Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE - ตอนที่ 5.61 Arc 5.1 - ตอนที่ 10 - แฟ้มคดีของพลเอกพูคิน : คดีสังหารจอมเวท
- Home
- Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE
- ตอนที่ 5.61 Arc 5.1 - ตอนที่ 10 - แฟ้มคดีของพลเอกพูคิน : คดีสังหารจอมเวท
แฟ้มคดีของพลเอกพูคิน : คดีสังหารจอมเวท
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนเมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจคจะเริ่มต้นเป็นเวลายาวนานมากจนแทบจะไม่เกี่ยวข้องกัน
เหนือน้ำค้างยามอรุณรุ่งก็คือดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมาจากขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนเปล่งประกายและสาดส่องอยู่เหนือสำนักงานรัฐบาล ในอีกไม่ช้ากลางคืนจะเปลี่ยนเป็นกลางวัน เมืองลอนดอนนั้นมีทั้งหมอกยามเช้าและหมอกยามค่ำ ผู้คนเองก็เจ็บป่วยจากความอับชื้น จนมีเพียงสถานที่เดียวที่อยู่ได้ซึ่งก็คือบ้านไม่ก็ร้านเหล้า
เมื่อผมเดินไปที่ทางแยก ผมก็เดินสวนกับคนจุดคบไฟที่กำลังแบกบันไดอยู่ ดวงตาของเขาจ้องมองมาที่ผมอย่างสงสัย ชุดเสื้อผ้าแบบสุภาพบุรุษของผมนี่คงทำให้เขาสงสัยน่าดู
ถ้าไม่ใช่งาน ผมก็จะไม่ออกมาเดินไปตามตรอกซอกซอยในยามเช้าแบบนี้หรอก
ที่รอบๆด้านหลังของถนนสามสายจากถนนสายหลักก็คือโรงละครเล็กๆที่รู้จักกันดีในชื่อโอเปร่าของมือสมัครเล่นที่ทำการแสดงตลอดปี ผมเดินวนรอบสิ่งก่อสร้างตามเข็มนาฬิกาจากทางเข้าหลักสามรอบ จากนั้นก็เดินวนรอบแบบทวนเข็มนาฬิกาอีกหนึ่งรอบ และก็เดินตามเข็มนาฬิกาอีกห้ารอบก่อนที่จะเข้าไปยังซอยด้านหลัง —ตราบใดที่ไม่มีใครมองดู เส้นทางก็จะเปิดออก
ถนนที่ปูด้วยก้อนหิน ท้องฟ้าที่มืดสลัว โรงละครเองก็เริ่มบิดไปมาราวกับหลอมละลาย และหลังจากนับเวลาได้สามวินาที ผมก็อยู่ไหนที่ไหนซักแห่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งภาพที่มองเห็น —กลิ่นเองก็เช่นกัน อุณหภูมิเหมือนว่าจะเย็นกว่า ไม่ว่าจะซักที่ครั้งที่ผมรู้สึกเช่นนี้ ผมก็ไม่เคยคุ้นชินกับมันเลย มันรู้สึกแย่ เช่นเดียวกับความรู้สึกไม่สบายใจที่อยู่ภายในตัวตอนที่เล่นแกว่งชิงช้าในสมัยเด็ก
เชื้อราที่อยู่ตรงโรงละครหายไปแล้ว และที่แห่งนี้ก็คือคฤหาสน์ มันถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินที่สูง แต่ละด้านนั้นสูงไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบห้าเมตร ประตูที่ดูเหมือนสร้างมาจากงานโลหะอย่างดีที่ต้องเปิดเข้าหาตัว มันดูหนาและแข็งแรงมากด้วย
ผมยกมือขึ้นเพื่อจะพูดว่า “เฮ้” กับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนที่เฝ้าประตูอยู่ เขานั้นกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเหม่อลอยแต่ก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อผมเรียก ดูเหมือนเขานั้นจะค่อนข้างง่วงนอน
“โอ้ ทางนั้นส่งนายมาเหรอเนี่ย? น่าดีใจจริงๆที่นายอยู่ที่นี่ด้วย”
“ทางนั้นคงต้องการแสดงให้เห็นถึงความพยายามโดยการเพิ่มคนเข้ามาน่ะ แล้วเป็นไงบ้าง?”
“พวกนั้นบอกว่าประธานาธิบดีคนต่อไปของอเมริกาจะเป็นลินคอล์น* ถ้าถามชั้นล่ะก็ มันคงจะมีอะไรน่ารำคาญตามมาแหง”
*ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 16 (1861-1865)
“ผมไม่ได้ถามเรื่องความคืบหน้าเรื่องการเลือกตั้งของอเมริกา ผมถามเรื่องความคืบหน้าของคดีต่างหาก”
“แน่นอนว่าไม่มีเลย เจ้าของเองก็ดันมีอารมณ์แบบนั้น แถมยังสั่งให้พวกเราทำเรื่องนู้นนี้ในช่วงเวลาแบบนี้อีก”
พวกบรรดาเศรษฐีและขุนนางมักจะคิดว่าทุกอย่างใช้งานได้สะดวกสำหรับตัวเองอยู่เสมอ และถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะหันมาโมโหผู้ด้อยกว่า ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย พวกเรานั้นจะรับผิดชอบคดีที่มันมีความแปลกมากเป็นพิเศษ รวมถึงการติดต่อโดยตรงกับจอมเวทที่เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอก ดังนั้นอาจจะเรียกพวกเราได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับเลือกก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับจอมเวทแล้ว ตัวตนของพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าผู้ที่ด้อยค่ากว่า
“ก็นะ ผมเองก็คิดว่าในไม่ช้ามันจะถูกไขได้นั่นแหละ” ผมพูดออกไป
“โอ๊ะโอ่ แบบนั้นก็หมายถึงนายจะจัดการคดีนี้งั้นสิ? ยอดเลย”
“ไม่ใช่ผม —หัวหน้าน่ะเรียกผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว”
พวกเราทั้งคู่ไม่มีใครที่พูดอะไรที่ไม่เห็นด้วยอย่าง “พวกนั้นดูถูกพวกเราเกินไปนะ แถมยังหันหลังใส่อีก นี่น่ะควรจะอยู่ในอำนาจของพวกเราด้วยซ้ำ” ออกมา พวกเรานั้นต่างติดอยู่ในความจริงที่ว่าพยายามกันมามากพอแล้ว เพราะแบบนั้นผมเลยอยากทิ้งคดีนี้ไป
“หืมมม ผู้เชี่ยวชาญ? มีอะไรแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย?”
