ตอนที่ 2:
ยืนตรง! เคารพ! นั่งได้!
☆ คุมิคุมิ
อาเดลไฮลด์กลับมาจากที่เข้าไปหากลุ่มหนึ่ง เธอกอดอก เอียงหัว ยักไหล่พร้อมพูดว่า “เหมือนว่ากลุ่มหนึ่งเองก็ไม่รู้กัน หืมม?” ซึ่งดูไม่ค่อยเหมือน ‘ชาวต่างชาติผู้สง่างาม’ เท่าไหร่ แต่ดูเหมือน ‘คนบ้านนอก’ มากกว่า เมฟิสเหวี่ยงผมเปียไปมา เดาะลิ้นในตอนที่กำลังพึมพำ “ไร้ประโยชน์จริง” อย่างหงุดหงิด อาเดลไฮลด์คงต้องได้ยินที่เธอพูด แต่เธอกลับดูเฉยๆแล้วส่งเสียงสูดจมูกสั้นๆเป็นการตอบกลับ
คลาสสิคคัล ลิเลี่ยนมองไปที่เมฟิสจากนั้นก็มองไปที่อาเดลไฮลด์อย่างลังเล เมื่อเห็นว่าไม่ได้โกรธ ลิเลี่ยนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วก็มองมายังคุมิคุมิเป็นคนถัดมา
สีผิวของลิเลี่ยนนั้นซีดจาง เส้นผมของเธอก็ยุ่งเหยิงราวกับว่าไม่ได้ดูแลอย่างดีพอ ดวงตาเองก็เหมือนกับคนที่น่ารังเกียจ พูดตรงๆแล้ว ตัวตนของเธอมันน่าขยะแขยง คุมิคุมิสามารถพูดได้ว่าถ้าเป็นเพื่อนร่วมห้องในโรงเรียนธรรมดา เธอไม่มีวันเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ แต่เนื่องจากคุมิคุมิคิดว่าตัวเองเป็นคนกลางของกลุ่มสอง เธอจึงปัดเด็กคนนี้ทิ้งไปไม่ได้
คุมิคุมิ เมฟิส และลิเลี่ยน ทั้งสามคนคือสมาชิกของผู้คุ้มกันชั้นยอด
พวกเธอนับได้ว่าเป็นเมจิคัลเกิร์ลมืออาชีพไม่มากก็น้อย แต่เรื่องหน้าที่มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่างานสบายๆที่ได้เงินเยอะ พวกเธอแค่ต้องปรากฏตัวที่งานพิธีบางงานไม่กี่ครั้งต่อปี แค่ทำงานตามปกติที่ต้องทำและไม่มีวันก้าวหน้า คุมิคุมิไม่ได้พูดออกมาดังๆก็จริง แต่เธอก็หวังว่าสามารถจบการศึกษาโดยที่ไม่มีปัญหาและได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ได้สนิทกันมากพอที่จะพูดว่าผูกพันกันด้วยการมีความทะเยอทะยานร่วมกันหรืออะไรแบบนั้น แต่มันก็มีบางจุดที่ทำให้เรียกว่าความสัมพันธ์ได้ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอกับอาเดลไฮลด์ไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าการร่วมมือกันชั่วคราว เธอเป็นสมาชิกของกรมการต่างประเทศ แถมใครจะรู้ว่าทางนั้นจะเป็นมิตรกันได้นานแค่ไหน นั่นไม่ใช่พวกคนที่เธออยากรู้สึกโกรธ
คุมิคุมิสูดลมหายใจสองสามครั้ง เธอเรียบเรียงความคิดของตัวเองในตอนที่มองไปยังอาเดลไฮลด์ “บางที… อาจจะไม่รู้เลยตั้งแต่แรก… แต่คิดว่าเธออาจจะรู้… เพราะเธอเป็นหัวหน้าห้อง…”
“อื้อ แต่คนอื่นเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน”
เมฟิสพึมพำ “เป็นหัวหน้าห้องไม่ใช่รึไง! ไปถามซะ!” แล้วก็เตะขาโต๊ะ ในตอนที่เธอเข้ามายังห้องเรียนนี้ครั้งแรก ดูเหมือนเธอจะดีใจมากที่ได้กลับมาเจอกับเพื่อนเมจิคัลเกิร์ลจากสมัยประถม แต่ในตอนนี้เธอกลับไม่พูดด้วยเลย —ความจริงแล้ว เธอหงุดหงิดที่ใครบางคนพูดชื่อเท็ตตี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ
แต่จากมุมมองของคุมิคุมิ ตอนเดือนพฤษภาคมที่เธอลืมมื้อกลางวันตอนไปทัศนศึกษา เท็ตตี้ มิส ริล และแรปปี้ ทิป คือคนที่ไปหาเพื่อนร่วมห้องทุกคนเพื่อรวบรวมอาหารมาคนละเล็กละน้อยเพื่อเป็นมื้อกลางวันให้เธอ ดังนั้นคุมิคุมิจึงคิดเรื่องไม่ดีกับพวกเธอไม่ได้เลย เธอเข้าใจว่าหากบอกเมฟิสเรื่องที่พวกเธอไม่ใช่คนที่ไม่ดีอะไร มันก็จะทำให้เมฟิสโกรธ ดังนั้นเธอจึงไม่พยายามทะเลาะกับเมฟิสแบบเปิดเผย
นอกจากนั้นแล้ว เมฟิสก็ยังพูดเสียงดังเกินไป คุมิคุมิเลยหันกลับไปหาเธอ “เมฟิส… เธอพูดเบากว่านี้หน่อยสิ”
“หุบปากอีดอก อย่ามาสั่งชั้นนะเว้ย” เมฟิสหัวร้อนได้ง่ายตลอดเวลา แต่วันนี้เธอดูกังวลมากผิดปกติ
เมฟิสไม่ได้มีความเป็นผู้ดีและตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่สำหรับอนาคตของตัวเองไว้สูงตั้งแต่แรก บางทีการเป็นนักรบอาจจะเหมาะกับเธอมากกว่า แต่เธอก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นและกลายมาเป็นนักเรียน เธอโกรธทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ แถมยังรบกวนความสงบสุขของห้องเรียนด้วย
อารมณ์ของเมฟิสเองก็เป็นเหตุผลที่เกมการ์ดถูกแบนเช่นกัน ในตอนที่คุมิคุมิคิดว่าเมฟิสอาจจะได้ความสามารถพิเศษของเกมเศรษฐีในตอนท้าย แต่คุมิคุมิก็คิดเช่นกันว่าถ้าจะรู้สึกโกรธอะไรอย่าง การหยิบได้โจ๊กเกอร์ตามมาด้วยสามโพดำ ก็ไม่ควรจะมาเล่นเกมแต่แรกแล้ว พอเมฟิสคว้าคอเสื้อของเท็ตตี้ แรปปี้จึงพยายามจะเข้ามาห้าม เมฟิสจึงเตะเธอจมล้มลง หากจะให้พูดแล้ว เธอเป็นคนยุติความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าด้วยตัวเอง
ก่อนที่เมฟิสจะเข้าโรงเรียนนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลเธอก็เป็นคนที่ต่อต้านสังคมอยู่แล้ว ท่าทางของเธอดูเหมือนพวกนักเลงสไตล์คลาสสิคที่ย้อมผมและโกนคิ้วจนแทบไม่มี แถมหาเรื่องกับทุกคนที่เห็นอีก มันไม่ใช่พฤติกรรมที่เหมาะสมสำหรับผู้คุ้มกันชั้นยอดที่คอยปกป้องคนสำคัญเลย แต่เธอกลับทำงานได้ดีจนน่าประหลาด ดังนั้นบางทีเธอคงจัดการตัวเองไม่ให้ข้ามเส้นจนถึงขั้นที่จะถูกไล่ออกได้
แต่เธอก็คิดว่าการเริ่มต้นที่โรงเรียนนี้มันก็ต้องแต่งตัวอย่างเหมาะสม เธอทำแม้กระทั่งใช้เซรั่มปลูกคิ้วและปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเอง แต่พอเธอเข้ามาเรียน มันก็มีทั้งคนที่ย้อมผม คนแต่งตัวประหลาด มีแม้กระทั่งคนที่ทำผมโมฮอร์คและมีรอยสัก เมฟิสจึงสบถออกมา “ทำไมชั้นเป็นคนเดียวที่แสร้งทำตัวเป็นเด็กดีด้วยวะ?” แล้วเธอก็โกรธบ่อยขึ้นกว่าเดิม
ระหว่างเมฟิสกับลิเลี่ยน คุมิคุมิคิดว่าทั้งสองคนสามารถเปลี่ยนตัวเองให้สังคมยอมรับได้มากขึ้น และอย่างน้อยเธอก็อยากให้ครึ่งนึงของกลุ่มหนึ่งแสร้งทำตัวเป็นเด็กดี
“แต่ยังไงกลุ่มหนึ่งก็คิดแบบเดียวกับเรา” อาเดลไฮลด์พูด “ด้วยจำนวนแล้ว นักเรียนแลกเปลี่ยนอาจจะเข้ามาที่กลุ่มเรา ก็นะ คงลำบากกันแน่คราวนี้”
“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นชั้นก็รู้อยู่แล้ว ยัยสมองนิ่มเอ๊ย” เมฟิสสบถ
“อ๋อ แล้วอีกอย่าง พวกเธอรู้ว่าเป็นอดีตนักโทษด้วย”
“ห่าเอ๊ย” คำหยาบที่เมฟิสพ่นออกมาตอนโกรธก็เหมือนกับหมาเห่า ดังนั้นมันจึงไม่มีใครสนใจ “พวกตำแหน่งสูงส้นตีนแม่งไม่บอกอะไรชั้นซักอย่าง แม่ง”
“ไม่มีใครได้ยินอะไรมาหรอกนะ”
“เออ อีโง่ ชั้นรู้แล้ว พวกเราไม่รู้กันหมดนั่นแหละ”
ไม่มีข้อมูลอื่นจากทางฝั่งผู้คุ้มกันชั้นยอดเรื่องนักเรียนแลกเปลี่ยนนอกจาก “เธอเพิ่งออกจากคุก” ส่วนทางกรมการต่างประเทศของอาเดลไฮลด์ก็ไม่ต้องพูดถึง เธอยังบอกว่าขนาดใช้เครือข่ายข้อมูลของทางโรงเรียนกวดวิชามาโอแบบเต็มที่ก็ยังไม่รู้อะไรเลย
“อีพวกเวร ชั้นก็ถามอยู่นี่ไงว่าทำไมแม่งถึงไม่มีข้อมูลของนักเรียนแลกเปลี่ยนเลยวะ” เมฟิสพูดต่อ
“ก็นะ ดูจากจำนวนคนแล้วเธอก็คงเข้ามาในกลุ่มสอง หากมีเหตุผลบางอย่าง เธอก็คงเข้ากลุ่มอื่นนั่นแหละ”
“เหตุผลบางอย่าง? เช่นอะไรล่ะ?”
