Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 332 ยืมแรงมาช่วยหน่อยได้ไหม?
ตอนที่ 332 ยืมแรงมาช่วยหน่อยได้ไหม?
ในเขตตัวเมืองซ่งเจียง เฒ่าหลี่โทรหาสถานีโทรทัศน์ด้วยตัวเองเพื่อฉินอวี่ และนัดเจอเขาที่ใกล้ๆอย่างถนนเถ้าธุลี
รอเกือบประมาณยี่สิบนาที รัฐมนตรีจ่าวก็มาถึงอย่างเร่งรีบก่อนเอ่ยปากด้วยใบหน้าประหม่า “ฉันประชุมได้แค่ครึ่งเดียวก็ต้องออกมาแล้ว นายมีเรื่องอะไรเร่งด่วนกันแน่?”
จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ระหว่างรัฐมนตรีจ่าวกับเฒ่าหลี่ก็ถือว่าเป็นคนที่สนิทกันมาก่อน เพราะท่านจ่าวเป็นหัวหน้านักข่าวฝ่ายกฎหมาย ฉะนั้นทั้งสองจึงเคยติดต่อกัน แต่ก็ไม่ได้รู้จักกันลึกซึ้งมากนัก ทุกคนที่เจอกันในที่สาธารณะมากสุดก็คุยกันแค่ไม่กี่คํา
จนถึงตอนที่มีข่าวของหวูเวินเพิ่งปรากฏขึ้น เบี้องหลังของเฒ่าหลี่ต้องการจะเลื่อนตําแหน่งให้เขาเป็นหัวหน้าสภาของเขตเจียงหนาน ทําให้เฒ่าหลี่และรัฐมนตรีจ่าวได้ติดต่อกันมากขึ้น หลังจากที่เจอกับอุปสรรคและการรายงานไปรอบหนึ่ง และเห็นถึงการร่วมมือที่เป็นไปได้ดีแล้ว จึงตัดสินใจร่วมมือกับเฒ่าหรู่ ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นกําลังสําคัญของกองทัพ และด้วยบุคลิกที่คล้ายกัน ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันไปแล้ว
“เรื่องร้อนเลยล่ะ” เฒ่าหลี่หันหน้ามองรัฐมนตรีจ่าว “นายรู้ไหมว่าเกิดเรื่องกับฉินอวีกับเล่ยเล่ยแล้ว?”
“เกิดอะไรขึ้น?” รัฐมนตรีว่าวแววตาหม่นหมองทันที “ตั้งแต่เมื่อคืนถึงตอนนี้นอกจากกินนอนก็ประชุมตลอด เลยไม่ได้เข้าหน่วยเลยน่ะ”
เฒ่าหลี่ได้ยินจึงรีบบอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เขาฟังอย่างละเอียดทันที
ข่าวปู่ได้ยินแล้วจึงนิ่งไป แต่กลับไม่ได้พูดถึงฉินอวี่ “นายว่ายังไงนะ เลยเล่ยถูกพวกมันจับตัวไปเหรอ?!”
“ก็ใช่น่ะสิ พวกทหารพวกนั้นคงคิดว่าเล่ยเลย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยจับตัวเธอไปที่ชางจีด้วย” เฒ่าหลี่พยักหน้า
จ่าวได้ยินคําอธิบายของเฒ่าหลี่แล้วจึงครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยปากถาม “นายรู้เรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าเมืองชางจีไหม?”
“ฉันไม่รู้” เฒ่าหลี่ส่ายหน้า
“นายอย่ามาตอแหลกับฉันหน่อยเลย” รัฐมนตรี ข่าวมองตาขวาง “นายเป็นหัวหน้าของฉินอวี่ นายจะไม่รู้ได้ยังไงว่ามันไปก่อเรื่องใหญ่เอาไว้?”
“ไม่ นายเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ไอ้เด็กนี่กลาย เป็นหัวหน้าของฉันไปแล้ว” เฒ่าหลี่ตอบกลับด้วยท่าทางเฉยชา “ช่วงนี้ฉันยุ่งอยู่แต่ในเจียงหนาน ฉันเลยส่งเรื่องของรัฐพื้นทมิฬให้มันดูแลหมด
เลย”
“นายอย่ามาโกหกไปหน่อยเลย” ข่าวปู่ไม่เชื่อ “ฉินอวี่ไปก่อเรื่องในสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าเพื่ออะไรกันแน่?”
