หลังจากที่ตกลงวางแผนไปป้อมปราการเดธวอลเลย์ที่บ้านคุณแอนนาเสร็จแล้ว ฉันก็ถูกคุณวิเวียนและจูน่าจังเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้านค่ะ จริง ๆ ก็อยากจะปฏิเสธนั่นแหละแต่ว่าพอเห็นวาวตาคาดหวังของหนูน้อยจูน่าแล้วทำเอารู้สึกผิดถ้าหากฉันปฏิเสธเลยค่ะ ทำไงดีละเนี่ย คงต้องตามน้ำไปก่อนเท่านั้นแหละค่ะ เอ๋ ? รู้สึกเหมือนกำลังจะเกิดภาพเดิม ๆ ในหัวเลยค่ะ
” แอนนาจัง ไปทานอาหารที่บ้านฉันกันไหมจ๊ะ ” เมื่อเห็นฉันที่ตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ คุณวิเวียนที่เริ่มหาแนวร่วมเพิ่มขึ้นค่ะ หันไปถามคุณแอนนาที่ตอนนี้กำลังยิ้มแย้มเลย
” ขอโทษนะคะ พอดีว่าต้องติดต่อกับพ่อค้าเรื่องราคาวัตถุดิบน่ะค่ะ ” คุณแอนนาพนมมือเหมือนจะขอโทษแล้วเอียงคอพูดออกมาอย่างเสียดาย แน่นอนว่าคุณแอนนาอยากจะไปแน่นอนค่ะแต่ด้วยภาระหน้าที่เลยไม่สามารถทำได้
” งั้นเหรอจ๊ะ น่าเสียดายจัง เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ ” คุณวิเวียนแม้จะเชิญไม่สำเร็จแต่ก็ไม่ได้หมดกำลังใจค่ะ ยังหวังที่จะเชิญครั้งหน้าด้วยสมกับที่เป็นคุณแม่พลังงานเหลือล้นจริง ๆ
หลังจากแยกจากคุณแอนนาฉัน จูน่าจัง และคุณวิเวียนก็กลับไปที่บ้านของครอบครัวจูน่าจังเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง ถึงตอนนี้ฉันจะอิ่มจากการที่กินแอปเปิ้ลแล้วก็เถอะค่ะแต่จะพูดออกไปก็ไม่ได้ ไม่งั้นมีหวังได้เห็นน้ำตาของแม่ลูกเจ้าลัทธิแน่ ๆ ค่ะ ฉันที่มองไปรอบ ๆ ก็เห็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้สังเกตตอนที่เข้ามาในหมู่บ้านตอนแรกค่ะ นั่นคือข้าวของที่จัดงานเลี้ยงเมื่อคืนถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยหมดแล้วค่ะ ทั้งที่เมื่อคืนเล่นดื่มกันเมาขนาดนั้น แต่วันรุ่งขึ้นกับมีพลังงานเหลือมาเก็บข้าวของได้ ข้าน้อยขอคารวะเลยค่ะ
เมื่อออกมาจากบ้านคุณแอนนาจูน่าจังก็วิ่งไปกอดลูลิที่รออยู่บ้านทันที แต่เหมือนจะไม่ได้มีแต่จูน่าจังเท่านั้นมีทั้งเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านและชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่เหมือนกำลังเล่นกับลูลิค่ะ เหมือนจะกลายเป็นไอดอลของเด็ก ๆ และคนรักสัตว์ไปเรียบร้อยแล้วละค่ะ เด็ก ๆ มีทั้งที่ขึ้นไปขี่หลังและที่เอาหน้าน้วยขนของลูลิอย่างสนุกสนาน แต่ก็มีอยู่บ้างที่พ่อแม่ของเด็กบางคนเป็นห่วง
” นี่ลูก ! อย่าไปรบกวนท่านหมาป่าของท่านเทพธิดาสิ ! ” แม้แต่ลูลิก็ถูกเรียกว่าท่าน แบบนี้ความศรัทธาที่มีต่อฉันมาเริ่มแพร่กระจายไปถึงสิ่งรอบตัวแน่ ๆ ค่ะ นี่ถ้าหากฉันมีแมวน้ำอยู่ข้างตัวละก็คงไม่พ้น ท่านแมวน้ำ แน่ ๆ เมื่อเหล่าคุณพ่อคุณแม่ที่สังเกตเห็นฉันก็รีบก้มหัวขอโทษยกใหญ่เพราะกลัวว่าลูกของตนได้ทำเรื่องเสียมารยาทกับสัตว์เลี้ยงของเทพธิดา
” ขออภัยด้วยครับท่านเทพธิดาโนเอลร่า ! ที่ลูกของผมได้ล่วงเกินสัตว์เลี้ยงของท่านครับ ! ” แล้วทำไมต้องขอโทษด้วยละคะ !! ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยแท้ ๆ ลูลิไม่ได้มีป้ายแหวนว่าห้ามเล่นเหมือนทุเรียนที่แม่ค้ามักจะบอกว่าห้ามจิ้มนะสักหน่อยนะคะ !
” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูลิเองก็เหมือนจะเหมือนจะกำลังสนุกด้วย ” ฉันที่บอกไม่เป็นไรปัดเอาความวิตกของเหล่าบรรดาพ่อแม่ปลิวหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลยค่ะ
” ท่านเทพธิดาครับ ! ท่านหมาป่าชื่อลูลิงั้นเหรอครับ ! ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่พึ่งลงจากหลังของลูลิวิ่งเข้ามาถามฉันราวกับต่อมความอยากรู้อยากเห็นได้ตื่นขึ้นค่ะ เล่นเอาฉันตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
” ชะ-ใช่แล้วจ้ะ ” ฉันที่โดนคำถามเข้าอย่างกับหมัดตรงเข้าไป ตอบอย่างตะกุกตะกักพลางยิ้มแห้ง ๆ แต่ทันใดนั้นเองที่เจ้าลัทธิตัวน้อยได้ยืดอกเล็ก ๆ อย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง
” ชื่อลูลิ ของคุณหมาป่าเราเป็นคนตั้งชื่อให้เองแหละ !! ” นั่นไงคะ ! จูน่าจังที่แทรกบทสนทนาอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงให้กับท่านเทพธิดาประกาศอย่างกึกก้อง
” โห้วว เอาจริงดิลูกพี่ ” ห๊ะ !? เมื่อกี้ว่าไงนะคะ หนุ่มน้อยคนนั้นที่ดูเหมือนน่าจะอายุมากกว่าจูน่าจังเรียกจูน่าจังว่าลูกพี่ ??? จู่ ๆ ภาพของตาแก่เพี้ยน ๆ ที่ใกล้จะไปอยู่กับรากมะม่วงเรียกเด็ก 7 ขวบว่าลูกพี่หญิงก็ลอยกลับเข้ามาซะอย่างนั้นค่ะ ! จูน่าจังกลายเป็นลูกพี่ของกลุ่มเด็กในหมู่บ้านไปตั้งแต่ตอนไหนคะเนี่ย !!!
แบบนี้มีหวังในไม่ช้าทั้งหมู่บ้านได้เรียกจูน่าจังว่าลูกพี่แน่ ๆ เลยค่ะ นี่พึ่งจะอายุ 7 ขวบเองนะ ถ้า 10 ขวบจะไม่กลายเป็นอาเจ๊เลยเหรอคะ !! แย่แน่ ๆ ค่ะต้องรีบแจ้งศูนย์ดูแลเยาวชนแล้ว ว่าแต่โลกนี้มีองค์กรแบบนั้นหรือเปล่านะ
” ถูกต้องแล้ว ! เราได้รับเกียรติจากท่านโนเอลให้ตั้งชื่อคุณหมาป่าได้ยังไงล่ะ ” เปล่าค่ะ ยังไม่เคยมอบสิทธิ์นั้นตอนไหนเลย รู้ตัวอีกทีจูน่าจังก็ตั้งชื่อไปตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ เหอ ๆ แต่เพราะเห็นว่าชื่อลูลิดูน่ารักและเข้ากับ ‘เฟ็นรีร์’ อีกด้วยก็เลยปล่อยเลยตามเลยค่ะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณจูน่าจังเพราะถ้าหากฉันเป็นคนตั้งชื่อเองบางทีลูลิอาจจะไม่พอใจก็ได้ เหมือนอย่างตอนที่ตั้งชื่อให้สกิลปล่อยลำแสงตอนปราบไฮดร้าก็งอนฉันไปเลยค่ะ
หลังจากคำป่าวประกาศของผู้นำลัทธิตัวน้อยเหล่าบรรดาเด็ก ๆ ก็เข้ามารุมล้อมชื่นชมกันไม่ขาดสาย แม้กระทั่งพ่อแม่เด็กบางคนก็ปรบมือชื่นชมเช่นเดียวกันค่ะ อีแบบนี้ฉันคงจะทำอะไรไม่ได้สินะ
หลังจากที่พาลูลิเดินกลับมาที่บ้านของคุณวิเวียน คุณโยฮันก็กลับมาจากล่าสัตว์พอดี จะเรียกล่าสัตว์ดีไหมเพราะว่าสัตว์ที่ได้มาคือกระต่ายตัวเล็กน่ารักมีเขา ใช่แล้วค่ะมันคือ ‘ ฮอร์นแรบบิท ‘ มอนสเตอร์ช่วงเริ่มต้นที่ฉันเห็นคนน้องกระต่ายคาบปลาที่โดนฉันเกือบจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปนั่นเองค่ะ เหมือนว่าที่โลกนี้ก็มีวัฒธรรมการเอาเนื้อมอนสเตอร์มาทำอาหารเหมือนกันสินะคะ เพราะตอนในงานเลี้ยงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเนื้ออะไรบ้าง แล้วก็ไม่ได้ถามใครเลยด้วย แต่ถ้าให้เดาคงเป็นเนื้อมอนสเตอร์ไม่ผิดแน่