“มีสิ แม้จะเป็นคนที่พวกนั้นไม่อยากจะยุ่งด้วยก็เถอะ”
ผมยกมือขึ้นแบบสบายๆเหมือนกับตอนมา แล้วก็เดินผ่านชายผู้นั้นไป แบบนี้มันก็ชวนให้นึกถึง ตอนที่ผมให้เขายืมเงินแปดชิลลิงในเกมไพ่เลย ผมหวนคิดถึงเรื่องนั้น แต่ผมก็สามารถรอให้ถึงวันหลังเงินเดือนออกก่อนแล้วค่อยให้เขามาคืนก็ได้
ตรงทางเดินที่ปูด้วยหินนั้นเต็มไปด้วยซุ้มประตูโค้งที่มีเถาวัลย์กุหลาบพันอยู่เรียงรายกันเป็นแถว ผมแน่ใจว่าเดิมทีมันต้องปลูกเอาไว้สำหรับแขกผู้มีเกียรติ แต่ช่างโชคร้ายที่แขกในวันนี้ก็คือผม ผู้ที่ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเจ้าหน้าที่ผู้ต่ำต้อย เมื่อออกมาจากทางเดินแล้วผมก็ก้าวขึ้นมายืนที่หน้าประตูใหญ่
เมื่อมาเยี่ยมเยือนที่พักของจอมเวทแล้ว มันไม่จำเป็นต้องตะโกนเรียกหรือใช้ที่เคาะ ทางราชสำนักและรัฐบาลนั้นได้รักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจอมเวทมาหลายยุคสมัย ดังนั้นมันจึงมีการกำหนดกฏเกณฑ์เรื่องมารยาทและการปฎิบัติตัว และถ้าเป็นคนที่ตระหนักถึงการมีอยู่ของจอมเวทก็จะสามารถเข้าไปพบอย่างเป็นทางการได้
“นี่ฟาตัวร์จากหน่วยข่าวกรองนะ” ผมพูดออกไปเพราะนัดเอาไว้แล้ว
จากนั้นประตูสีดำขนาดใหญ่ก็เปิดออกแบบหนักอึ้ง
ผมเอาหมวกมาไว้ที่ใต้แขนและก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ ในจังหวะที่นิ้วเท้าของผมสัมผัสกับพรมที่อยู่ด้านใน ผมก็รู้สึกถึงมือ —ไม่สิ มันเป็นอะไรที่บางกว่า เหมือนกับระยางค์— เข้ามาหาตัวผมผ่านพื้นรองเท้าและเข้าไปในร่างกาย เจ้านี้มันทำให้ผมรู้สึกหนาวสั่น สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างแย่ไม่ใช่แค่จอมเวท แล้วแบบนี้จอมเวทจะเป็นยังไงกันนะ? ผมไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวของชายที่อาศัยอยู่ในบ้านที่น่ากลัวเช่นนี้เสียเลย
คนที่เข้ามาทักทายผมจากด้านในคือชายชราที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุหกสิบปลายๆ แม้มนุษย์ที่อยู่ในคฤหาสน์ของจอมเวทจะไม่จำเป็นต้องมีอายุเท่านี้ก็ตาม
“สวัสดีครับ”
“ฉันชื่อออลเกรฟ เป็นพ่อบ้านของที่นี่”
เมื่อกล่าวทักทายตามพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว ผมก็มองดูพ่อบ้านอีกครั้ง มันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกับแท่งไม้ยื่นออกมาจากด้านล่างของแจ็กเก็ตอยู่เล็กน้อย บางทีเขาอาจจะมีไม้เท้าสั้นๆใส่เอาไว้ที่เข็มขัด ถ้างั้นชายคนนี้ก็เป็นจอมเวทงั้นเหรอ? แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาเองก็อ่อนน้อมมากด้วย
หลังของเขาไม่ได้งอ ร่างกายของเขาเองก็ดูแข็งแรง โดยทั่วไปแล้วเขาดูมีสุขภาพที่แข็งแรงดี ท่าทางของเขานั้นดูมีความกังวล แต่ตัวของเขาก็มอบความรู้สึกที่ว่าโดยปกติเขาจะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ซึ่งมันคือสิ่งที่เรียกว่าใบหน้าของพ่อบ้าน ศรีษะของเขานั้นโล่งเตียนตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงด้านบน ส่วนสูงของเขาน้อยกว่าค่าเฉลี่ยไม่มาก —ระดับสายตาของผมนั้นอยู่ในระดับเดียวกับด้านบนศรีษะของเขา บางทีเขาอาจจะเป็นผู้ศรัทธาในการไว้เคราและเคราที่ยาวนั้นมันก็คือเครื่องพิสูจน์ของจอมเวทด้วย มันยาวมากพอจนมากถึงสะดือของเขา จากนั้นผมก็ลูบเคราที่อยู่ตรงคางตัวเองเล็กน้อยด้วยปลายนิ้วเพื่อทำให้มันเรียบแบบไม่มีเหตุอะไรเป็นพิเศษ
“ฉันจะพาไปเอง” ออลเกรฟเริ่มเดินออกไปข้างหน้า และผมก็เดินตามเขาไป