เฒ่าหลี่ตั้งใจทําเป็นสงสัยพลางทําหน้าตาบากใจ “ถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับนายได้ก็เท่ากับว่า ฉันเอาชีวิตของฉันให้นายน่ะสิ”
“นายอย่ามานอกเรื่อง” ข่าวปู่เบ้ปาก
“ก็เป็นเรื่องของเป่ยเตอหยงนั่นแหละ ฉันอให้คยไปช่างจีก็เพื่อสิ่งนี้ แต่คดีในสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าก็อีกเรื่อง บังเอิญไปเจอเข้าน่ะ” ในที่สุด เฒ่าหลี่ก็บอกความจริงออกมา
ข่าวปู่เงียบไปสักพัก “ถ้าคดีเป็นตามที่นายพูด ถ้าชายแก่ที่ตายในนั้นเป็นบุคคลสําคัญขนาดนี้ เรื่องนี้คงจัดการยากแน่นอน”
“เพราะงั้นฉันถึงได้มาหานายไงล่ะ!”
“นายมาหาฉันแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ จะขายหน้าขายตาฉันให้กับกองทัพเหรอ?”
“นายสามารถติดต่อกับครอบครัวของเลยเล่ยได้” เฒ่าหลี่ตอบกลับเสียงเบา “นายส่งข่าวให้กับครอบครัวของเธอได้นี่”
รัฐมนตรีจ่าวนิ่งไปสักพัก และส่ายหน้าพลางชี้หน้าของเฒ่าหลี่ “ถ้าไม่บอกแล้วเบื้องบนจะให้ นายเป็นหัวหน้าสภาได้ยังไงใช่ไหม?! นายนี่มันใช้โอกาสฉวยเอาผลประโยชน์เข้าหาตัวเองทั้งหมดจริงๆ”
“ก็ฉันไม่มีทางอื่นแล้วนี่? ทางข่าวกองทัพไม่เหมือนกับฝ่ายอื่นๆ คนพวกนั้นรับผิดชอบต่อจากหัวหน้าเขตทหารโดยตรง ปกติแล้วบ้าคลั่งมาก ขายแม้กระทั่งคนในระบบของตัวเองแผนกอื่น อย่างฉันก็อย่าพูดถึงเลย” เฒ่าหลี่พูดด้วยน้ําเสียงหดหู่ “นายช่วยหน่อยสิ ช่วยบอกกับครอบครัวของหลินเหนียนเล่ยหน่อย…ฉันจําได้ว่าในบ้านของเธอมี…”
“เฒ่าหลี่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยนะ แต่นายคาดหวังกับฉันสูงเกินไปแล้ว” จ่าวผู้พูดด้วยน้ําเสียงประหม่า “ฉันมั่นใจว่าบอกกับครอบครัวของหลินเหนียนเล่ยให้ได้แน่นอน แต่ก็ทําได้แค่พูดให้รับรู้เท่านั้นแหละ ถ้าจะดําเนินเรื่องคงจะยาก”
เฒ่าหลี่ได้ยินจึงนิ่งไป
“ฉันไม่ได้โกหกนายนะ หลินเหนียนเลยมาหาฉันไม่ใช่เพราะคนในบ้านของเธอรู้สึกว่าฉันเป็นคนใหญ่คนโตอะไรหรอก แต่ที่พวกเขายอมให้ลูกมาอยู่กับฉันก็เพื่อให้เธอรู้จักโตขึ้น แล้วเล่ยเลยเองก็อยากจะอยู่ห่างจากครอบครัวหน่อย อยากจะเป็นอิสระหน่อย เพราะงั้นเลยเลือกมาที่ซึ่งเจียงและก็ได้รับคําสั่งจากเบื้องบนว่าให้ดูแลเธอ” รัฐมนตรีจ่าวอธิบายอย่างละเอียด “เอาง่ายๆ ก็คือ บ้านของเธอสูงศักดิ์เกินกว่าที่นายจะคุยได้ เข้าใจไหม?”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” เฒ่าหลี่กะพริบตา “งั้นความสัมพันธ์ในครอบครัวของเธอคง…”
“ฉันก็ไม่ได้รู้ละเอียดมากหรอก ฉันแค่รู้จักกับอาของเธอ เลยไม่ได้ถามลึกขนาดนั้น” จ่าวปู่ครุ่นคิดสักพัก “ดังนั้น ฉันสามารถส่งข่าวให้ได้แต่ถ้านายอยากจะได้คนมาช่วยคงเป็นไปได้ยาก”
เฒ่าหลี่ได้ยินคําพูดนี้แล้วสีหน้าก็จริงจังขึ้นทันที
“เดี๋ยวฉันขอคุยโทรศัพท์ก่อนนะ โอเคไหม?” รัฐมนตรีว่าวลองถามดู
“เห้อ ตอนนี้ก็ได้แค่ทําแบบนั้นแหละ” เฒ่าหลี่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
จ่าวปั้มองดูท่าทางของเฒ่าหลี่พลางโทรศัพท์หาคนที่บอกไว้ตอนแรก “ฉันขอร้องล่ะ อย่าคิดจะดึงหลินเหนียนเล่ยเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วจากนั้นจึงติดต่อคนในบ้านผ่านเธอเพื่อให้ฉินอวี่ถูกปล่อยตัวออกมาเลย ถ้าเขารู้ว่านายคิดจะทําแบบนี้ ต้องมีจุดจบที่ไม่ดีแน่นอน เข้าใจไหม?”