“เรื่องนั้นพวกเราต้องมาคิดด้วยกัน” ลิเลี่ยนพูด
คุมิคุมิกอดอก เมฟิสเค้นหมัด อาเดลไฮลด์มองขึ้นไปบนเพดาน ส่วนลิเลี่ยนมองลงไปที่พื้น ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่ครึ่ง เวลาผ่านไปโดยไม่ได้คำพูดใดๆเกิดขึ้น ในที่สุดอาเดลไฮลด์ก็พยักหน้า เมฟิสสูดจมูก คุมิคุมิเลิกกอดอก ส่วนลิเลี่ยนก็ถอนหายใจ
“เอาล่ะ… ใครมีความคิดอะไรบ้าง?” อาเดลไฮลด์ถาม
“หา?” เมฟิสส่งเสียง “ข้อเสนอแรกคือการถามหาความคิดดีๆเนี่ยนะ? พอเหอะน่า”
“เฮ้ ในตอนนี้มันไม่ใช่แค่ข้อเสนอแรกนะ มันคือเรื่องที่พวกเราทุกคนกำลังคิดกันอยู่ต่างหาก พวกเรากำลังคิดกันแบบว่า ตอนนี้ไม่มีความคิดอะไรดีๆเลย แต่อย่างน้อยก็อยากรู้เรื่องนักเรียนแลกเปลี่ยนไม่ใช่รึไง?”
“ไปถามกลุ่มสามว่ารู้อะไรบ้างดีไหม?” ลิเลี่ยนแนะนำ
“ไม่ต้องเลย อีพวกนั้นแม่งไม่เคยจะมีประโยชน์”
“เพราะเธอเอาแต่จะสู้กับพวกนั้นไง เมฟิส” อาเดลไฮลด์พูด
“หา? จะบอกว่าเป็นความผิดของชั้นรึไง?”
“เป็นเพื่อนกันก็อย่าสู้กันเองสิ”
“โอ๊ะ ไม่ เอ่อ ขอโทษนะ อ๊ะ โทษที” ลิเลี่ยนพูดอย่างตะกุกตะกัก
ถึงพวกเธอจะปัดความคิดของลิเลี่ยนทิ้งไป มันก็ไม่ใช่ว่าเมฟิสหรืออาเดลไฮลด์จะคิดเรื่องใหญ่แบบนี้ออกมาเช่นกัน ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ทั้งสี่คนจึงได้แต่สุมหัวครวญคราง ซึ่งมันก็ยากที่จะแก้สถานการณ์นี้ได้
การได้เห็นทั้งสามคนแลกเปลี่ยนความคิดกัน คุมิคุมิก็คิดทบทวน —จากนั้นก็มีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา
เมฟิสคือคนประเภทใช้กำลังก่อนจะคิด อาเดลไฮลด์นั้นจบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ —นั่นก็คือเธอเชี่ยวชาญการต่อสู้ ในขณะที่ลิเลี่ยนก็หมกมุ่นอยู่กับการพยายามไม่ให้คนอื่นโกรธเธอ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวของคุมิคุมิเองจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการที่จะคิดแผนออกมา เพราะกลุ่มสองไม่มีใครที่เป็นมันสมองของกลุ่มได้เลย
ทางผู้คุ้มกันชั้นยอดมีสมาชิกที่รับผิดชอบหน้าที่ทางด้านความคิด คนที่เก่งเรื่องจัดแผนการฝึก จัดการด้านบัญชี จัดการบุคลากร และคอยบัญชาการอยู่ แต่ตัวเลือกเดียวที่เมฟิส ลิเลี่ยน และคุมิคุมิมีคือการถูกจำกัดให้อยู่ในร่างมนุษย์วัยมัธยมต้น ทั้งสามคนจึงเสมือนประกอบด้วยคนแค่ประเภทเดียว : ซึ่งก็คือพวกใช้กำลัง พอพวกเธอเจอปัญหา จึงไม่สามารถใช้สติปัญญาแก้ไขได้
เช่นเดียวกับการประกวดรายงานหนังสือ แม้ว่าพวกเธอทุกคนจะพูดคุยกันในตอนที่เขียนเพื่อให้แน่ใจว่างานจะออกมาต่างกันมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่คะแนนโดยรวมของพวกเธอก็ต่ำกว่าแม้กระทั่งกลุ่มหนึ่งที่มีพี่น้องอาร์ลี่กับโดรี่ที่ใช้ภาษาแปลกๆในอันดับท้ายสุดซะอีก แล้วในตอนที่เล่นเกมการ์ดกัน เมฟิสก็ทำผิดในสิ่งที่ไม่ควรจะผิด แถมตอนที่เดินทางตอนกลางคืน ก็มีแต่กลุ่มสองที่อ่านแผนที่ผิดจนหลงทาง สุดท้ายคุมิคุมิคิดว่าหลังเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น เธอก็หัวเราะสมาชิกคนอื่นไม่ได้
งั้นเหรอ แบบนี้สินะ คุมิคุมิคิด แต่เธอก็มีหัวคิดมากพอที่จะรู้ว่า หากพูดมันออกมาดังๆก็จะทำให้เมฟิสคลั่ง ดังนั้นเธอจึงเงียบเอาไว้ พวกเธอคุยเรื่องต่างๆกันจนกระทั่งอาจารย์มาถึง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปมาว่า “หวังว่าพวกเราจะได้คนดีๆนะ”
☆ คานะ
คานะเดินตามคัลโคโระผ่านเข้าประตูที่มีอักษร F เขียนเอาไว้บนแผ่นโลหะ
เสียงอึกทึกที่ได้ยินจากตรงทางเดินหยุดลงในทันที ห้องเรียนเล็กๆนี้เต็มไปด้วยเมจิคัลเกิร์ล —หรือเด็กสาวที่ยังไม่ได้แปลงร่าง สายตาของพวกเธอมองมายังจุดๆเดียว —ซึ่งก็คือคานะ นักเรียนทั้งหมดมีสิบสี่คนและพวกเธอล้วนเป็นเมจิคัลเกิร์ล กระดานดำขนาดใหญ่ดูเหมือนว่าถูกติดเอาไว้ที่นั่น โต๊ะที่ดูราคาถูกซึ่งทำจากไม้และท่อเหล็ก เก้าอี้เองก็ดูราคาถูกเหมือนกัน มันไม่ใช่สิ่งที่คานะคิดว่าจะเหมาะสมกับเมจิคัลเกิร์ล แต่มันก็เหมือนกับเครื่องแบบที่คานะและคนอื่นๆสวม บางทีอาจจะทำให้ดูเหมือนกับเป็นโรงเรียนก็ได้
“เอ่อออ… นี่คานะ เธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ดูแลเธอด้วย”
คัลโคโระพูดแนะนำอย่างลังเลด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง แต่คานะก็ไหลตามไป เธอพูดว่า “สวัสดี” อย่างสั้นๆก่อนที่จะไปยังโต๊ะที่อาจารย์บอกให้ไปนั่งที่ด้านหลังของแถวกลาง การเรียนเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้จะไม่มีใครมองมาที่เธอ เธอก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันรู้สึกเจ็บปวดที่ทุกคนสนใจตัวคานะ เพื่อนร่วมห้องไม่ได้มองเธอด้วยความเมตตาที่จะต้อนรับคนมาใหม่อย่างอบอุ่น แต่พวกเธอก็ไม่ได้ดูเย็นชาจนปฎิเสธตัวตนของเธอเช่นกัน เธอรู้สึกว่าหากจะประมาณการณ์แบบนี้ก็จะถูกต้องที่สุด แต่เธอเองก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก อารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนกระจายอยู่ภายดวงตาของพวกเธอ สัญชาตญาณของคานะก็แย่กับเรื่องอารมณ์เช่นนี้ด้วย เรียกได้ว่ามันซับซ้อนเพราะยากที่จะอ่านได้
หลักสูตรนี้คือหลักสูตรศึกษาทั่วไปเหมือนกับที่เธอถูกบอกมา ทุกคนตั้งใจเปิดหนังสือเรียน ดินสอเองก็ขีดเขียนไปตามสมุด ส่วนคานะนั้นมาถึงพร้อมกับมือเปล่า ไม่มีหนังสือเรียน ไม่มีสมุดหรือดินสอ คัลโคโระสังเกตเห็นเรื่องนี้ภายในสามสิบวินาทีหลังจากเริ่มเรียน จากนั้นก็บอกกับนักเรียนที่นั่งข้างคานะว่าให้เอาหนังสือเรียนมาให้เธอดูด้วย จากนั้นทุกคนก็เรียนกันต่อ
การมายังสถานที่ที่มุ่งเน้นด้านการศึกษาแต่ไม่ได้เอาอะไรมาเลย มันคือความห่างไกลจากสิ่งที่นักเรียนควรจะเป็นมาก เธอพูดได้ว่าโยชิโอกะที่เป็นคนรับผิดชอบไม่ได้ให้อะไรเธอมาเลย แต่คานะก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เพื่อให้รู้ว่าการโทษคนอื่นในสถานการณ์แบบนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนควรจะทำเช่นกัน
ในตอนนี้ เธอตัดสินใจที่จะขอบคุณนักเรียนที่นั่งอยู่ข้างตัวเอง เส้นผมของเธอตัดสั้นและมีผิวสีแทน ตัวของเธอดูเล็กแต่โดยรวมแล้วดูแข็งแรง แม้ว่าใบหน้าของเธอจะมีจุดที่ดูเด็ก แต่มันก็ดูแข็งแกร่งเช่นกัน อาจจะพูดได้ว่าคุณสมบัติเช่นนี้เหมาะสมกับสถาบันการศึกษาชั้นยอด คานะลดเสียงลงและพูดกับเธอ “ขอบคุณนะ… เธอชื่ออะไรเหรอ?”
