เนื่องจากเรื่องกบฏของพวกแฟรคตัน ทำให้ต้องหยุดพักที่เมืองบัลเซแห่งนี้ไปซักระยะหนึ่ง ทำให้มีเวลาว่างไปโดยปริยายเพราะแบบนั้นก็เลยแวะเข้ามาที่กิลด์ฮันเตอร์
การที่จะอยู่รอดในโลกใบนี้ได้จำเป็นต้องมีเงินและวิธีที่เร็วที่สุดในการหาเงินก็คือการเป็นฮันเตอร์แล้วรับภารกิจ
สำหรับฉันที่โหยหาการเดินทางรอบโลกอย่างไร้กังวล การได้รับคุณสมบัติฮันเตอร์นั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งยวด
แล้วอีกอย่าง ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในดันเจี้ยนนั่นฉันก็มีความหลงใหลในอาชีพฮันเตอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่ายังไงก็จะลงทะเบียนไว้อยู่ดีนั่นแหละ
บัลเซแห่งนี้เป็นหนึ่งในห้าเมืองที่ใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรอเมเลีย ส่วนเหตุผลก็มาจาก ใกล้ๆนี้มีรังของพวกอสูรที่มีชื่อเรียกว่า ทะเลพงไพรซิลเก้ อยู่ ทะเลพงไพรแห่งนี้ที่พวกเราผ่านมาแล้วแทบไม่เจอตัวตนของอสูรนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของมหาพงไพรซิลเก้ที่แผล่ขยายไปทางทิศใต้ เป็นผืนป่าอันกว้างใหญ่ยังไงล่ะ
ทะเลพงไพรแห่งนี้ มีโอกาสเจอพวกอสูรระดับสูง ทำให้ฮันเตอร์ทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันที่เมืองแห่งนี้ หรือก็คือ ที่แห่งนี้ก็เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ของเหล่าฮันเตอร์นั่นเอง
ฉันเดินเข้าไปในอาคารสี่ชั้นริมถนนสายหลักที่อยู่ใจกลางบัลเซ ที่นี่แหละคือกิลฮันเตอร์ ฝั่งซ้ายของอาคารจากทางเข้าคือบาร์และฝั่งขวาคือกระดานรับภารกิจและข้อมูลข่าวสารอื่นๆ
ฉันมุ่งตรงไปยังเคาเตอร์ที่มีหญิงสาวพนักงานต้อนรับผมทองยาวรวบไปด้านหลังอยู่
“อยากเป็นฮันเตอร์น่ะ พอเป็นไปได้รึเปล่า?”
ฉันกล่าวถามโดยแสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจน
เธอจ้องมองร่างกายของฉันด้วยสายตาเสียมารยาทอยู่พักนึง
“ค่าลงทะเบียนอยู่ที่ หนึ่งหมื่นโอลด์ค่ะ”
เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มนักธุรกิจ
หนึ่งหมื่นโอลด์ ถ้าจำไม่ผิดเงินเดือนของคนธรรมดาอยู่ที่ประมาณแปดพันโอลด์รึเปล่านะ
เพื่อเป็นของขวัญอำลา ปู่ได้มอบเงินให้ฉันหนึ่งแสนโอลด์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตที่เมืองหลวง
ณ จุดนี้ หลังจากได้รับสกิลความทรงจำสมบูรณ์มาทำให้ฉันจัดระเบียบไอเทมบ็อกอยู่เป็นประจำ เพราะแบบนั้นถึงได้รู้ว่ามีถุงที่เอาไปด้วยตอนโดนดันเจี้ยนดูดกลืนอยู่ตรงไหนยังไงล่ะ พอหยิบกระเป๋าออกมาจากไอเทมบ็อกและควานหาถุงใบเล็กที่ใสเงิน—
“นั่นน่ะ ไอเทมบอกใช่ไหมค่ะ!?”