จังหวะการเดินของพ่อบ้านนั้นดูไม่รีบร้อน แต่เมื่อคิดถึงอายุ รูปร่าง และความชำนาญของเขาแล้ว เขาก็ควรจะเดินให้เร็วกว่านี้เล็กน้อย บางทีเขาคงพยายามสงบจิตสงบใจอยู่
ลึกเข้าไปในคฤหาสน์ตรงด้านหน้าของบานประตูคู่ ออลเกรฟก็หยุดเดิน เขาลดเสียงของตัวเองลงและกระซิบเข้าไปที่ห้องที่อยู่ตรงหน้า แต่เสียงที่ตอบกลับมานั้นรุนแรงราวสัตว์ร้าย ขออภัย ออลเกรฟบอกให้ผมเดินไปที่ด้านหน้า จากนั้นผมก็เข้าไปภายในห้อง
“มาสาย!”
ผมไม่ได้รับคำทักทายอะไรเลย
“ผมขออภัยอย่างสุดซึ้งจริงๆครับ ในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ พวกเราจำเป็นต้องลดคนที่เกี่ยวข้องลง ดังนั้นการสืบสวนจึง—”
“ชั้นไม่ต้องการคำแก้ตัว!”
นี่คือเจ้าของคฤหาสน์ บาร์นเฮล์ม ฮ็อกเกลตัน
ปลายไม้เท้าที่อยู่ในมือของเขานั้นถูกยึดเอาไว้ด้วยหัวกะโหลกคริสตัลที่มีทับทิมขนาดใหญ่ใส่อยู่ในเบ้าตา เสื้อคลุมที่มีฮู๊ดของเขาดูเหมือนกับชุดจอมเวทสไตล์ออร์โธดอกซ์ มันดูดีและแวววาวเหมือนกำมะหยี่ —เครื่องประดับทุกชิ้นเองก็งดงามมาก แต่ในทางตรงกันข้าม ตัวของเขานั้นไม่ได้ดูเหมาะสมกับการเป็นจอมเวทชั้นเยี่ยมเลย ใบหน้าของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ในฮู๊ด เมื่อผสมกับการมีหนวดเพียงแค่เล็กน้อย มันก็ชวนให้นึกถึงตัวพอสซัม แม้ว่าเขาจะเชิดอกขึ้นด้วยท่าทางที่เหนือกว่า เขาก็ยังตัวเตี้ยกว่าออลเกรฟอยู่ดี ตัวของเขานั้นขาดแคลนส่วนสูงและที่ใบหน้าเองที่มีท่าทางหงุดหงิดปรากฏอยู่ ที่ข้างตัวของเขาก็มี “อะไรบางอย่าง” ที่มีสีดำและมีรูปร่างเป็นมนุษย์ยืนอยู่ข้างๆเหมือนกับเงาด้วย
เนื่องจากว่าผมอ่านรายงานก่อนจะมาที่นี่ ผมเลยมีความคิดคร่าวๆเรื่องตัวตนของเขาอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ผมกำลังพูดอยู่กับผู้ชายคนนั้น ผมก็เข้าใจทันทีว่าคนที่เขียนรายงานคงต้องยับยั้งชั่งใจเรื่องรายละเอียดเอาไว้อย่างที่สุดแล้ว
โดยพื้นฐานแล้วฮ็อกเกลตันเป็นคนชั่วช้า ต้องขอบคุณครอบครัวอันน่ารังเกียจที่ทำให้เขามีเส้นสายที่บรรพบุรุษของเขาสร้างเอาไว้ทั้งหมด และก็ใช้มันเพื่อหาพวกวายร้ายคนแล้วคนเล่า ใช้ชาวบ้านตาดำๆเป็นเหยื่อแล้วขูดรีดเงินทอง แบล็กเมล ขู่กรรโชก ปล่อยกู้ ซื้อขายของโจร ค้ามนุษย์ —แต่ข่าวลือเกี่ยวกับการกระทำเหล่านั้นที่มันมากจนนับด้วยนิ้วมือและนิ้วเท้าก็ไม่พอ มันก็ไม่เคยไปถึงสายตาของสาธารณะ เขานั้นไม่เคยถูกจับได้เลย ด้วยเส้นสายที่มีกับเบื้องสูงแล้ว เขาก็จะมอบเงินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเงียบๆ ฮ็อกเกลตันนั้นจะทำให้ตัวเองปลอดภัยเสมอด้วยการวางแผนอันชาญฉลาด
และในบทบาทเรื่องการป้องกันโดยตรงนั้น เขาก็ยังมีเงาดำยืนอยู่ข้างๆอีกด้วย มันคือมารรับใช้ที่เขาจ่ายเงินจำนวนมากให้กับบางคนที่ทำตัวเป็นด็อกเตอร์แฟรงเกนสไตน์เพื่อให้ได้มันมา มันมีสีดำแสนน่ารังเกียจทั่วทั้งตัว มีผิวลื่น กรงเล็บที่ยาวและแหลมคมที่ดูแล้วไม่มีจุดประสงค์อื่นไปมากกว่าเรื่องการใช้ความรุนแรง มันดูโจ่งแจ้งเกินไปที่จะเรียกว่าคนสนิท แม้จะมีบางคนที่โจมตีเข้าใส่ชายคนนี้ด้วยความโกรธแค้นอันชอบธรรมหรือความไม่พอใจส่วนตัว แต่เพียงแค่ชายตามองที่สัตว์ร้ายตัวนี้มันก็จะทำให้อีกฝ่ายรีบเผ่นกลับออกไปแน่นอน
“ทำไมชั้นต้องถูกบังคับให้ทรมาณกับเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย? ชั้นถึงกับกลืนอาหารลงไปไม่ได้เพราะกลัวว่าฆาตกรมันอาจจะอยู่ที่ไหนก็ได้เลยนะ! ตอนกลางคืนเองก็นอนไม่หลับด้วย!”