คำว่า คุมิโกะ ทาเทโนะ, คุมิคุมิ ลอยขึ้นมาในใจเธอ จากนั้นเด็กสาวก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆ “คุมิคุมิ… ฉันไม่คิดว่า… เธอต้องขอบคุณหรอก”
ดูจากหน้าตาแล้วคานะก็ไม่แน่ใจว่าเธอคือเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย แต่น้ำเสียงของเธอมีความเป็นผู้หญิงมาก คานะขอโทษเด็กสาวในใจที่ไม่สามารถระบุเพศของเธอได้และยังขอโทษเรื่องที่ใช้เวทมนตร์ของตัวเองแบบไม่ได้ตั้งใจ คานะเรียนไปพร้อมคนอื่นกับเรื่องที่อยู่ในหนังสือเรียน เนื่องจากเธอทำอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่มีสมุดกับดินสอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจจำเอาไว้ว่าจะเอามาในครั้งหน้า เรียกได้ว่าเป็นการมองโลกในแง่ดี บางทีเป็นเพราะความทรงจำของเธอถูกลบไป มันก็เลยมีพื้นที่มากพอในการจดจำเรื่องใหม่ๆ
ในห้องเรียนกำลังอ่านหนังสือและเขียนบนกระดานดำ เมื่อระฆังดังขึ้นทุกอย่างก็หยุด คัลโคโระออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว และพวกเธอก็ได้พักเป็นช่วงสั้นๆ
ผู้คนเข้ามารายล้อมเธออย่างที่คานะคิดเอาไว้ เหล่านักเรียนล้อมเธอเอาไว้ หลังจากที่แนะนำตัวเองแล้ว พวกเธอก็เริ่มยิงคำถามออกมา
“ทำไมถึงแปลงร่างอยู่ล่ะ?”
“เมจิคัลเกิร์ลไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการแปลงร่างหรอก” คานะตอบกลับ
พวกเธอต่างซุบซิบกันและกันด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนว่าพวกเธอจะรู้สึกประทับใจ แม้คานะจะไม่เข้าใจว่าทำไมก็ตาม
“ชุดของเธอดูเหมือนจะขาดอยู่นะ!”
“เราปรับมันให้ขยับง่ายๆเอง” คานะตอบ
“เส้นผมของเธอนี่สวยจัง”
“ขอบคุณนะ”
“เธอลืมเอาของมาเหรอ? ทั้งหนังสือเรียนทั้งสมุดเลย?”
“เราจะเอามาพรุ่งนี้”
“คานะ… เวทมนตร์ของเธอเป็นยังไงเหรอ?”
เสียงซุบซิบเบาลง คนที่ถามคำถามสุดท้ายคือเด็กสาวผมดำยาวที่แนะนำตัวเองว่าชื่อปรินเซสไลท์นิ่ง
มันไม่มีทางที่เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นจะไม่อยากรู้เรื่องเวทมนตร์ของเธออยู่แล้ว หลังจากที่คำถามนั้นถูกถาม เสียงที่พูดคุยกันอยู่ก็หายไป ทุกคนมองมาที่คานะเป็นตาเดียว พร้อมกับตั้งใจฟังเพื่อไม่ให้พลาดสิ่งที่เธอจะพูดออกมา
คานะยังคงนั่งอยู่ตรงที่ของตัวเอง เธอมองกลับไปที่ใบหน้าของไลท์นิ่งพร้อมกับคิดว่า ไม่ว่าการตอบไปจะมีปัญหารึเปล่าแต่หลังจากนี้โยชิโอกะคงโกรธเธอแน่ จากนั้นเธอก็พยักหน้า “เวทมนตร์ของเราคือสามารถรู้คำตอบของคำถามได้”
หลังจากเงียบไปไม่ถึงหนึ่งวินาที พวกเด็กสาวก็กลับไปซุบซิบกัน
“หมายความว่าไงน่ะ?”
“ฟังดูซับซ้อนจัง”
“นั่นเวทมนตร์ของเธอเหรอ?”
“เธอนี่ดูเหมือนทอมบอยเลย”
ริมฝีปากของไลท์นิ่งยิ้มออกมาบางๆในตอนที่ถามว่า “แล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงล่ะ?”
“ถ้าเราถามคำถาม”
“ใช่”
“คำตอบที่ถูกต้องก็จะขึ้นมาในใจโดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบ”
“หืมมม แบบนี้นี่เอง”
เสียงอึกทึกดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม คิ้วเรียวสวยของไลท์นิ่งเลิกขึ้น รอยยิ้มบางๆของเธอก็กว้างขึ้นอีกเล็กน้อย “แบบนั้นเธอก็รู้ทุกอย่างเลยน่ะสิ?”
“ถ้าคนที่ถูกถามรู้นะ”
“ตัวอย่างก็ อืมม… เธอจะรู้เรื่องวันเกิดของฉันได้สินะ? ลองดูหน่อยเป็นไง?”
คานะส่ายหัวอย่างช้าๆ ไลท์นิ่งดูสับสน “หมายความว่าไง? เธอรู้ทุกอย่างได้ไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นเป็นการบุกรุกความเป็นส่วนตัว”
“แต่ฉันก็อนุญาตให้เธอถามแล้วนี่”
“มีหลายเหตุผลที่เราถามไม่ได้”
“บอกมาสิ”
คานะกางนิ้วมือขวาออก แล้วก็เริ่มพับแต่ละนิ้วลงเพื่อทำการนับซึ่งเริ่มจากนิ้วโป้ง
ก่อนอื่นคือเรื่องบุกรุกความเป็นส่วนตัว และเนื่องจากคำตอบที่ลอยขึ้นมาในใจเธอนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของบุคคล หากคนที่เธอถามนั้นเชื่อคำโกหกว่าเป็นความจริง คำตอบก็จะถูกบิดเบือนไป และเหตุผลใหญ่ที่สุดคือจะเป็นการเปิดเผยในสิ่งที่เธอไม่ควรรู้ ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่โยชิโอกะบอกกับเธอ แต่เหตุผลพวกนี้ก็มากพอที่ทำให้คานะพอใจเช่นกัน
เมื่อเธอพูดว่าเรื่องพวกนั้นคือเหตุผลที่เธอห้ามตัวเองไม่ให้ใช้เวทมนตร์มากเกินไป ไลท์นิ่งก็พยักหน้า “มีเหตุผลนะ”
คานะรู้สึกได้ว่าความเร่าร้อนมันค่อยๆลดลง เสียงกระซิบเองก็เช่นกัน ไลท์นิ่งก้มหน้าลงและหันหลังก่อนที่จะออกไป เด็กสาวหลายคนเริ่มกระจายตัวออกไปพร้อมกับคุยกัน
เด็กสาวที่เหลืออยู่หยิบมือหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องโรงเรียนกับคานะไม่ก็คุยกับเธอเรื่องห้องเรียน เธอสามารถเข้าใจได้จากท่าทางของเด็กสาวเหล่านี้ที่แสดงออกมาว่าคือความมีน้ำใจมากกว่าจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ตึงเครียดแบบก่อนหน้า เด็กสาวที่สนใจตัวคานะได้หายไปแล้ว บางทีพวกเธอคงคิดว่าคานะไม่แสดงเวทมนตร์ของตัวเองออกมา เช่นเดียวกันกับเรื่องหนังสือเรียน เธอผลักความรับผิดชอบให้อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เพราะโยชิโอกะบอกมาแบบนั้น” ไม่ได้
“เฮ้”
คานะมองขึ้นมาเพื่อดูว่าใครกำลังพูดกับเธอ อีกฝ่ายคือเด็กสาวที่มีผมยาวดำสยายไปตามชุดเหมือนกับผ้าคลุมหน้า ใช่แล้ว เธอคือเมจิคัลเกิร์ล ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากากแกะขาว ปีกที่เหมือนกับค้างคาวงอกออกมาจากหลัง มีเสียงพึมพำอยู่โดยรอบ คนที่เดินออกไปแล้วก็หันกลับมาเช่นกัน ใครซักคนพูดกับเธอว่า “ทำอะไรน่ะ?” ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน เด็กสาวคนนี้ก็มองลงมาที่คานะพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับว่าพยายามยั่วยุเธอ
คานะบอกได้ว่าเด็กสาวคนนี้พยายามทำอะไรบางอย่าง แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นที่นี่และคานะถูกไล่ออก นั่นหมายถึงเธอจะต้องกลับไปยังคุก คานะลดเสียงลงเหมือนกับตอนที่ตอบคำถามก่อนหน้านี้ นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ของตัวเองแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเด็กสาว “มีอะไรเหรอ?”