ที่จริงสมัยตอนอยู่ในเกมก็มีการดรอปเนื้อหลังจากปราบมอนสเตอร์เหมือนกันค่ะ แต่จะนำเอาไปใช้ทันทีไม่ได้จะต้องผ่านการแปรรูปโดยใช้สกิลประเภทงานฝีมือก่อนถึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ และการทำอาหารก็เป็นหนึ่งในวิธีใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบเนื้อมอนสเตอร์ค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าทำเพราะหิวหรืออะไร แต่อาหารสำหรับในการนั้นเหมือนกับเป็นการบัฟตัวละครนั่นเองค่ะ อาหารแต่ละอย่างนั้นเมื่อกินแล้วจะให้ผลที่แตกต่างกันขึ้นกับชนิดของอาหาร
มีตั้งแต่เพิ่มพลังโจมตี เพิ่มพลังป้องกันหรือแม้กระทั่ง เพิ่มความต้านทานต่อสถานะผิดปกติ แต่ก็อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่ามันมีเวลาจำกัด ไม่ใช่กินแล้วจะเพิ่มถาวร และที่สำคัญไม่ใช่ทุกอาชีพในเกมจะจำเป็นต้องการอาหารค่ะ อย่างอาชีพ ‘ นักปราชญ์เทวะ ‘ ของฉันมีสกิลเวทย์สายสนับสนุนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเลย ส่วนใหญ่มักจะใช้ในอาชีพสายโจมตีกายภาพเพราะอาชีพเหล่านั้นไม่มีสกิลที่บัฟให้ตนเองนั่นเองค่ะ
จะว่าไปก็มีหลายคนเหมือนกันนะคะที่ตอนเล่นเกมไม่ได้ตั้งใจเล่นสายบู๊เลย เข้ามาเพื่อเก็บเลเวลพอให้ปลดล็อคสกิลที่จำเป็นสำหรับการทำอาหารจากนั้นก็ตั้งตนเป็นเชฟในเกมก็มีค่ะ แต่เหมือนจะรุ่งทีเดียว เพราะว่าการที่ต้องคอยมาเรียนหรือปลดล็อคสกิลทำอาหาร ไหนจะหาวัตถุดิบเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเสียเวลามากค่ะ พอมีคนที่ทำอาหารขายเป็นหลักก็ขายดีเทน้ำเทท่า จนได้กำไรไปซื้อแฟชั่นสวย ๆ ใส่กัน แต่ก็ยังทำอาหารขายเหมือนเดิม บ้างก็ถึงกับลองไปเปิดร้านอาหารในโลกจริงแล้วมาโปรโมทในเกมก็มีค่ะ เรียกได้ว่ามีทุกสีสันก็ว่าได้
กลับเข้าเรื่องปัจจุบันกันต่อดีกว่าค่ะ คุณโยฮันคนเห็นฉันกับลูลิอยู่ที่บ้านก็ประหลาดใจ แต่พอฉันเล่าเรื่องที่อยากจะไปเข้าเมืองให้ฟังคุณโยฮันก็เหมือนเข้าใจอย่างรวดเร็ว แถมยังให้คำแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างอีกด้วย ไม่ว่าจะเล่าเรื่องของกิลด์นักผจญภัย ระบบตรวจคนเข้าเมือง หรือแม้กระทั่งการปกครองของเมืองด้วย รู้สึกซึ้งใจจริง ๆ เลยค่ะ
ระหว่างที่คุยกับคุณโยฮันโดยมีจูน่าจังนั่งฟังพลางมองฉันอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น คุณวิเวียนก็บอกว่าอาหารทำเสร็จพอดี พวกฉันทั้งสามคนเลยไปนั่งที่โต๊ะอาหารค่ะ โชคดีที่โต๊ะมีที่นั่งสำหรับ 5 คน ฉันเลยร่วมนั่งด้วยได้อย่างเหลือเฟือ อาหารที่นำมาเสิร์ฟเป็นสตูกระต่าย สลัด และขนมปังค่ะ ต้องบอกว่าน่ากินสุด ๆ ถ้าหากมองอยากละเอียดละก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นอาหารที่ปรุงจากผู้มีฝีมือชั้นเลิศแน่นอน แต่ว่าน่าเสียดายจริง ๆ …