การได้เห็นฮ็อกเกลตันโกรธแล้วพ่นอะไรต่อมิอะไรออกมา —ในเรื่องการกระทำอันเกียจคร้านที่สำนักงานของพวกเรา ภาษีจำนวนมากที่เขาจ่ายไป และทำไมเขาถึงไม่ได้ค่าตอบแทนจากการจ่ายภาษีเหล่านั้น— มันก็เปลี่ยนจิตใจของผมให้กลายเป็นน้ำแข็ง เรื่องนี้มันทำลายความเอนเอียงในคดีนี้ของผมไปด้วย
หลังจากนั้น ผมก็ฟังเขาพูดเรื่องความคิดเห็นของตัวเองอยู่ราวสิบห้านาทีเต็ม จนกระทั่งในที่สุดเขาก็พาผมไปยังที่เกิดเหตุ ห้องที่ปกติแล้วใช้รับประทานอาหารมีขนาดใหญ่ มีโต๊ะไม้โอ๊คยาวตั้งอยู่กลางห้อง ที่ผนังแต่ละด้านถูกตกแต่งด้วยภาพวาดขนาดใหญ่ ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ แต่ผมก็คิดว่าภาพเหล่านี้ถูกวาดโดยจิตรกรชื่อดัง ความจริงแล้วพวกมันดูเหมือนภาพที่เด็กเขียนขึ้นอย่างลวกๆมากกว่า ผมไม่ได้สนใจเรื่องที่เจ้าของคฤหาสน์โอ้อวดว่า “ชั้นได้รับมันมาจากหนึ่งในสามปราชญ์ พัคผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ” แล้วก็เดินเข้าไปในห้อง แม้จะผ่านไปสองวันกลิ่นของเลือดก็ยังคงมีอยู่ แถมยังมีกลิ่นการเผาไหม้ด้วย
ฉากของที่เกิดเหตุนั้นถูกเขียนเอาไว้ในรายงาน
เหยื่อก็คือคุณนายฮ็อกเกลตัน ภรรยาของเจ้าของคฤหาสน์ คุณฮ็อกเกลตัน นั่นเอง
เมื่อสองวันก่อน —ที่เป็นวันเกิดเหตุ— มีแขกเข้ามาที่คฤหาสน์ฮ็อกเกลตัน นี่ไม่ใช่การรับรองแขกที่ผิดปกติอะไร เขาเป็นแค่เพื่อนเก่าและได้แจ้งเจ้าภาพให้รู้ล่วงหน้าก่อนที่จะมาแล้ว คุณฮ็อกเกลตันออกไปรับแขก และหลังจากที่พูดคุยกันไปได้ยี่สิบนาที หัวข้อก็เปลี่ยนมาเป็นภรรยาของเขา เขาจึงรู้ว่าภรรยาไม่อยู่ที่นี่ เขาจึงให้คนรับใช้ค้นหาทั่วบ้านเพราะสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเมื่อพบว่าห้องนี้ถูกล็อคเอาไว้จากด้านในแถมเมื่อพวกเขาเรียกผ่านประตูก็ยังไม่มีการตอบสนองอะไรกลับมาอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็สั่งให้คนรับใช้ทำลายประตูทิ้ง เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงมองเห็นภาพของหญิงสาวที่ตายไปแล้ว
ศพนั้นเคยอยู่ที่ใต้โต๊ะ ผมนั่งลงไปและมองดูด้านล่าง ส่วนหนึ่งของพรมมันชุ่มไปด้วยเลือดจนทำให้ลวดลายสีส้มขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงเข้ม ส่วนศพนั้นถูกเอาออกไปเรียบร้อยแล้ว
อาวุธของฆาตกรคือมีด เหยื่อนั้นถูกแทงเข้าที่หน้าอก มันคือมีดของคนขายเนื้อที่โดยปกติแล้วถูกใช้งานในห้องครัว ความยาวของใบมีดคือสามนิ้ว ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์สามารถหยิบมันขึ้นมาใช้ได้
ตัวล็อคประตูในห้องนี้เป็นรูปแบบง่ายๆที่ต้องบิดเบาๆจากด้านใน มันไม่ได้มีรูกุญแจเพื่อที่จะให้ใช้กุญแจเปิดได้จากด้านนอก ไม่มีหน้าต่างและเตาผิง ช่างทำกุญแจที่ถูกพาตัวมาได้ยืนยันว่าถ้าลูกบิดหรือประตูถูกถอดออกไป ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็จะมีร่องรอยทิ้งเอาไว้ ความเป็นไปได้ที่คุณนายจะล็อคห้องด้วยตัวเองแล้วฆ่าตัวตายเองนั้นก็ถูกทิ้งไป เธอถูกแทงที่หน้าอกด้วยมีดหลายครั้ง และด้วยบาดแผลที่มีมากมันก็อาจส่งผลแก่ชีวิต ไม่ว่าเธอจะมุ่งมั่นในการฆ่าตัวตายขนาดไหน เธอก็จะตายก่อนที่จะแทงตัวเองได้หลายครั้งแบบนั้นแน่นอน