“ได้ข่าวว่าแกเพิ่งออกมา” เด็กสาวตอบ
“ออกมา?”
“จากคุก โอเคไหม คุกน่ะ”
เสียงพึมพำเริ่มเบาลง คุมิคุมิเอื้อมมือเข้ามาจากด้านหลังของเด็กสาวคนนั้น แต่ก็ชักมือกลับด้วยท่าทางตึงเครียดแล้วเอามือไปสัมผัสกับหน้าผากตัวเองแทน ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนเธอจะรู้ว่าคานะเพิ่งออกมา —จากสถานที่ที่เรียกว่าคุก บรรยากาศโดยรอบเองก็บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอได้ยินเรื่องนี้
แม้ว่าจะทำให้ทั้งคุกว่างเปล่าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่รอบๆ ข้อมูลก็ยังรั่วไหลอยู่ดี แต่ถึงตอนนี้เธอจะโทษโยชิโอกะไป มันก็คงไม่มีใครฟังเธอ เธอจึงต้องตัดสินใจเพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ฮัลน่าห้ามไม่ให้คานะบอกคนอื่น แต่กระนั้น เมื่อดูจากท่าทีของทุกคนในตอนนี้ เธอมั่นใจว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว
คานะใส่น้ำหนักลงไปในการหายใจเข้าประมาณหนึ่งและพยักหน้า “ใช่” หากทุกคนรู้อยู่แล้ว แบบนั้นจะโกหกไปเพื่ออะไรกันล่ะ? หากจะคิดว่าคนที่โกหกและปิดบังเรื่องต่างๆไว้ไม่สามารถเชื่อใจได้ คานะคิดว่าการทำแบบนี้มันดีกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของเหตุผลเป็นแบบนั้น ส่วนอีก 40 เปอร์เซ็นต์เป็นเพราะในจุดนี้มันยุ่งยากเกินไป
เด็กสาว —คนที่แนะนำตัวเองว่าชื่อเท็ตตี้— เดินออกมาอย่างอายๆแล้วพูดว่า “ฟูโกะ”
“อย่ามาเรียกชื่อจริงชั้นนะเว้ย!”
“อ๊ะ โทษที… ฟังนะ เมฟิส ตอนนี้พวกเรายังไม่ควรแปลงร่าง—”
“อีห่านี่มันแปลงก่อนด้วยซ้ำ!” เมจิคัลเกิร์ล —เมฟิส— เตะเก้าอี้ที่อยู่ใกล้จนล้ม เสียงดังที่เกิดขึ้นทำให้เท็ตตี้กระโดดและถอยห่างออกไป ดูเหมือนว่าเธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อปากของเธออ้า มันก็ไม่มีอะไรออกมาเลย
เมฟิสหันกลับมาหาคานะอีกครั้งพร้อมเดาะลิ้นกับการกระทำของเท็ตตี้ “ชั้นแค่อยากคุยแบบเท่าเทียมกัน เข้าใจป่ะ? ซึ่งหมายถึงชั้นเองก็ต้องแปลงร่างด้วย”
มุมปากของเธอที่มีสีแดงเข้มราวกับเลือดม้วนขึ้นเป็นรอยยิ้ม ด้วยปีก ท่าทาง และการแสดงออกของเธอมันจึงดูเหมือนภาพวาดของปีศาจที่ปรากฏอยู่ในมหากาพย์หรือภาพวาดในเรื่องราวต่างๆ “ยืนขึ้น”
ร่างกายของคานะขยับก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไร
คานะวางมือลงบนโต๊ะแล้วดันเก้าอี้ไปด้านหลัง และในตอนที่เธอกำลังยืนขึ้น เท้าของเมฟิสก็ขยับ มันดูเหมือนว่าเมฟิสพยายามเตะเข้ามาที่ขาจากด้านล่าง วิธีหลบเลี่ยงหลากหลายแบบลอยขึ้นมาในใจคานะ —กันเอาไว้ด้วยหน้าแข้ง หยุดเอาไว้ด้วยฝ่าเท้า ตีลังกาเพื่อหลบ— จากนั้นร่างกายของเธอลอยขึ้นไปในอากาศ หมุนตัวหนึ่งรอบครึ่ง และในจังหวะที่ลงมาสัมผัสพื้น เธอก็ป้องกันใบหน้าเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง อย่างน้อยเธอก็หลบการโจมตีนั้นได้ แต่แรงกดที่ด้านหลังศีรษะมันทำให้เธอล้มตัวลง จนหน้าผากของเธอก็กระแทกเข้ากับพื้น
จู่ๆแรงกดที่ด้านหลังศีรษะก็หายไปในทันที คานะเงยหน้าขึ้นในตอนที่กำลังนอนอยู่ เมฟิสยืนอยู่ด้านบนของเธอด้วยท่าทางที่มากกว่าการท้าทาย นี่คือการดูถูก เมฟิสกำลังดูถูกเธอ คานะรู้ตัวเมื่อสายไปว่าแรงกดที่เธอรู้สึกจากด้านหลังศีรษะก็คือเท้าของเมฟิส เมฟิสกำลังเหยียบเธออยู่ คานะจินตนาการว่าตัวเองในตอนนี้คงเป็นที่สุดแห่งความน่าอัปยศแล้ว เสียงพึมพำของเพื่อนร่วมห้องหายไป ณ จุดใดจุดหนึ่ง เธอรู้สึกได้แต่สายตาที่จ้องมองมาเพียงเท่านั้น
คานะไม่รู้ว่าทำไมเมจิคัลเกิร์ลคนนี้ถึงได้ใช้ความรุนแรง แต่การกระทำของเมฟิสก็ทำให้คานะอับอาย ชื่อเสียงของเธอไม่ได้ดีมาตั้งแต่แรก และในตอนนี้มันก็แย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อคิดได้ขนาดนี้ เธอก็คิดว่าการไม่ทำอะไรเลยคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่าเธอจะได้รับตราบาปจากการใช้ความรุนแรงหรือถูกเหยียบย่ำจนจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางไหน มันก็เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงคานะขึ้นแล้ว
คานะเลือกทางของตัวเอง มันไม่ใช่ว่าเธอจำเป็นต้องมีชื่อเสียงที่ดี แต่การมีชื่อเสียงแย่คงส่งผลต่อการกระทำของเธอ เธอจึงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเพิ่มจุดยืนของตัวเอง
เธอพลิกตัวเพื่อที่จะให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ในตอนที่คานะเคลื่อนไหว เมฟิสก็ยกเท้าขึ้น แต่คานะก็คาดเอาไว้แล้ว จังหวะที่ส้นเท้ากำลังเหวี่ยงลงมา คานะก็มองขึ้นไปโดยไม่กระพริบตา เธอยื่นนิ้วชี้ออกมาแล้วก็ชี้ขึ้นไป “มีแต่กางเกงในที่เป็นสีขาว ไม่คิดว่าสีมันขาดความสมดุลย์บ้างเหรอ?”