” ท่านโนเอล ! อาหารไม่ถูกปากงั้นเหรอคะ ! ขออภัยด้วยค่ะ จะรีบไปทำใหม่เดี๋ยวนี้แหละค่ะ ” ไม่รู้เพราะคุณวิเวียนคอยสังเกตปฏิกิริยาของฉันตอนกินอาหารอยู่หรือเปล่า พอฉันที่ทำหน้าเหมือนกับผิดหวังออกมาคุณวิเวียนจึงก็เลยรีบถามพลางขอโทษที่ทำอาหารไม่ถูกปาก แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพราะอาหารของคุณวิเวียนหรอกค่ะ แต่เพราะลิ้นของไฮเอลฟ์ต่างหาก ที่ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็เหมือนจะไม่สามารถรับรู้รสชาติความอร่อยของอาหารได้เลย ยกเว้นแต่ผลไม้ในป่าอย่างเดียว
” มะ-ไม่ใช่นะคะ ! ไม่ใช่ว่าอาหารของคุณวิเวียนไม่อร่อยหรอกนะคะ แต่พอดีว่าไฮเอลฟ์อย่างฉันไม่สามารถรับรู้รสของอาหารได้ นอกจากผลไม้ในป่าน่ะค่ะ ! ” ฉันที่เห็นคุณวิเวียนก้มหัวขอโทษจนหัวติดกับโต๊ะทานข้าวรีบแก้ไขความเข้าใจผิดโดยด่วน ไม่งั้นมีหวังคุณวิเวียนได้ลุกไปทำอาหารใหม่แน่ ๆ เลยค่ะ
” เอ๊ะ !? เป็นอย่างนั้นเหรอคะ ? ” คุณวิเวียนที่ทำท่าเหมือนพึ่งจะรู้เอียงคอสงสัยอย่างไม่บิดปังอะไร แสดงว่าไม่รู้จริง ๆ สินะคะ จะว่าไปตอนงานเลี้ยงฉันก็ไม่เคยบอกใครด้วยนี่นา คุณวิเวียนที่ไม่รู้ก็คงไม่แปลกหรอกค่ะ
” งั้นท่านโนเอลก็กินแต่ผลไม้งั้นเหรอคะ ? ” จูน่าจังที่เหมือนจะเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ถามขึ้นอย่างกับสงสัยวิถีการกินของฉันค่ะ
” จ้ะ ก็ประมาณนั้น ”
” งั้นเองเหรอครับ ที่ว่าไฮเอลฟ์เป็นดั่งเทพธิดาผู้ปกปักรักษาและอาศัยอยู่ในธรรมชาติก็เป็นเรื่องจริงสินะครับ ” คุณโยฮันที่เหมือนจะโยงเรื่องราวในตำนานกับสิ่งที่ฉันพึ่งจะบอกไปเข้าด้วยกันอย่างลงล็อคพอดิบพอดี เสนอข้อสันนิษฐานออกมาอย่างมีเหตุมีผลทีเดียวค่ะ
” อย่างนี้นี่เอง งั้นคราวหลังฉันจะเตรียมผลไม้ไว้ให้นะคะ ” คุณวิเวียนที่เหมือนจะเชื่อในตำนานนั่นก็เสนอผลไม้ในคราวหน้าให้กับฉันค่ะ
” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่จริงแล้วฉันกินแอปเปิ้ลที่อยู่ในป่าแค่ลูกเดียวก็อิ่มไปทั้งวันแล้วค่ะ ” ฉันที่บอกสิ่งที่เรียกได้ว่าเกิดขึ้นเป็นกิจวัตรประจำวันให้กับพวกคุณวิเวียนฟัง เพราะฉันกินแอปเปิ้ลที่เด็ดใหม่ ๆ จากในป่ากินเพียงลูกเดียวก็อิ่มจนความหิวหายไปทั้งวันเลยล่ะค่ะ แม้จะกินผลไม้อย่างอื่นเติมเข้าไปก็ไม่รู้สึกแน่นท้องหรือปวดท้องด้วย ที่จริงแล้วตั้งแต่มาถึงโลกแห่งนี้ฉันยังไม่เคยปวดฉี่หรือปวดอึเลยด้วยซ้ำค่ะ ตอนแรกคิดว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่า แบบมะเร็งลำไส้น่ะค่ะ !!! แต่เหมือนเพราะเผ่าพันธุ์ไฮเอลฟ์ของฉันค่อนข้างพิเศษเลยถือว่าเหตุผลทุกอย่างคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ
” งั้นแปลว่าที่ผ่านท่านโนเอลทานแค่แอปเปิ้ลลูกเดียวมาตลอดงั้นเหรอครับ ” คุณโยฮันที่เหมือนจะสงสัยในคำพูดของฉันถามออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถึงจะถามแบบนั้นแต่วมันก็เป็นเรื่องจริงนี่คะ ไม่ได้โกหกจริง ๆ นะ ที่ถามฉันว่าอยากจะคิดเนื้อหรืออย่างอื่นที่มันอร่อย ๆ หรือเปล่าก็คงต้องบอกว่าอยากสุด ๆ ไปเลยค่ะ แต่เหมือนความเป็นไฮเอลฟ์จะไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้นค่ะ
” ค่ะ ” ฉันตอบคุณโยฮันไปแบบเรียบ ๆ
หลังจากที่คุยกันในระหว่างทานอาหารไปด้วยจนในที่สุดเวลาทานอาหารก็สิ้นสุดลงค่ะ ถึงจะบอกว่ากินอาหารอย่างอื่นเข้าไปจะไม่ได้อะไรแต่ก็กินให้หมดค่ะ เพราะว่าจะให้เหลือไว้โดยที่ไม่กินก็ดูจะเสียมารยาทต่อคุณวิเวียนที่อุตส่าห์ทำเผื่อแบบนั้นคงได้เห็นคุณแม่วัยสาวคนนี้ร้องไห้แน่ ๆ ค่ะคงคาดเดาไม่ยากเลย และก็อย่างเคยค่ะฉันที่อย่างน้อยก็ยังอยากจะล้างจานช่วยคุณวิเวียนแต่สุดท้ายก็โดนแม่ลูกผู้คลั่งรักฉันห้ามเอาไว้ให้นั่งอยู่เฉย ๆ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านก็พอแล้ว ฉันไม่ใช่พระพุทธรูปนะคะ !!! มีกายเนื้อนะ อยากช่วยค่ะ !! แต่ความความต้องการของฉันจะส่งไปไม่ถึงเจ้าลัทธิทั้งสองค่ะ สุดท้ายก็นั่งเฉย ๆ จนพวกคุณวิเวียนล้างจานเสร็จ …. งืออออ
(ฝั่งป้อมปราการเดธวอลเลย์)
หนึ่งในเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรแอนวอลเลล์ที่คอยเป็นดั่งปราการเหล็กที่คอยป้องกันเหล่ามอนสเตอร์และเผ่าปีศาจที่หวังจะเข้ามาโจมตี เมืองที่เป็นเหมือนศูนย์รวมของนักผจญภัยทั้งหลาย เนื่องจากมีมอนสเตอร์อยู่แถวเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์เยอะทำให้มีนักผจญภัยเดินทางเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่ขาดสาย ทั้งชาวเมืองที่ได้รับความเสียหายหรือคนที่ต้องการวัตถุดิบจากมอนสเตอร์เองก็ต่างอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน
ถึงจะมีนักผจญภัยอยู่มากแต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่นั้น ยังมีทหารที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงอีกด้วยเพื่อมาเป็นกองกำลังช่วยเหลือเวลาที่เผ่าปีศาจบุกมาโจมตีนั่นเอง สิ่งที่ไม่เหมือนเมืองไหน ๆ ของป้อมปราการเดธวอลเลย์นั่นก็คือรูปแบบการปกครองของเมือง ปกติแล้วดินแดนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เมืองหลวงจะมีขุนนางที่เป็นเหมือนเจ้าเมืองปกครองอยู่ แต่ป้อมปราการแห่งนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากเมืองป้อมปราการนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านโดยเฉพาะจึงทำให้ผู้ปกครองเมืองนี้เป็นตำแหน่งที่เรียกว่านายกรัฐมนตรีโดยที่มีหนึ่งในผู้บัญชาการทหารจากเมืองหลวงมาคอยช่วยเหลือเกี่ยวกับด้านความปลอดภัย