ด้านบนโต๊ะเต็มไปด้วยกองขี้เถ้า จากเศษเล็กๆที่เหลืออยู่จากการไหม้ก็รู้ได้ว่ามันคือตั๋วสัญญาใช้เงินสำหรับลูกหนี้ และเมื่อคุณฮ็อกเกลตันตรวจสอบตู้นิรภัย เขาก็พบว่าตั๋วสัญญาใช้เงินส่วนใหญ่หายไป กระดาษจำนวนมากถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าจนเหลือเพียงแค่เศษเล็กเศษน้อย และเมื่อเปิดประตูออกมันก็ปลิวไปทั่วทุกที่ภายในห้อง มันไม่ได้อยู่บนโต๊ะเท่านั้น แต่ทั้งพรม เก้าอี้ คน ผนัง และประตูไปจนถึงเพดาน และมันก็กระตุ้นความโกรธของฮ็อกเกลตันมาก
เมื่อใดก็ตามที่เกิดอาชญากรรมลึกลึบขึ้นในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับจอมเวท สิ่งแรกที่ต้องสงสัยก็คือเวทมนตร์ เวทมนตร์ปลดล็อค เวทมนตร์ที่ทำให้ล็อค มีดต้องสาป การเคลื่อนย้ายศพในทันที การเดินทะลุกำแพง และวิธีอื่นๆอีกมาก —ด้วยเวทมนตร์แล้ว มันก็จะสามารถสร้างสถานการณ์ที่ปกติแล้วเป็นไปไม่ได้ขึ้นมาได้
แต่ถ้าไม่ใช่เวทมนตร์ มันก็คือปัญหา
ทั่วทั้งคฤหาสน์ฮ็อกเกลตันถูกป้องกันเอาไว้ด้วยบาเรียเวทมนตร์อันทรงพลัง ภายในบ้านไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ นั่นคือความรู้สึกที่น่าสะอิดสะเอียดเหมือนกับอวัยวะภายในถูกฉีกกระชากไปทั่วที่ผมรู้สึกก่อนหน้านี้ โดยปกติแล้วคฤหาสน์ของจอมเวทจะไม่มีบาเรีย แน่นอนว่าสำหรับจอมเวทแล้ว การที่ไม่ใช้เวทมนตร์และต้องทำงานแปลกๆทุกอย่างด้วยมือมันคือเรื่องที่น่าลำบากใจ แต่ฮ็อกเกลตันนั้นก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมากกว่าความภาคภูมิใจในฐานะจอมเวทหรือความสะดวกสบาย เพราะเขานั้นทำมาหากินด้วยการทำงานสกปรก เขาจึงต้องมีจอมเวทที่เป็นศัตรูอยู่มาก เพราแบบนั้นเขาจึงจัดความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในการปกป้องตัวเองจากเวทมนตร์ให้มีความสำคัญสูงกว่าความสะดวกสบายหรือเรื่องอื่นๆ
ไม่ใช่แค่จอมเวท แต่คนสนิท โกเล็ม ไอเท็มเวทมนตร์ทุกประเภท แม้กระทั่งมารรับใช้ของฮ็อกเกลตันก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ใดๆในบ้านหลังนี้ได้ มารรับใช้นั้นสามารถใช้ได้แต่แรงกายเพื่อฉีกกระชากสิ่งต่างๆด้วยกรงเล็บ แต่นั่นมันก็เพียงพอแล้ว ตราบใดที่มันเป็นผู้คุ้มกันของเขาเพียงเท่านั้น
ภายในบ้านที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ มารรับใช้ก็สามารถหั่นมนุษย์ได้เหมือนกับกระดาษ ฮ็อกเกลตันนั้นรักษาความปลอดภัยให้ตัวเอง แต่โชคร้ายที่เขาล้มเหลวในการเอาใจใส่ภรรยา
มันเป็นชะตากรรมอันแสนเลวร้ายของภรรยา แต่ก็สามารถพูดได้ว่าเธอนำพามันมาด้วยตัวเองได้เช่นกัน หากฮ็อกเกลตันคือคนชั่วช้า แบบนั้นภรรยาของเขาก็คือคนชั่วช้าเช่นกัน แม้กระทั่งก่อนแต่งงาน ผู้คนยังพูดกันว่าเธอนั้นมีส่วนร่วมในแผนการหลายอย่างของเขาและยังใช้มารยาเพศหญิงของตัวเองเพื่อหลอกล่อเขาอีกด้วย