คานะไม่เห็นปฎิกิริยาตอบสนองเพราะส้นเท้าของเมฟิสลงมาทันทีหลังจากนั้น แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์หงุดหงิดที่ผ่านมาทางรองเท้า แทนที่จะตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง อาจพูดได้ว่าแผนของคานะที่ใช้คำพูดเพื่อสร้างความเสียหายทางจิตใจนั้นประสบความสำเร็จ การรับส้นเท้าด้วยหน้าผากอันแข็งแกร่งของเธอก็สร้างความเสียหายทางกาพภาพต่ำเช่นกัน
เมื่อพอใจกับผลลัพธ์ที่รับส้นเท้าเอาไว้ด้วยหน้าผากแล้ว คานะก็พยักหน้าเล็กน้อย
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น อาจารย์ก็เข้ามาในห้องเรียน ทุกคนก็กลับไปนั่งที่ จากนั้นก็เริ่มเรียนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คาบที่สองในวันนี้คือคาบภาษาญี่ปุ่น
ในตอนที่อาจารย์กำลังอธิบายเรื่องการใช้ประโยค ฟูจิโนะก็รู้สึกกังวลอย่างมาก แต่เธอไม่ได้มีเวลาสำหรับเรื่องนั้น เธอต้องตรวจสมุดการบ้านของอาร์ลี่และโดรี่ เงื่อนไขในการเข้าเรียนที่นี่คือการเป็นเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นเรื่องความสามารถด้านวิชาการในฐานะมนุษย์จึงครอบคลุมทุกด้านอยู่แล้ว แต่สองคนนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเธอจึงปฎิบัติตามหลักสูตรอิสระของทางโรงเรียนที่เน้นไปที่นักเรียนอายุน้อย ทางโรงเรียนจัดระบบให้ฟูจิโนะที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจะต้องตรวจงานในห้องเรียนทุกครั้งที่มีโอกาส บางทีนี่อาจคือผลลัพธ์จากอาจารย์ที่ขาดความกระตือรือร้นก็ได้ แต่ฟูจิโนะก็ไม่ได้คิดที่จะบ่นอะไร เพราะมันไม่มีอะไรดีเลยหากถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา เธออยากให้อาจารย์คิดว่าเธอคือนักเรียนที่ดี คนที่ขยันทำตามที่อาจารย์สั่งมากกว่า
หากเธอได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมันก็คงจะรู้สึกดี อย่างเช่นแบบที่เมฟิสกับนักเรียนแลกเปลี่ยนทำ ก่อนหน้านี้ที่สู้กัน เมฟิสใช้ความรุนแรงเพื่อให้นักเรียนแลกเปลี่ยนล้มลงจนตัวติดพื้น ในขณะที่นักเรียนแลกเปลี่ยนตั้งใจจะไม่ตอบโต้แต่ก็ไม่ยอมก้มหัวให้เมฟิส แม้พวกเธอจะเลือกกันคนละวิธี แต่พวกเธอทั้งสองคนก็แสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา ซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับหัวหน้าห้องที่ตกใจเพราะเก้าอี้ถูกเตะล้มแถมยังรับมือสถานการณ์ไม่ได้
ฟูจิโนะตรวจสมุดการบ้านของอาร์ลี่และโดรี่เสร็จแล้ว จากนั้นเธอก็นั่งลงและมองไปด้านหน้า ในที่สุดเธอก็มีเวลาที่รู้สึกว่าบนไหล่ของเธอมีสิ่งอันหนักอึ้งวางอยู่
ย้อนกลับไปในตอนที่เท็ตตี้ กู๊ดกริปยังไม่ได้เป็นแม้แต่เมจิคัลเกิร์ลหน้าใหม่แต่เป็นผู้สมัครที่จะสอบเป็นเมจิคัลเกิร์ล ผู้คุมการทดสอบของเธอได้สอนเธอนับครั้งไม่ถ้วนว่า “เป็นเมจิคัลเกิร์ลน่ะมันหาเงินไม่ได้หรอกนะ เสียเวลาเปล่าๆ พอเวลาผ่านไป กว่าที่เธอจะรู้ว่าวัยเยาว์ของตัวเองมีค่ามากแค่ไหนมันก็สายไปแล้ว” เธอยังพูดแม้กระทั่ง “ถึงพวกเราจะบอกว่าผู้สมัครที่มีความกระตือรือร้นสูงสุดจะถูกนัดอย่างเป็นทางการ แต่พวกบ้านรวย ไม่ก็คนที่ทำเป็นแค่งานอดิเรกจะนัดหมายได้ง่ายกว่า”
เมฟิส เฟเลส คนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลพร้อมกับเท็ตตี้ได้พูดตอกกลับไปว่า “พูดบ้าอะไรวะเนี่ย” ในขณะที่เท็ตตี้ได้แต่ปลอบเมฟิส แต่ภายในใจของเธอก็ต่อต้านอย่างรุนแรงพอๆกัน
ไม่ว่าผู้ใหญ่จะสอนและคอยพร่ำบอกว่า “มีเพียงคนหยิบมือเดียวที่จะประสบความสำเร็จกับเรื่องนี้ได้นะ เธอควรจะหาอะไรที่มันมั่นคงมากกว่านี้ไว้ดีกว่า” มากขนาดไหน แต่มันก็มีเด็กดีเพียงไม่กี่คนที่จะฟังแล้วพูดว่า “ค่ะ เข้าใจแล้ว” มีเด็กอีกมากมายที่ตั้งเป้าจะเป็น “คนหยิบมือหนึ่ง” ของวงการนักพากย์ นักแสดง นักแสดงตลก นักกีฬามืออาชีพ ผู้เล่นโชงิหรือโกะมืออาชีพ นักร้อง หรือคนเขียนมังงะ พวกเธอเข้าร่วมพร้อมใฝ่ฝันถึงการร่วมเวทีอันส่องประกายพร้อมกับดาวที่ตัวเองนับถือ
สำหรับฟูจิโนะ โทยามะ ที่ในตอนนั้นยังคงเป็นเด็กนักเรียนประถมที่ไม่รู้ประสีประสาของโลกเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเธอรู้ว่าเมจิคัลเกิร์ลมีอยู่จริงและตัวเองได้แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลผู้น่ารักอย่างเท็ตตี้ กู๊ดกริป ความกังวลเรื่องอนาคตของตัวเองก็หายไปในทันที ก่อนหน้านี้ เธอพูดติดตลกกับเพื่อนไว้ว่า “บางที ฉันอาจจะได้ไปเกิดใหม่ต่างโลกด้วยความผิดพลาดอะไรบางอย่างก็ได้นะ” แต่ในความจริงมันกลับเกิดขึ้นแบบง่ายๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะตัดสินใจใช้ชีวิตในฐานะเมจิคัลเกิร์ลในอนาคต การสั่งสอนจากพวกผู้ใหญ่จึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไป
แม้เท็ตตี้จะเชื่อฟังผู้คุมการสอบอย่างนิ่งเงียบ แต่ภายในใจของของเธอกำลังโลดแล่นอย่างบ้าคลั่ง หากเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ มันก็หมายความว่าเธอจะใช้ชีวิตคนเดียวได้แน่นอน จากนั้นเธอก็ตั้งเป้าว่าจะทำอนิเม แม้จะไม่ได้คาดหวังไปไกลว่าจะต้องฉายช่วงเช้าวันอาทิตย์ อาจจะฉายในรอบดึกซักห้านาทีและกุมหัวใจของแฟนๆที่ชอบเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ทำมันให้เป็นลัทธิที่โด่งดัง แถมอนิเมก็ไม่ได้ใช้งบมากมายตั้งแต่แรก แบบนี้มันคงได้ซีซั่นสองด้วยซ้ำ
เธอเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้ว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นและจะแสดงให้เห็นได้ยังไง เมื่อเธอได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างเป็นทางการ เธอก็จะเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้ เธอยังคิดแม้กระทั่ง : ผู้ใหญ่นั้นมักง่าย ชีวิตไม่ได้มีอะไรที่ต้องให้ค่ามากนัก เธอถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนี้ ความฝันและเป้าหมายมีอยู่เพื่อให้ถูกเติมเต็ม
แถมเธอยังรู้สึกแรงกล้ามากยิ่งขึ้นเพราะตัวตนของเมฟิส คนที่ตามเธอมาด้วย แม้ว่าจะก้าวร้าวกับผู้คุมการทดสอบแค่ไหน หากเธอผ่านไปได้ และแน่นอนว่าเธอเข้าใจผิดว่าชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย
หลังจากที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว ฟูจิโนะก็ได้แต่ปล่อยให้เวลาผ่านไป เธอไม่ได้รับอะไรมาเป็นพิเศษ เธอไม่เคยถูกดินแดนเวทมนตร์เรียก รายงานที่เธอเขียนก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ เธอถามคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าว่าเธอสามารถปิดบังตัวเองที่มีความเกี่ยวข้องกับทางดินแดนเวทมนตร์ในขณะที่ทำบล็อก วีล็อก หรืออะไรบางอย่างได้ไหม แต่คำตอบเดียวที่เธอได้มาก็คือ “ไม่” เมื่อเธอถามว่าสามารถใช้เสน่ห์ของตัวเองในฐานะสาวเสิร์ฟพร้อมกับถุงมือขนาดใหญ่ทำอะไรบางอย่างเช่นเป็นมาสค็อทประจำเขตได้รึเปล่า เธอก็ได้คำตอบว่า “ไม่” แม้ในตอนที่เธอถามว่าสามารถแต่งนิยายโดยใช้ตัวเองเป็นตัวเอกบนเว็บไซต์เขียนนิยายได้รึเปล่า พวกนั้นก็บอกว่า “ไม่” และมันก็จบลงเท่านั้น
ผู้นำในพื้นที่ยังพูดจาอย่างน่ารังเกียจว่าถ้าเท็ตตี้ยังเอาแต่ถามคำถามแปลกๆแบบนี้ มันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอถามอะไรออกไป
ทุกสิ่งที่เธอได้มามีแต่ความเหนื่อยล้าที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น แทบทุกวันเธอคิดว่า ถ้าระหว่างวันไม่มีเรียน ฉันก็จะใช้พลังไปกับหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลให้หมด แต่กระนั้น เธอก็ละทิ้งชีวิตของตัวเองไปไม่ได้
แม่ของฟูจิโนะมีร่างกายอ่อนแอ แต่แม่ก็ฝืนตัวเองไปเรื่อยๆราวกับไม่มีใครมาหยุดได้ ตอนที่ฟูจิโนะอยู่ชั้นประถมสี่ แม่ของเธอก็หย่ากับพ่อเพราะอีกฝ่ายนอกใจ ดังนั้นฟูจิโนะจึงต้องย้ายโรงเรียนและต้องห่างกันกับเมฟิส หลังจากนั้นแม่ของฟูจิโนะก็ดิ้นรนหาเงินทองพร้อมกับเลี้ยงดูลูกสาวจากชั้นประถมจนขึ้นชั้นมัธยมต้น แม่ดูแลฟูจิโนะในฐานะคนๆหนึ่ง
ไม่ว่าฟูจิโนะจะทำอะไร ไม่ว่าเธอจะไปโรงเรียนในฐานะเด็กสาวธรรมดาหรือเมจิคัลเกิร์ล สิ่งที่ผู้คุมการทดสอบพูดก็ย้อนกลับมาในใจเธอ คนประเภทที่ทำเป็นงานอดิเรกหรือบ้านรวยจะเหมาะกับการเป็นเมจิคัลเกิร์ลมากกว่า แม้จะฟังดูง่าย แต่ฟูจิโนะก็ไม่เข้าเกณฑ์เหล่านั้น