คุณหนูพนักงานต้อนรับผมทองเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับถามออกมา
แย่เลยน้า ไม่ว่ายังไงไอ้เจ้าไอเทมบ็อกนี่ก็ค่อนข้างมีค่าน่ะนะ แค่รับตำแหน่งที่ไม่เหมาะกับตัวเองอย่างราชองครักษ์ก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว ไม่อยากหาเหาใส่หัวไปมากกว่านี้แล้วล่ะ
“ใช่ที่ไหน ประเป๋าใบนี้—เอ——ถอดออกมาจากเอวน่ะ”
“ต-แต่ว่า เมื่อกี้เห็นมันออกมาจากที่ที่ไม่มีอะไร——”
“นั่นน่ะ คุณหนูมองผิดไปเองรึเปล่า?ฉันไม่มีสกิลแบบนั้นหรอก เดี๋ยวตรวจสอบดูก็รู้เอง ยังไงก็แล้วแต่ สิทธิขาดในการปกปิดก็อยู่ที่ตัวฉันรึเปล่า หรือว่าไม่ใช่?”
“มันก็ใช่อยู่หรอกค่ะ แต่ว่า……”
อืมๆ เอาเป็นว่าถ้ายอมเข้าใจก็ดีแล้ว ใช่แล้วล่ะ มนุษย์น่ะซื่อตรงนี่แหละดีที่สุด
“นี่ หนึ่งหมื่นโอลด์ รับไปสิ”
“หนึ่งหมื่นโอลด์ ได้รับเรียบร้อยแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ขออนุญาตตรวจสอบกิฟท์กับสเตตัสนะคะ”
นี่มันคริสตัลที่เคยสัมผัสที่วิหารสินะ คงเป็นเพราะถ้ามีระบบลงทะเบียนด้วยตัวเองก็อาจจะมีพวกที่ปลอมแปลงกิฟท์โผล่มาล่ะมั้ง ก็เป็นมาตรการที่สมเหตุสมผลแล้วล่ะ
ไม่อยากเจอเรื่องน่าปวดหัวไปมากกว่านี้แล้วด้วยสิ เปิดเผยให้สาธารณะชนรู้ไปเลยว่าตัวเองไร้ความสามารถน่าจะดีกว่า
โลกนี้มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอ ถ้าเอาความรู้ก่อนที่จะเข้าดันเจี้ยนกับตอนนี้มาประกบรวมกัน ความแข็งแกร่งสูงสุดของฉันในสภาพที่ไม่ใช้งาน【ถุงมือผนึกเทพ】ไม่แน่อาจจะอยู่ระดับสูงสุดของโลกเลยละมั้ง พอลองคิดดูอีกรอบ ถึงจะมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่อัชเบิร์น จะมอบชื่อจักรพรรดิดาบให้นักดาบที่ความความสามารถระดับกลางแบบนั้นแน่ ถึงไม่อยากจะเชื่อก็เถอะ แต่คิดว่าความสามารถของจักรพรรดิดาบคนปัจจุบันน่าจะเพียงพอที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งของโลกนี้แล้วล่ะ
เดิมที ก็ไม่คิดว่าโลกนี้จะมีแต่ปลาซิวปลาสร้อยตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ไหนจะผู้กล้าในตำนาน สี่มหาจอมมาร สายพันธ์มังกรที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วก็น่าจะมี……ผู้แข็งแกร่งคนอื่นอีกเต็มไปหมด ตอนนี้ความแม่นยำของข้อมูลที่มีต่ำเกินไป การมองโลกในแง่ดีอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
ถ้าสมมุติว่า กำหนดสเตตัสไว้ประมาณ100จุดยืนก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี จะว่ายังไงดีล่ะ ก็ใช่ว่ามันจะตรงกับประเมินของฉันนี่นา แล้วก็ เจ้าวิญญาณร้ายที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณนั่น พูดว่า100ดีพอตัวด้วยสิ……
ถ้าเป็นอย่างนั้น จะให้มุมมองสอดคล้องกับกิฟท์ของตัวเอง กำหนดค่าสเตตัสไว้ต่ำหน่อยน่าจะดีกว่า เอาให้เหลือประมาณ10ดูเป็นไง ระดับพอๆกับเด็กเกิดใหม่ผมพึ่งขึ้นเลยนะนั่น เอาล่ะ ถ้างั้นก็ลุยเลย พร้อมกับใช้【ถุงมือผนึกเทพ】ปรับค่าสเตตัสของตัวเองให้เหลือ12จากนั้นก็สัมผัสคริสตัล
“ร-ไร้ความสามารถที่สุดในโลก!?”