เนื่องจากไม่มั่นใจว่าคุณนายฮ็อกเกลตันถูกฆ่าเพราะเกี่ยวพันกับงานของสามีรึเปล่า ผู้ต้องสงสัยแรกจึงเป็นคนที่อาจซ่อนเร้นความไม่พอใจที่มีต่อเธอเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น จากความจริงที่ว่าคนร้ายได้เผาตั๋วสัญญาใช้เงินไป ดังนั้นคนที่ยืมเงินจากคุณฮ็อกเกลตันก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันจึงมีการส่งผู้ตรวจการณ์จำนวนหนึ่งไปหาคนเหล่านั้น โดยปกติแล้วคุณนายฮ็อกเกลตันจะรับหน้าที่ดูแลกุญแจตู้นิรภัย และในวันเกิดเหตุนั้น มันก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าตู้นิรภัยที่ถูกเปิดเอาไว้ หากฆ่าเธอแล้วก็จะได้กุญแจ —ในอีกแง่หนึ่งมันก็หมายถึงใครๆก็สามารถเปิดตู้เซฟได้ แม้ว่าคุณฮ็อกเกลตันจะบอกพวกเราว่าใครยืมเงินเขาไปบ้าง เขาก็บอกว่ามีลูกหนี้ที่มากกว่ากองขี้เถ้าที่อยู่ตรงนั้นอย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาให้คนอื่นกู้ยืมเงินโดยจงใจปกปิด เขาให้ขุนนางยืมไปรึเปล่า หรือว่ามันมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกันนะ? ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน แต่เนื่องจากว่าพวกขุนนางนั้นไม่ให้ความร่วมมือ การสืบสวนมันจึงติดอยู่ที่จุดนี้
แต่กระนั้น ผู้ต้องสงสัยที่ทางทีมสืบสวนติดใจเป็นพิเศษก็คือคนที่อยู่ในคฤหาสน์ เรื่องนี้มันเหตุผลหลายประการ เพราะมันมีความจริงที่ว่าคนร้ายสามารถหยิบมีดออกมาจากครัวได้โดยที่ไม่มีใครสงสัย เผาตั๋วสัญญาใช้เงินโดยรู้ว่ากุญแจตู้นิรภัยอยู่ที่คุณนาย และสังหารภรรยาภายในคฤหาสน์ ซึ่งมันดูไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับลูกหนี้ที่อยู่ภายนอกจะกระทำเรื่องนี้ทั้งหมด ลูกหนี้ที่ใกล้ชิดกับฮ็อกเกลตันก็จะมีทั้งแรงจูงใจและรู้เรื่องภายในครอบครัว และเนื่องจากว่านี่คือฮ็อกเกลตัน มันจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะทำให้คนรับใช้ของตัวเองติดหนี้ไปด้วย
ในขณะที่พยายามปลอบฮ็อกเกลตันอยู่นั้น ผมก็มองไปรอบๆห้อง มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในรายงานเลย
เมื่อผมออกไปตรวจสอบด้านนอกของห้องที่อยู่ติดกัน ฮ็อกเกลตันก็ตามผมมาพร้อมกับพูดอย่างหัวเสียอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่อยากปล่อยให้ผมอยู่ในบ้านของเขาตามลำพังสินะ
“ชั้นก็พูดอยู่นะว่า นายเอ้อระเหยแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ชั้นน่ะผ่อนคลายไม่ได้เลย”
“ขออภัยครับนายท่าน ผมอยากให้ท่านอดทนซักครู่”
เขานั้นค่อนข้างก้าวร้าว แต่นี่ก็คืออีกด้านหนึ่งของความขี้ขลาดด้วยเช่นกัน ความกลัวของเขาเอาชนะความโศกเศร้าที่ภรรยาตายจากไม่ก็ความโกรธที่ตํ๋วสัญญาใช้เงินถูกเผาไปได้ นี่มันดูไม่เหมือนนี่จะเป็นการเสแสร้งเลย
ผมได้ยินมาแล้วว่าฮ็อกเกลตันคือคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ ก่อนที่จะพบเขาผมเองก็มีข้อสงสัยบางอย่าง แต่หลังจากที่เจอแล้ว —มันก็มีเรื่องหนึ่งที่เข้าใจในตอนที่เจอกัน ชายคนนี้ไม่เหมือนกับเป็นคนร้าย เขารู้สึกกลัวโดยไม่ได้เสแสร้ง เรื่องที่เขาไม่ให้ความร่วมมือสุดท้ายมันก็เป็นเพราะตัวของเขาจะมีปัญหาได้หากการกระทำผิดของเขานั้นถูกเผยแพร่ออกไป
น่ารำคาญจริงๆ นี่ผมโทษเจ้านายเรื่องที่จะพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญที่ติดต่อไปได้ไหมนะ?
