหมดนั้นช่างดูศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งจนละสายตาไม่ได้
ทันใดที่คิดชื่นชมความงดงามของมอนสเตอร์ตรงหน้านั้น สัญชาตญาณนักผจญภัยของออสเปรก็รู้ได้ทันทีว่าหมาป่าที่ตนเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถต่อกรได้เลย หากเข้าไปใกล้ก็ไม่วายถูกขย้ำและฉีกกระชากภายในพริบตา ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ มนุษย์เป็นเพียงของเล่นสำหรับหมาป่าตัวนั้นก็ไม่ปาน
ขณะที่คิดและจมอยู่กับความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจอยู่นั้น ก็เผลอสบตาเข้ากับดวงตาสีเงินที่เปล่งประกายราวกับพระจันทร์เต็มดวงที่ทอแสงประกายในราตรีอันมืดมิด ความตกใจและหลงใหลเข้าจู่โจมออสเปรอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ในขณะเดียวกันความหวาดกลัวก็กัดกินหัวใจของออสเปรอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยรู้สึกมาก่อน
(แย่แล้ว ! ต้องรีบหนีแล้ว ! ไม่ว่ายังไง ! ไม่ว่ายังไงก็ต้องรีบให้รอดให้ได้ !)
ออสเปรที่กระโดดหนีข้ามไปยังกิ่งไม้ ต้นแล้วต้นเล่า อย่างกับสายลมทักษะการวิ่งและการหนีเอาตัวรอดที่ฝึกมาทั้งชีวิตได้ถูกใช้งานทั้งหมดในตอนนี้เพื่อเอาตัวให้รอดจากสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเอาชนะได้
ออสเปรที่วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิตนั้นไม่ได้รู้เลยว่าดวงตาสีเงินที่จ้องมองตามหลังของตนนั้นได้เกิดคำถามในใจที่ถ้าหากพูดเป็นภาษาของมนุษย์ก็คงประมาณว่า ‘ อะไรของมันฟะ !’
.
.
.
หลังจากที่เคลียร์ปัญหาเรื่องมอนสเตอร์ที่กลายเป็นไก่ย่างเต็มบริเวณที่ตั้งแคมป์แล้ว คุณแอนนาก็มาขออนุญาตฉันที่จะชำและเอาวัตถุดิบต่าง ๆ ของมอนสเตอร์ที่นำไปเป็นวัตถุดิบที่จะนำไปปรุงยารักษารวมทั้งนำไปขายที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ด้วยค่ะ ที่จริงฉันเองก็งงเหมือนกันค่ะว่าจะมาขออนุญาตฉันทำไม
แต่คุณแอนนาก็ชี้แจงว่าเพราะฉันเป็นคนจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดนี้เพราะงั้น ซากศพทั้งหมดก็จะเป็นของฉันไปโดยปริยายค่ะ เอ่อคือ…ฉันควรจะดีใจใช่ไหมคะเนี่ย ที่ได้รับรางวัลในการเดินทางเป็นซากศพของมอนสเตอร์หลายร้อยตัวแบบนี้เนี่ย แบบนี้น่ากลัวจะตายไปค่ะ ! ไม่เอาด้วยนะคะ !