ถึงแม้ว่าหากเป็นปัญหาที่มาจากมอนสเตอร์ก็มักจะเป็นหน้าที่ของนักผจญภัย แต่ถ้าหากว่ามีเหตุการณ์ที่แม้แต่กิลด์รับภาระไม่ไหวฝ่ายทหารของเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยทันทีเปรียบดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และเช่นเดียวกันถ้าหากมีการทำสงครามหรือการโจมตีจากเผ่าปีศาจหากฝ่ายทหารรับมือไม่ไหวก็มักจะมีการจ้างวานกิลด์นักผจญภัยมาช่วยเหลือนั่นเอง ทำให้องค์กรทั้งสองในเมืองนี้อยู่กันอย่างสันติไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกันนั่นเอง
แต่เหมือนสถานการณ์ปัจจุบันจะทำให้ทั้งฝั่งของกิลด์นักผจญภัยและฝ่ายทหารจากเมืองหลวงกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในสถานที่ประชุมของเมืองโดยมีทั้งหัวหน้ากิลด์นักผจญภัย ผู้บัญชาการทหารที่มาประจำที่ป้อมปราการ และนายกรัฐมนตรี และบรรดาเหล่าคนสนิทของผู้มีตำแหน่งทั้งสาม รวม ๆ แล้วประมาณ 10 คนที่กำลังนั่งหารือกันในที่ประชุมแห่งนี้
” สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะสีเทาที่ดูราวกับนักรบเจนสนามพูดถามขึ้นมากลางวงสนทนา เรียกความสนใจของทุกคนไปยังนักรบวัยกลางคนผู้นี้เป็นตาเดียวกัน
” จากข้อมูลคนของทางฝั่งเรา ดูเหมือนว่ามีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางเมืองนี้ ” ชายวัยกลางคนอีกคนที่สวมชุดเสื้อเกราะเบาเหมือนเสื้อกั๊กสีน้ำตาลและกางเกงขายาวรองเท้าที่เหมาะแก่การทำกิจกรรมนอกสถานที่ดูจากภายนอกคงเดาออกไม่ยากว่าเป็นลักษณะของนักผจญภัยอย่างแน่นอน
” พอจะคาดเดาจำนวนได้บ้างหรือเปล่า ? ” ชายสวมเกราะสีเทาถามขึ้นมาเมื่อได้รับรายงานที่ฟังดูไม่น่ารื่นรมย์นัก
” กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินของพวกฉันได้ลองตรวจสอบมาแล้ว คาดว่าจำนวนน่าจะมากกว่า 500 ” นักผจญภัยวัยหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นักผจญภัยรุ่นใหญ่เมื่อครู่บอกข้อมูลที่พวกตนรวบรวมมาได้อย่างสีหน้าเป็นกังวล
” อะไรนะ !! จำนวนมากกว่า 500 งั้นเหรอ !! ” นักรบที่ยืนอยู่ข้างหลังตะโกนออกมาด้วยความตกใจอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่นักรบที่สวมชุดเกราะสีเงินที่น่าจะมีตำแหน่งใหญ่กว่านั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
” กิลด์มาสเตอร์ตอนนี้ท่านมีแผนจะให้นักผจญภัยภัยเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างงั้นหรือ ” นักรบเกราะสีเงินที่เรียกนักผจญภัยวัยกลางคนตรงหน้าด้วยตำแหน่ง แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือกิลด์มาสเตอร์ผู้ดูแลกิลด์นักผจญภัยสาขาป้อมปราการเดธวอลเลย์ ผู้ที่คอยควบคุมและดูการความเป็นไปของนักผจญภัยทั้งหมดในเมือง
” แน่นอนว่าตอนนี้ทางกิลด์ได้เรียกรวมนักผจญภัยเท่าที่จะเป็นไปได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ” กิลด์มาสเตอร์พูดอย่างเหนื่อยล้า และสีหน้าที่ดูเหมือนว่าผิดหวังกับสิ่งที่ตนไม่สามารถทำได้มากกว่านี้
” ถึงอย่างนั้นจำนวนที่รวบรวมนักผจญภัยที่ยังอยู่ในเมืองนี้ได้ก็เพียงแค่ 60 คนเท่านั้น ”