เฒ่าหลี่นิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
“งั้นนายจะทํายังไงต่อเหรอ?”
“เดี๋ยวฉันจะไปชางจีตอนนี้เลย”
“นี่ ไอ้ฉินอวี่นี่มันช่างกล้าบุกจริงๆ” รัฐมนตรีว่าวถอนหายใจพลางกดโทรออกหาเบอร์โทรเบอร์หนึ่ง
ห้องกักกันชั่วคราวกรมทหารในชางงี
เวลาเย็น ประมาณบ่ายสามโมง
ประตูเหล็กถูกเปิดออกอีกครั้ง และหลี่ฉ่ก็เดินตรงเข้ามาทันที
“เป็นยังไงบ้าง คิดดีแล้วหรือยัง?” หลี่ฉ่ถาม ด้วยใบหน้าเฉยชา
ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ฉันคิดดีแล้ว”
“ถ้างั้นบอกมาได้หรือยัง?” ผู้กํากับหลี่ถาม
“ได้แล้ว” ฉินอวี่พยักหน้า
“ดี งั้นนายก็ว่ามา” หลี่ปิ่นั่งลงบนเก้าอี้ “ชื่อเหมาจ่อตายแล้ว” ฉินอวี่ประสานมือพลาง มองอีกฝ่ายและตอบกลับเสียงเบา “ฉันได้ข่าวมาตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะถูกจับแล้วล่ะ”
“นายแน่ใจนะว่ามันตายแล้วจริงๆ?” หลี่ฉ่ถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ในโรงแรมใจกลางเมืองชางจี
เฒ่าหลีและรองผู้กํากับตงและคนอีกเจ็ดถึงแปดคนกําลังรออย่างเงียบๆ
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล? สวัสดีครับ” รองผู้กํากับตงรับโทรศัพท์
“ท่านครับ พวกท่านมาถึงเมืองช่างจีหรือยังครับ?” อีกฝ่ายถามอย่างตรงไปตรงมา
“ถึงแล้ว ถึงแล้ว”
“อีกหนึ่งชั่วโมงผมก็จะถึงชางจีแล้วเหมือนกัน” อีกฝ่ายพูดน้ําเสียงห้วนๆ “พวกนายมารับฉันที่สถานีรถไฟฟ้าด้วย แล้วค่อยไปกองทหารด้วยกัน”
“ได้ครับ ได้ครับ” รองผู้กํากับตงรีบพยักหน้าทันที
“งั้นแค่นี้นะ” อีกฝ่ายวางสายไป รองผู้กํากับตงหันกลับพูดกับเฒ่าหลี่ “คนของประมาณมาถึงแล้ว”
ในห้องข้อมูลของกรมข่าวทหารอีกห้องหนึ่ง
หลินเหนียนเล่ยกําหมัดจะชกทหารหญิงร่าง บิ๊กบนสองคนด้วยความโมโห “พวกแกลองแตะตัวฉันดูสิ?!”
“โธ่ เธอดุไม่เบาเลยนะ รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?” ทหารหญิงยื่นมือคว้าผมของหลินเหนียนเล่ย