” ตะ-แต่ว่าส่วนใหญ่มันโดนเผาจนไหม้ไปแล้วนะคะ แบบนี้ยังเอาไปขายได้อีกเหรอคะ ? ” ฉันที่สงสัยถามคุณแอนนาออกไปอย่างเป็นห่วง ก็แน่สิคะ ! มอนสเตอร์พวกนี้โดน ‘อาณาเขตเทวะ’ ของฉันเข้าไปจนไหม้เป็นถ่านที่ใช้ในเตาหมูกระทะเลยนะคะ แบบนึ้จะขายได้ยังไงกันละ
” ไม่ต้องห่วงค่ะท่านโนเอลร่า ถึงจะมีตำหนิที่โดนเผาไฟแต่ก็เป็นวัตถุดิบจากมอนสเตอร์แรงค์สูง แม้ราคาจะลดลงบ้างแต่ก็ถือว่ายังขายได้เงินอยู่มากทีเดียวค่ะ ! ” คุณแอนนาที่ตอบออกมาอย่างร่าเริงพร้อมทั้งลงมือชำแหละมอนสเตอร์อย่างชำนาญ
ในระหว่างที่รอคุณแอนนาชำแหละอยู่นั้นฉันเองก็รอลูลิกลับมาเหมือนกันค่ะ กำลังสงสัยอยู่ใช่ไหมคะว่าฉันทำไมถึงกำลังรอลูลิอยู่ เพราะว่าฉันใช้ให้ลูลิไปตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ ป่าอย่างไงละคะ เพราะว่ามอนสเตอร์หลายร้อยตัวถูกฉันย่างสดจนตายเกลื่อนแบบนี้ เลยสงสัยว่าฉันคงไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของมอนสเตอร์ที่อยู่ในป่าทั้งหมดหรอกนะคะ
ที่จริงยังมีอีกหนึ่งเหตุผลก็คือให้ลูลิคอยหาผลไม้มาให้ฉันด้วยค่ะ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในป่าอื่นที่ไม่ใช่ป่าของตัวเองเลยไม่รู้ว่าจะพอมีผลไม้บ้างหรือเปล่า เลยให้ลูลิที่มีจมูกและประสาทสัมผัสดีกว่าฉันหาให้นั่นเองค่ะ หะ ? ขี้เกียจ ? เสียมารยาทค่ะ ! เรียกว่าใช้คน(ตัว)ให้ถูกกับงานต่างหากละคะ !
แต่ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูลิจะหาเจอหรือเปล่านะคะ เพราะก็ไปตั้งนานแล้วยังไม่กลับมาเลยหวังว่าคงจะไม่มีใครมาเห็นลูลิในสภาพปกติหรอกนะคะ เพราะเหมือนว่าถ้าลูลิอยู่ในร่างของหมาป่าน้อยจะไม่สามารถเคลื่อนด้วยความเร็วปกติได้นั่นเองค่ะ ถ้าจะยังใช้สกิลบางอย่างได้แต่ก็ถูกลดทอนลงไปกว่า 70 % ทำให้เวลาจะออกไปไหนมาไหนคนเดียวก็ต้องคืนร่างเดิมก่อนทุกครั้ง
แต่เหมือนพูดไม่ทันขาดคำลูลิที่กลับมาพอดีพร้อมกับคาบกิ่งของต้นไม้ที่มีผลไม้อยู่ประมาณ 3-4 ลูกมาให้ด้วยสมแล้วจริง ๆ ค่ะเป็นสัตว์อัญเชิญที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ และแน่นอนค่ะว่าเจ้าของที่อัญเชิญมาอย่างฉันก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันค่ะ ! ไม่ต้องถามนะคะว่าตรงไหน ยังไม่ได้คิดค่ะ !
หลังจากที่ฉันกินผลไม้ที่ลูลิเอามาให้แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่คุณแอนนาชำแหละมอนสเตอร์เสร็จพอดี แน่นอนว่าไม่ได้ชำแหละทุกตัวค่ะ แบบนี้เป็นอาทิตย์ก็คงไม่เสร็จแน่นอนเลยเลือกชำแหละเฉพาะที่ต้องใช้และก็มอนสเตอร์แรงค์สูง ๆ เท่านั้นค่ะส่วนเจ้าลัทธิตัวน้อยกำลังเพลินอยู่กับอาหารที่คุณแอนนาทำให้อยู่กับคุณลุงคนขับข้าง ๆ รถม้านั่นเองค่ะ
การเดินทางก็ยังคงมุ่งหน้าไปที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ค่ะ แต่ฉันเองก็พึ่งรู้ว่าทิศของประตูที่เราจะเข้าไปคือฝั่งตะวันตกเพราะที่เมืองป้อมปราการนี้มีทางเข้าหลัก ๆ คือ ทิศ ใต้ เหนือ ตะวันออก และตะวันตก เพียงแต่ว่าฝั่งตะวันออกกับตะวันตกนั่นจะมีป่าก่อนถึงเมืองในขณะที่ทางใต้จะมีที่ราบสูงและเนินเขาเล็ก ๆ แต่ภาคเหนือจะมีแม่น้ำกั้นอยู่ค่ะ