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อการเถียงเล็กๆน้อยๆของเธอกลายเป็นการตวาดใส่แม่ เธอก็รู้ตัวว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ตั้งแต่ที่เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันก็ผ่านมาได้สี่ปีแล้ว ผู้คุมการทดสอบเตือนเธอได้อย่างถูกต้องว่าเวลามันจะเสียเปล่า ความเยาว์วัยของเธอมันมีค่า ฟูจิโนะตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียดอย่างรุนแรงจนเธอลงเอยด้วยการเถียงกระทั่งเรื่องเล็กน้อย
ในตอนที่ฟูจิโนะใกล้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง แม่ของเธอก็ถึงขีดจำกัดไปก่อนแล้ว วันหนึ่งตัวของแม่โอนเอนจนทรุดลงกับพื้น แม่ถูกพาตัวไปโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น ฟูจิโนะได้แต่รับฟังการอธิบายจากแพทย์ที่บอกว่าหัวใจของแม่อ่อนแอจนไม่เหลือแรงอีกอย่างงุนงง ฟูจิโนะเสียใจที่ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือการตวาดใส่แม่ แต่เธอย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยเธอก็ควรจะขอโทษแทนที่ปล่อยให้เรื่องมันกลับเป็นปกติอย่างเงียบๆ —ความโศกเศร้ามันถาโถมเข้าเพิ่มมากขึ้น แต่เวลาที่เสียไปย้อนกลับมาไม่ได้ มันกลับไปไม่ได้ มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้น
ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลคือความหวังอันยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายของเธอ เธอถึงกับร้องไห้เมื่อดินแดนเวทมนตร์ติดต่อมาหา เธอคิดว่าในที่สุดความฝันตัวเองจะได้กลายเป็นจริงแล้ว แต่นี่เป็นเพียงหน่ออ่อนที่ยังไม่ออกดอกออกผล แต่กระนั้นมันก็ยังดีกว่าการทำงานเป็นเมจิคัลเกิร์ลแบบไร้จุดหมาย เธอเหนื่อยหน่ายกับการที่ต้องอยู่ว่างๆทุกวันเต็มที
ฟูจิโนะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน แถมค่าครองชีพเองก็ถูกช่วยเหลือด้วย หากเธอสามารถจบการศึกษาได้อย่างไม่มีปัญหาและมันก็ชัดเจนสำหรับใครก็ตามที่อ่านหัวข้อ “ผู้จบการศึกษาจากสถานศึกษาชั้นยอดพร้อมกับอาชีพในอีกโลกหนึ่ง” ว่ามันก็คือการยืนยันว่าจะถูกมอบหมายหน้าที่ให้กับหน่วยงานต่างๆ ท่าทางแห่งความภาคภูมิใจของเหล่านักเรียนเมจิคัลเกิร์ลรุ่นก่อนที่กำลังพูดอยู่ในพิธีเปิด และการที่พวกเธอพูดถึงหน้าที่การงานในปัจจุบัน —โดยที่ไม่ได้โอ้อวดมากนัก— มันได้จุดไฟในใจของเท็ตตี้ขึ้นมา
พวกเธอจบจากขั้นตอนการทดสอบสุดท้าย ขณะที่ห้องของเท็ตตี้จะเป็นกลุ่มแรกที่จะจบการศึกษาอย่างเป็นทางการ หากเรื่องเกินจริงที่พวกเธอพูดอย่าง “สถาปนาด้วยเกียรติและหน้าที่” ซักครึ่งหนึ่งเป็นจริง แบบนั้นมันก็ไม่มีทางที่เธอจะถูกปฎิบัติด้วยในแบบที่ไม่ดี นี่คือเมจิคัลเกิร์ลมืออาชีพที่เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็น
เธอไม่อยากให้ใครมาขวางทาง เธออยากเชื่อฟังอาจารย์ ก้มหัวให้ทุกคน หลีกเลี่ยงปัญหา และนำพาความสามัคคีขึ้นในห้องเรียน การเตะใครบางคนออกไปเพราะอีกฝ่ายไม่พอใจเธอมันเป็นได้เพียงแต่เป็นการทำร้ายตัวเองในระยะยาว ช่วงเวลาหลังเรียนจบมันยาวนานกว่านั้นมาก ดังนั้นในตอนที่เธอยังเป็นนักเรียน เธอก็จะทนมันเอาไว้
ฟูจิโนะเงยหน้าขึ้นมาเพราะมีอะไรมาดึงแขน โดรี่กำลังดึงแขนเสื้อด้านขวาของเธออยู่ พอเธอหันไปรอบๆ อาร์ลี่เองก็มองมาที่เธอเช่นกัน ใบหน้าที่ดูเหมือนกันของทั้งคู่เหมือนกำลังจะถามเธอว่า “มีอะไรเหรอ?” ฟูจิโนะยิ้มออกมาเพื่อให้พวกเธอสบายใจ จากนั้นก็หยิบสมุดการบ้านขึ้นมา
เธอปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความกังวลเพียงชั่วครู่ เพราะหัวหน้าห้องมีงานมากมายที่ต้องทำรออยู่
☆ เบลด เบร็นด้า
เธออยู่ที่ศาลเจ้าเล็กๆบนยอดเขาที่ต้องเดินขึ้นไปแบบนับก้าวไม่ถ้วนเพื่อไปให้ถึง บนศาลเจ้าที่เก่าและทรุดโทรมนี้ ทั้งรอยร้าวบนพื้นหิน ราวบันไดที่วนอยู่รอบศาลเจ้า ทั่วทุกที่มีร่องรอยของการซ่อมแซมอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกซ่อมแซมไปเมื่อไม่นานมานี้
เบลด เบร็นด้าและแคนน่อน แคทเธอรีนยืนอยู่ข้างกัน มือของพวกเธอแนบอยู่ข้างลำตัวในตอนที่กำลังรอคำสั่งอย่างตั้งใจ เมจิคัลเกิร์ลสีขาวอยู่ห่างออกไปสามก้าว —สโนไวท์— มอบคำสั่งให้เธอ “ไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้” เมจิคัลเกิร์ลสีฟ้า ปรินเซสดีลูจ ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง สโนไวท์ไม่ได้พูดดีหรือร้ายเป็นพิเศษ ดังนั้นพวกเธอก็ควรจะรับฟัง
ทั้งคู่ทำตามในทันที เบร็นด้านั่งลงพร้อมกับไขว่ห้างแล้วโยกตัวจากขวาไปซ้าย ในขณะที่แคทเธอรีนวางปืนใหญ่ของตัวเองลงบนพื้นแล้วเอาหัวของตัวเองหนุนราวกับว่าเป็นหมอน
เมื่อเห็นทั้งสองคนเป็นแบบนั้น สโนไวท์ก็รออยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “บางทีคงต้องสำรวมกว่านี้นะ” จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าแถวในแบบที่ไม่ดูเป็นทางการหรือผ่อนคลายมากจนเกินไป “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาเริ่มทำความสะอาดกัน”
ทั้งคู่เอียงหัว สโนไวท์ยื่นมือขวาที่ถือถังอยู่เข้ามาหาพวกเธอ และเบร็นด้าก็รับไว้ ภายในถังมีฟองน้ำ แปรง แล้วก็กล่องพลาสติกอยู่ “ฉันไปเอาฟองน้ำเวทมนตร์มาแล้ว มีพอสำหรับทุกคน ไม่ต้องกังวลหรอก”
แคทเธอรีนก็รับถังมาเช่นกัน ทั้งคู่เอียงหัวไปในทิศทางตรงกันข้ามจากก่อนหน้านี้
“พวกเราจะทำความสะอาดศาลเจ้านี้ แต่ไม่ใช่แค่ตัวศาลเจ้า” สโนไวท์อธิบาย “พวกเราจะทำความสะอาดเมืองทั้งเมืองที่มองเห็นได้จากที่นี่”
ทั้งคู่เดินมาที่ราวบันไดและมองลงไปด้านล่างตามสโนไวท์ ตอนนี้ยังเป็นช่วงกลางวัน ดังนั้นดวงอาทิตย์จึงยังส่องแสง มันจึงคึกคักและเสียงดังเพราะมีผู้คนอยู่มากมาย
“หลายจุดรอบเมืองมีกราฟฟิตี้อยู่ พวกเธอต้องทำความสะอาดมันนะ และถ้ายังมีคนที่พยายามจะทำเพิ่มอีก แบบนั้นก็ต้องโน้มน้าวจนให้แน่ใจว่าจะไม่ทำอีก จากนั้นก็ทำความสะอาดเมืองต่อ นี่คืองานที่พวกเราต้องทำ”
“งานใหญ่ของจริงเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พวกเรามาทำเท่าที่ทำได้กันดีกว่า” ปรินเซสดีลูจเสริม
เบร็นด้าและแคทเธอรีนหันไปหาสโนไวท์ ด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมาจากด้านหลัง พวกเธอจึงมองดูท่าทางของสโนไวท์ได้ยาก
“ทั้งสองคน อาร์ลี่ ดีลูจ และฉัน ทุกคนคือเมจิคัลเกิร์ล” สโนไวท์พูด “การช่วยเหลือคนที่กำลังมีปัญหาคือหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของเมจิคัลเกิร์ลนะ”
เบร็นด้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเมจิคัลเกิร์ล และเธอก็แน่ใจว่าอาร์ลี่กับแคทเธอรีนเองก็ไม่เคยคิดด้วย สโนไวท์ พีเฟิล อูรูรุ แพททริเซีย มาริกะ ฟุคุโรอิ และชาโดว์เกลนั้นแตกต่างจากกลุ่มของเบร็นด้า
เธอมองไปที่ดีลูจเพราะสงสัยว่าจะพูดอะไรเสริมอีกรึเปล่า แต่ดีลูจที่กอดอกเอาไว้ก็ยังคงเงียบ เหมือนว่าดีลูจกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่าง —และยังเหมือนว่ากำลังรอปฎิกิริยาของพวกเธอด้วย
เบร็นด้ากับแคทเธอรีนมองหน้ากันและกัน เอาหัวมาชนและกระซิบกันจนได้ข้อสรุป พวกเธอเรียงแถวกันและหันไปหาสโนไวท์อีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้า
“ดีล่ะ ตกลงเอาแบบนี้นะ” สโนไวท์พูด “‘งั้นก็มาเริ่มกันที่ศาลเจ้าก่อนเลย”
แคทเธอรีนวนไปด้านหลัง เบร็นด้าขัดหินปูพื้น ส่วนสโนไวท์กับดีลูจเข้าไปด้านในศาลเจ้า พวกเธอยังได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการขัด เสียงลมที่พัดผ่าน เสียงใบไม้แกว่งไกว เสียงนกร้องอันมีเสน่ห์ และเสียงของสโนไวท์กับดีลูจที่คุยกัน
“เห็นชัดเลยว่านักเรียนแลกเปลี่ยนที่เฟรเดริก้าส่งไปโรงเรียนคืออดีตนักโทษจริงๆ” สโนไวท์พูด
“อื้อ มานาโกรธมากเลยด้วย” ดีลูจตอบ
“อือ…ฉันเองก็เหมือนกัน ก็นะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มานาคนเดียวจะโกรธหรอก”
“ก็จริง”
“ฉันว่าเฟรเดริก้าคงวางแผนอะไรบางอย่างอยู่… เธอคิดว่ามันคืออะไรล่ะ?”