ผมเดินไปรอบๆบ้านเพื่อตรวจสอบเรื่องทรัพย์สมบัติต่างๆ จากนั้นก็กลับมายังสถานที่เกิดเหตุ ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่รายงานเขียนเอาไว้ ส่วนฮ็อกเกลตันก็ยังคงพร่ำบ่นของเขาต่อไป
ในตอนที่หลบเลี่ยงฮ็อกเกลตันอยู่นั้น ผมก็เอานาฬิกาพกพาที่ติดอยู่กับโซ่ออกมาดูเวลา มันเกือบจะเที่ยงวันแล้ว การอยู่ภายในบ้านของจอมเวทมันทำให้การรับรู้เรื่องเวลาผิดแปลกไป หากฮ็อกเกลตันไม่ได้จัดหาอาหารให้ แบบนั้นผมก็ต้องออกไปหาอะไรทานเอง
ด้วยจิตใจของผมที่คิดเรื่องอาหารอยู่นั้น มันจึงทำให้ผมรู้สึกตัวช้า
ที่อีกด้านหนึ่งของประตูที่เปิดอยู่มันมีเด็กสาวจ้องมองมาที่ผม เธอจ้องมองมาอย่างรุนแรง ปากของผมอ้าออกครึ่งหนึ่ง ผมเองก็ไม่สามารถถามออกไปว่าเธอคือใครหรือถามอะไรกับเธอ —ผมได้แต่จ้องมองไปที่เธอ เธอสวมชุดที่มีรอยเย็บราวกับเป็นขอทาน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมันกลับทำให้ดูมีเสน่ห์ แม้เสื้อผ้านั้นสกปรกมอมแมมแต่เธอก็คือเด็กสาวที่งดงาม ความงามของเธอเหมือนถูกประดิษฐ์ขึ้น มันไม่ใช่บางอย่างที่มีมาแต่กำเนิด ผิวของเธอมีสีขาวซีด มีดวงตาสีเทาหม่นที่เป็นประกาย ปอยผมที่อยู่ตรงหน้าผากก็เป็นสีเทาหม่นเหมือนกับดวงตาของเธอด้วย
เด็กสาวมองมาที่ผมแบบเงียบๆ และผมเองก็จ้องเด็กสาวกลับไปแบบเงียบๆเช่นกัน พวกเราต่างจ้องตากันโดยไม่พูดอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผมได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาจากด้านหลัง แล้วฮ็อกเกลตันก็พูดขึ้น
“ชั้นจะนำทางเอง ชั้นปล่อยให้นายเดินไปทั่วไม่ได้หรอกนะ”
และในตอนนี้ ในที่สุดฮ็อกเกลตันก็สังเกตเห็นเธอเช่นกัน ดวงตาของเขาหันไปที่เด็กสาวด้วยท่าทางตกใจ เขาพูดออกมาว่า “ใครปล่อยให้เธอเข้ามาน่ะ?” ความสามารถของเขาที่ตั้งคำถามกับเด็กสาวนั้นน่าประทับใจจริงๆ
“ข้าอนุญาตเอง”
มีเงาปรากฏขึ้นที่ด้านล่างของประตูที่ถูกเปิดออกอย่างทันท่วงที ออลเกรฟเองก็ปรากฏพร้อมกับเจ้าของเสียงคนนั้น เด็กสาวชุดรอยเย็บเข้าไปโอบกอดผู้ที่มาใหม่อย่างดีใจ ในตอนนี้ฮ็อกเกลตันเองก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ปากของเขาอ้าออกและหุบลงอยู่ราวสองสามครั้งก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมายาวๆ แต่กระนั้น เขาก็จ้องมองไปยังผู้ที่มาใหม่แล้วถามด้วยเสียงแหบๆว่า “เธอเป็นใคร?”
“ข้อชื่อพูคิน ส่วนนี่คือผู้ช่วยของข้า โซเนียบีน”
ขนนกน้ำที่เสียบอยู่ในเส้นผมสีสดใส ถุงมือหนัง รองเท้าหนัง เสื้อรัดรูปสีขาวบริสุทธิ์ เสื้อคลุมที่ถักทอมาจากผ้าซาติน ที่เอวของเธอนั้นห้อยเรเปียแบบเดียวกับที่จะเห็นได้จากในละครเวทีเรื่อง Three Musketeers* เท่านั้น และยังสวมปกคอเสื้อพับขนาดใหญ่ที่เป็นแฟชั่นจากยุคก่อน มันดูเข้ากับเธอแบบแปลกๆ เสื้อผ้าจากยุคก่อนมันคือนิสัยการแต่งตัวแปลกๆของจอมเวท แต่นี่ไม่ใช่จอมเวท เธอคือหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่ผมได้ยินข่าวลือรึเปล่านะ?