เสียงของคุณหนูพนักงานต้อนรับดังก้องไปทั่วห้อง
“อ๊ะ-!?”
คุณหนูพนักงานต้อนรับปิดปากทันทีและหันไปตรวจสอบรอบๆ ก็พบกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าฮันเตอร์พุ่งตรงมาทางนี้
หลังจากนั้น เหล่าฮันเตอร์พวกนั้นก็เริ่มพูดซุบซิบ รู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าพวกนั้นกำลังพูดอะไรกันอยู่
“ข-ขอโทษด้วยนะคะ!!”
พอกำลังจะตอบกลับว่าไม่มีปัญหา——คุณหนูพนักงานต้อนรับก็ก้มหัวกล่าวขอโทษไปซะแล้ว
“โอ่ย ได้ยินรึเปล่าพวก กิฟท์ของเจ้าเด็กเวรนี่คือ 【ไร้ความสามารถที่สุดในโลก】ล่ะ!”
ชายผมเงินตัวสูงตาขวางเดินเข้ามาใกล้ฉัน และมองไปยังคริสตัลจากด้านหลังแล้วพูดแหกปาก จากนั้นเหล่าคนที่เหมือนเพื่อนของหมอนี่ก็ระเบิดหัวเราะออกมา
ชายสวมเสื่อผ้าครึ่งแดงครึ่งขาวท่าทางเคลื่อนไหวสะดวกแบกดาบใหญ่ไว้กลางหลัง เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นนักดาบเหมือนกับฉันสินะ
“เดี๋ยวก่อน—ไรก้าคุง!!”
คุณหนูพนักงานต้อนรับทำตาขวางและใช้มือขวาเข้ามาบังตัวฉัน
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยไปเถอะ”
ถ้าเป็นฉันก่อนที่จะถูกดันเจี้ยนดูดเข้าไป บางทีก็น่าจะตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมของเด็กเมื่อวานซืนที่อายุน้อยกว่าตัวเองเกือบแสนปีที่อยู่ตรงหน้าซะจนท้องใส้เริ่มปั่นป่วนแล้วล่ะ
“ไรก้าคุง ถ้าครั้งที่ทำเหมือนเดิมอีกล่ะก็ ฉันรายงานผู้จัดการสาขาแน่!”
“เข้าใจน่า-ให้ตายสิ—มีอาจังจริงจังเกินไปแล้ว จนนึกไม่ถึงเลยว่าจะเข้ามาปกป้องเจ้าคนทรยศพรรค์นี้”
พร้อมกับทำหน้ามุ่ยราวกับถูกสลัดรักและเดินกลับไปหาพวกพ้อง
เป็นอย่างนั้นเองสินะ ดูเหมือนว่า เจ้าหนูไรก้านั่นกำลังตกหลุมรักคุณหนูมีอาอยู่สินะ
อันที่เขาเรียกว่ารักอันแสนบริสุทธ์ของคนหนุ่มสาวรึเปล่าหว่า อื-ม ไม่เข้าใจเลยซักนิด แล้วก็ไม่สนใจด้วย
เอาเป็นว่า ต้องขอบคุณหนุ่มน้อยที่ชื่อไรก้านั่น ทำให้เจ้าพวกนั้นมองว่าฉันไร้ความสามารถไปแล้ว
ดี ดีเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันยังเปิดเผยกิฟท์ของตัวเองต่อไปทั้งแบบนี้ ที่เหลือก็ให้คนรอบข้างสร้างเส้นทางแห่งความหวังให้โดยการช่วยมองหาเจ้าคนที่จะมาเป็นราชองครักษ์ของโรสให้แทน
“เผลอเปิดเผยไปซะแล้ว ต้องขอโทษจริงๆนะคะ”
มีอาก้มหัวและพูดขอโทษซ้ำอีกรอบ
“ไม่หรอก ดีแล้วล่ะ ทำดีต่อไป”
พร้อมกับยิ้มอย่างพอใจและยกนิ้วโป้งให้ มีอามองท่าทางแบบนั้นของฉันด้วยสายตาว่างเปล่า และ—
“เธอเนี่ย เป็นคนประเภทที่มีความสุขตอนโดนรังแกอะไรแบบนั้นรึเปล่า?”
ปากเสีย แม่หนูคนนี้นี่
MANGA DISCUSSION