“รู้สึกเหมือนว่าจงใจไม่ปกปิดข้อมูลเลย เกือบที่จะ… แสดงให้เห็นด้วยซ้ำ”
“ฉันได้ยินมาว่าเธอทำให้ทั้งคุกว่างเปล่าเพื่อปล่อยนักโทษออกมาด้วย”
“แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ปล่อยมาใช่ไหม?” ดีลูจชี้ “ฉันคิดว่าถ้าเธอพยายามซ่อนแบบจริงจัง เธอก็สามารถส่งใครบางคนไปยังที่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงได้ จะบอกว่า ‘เป็นคนแบบนั้น’ ก็ไม่ผิดนัก แต่เธอก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เธอพานักโทษออกมา และปล่อยข้อมูลก่อนที่จะย้ายเข้าไปในโรงเรียน อาร์ลี่กับเพื่อนร่วมห้องเองก็พูดถึงด้วยสินะ?”
“ฉันได้ยินมาแบบนั้นน่ะ”
“หืม”
“อ่า”
“เอ่อ… ที่โรงเรียนอาร์ลี่เป็นไงบ้าง?” ดีลูจถาม
“เธอบอกว่ามีบางคนคอยช่วยเธอแล้วก็หาเพื่อนได้แล้ว การเรียนมันยากแต่ว่าการเรียนรู้อะไรทีละอย่างมันรู้สึกคุ้มค่า เธอมีช่วงเวลาที่ดีนะ แต่เธอบอกว่ามีคนใจร้ายอยู่ด้วยซึ่งก็คือโดรี่”
“สุดท้ายก็เข้ากับทุกคนไม่ได้สินะ”
“อือ… ก็จริง”
“อ่าหะ…”
ดีลูจใช้เอกสารที่พีเฟิลทิ้งเอาไว้ในการติดต่อหาสโนไวท์ ดังนั้นเมจิคัลเกิร์ลสองคนจึงรวมพลังกัน แต่เรื่องระหว่างพวกเธอยังคงพิลึกอยู่เล็กน้อย ในตอนที่เบร็นด้ายังอยู่กับพัคพั๊ค สโนไวท์เป็นคนที่เชื่อถือได้อย่างมาก พอเบร็นด้าพูดว่า “เรายังเชื่อใจเธอเหมือนก่อนหน้านี้นะ” สโนไวท์ก็ดูเศร้า แต่เธอก็ยังคงเชื่อใจได้เช่นเดิม
หากสโนไวท์กับดีลูจเข้ากันได้ดี แบบนั้นเบร็นด้าก็จะรู้สึกดีใจ อาร์ลี่กับแคทเธอรีนเองก็คงดีใจเช่นกัน
ทั้งสองคนร่วมมือกันเพื่อค้นหาริปเปิลและจัดการเฟรเดริก้า เบร็นด้าไม่เข้าใจว่าพวกเธอพยายามจะทำอะไร แต่เธอคิดว่าการที่พวกเธอร่วมมือกันเป็นอะไรที่ดีมากๆ
☆ คัลโคโระ
ชั้นเรียนเมจิคัลเกิร์ลมันแตกต่างจากชั้นเรียนการศึกษาทั่วไปเพราะทางดินแดนเวทมนตร์จะควบคุมอาจารย์ผู้สอนส่วนนักเรียนเองก็จะแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล การได้เห็นเมจิคัลเกิร์ลชั้นยอดที่แบกรับความคาดหวังของทุกฝ่ายรวมตัวกันคือภาพอันยิ่งใหญ่ที่สร้างแรงกดดันให้กับอาจารย์คนใหม่ แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้นบวกกับวันหยุดยาว คัลโคโระก็เคยชินมากขึ้นแล้ว เธอจมอยู่กับวันหยุดตลอดไปไม่ได้
“อาชญากรรมของนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ไม่สามารถระบุได้ทั้งหมดเพราะบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ…”
คัลโคโระเคยชินกับมันแล้ว แต่เธอก็ยังคงเครียดตอนทำการสอนอยู่
นักเรียนเองก็ไม่มีวันสังเกตเห็นความกังวลของอาจารย์ตัวเองเช่นกัน
“มันก่อให้เกิดอาชญากรเลียนแบบอย่างเฟลม ฟรามี่ขึ้นมา….”