ฉันลืมบอกทุกท่านไปค่ะ ว่าฉันแอบใช้สกิลเวทย์เสริมความว่องไวให้กับคุณม้าทั้งสองตัวไปแล้วไงละคะ เพราะงั้นตอนนี้คุณม้าเลยวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวจนคุณลุงคนขับถึงกับงงเลยทีเดียว นึกว่าม้าตัวเองดีดมาจากไหน ขอโทษด้วยนะคะแต่ฉันอยากจะรีบไปให้ถึงเพราะปวดก้นสุด ๆ ไปเลยค่ะ
หลังจากนั้นเพียงแค่ประมาณ 3 ชั่วโมงที่มาถึงประตูเมืองแล้วค่ะ ถ้ารู้ว่าจะเร็วขึ้นขนาดนี้น่าจะใช้ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านโคลินแล้วค่ะ ก่อนจะเข้าเมืองก็มียามตรวจคนเข้าเมืองอยู่ 2 คนซ้ายขวา ประตูเมืองที่มีลักษณะเหมือนป้อมปราการที่มีกลไลเลื่อนประตูลงมาเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน เป็นประตูไม้ที่ดูแข็งแรงขนาดใหญ่ความสูงกว่า 6 เมตรและกว้าง 3 เมตร เรียกว่าขนาดให้ลูลิเข้าไปได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ
แต่ตอนนี้ลูลิกลับไปเป็นคุณหมาป่าสีเงินตัวน้อยน่ารักแถมยังอยู่ในอ้อมกอดของจูน่าจังอีกต่างหากค่ะ หวังว่าคงไม่ถูกสงสัยหรอกนะว่าเอามอนสเตอร์เข้ามาในเมืองอะไรแบบนั้นน่ะ
ยามตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาสอบถามกับคุณลุงคนขับรถม้าและคุณแอนนาเองก็เข้าไปร่วมด้วยเหมือนต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง ฉันที่รออยู่ในรถกับจูน่าจังและลูลิเลยนั่งอยู่เงียบ ๆ ค่ะ แต่เหมือนหูของฉันจะดีกว่าคนทั่วไปนะ ฉันได้ยินเสียงการสนทนาที่บริเวณหน้ารถม้าคร่าว ๆ
‘ นี่เดินทางมาทางป่าตะวันตกเหรอ ! ‘
‘ เป็นอะไรหรือเปล่า ถูกพวกมอนสเตอร์โจมตีไหม ‘
เหมือนจะได้ยินเสียงที่ฟังดูตกใจปนความเป็นห่วงเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ เลยค่ะไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ตกอกตกใจขนาดนั้นกันด้วยนะ คุณแอนนาเหมือนจะถามออกไปแทนฉันเป็นที่เรียบร้อยค่ะ แต่แล้วคำตอบก็ได้ความว่า
‘ อีกไม่กี่วันจะมีการอาละวาดของพวกมอนสเตอร์จากในป่าน่ะสิ ! พวกกิลด์นักผจญภัยกับทหารจากเมืองหลวงประชุมกันให้วุ่นเลย ‘
เอ๊ะ ? อย่าบอกนะว่ามอนสเตอร์ที่เข้ามาโดน ‘อาณาเขตเทวะ’ ของฉันคือพวกมอนสเตอร์ที่กำลังจะอาวะลาดงั้นเหรอคะ ? คงไม่หรอกมั้ง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นกันคะ ใช่แล้ว ๆ ไม่ใช่หรอก
‘ เอาเป็นว่าตอนนี้พักอยู่ในเมืองก่อนดีกว่านะ รอบ ๆ เมืองตอนนี้มีพวกมอนสเตอร์รวมตัวกันเยอะไปหมด ถ้าเกิดมันอาละวาดตอนขากลับละก็จะแย่เอานะ ‘
คุณทหารยามเมื่อเตือนด้วยความเป็นห่วงเสร็จก็ปล่อยผ่านให้พวกเราเข้าไปในเมืองค่ะ แน่นอนว่าเหล่าทหารยามไม่ได้เห็นฉันกับลูลิรวมถึงจูน่าจังที่อยู่บนรถม้าค่ะ ถือว่าโชคดีจริง ๆ เหมือนตอนนี้จะระแวงอยู่กับมอนสเตอร์ที่กำลังจะอาละวาดกันอยู่ ดูเหมือนว่าฉันจะดวงไม่ดีเอาซะเลยค่ะ ดันมาเมืองในช่วงที่อันตรายแบบนี้ซะได้ แต่ยังไงซะก็คงคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกค่ะ
เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ฉันจะปกป้องทั้งจูน่าจังและพวกคุณแอนนาเองค่ะ ไม่ยอมให้มอนสเตอร์มาทำอันตรายคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนของฉันในโลกนี้ได้หรอกนะคะ
.
.
.
.
MANGA DISCUSSION