” ถ้าหากรวมทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็260 คนสินะ กว่าจะขอกำลังเสริมจากเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 วัน เรื่องจำนวนยังเสียเปรียบอยู่ แถมตอนนี้เรายังไม่รู้ถึงความอันตรายของมอนเตอร์ด้วย ” นักรบเกราะสีเงินผู้บัญชาการทหารเมื่อได้ข้อมูลจากฝั่งกิลด์มาสเตอร์ก็ประมวลข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายผลของการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นก็ต้องพบกับปัญหาเนื่องจาก จำนวนของทั้งทหารและนักผจญภัยแม้จะรวมกันแล้วก็ยังน้อยกว่าจำนวนมอนสเตอร์เกือบเท่าตัว
” เรื่องความอันตรายของมอนสเตอร์จากที่ได้สังเกตมาคาดว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับ C แต่คิดว่าอาจจะมีบางตัวที่อยู่ระดับ B อย่างเลวร้ายที่สุดอาจจะมีระดับ A รวมอยู่ด้วย ” กลุ่มนักผจญภัยเหยี่ยวสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กิลด์มาสเตอร์พูดขึ้นมาจากการคาดเดาและสังเกตเท่าที่จะเป็นไปได้
….
เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นภายในที่ประชุม มอนสเตอร์ระดับความอันตรายจะแบ่งตั้งแต่ F จนถึง S และระดับความสามารถของนักผจญภัยเองก็ถูกแบ่งระดับตั้งแต่ F จนถึง S เช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นระดับของมอนสเตอร์กับระดับของนักผจญภัยก็เอามาเทียบกันตรง ๆ ไม่ได้ แม้จะเป็นนักผจญภัยระดับ C แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถปราบมอนสเตอร์ระดับ C ได้ด้วยตัวคนเดียว บางทีอาจจะใช้สองคนขึ้นกับชนิดของมอนสเตอร์ด้วย หากจะพูดว่ามอนสเตอร์ที่มีระดับตัวอักษรเดียวกันแข็งแกร่งกว่าก็คงไม่ผิด และที่สำคัญนักผจญภัยที่มีระดับสูง ๆ ก็มีอยู่เพียงน้อยนิด
นักผจญภัยที่อยู่ระดับ S ที่ได้ชื่อว่าอยู่บนจุดสูงสุดนั้นมีเพียง 4 คนในทวีป และนักผจญภัยระดับ A มีเพียง 29 คนเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่มักจะกระจัดกระจายกันไปตามเมืองต่าง ๆ ทำให้การจะรวบรวมนักผจญภัยระดับสูง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ยิ่งถ้าหากเป็นนักผจญภัยระดับสูงแล้วการจะยื่นคำร้องหรือจ้างวานก็เป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากแถมนักผจญภัยระดับสูงมักจะเลือกเฉพาะงานที่ตนสนใจเท่านั้น
” ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อน หมอนั่นอยู่ที่เมืองนี่นิ ” บุคคลที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผู้ดีสีน้ำเงินเข้มราวกับขุนนางไม่มีผิด แต่กลับไม่มีบรรยายที่รู้สึกเหมือนกับขุนนางเลยแม้แต่น้อย กลับกันราวกับข้าราชการในราชสำนักมากกว่า
” ท่านนายกหมายถึงใครงั้นหรือ ” นักรบเกราะสีเงินเอ่ยถามกับผู้ที่มีตำแหน่งเป็นนายกของเมืองป้อมปราการแห่งนี้ด้วยความสงสัยจากคำพูดที่ดังออกมาเมื่อครู่
” นักผจญภัยระดับ S ปราชญ์แห่งดาบ เค็นโซ ”
.
.
.
.
.
MANGA DISCUSSION