นักเรียนบางคนก็ทำตัวหยาบคาย ไม่สนใจเรียน ควงดินสอไม่ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เมฟิส เฟเลสเองก็ยังคงถอดและใส่หน้ากากแกะที่เป็นเครื่องประดับของตัวเอง แรปปี้ ทิปก็ไม่ได้พยายามจะซ่อนท่าทีที่ขุ่นเคืองของตัวเอง และบางครั้งก็ถึงกับถอนหายใจออกมา มันช่างแตกต่างจากตัวตนปกติของเธอที่ร่าเริงจนน่ารำคาญ —ถ้าจะให้พูดอีกแง่ก็คือ ห้องเรียนนี้มันน่าเบื่อ
“และฟรามี่ก็ทำให้เกิดคนอย่าง คิลเลอร์ ซอว์เบลด ซอว์ ฟราน และไอออนวอลล์ ลิลี่ลูลู ขึ้นมา…”
จากนั้นก็คือคานะ เธอคือคนเดียวที่ไม่เปิดสมุดจดหรือหยิบดินสอ แต่ก็ไม่ได้มองไปทางอื่นหรือใช้มือเล่นอะไรบางอย่างอยู่ เธอเอาแต่จ้องมองมาที่กระดานดำ
ถึงแม้ว่าคัลโคโระจะมาจากตระกูลขุนนาง แต่ก็เป็นเพียงตระกูลปลายแถว เธอไม่ได้มีปัญหากับการเรียนนั่งโต๊ะหรือทำงานอยู่กับที่ แม้ว่าคาบเรียนนี้จะเกี่ยวกับอาชญากรเมจิคัลเกิร์ลที่เกี่ยวข้องกับสายงานของเธอ เธอก็ทำการสอนอย่างพอประมาณ อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงกลางเดือนเมษายน
“เธอยังมีลูกน้องอีกหลายคน โดยเฉพาะเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่าเมลวิลล์…”
พูดได้ว่าเหตุการณ์ที่ก่อขึ้นโดยนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่มันทำให้ดินแดนเวทมนตร์สั่นสะเทือน จอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลหลายคนถูกลดขั้นและไล่ออก การเสียชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นคนแล้วคนเล่าและถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ก็ฆ่าตัวตาย เหตุการณ์สำคัญแบบนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับการปฎิรูประบบเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นคัลโคโระสามารถเข้าใจตรรกะในคิดว่าผู้ที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลชั้นยอดต้องเรียนรู้เรื่องนี้เอาไว้ได้
แต่กระนั้น บทเรียนที่เธอถูกบอกให้สอนก็ยังคงลำเอียงต่อเหตุการณ์ของแครนเบอร์รี่มากเกินไป
“เหยื่อจำนวนมากกลายเป็นผู้กระทำซะเอง หนึ่งในนั้นก็คือคาลามิตี้ แมรี่…”
อาชญากรรมของเมจิคัลเกิร์ลมันมีตัวอย่างที่น่าสนใจอยู่มากมาย มากกว่าเรื่องทางวิชาการ มากกว่าเหตุการณ์ของแครนเบอร์รี่ที่มีแต่การที่เธอได้รับชัยชนะจนมาถึงเหตุการณ์ครั้งสุดท้าย ดังนั้นเธอจึงได้แต่บอกเล่าเรื่องราวที่มีฉากจบแย่ๆอยู่ทุกวัน มันมีอาชญากรรมอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีค่าความบันเทิงสูงกว่า แค่ชนิดที่ได้ยินก็ทำให้ใจเต้นรัวแล้ว เรื่องทั้งหมดของแครนเบอร์รี่มีแต่ทำให้เธอเครียด
ดังนั้นคัลโคโระจึงหมดความสนใจในห้องเรียนนี้ แต่หากว่าท่าทางของเธอแสดงออกมาแบบนั้น ฮัลน่าก็จะตำหนิจนทำให้เธอรู้สึกปวดท้อง นับตั้งแต่นั้น เธอก็ต้องเผชิญหน้ากับชั้นเรียนนี้ด้วยความวิตกกังวล ฮัลน่าอาจจะจับตาดูผ่านทางกล้องลับหรือรับฟังผ่านทางอุปกรณ์อยู่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอก็ไม่ถูกอนุญาตให้ย่อหย่อนได้เลย
“ทุกคนคิดว่าควรทำยังไงเพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฎกรรมแบบนี้เกิดขึ้นคะ? ตอนนี้ดิฉันจะแจกกระดาษ ดังนั้นทุกคนช่วยเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดจนกว่าระฆังจะดังด้วยค่ะ”
หลังจากหมดคาบแล้ว คัลโคโระก็รับกระดาษที่เธอแจกให้นักเรียนเขียนมาและกลับไปยังห้องพักส่วนตัวที่เรียกว่าห้องพักอาจารย์ เธอดึงเก้าอี้ล้อเลื่อนออกจากโต๊ะเหล็ก หมุนไปรอบๆแล้วก็นั่งลง เอาล่ะ เธอคิดแล้วก็คลี่กระดาษออก
แม้ว่าพวกเธออาจถูกเรียกว่านักเรียนชั้นยอด แต่ที่นี่ก็มีปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงอยู่มาก นั่นคือเหตุผลที่คัลโคโระใช้โอกาสแบบนี้เพื่อจับแนวโน้มเรื่องบุคลิกภาพ และยังเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจัดอีเวนท์เล็กๆขึ้นมาเป็นระยะ แม้มันจะมีความยุ่งยากก็ตาม
ตัวอย่างเช่น รายงานหนังสือแค่เล่มเดียวอาจทำให้เห็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเธอได้ ลิเลี่ยน คนที่ปกติแล้วจะเลี่ยงไม่ดึงความสนใจมาที่ตัวเอง แต่กลับพูดถึงเรื่องความรักระหว่างผู้ชายที่ดูไม่เหมือนการพรรณาซักเท่าไหร่ เมฟิสที่ชอบหนังสือที่ตัวเองอ่านมากจนเริ่มใช้คำพูดของคนเขียนจากในโซเชียลมีเดีย คุมิคุมิที่คำนวนย้อนเรื่องรายได้ของคนแต่งโดยอิงจากจำนวนเล่มที่ตีพิมพ์และเรทค่าลิขสิทธิ์ จากนั้นก็จบเรียงความบรรทัดสุดท้ายด้วย “อิจฉาชะมัด” ส่วนอาเดลไฮลด์ส่งกระดาษที่ตั้งใจติดตลกมาอย่างเต็มที่ เช่นสคริปต์สำหรับวาดการ์ตูน แต่ด้วยความพยายามของเธอแล้ว คัลโคโระไม่ได้หัวเราะเยาะเลย แม้ว่ารายงานพวกนี้แค่อ่านมันก็จะทำให้รู้สึกปวดหัวอย่างไม่ธรรมดา แถมเธอยังได้รับมันแบบต่อเนื่องด้วย
แน่นอนว่าความเห็นของนักเรียนเองก็หลากหลายเช่นกัน
ดิโกะ นาระคุโนะอินคือคนที่ชี้ให้เห็นเรื่องความผิดพลาดของระบบการจัดการได้ชัดที่สุดจนเกือบเป็นการกล่าวโทษ โดยปกติแล้วเธอจะไม่เสนอความคิดของตัวเอง แต่ในตอนนี้เธอกลับใช้ภาษาที่รุนแรงอย่างน่าประหลาดใจ ในแวบแรกเซนส์ด้านแฟชั่นของเธอมันทำให้คัลโคโระรู้สึกแย่มาก แต่มันก็ยุติธรรมที่จะพูดว่าเธอคือหนึ่งในนักเรียนที่ดีภายในห้องเรียน
เท็ตตี้ กู๊ดกริปใช้ภาษาแบบเป็นทางการอย่างเต็มที่ในตอนที่เขียนเรื่องการใช้กระดาษอย่างสิ้นเปลือง มันเหมือนกับเอกสารรายงานไม่มีผิด บางทีเธออาจะเคยชินกับการเขียนเอกสารแบบนั้น แม้กระทั่งรายงานหนังสือที่ควรจะเลือกหนังสือที่ตัวเองชอบ มันรู้สึกได้ว่าเธอเลือกอะไรบางอย่างที่เข้ากันกับทุกคนได้ เนื้อหาที่อยู่ภายในเองก็ไม่มีอะไรอันตรายด้วย การพยายามทำอะไรบางอย่างโดยไม่ผิดพลาด ยอมไม่ได้หากเป้าหมายล้มเหลว มันทำให้เธอนึกถึงตัวเอง ซึ่งมันน่าเจ็บปวด
ไอ้พวกที่เข้ารับการทดสอบก็ควรจัดการแครนเบอร์รี่เองได้แล้ว นั่นคือการเขียนอะไรสั้นๆจากเมฟิส เฟเลส ดูเหมือนว่าเธอกำลังมองหาโอกาสที่จะเริ่มสู้อยู่
เมื่อคัลโคโระอ่านกระดาษของอาร์ลี่ที่เขียนว่า พยายามเข้านะ ด้วยลายมือไก่เขี่ย เธอก็พ่นลมหายใจออกมา จากนั้นเมื่อได้เห็นการดาษของโดรี่ที่อ่านได้ว่า จะพยายามแบบสุดๆ เธอก็โยนมันลงบนโต๊ะและถอนหายใจออกมา
ระดับของเมจิคัลเกิร์ลพวกเธอนั้นต่ำมาก แต่เธอต้องแสร้งว่าตัวเองมีแรงกระตุ้นเพื่อฮัลน่า —ทำไมมันถึงได้รู้สึกแย่นักนะ?
เธอคร่ำครวญเรื่องแย่ๆของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาเมื่อดีขึ้นแล้ว เธอก็หยิบกระดาษที่ไม่มีอะไรเขียนอยู่เลยขึ้นมา เธอพลิกมันดู ยกขึ้นส่องกับแสง เพ่งมอง แล้วก็คิด แต่มันไม่มีอะไรเขียนอยู่เลยซักอย่างเดียว
คัลโคโระสงสัยว่า ในนี้มีกระดาษเกินอยู่ด้วยเหรอ? แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เรื่องนี้มันจึงกวนใจเธอ เธอจึงเอากองกระดาษที่เหลือมารวมกันบนโต๊ะเพื่อจัดเรียง จากนั้นก็พลิกมุมของแต่ละแผ่นขึ้นด้วยนิ้วโป้งเพื่อตรวจสอบชื่อ จากนั้นก็ย้อนมาทำซ้ำอีกครั้ง และพบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งในห้องที่เธอไม่เจอชื่อ คานะนั่นเอง
คัลโคโระวางกองกระดาษลงบนโต๊ะแล้วก็เอนตัวเข้าหาพนักเก้าอี้ ล้อเก้าอี้ราคาถูกครูดไปกับพื้นจนเกิดเสียงเมื่อต้องรับน้ำหนักของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ยืนขึ้น เธอแค่ยืดหลังแล้วมองขึ้นไปยังเพดาน ด้านในของฝาครอบหลอดฟลูออเรสเซนต์มันเต็มไปด้วยฝุ่น มีกระทั่งปีกของแมลงที่ตายแล้วอยู่ด้านในแม้จะไม่รู้ว่ามันเข้าไปได้ยังไงก็ตาม
คัลโคโระไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคานะ แต่ในตอนนี้ จู่ๆเธอก็ถูกบังคับให้คิดเรื่องคานะ
การส่งกระดาษเปล่ามาโดยไม่เขียนแม้แต่ชื่อ —นี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ? คานะก็เป็นตัวของเธอตามปกติ คัลโคโระมองไม่เห็นการต่อต้านอาจารย์หรือความเกียจคร้านอยู่เลย
ด้วยการที่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ในฐานะอาจารย์อย่างปกติสุขโดยไม่มีอะไรผิดพลาดร้ายแรงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง บางทีเธอจำเป็นต้องรู้ว่าคานะคิดอะไรอยู่มากขึ้นอีกหน่อย
MANGA DISCUSSION