*Three Musketeers หรือสามทหารเสือ (1844) แต่งโดยผู้เขียนชาวฝรั่งเศส Alexandre Dumas
https://en.wikipedia.org/wiki/The_Three_Musketeers
ฮ็อกเกลตันเดาะลิ้น จอมเวทหลายคนนั้นไม่ชอบเมจิคัลเกิร์ล ผมได้ยินมาว่าพวกเขาจะคัดเลือกเด็กสาวที่มีศักยภาพในหมู่สามัญชนและชนชั้นล่าง แล้วใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับจอมเวทขึ้นมา มันค่อนข้างน่ารังเกียจที่จะเหยียดหยามสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ชอบที่สัตว์ทดลองอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันก็ได้
ผมไม่ได้รู้มากพอว่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะไม่พอใจพวกเขารึเปล่า ความรู้สึกที่ได้เห็นพวกเธอเป็นครั้งแรกในวันนั้นคือความน่าหวาดหวั่น จอมเวทอาจจะเป็นนักวิจัยที่ยอดเยี่ยม ผู้โง่เขลา สุภาพบุรุษแสนร่ำรวย ไม่ก็ขุนนางที่สุดจะทน —ไม่ว่าพวกเขาจะใช้เวทมนตร์ที่ลึกลับมากแค่ไหน พวกเขามันก็ยังคงมีบางสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย แต่พูคินและโซเนียไม่มีอะไรเช่นนั้น ความรู้สึกตึงเครียดราวกับสัตว์ร้ายและเสน่ห์ของแฟร์รี่ถูกบังคับให้อยู่ร่วมกันภายในเพื่อสร้างมอนเตอร์เหล่านี้ขึ้นมา ไม่ว่าพวกเธอจะดูน่ารักแค่ไหน พวกเธอก็ยังถูกรังเกียจ แต่มันก็ไม่มีใครเลยที่ละสายตาจากพวกเธอได้ พวกเธอทำให้คนอื่นรู้สึกอยากมองดูไปตลอด
“พวกข้าได้รับคำขอให้มาแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้” พูคินนั้นกล้าหาญและสง่างามราวกับว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเดาะลิ้นของฮ็อกเกลตันเลย
ผมปกปิดความไม่สบายใจส่วนตัวและความตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วพูดกับพูคินไปว่า “โอ๊ะ ถ้างั้นคุณก็เป็นคนที่รับงานนี้น่ะสิ? น่าดีใจจริงๆที่มีคุณมาช่วยคดีนี้ด้วย”
โชคร้ายที่เสียงของผมนั้นแหบแห้ง ภายในปากเองก็แห้งผาก
พูคิน เมจิคัลเกิร์ลที่เพิ่งแนะนำตัวกับผมนั้นเชิดอกขึ้นอย่างอาจหาญโดยไร้ซึ่งความกลัว ราวกับรู้ว่าไม่มีใครรอบตัวที่ละสายตาไปจากเธอได้ เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก —แต่ตัวของเธอก็มีกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงด้วย
“พวกข้านึกว่าจะได้ทานมื้อเที่ยงก่อนซะอีก ยังเตรียมไม่เสร็จอีกรึ?” เธอถาม
“ไม่มีทาง!” ฮ็อกเกลตันตะโกนออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง เขาคงเข้าใจว่านี่คือคนที่ไม่ควรจะต่อต้าน แต่เนื่องจากเขาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูเข้มแข็ง เขาจึงจำเป็นต้องพูดแบบนี้ออกไป “ไม่ใช่ว่ามันควรจะทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนมาไม่ใช่รึไง?! ชั้นน่ะผ่อนคลายก็ไม่ได้นอนหลับก็ไม่ลงจนกว่าจะหาตัวคนร้ายเจอ! หัวใจของชั้นน่ะรู้สึกเหมือนกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆถ้าล้างแค้นให้ภรรยาไม่ได้!”
พูคินหรี่ตาขวาของเธอแล้วมองไปยังฮ็อกเกลตันด้วยท่าทีที่รุนแรง ฮ็อกเกลตันหันมองรอบตัวก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในจุดที่จะหนีได้แล้ว เพราะแบบนั้นจึงหันกลับมามองเธอ มารรับใช้เองก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้านายของมัน ผมส่งสัญญาณให้ออลเกรฟด้วยสายตา “อย่าให้ทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันดีกว่า”
เมื่อออลเกรฟพูดบางอย่างกับเจ้านาย ผมก็เดินตัดผ่านฮ็อกเกลตันและพูคินพร้อมกับพูดว่า “เชิญทางนี้ครับ” พร้อมกับส่งยิ้มให้พูคินและโซเนีย
“มื้อเที่ยงรึ?”
“ครับ ช่วยรอซักครู่นะครับ”
ผมวิ่งเข้าไปหาเมดที่ดวงตายังคงมองลงไปที่พื้นและจับไหล่ของเธอเอาไว้ เมดคนที่มองดูพูคินด้วยท่าทางมึนงงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจแล้วก็มองมาที่ผม ผมขยับปากเข้าไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบว่า “เตรียมอาหาร —อะไรก็ได้ครับ จริงๆแล้วถ้าพูดว่า ‘อะไรก็ได้’ มันก็ไม่ถูก เอาเป็นว่าช่วยทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้อย่างรวดเร็วทีนะครับ จัดพื้นที่ให้พวกเราทานอาหารด้วย ใช่ครับ— ห้องว่างข้างๆห้องครัวนั่นแหละดีสุดแล้ว”
ผมดันตัวของเมดเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นเธอให้รีบไปทำอาหาร ในขณะที่ผมจะพาพูคินและโซเนียไปยังห้องที่อยู่ข้างห้องครัว ห้านาทีต่อมา พายหมูร้อนๆก็มาถึง แล้วพวกเธอก็เริ่มกิน —โซเนียนั้นใช้มือเปล่า ส่วนพูคินใช้มีดและส้อม
พายนั้นถูกเตรียมในเวลาสั้นๆ ดังนั้นมันคงเป็นการอุ่นของที่เหลืออยู่ไม่ก็เป็นอย่างอื่น แต่ถ้าทั้งสองทานโดยที่ไม่ได้บ่นอะไรออกมา แบบนั้นมันก็ดีแล้ว
พูคินทานพายหมูจานใหญ่ที่เสิร์ฟให้บนจานของตัวเองจนหมด สำหรับผมแล้ว เธอนั้นมีรูปลักษณ์ที่ใครมองดูก็ต้องตัวสั่น “มีเท่านี้รึ?”
ผมพยายามยับยั้งความสั่นเอาไว้ไม่ให้ออกมานอกร่างกายอย่างที่สุด แล้วตอบเธอกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ”
ผมสั่งเมดไปว่าให้เอาอะไรก็ได้ที่มีมา ไม่ว่าจะเป็นแซนด์วิช เนื้อทอด หรืออะไรก็ได้ ในตอนนี้แม้จะเป็นน้ำทาร์*ซักแก้วผมก็อาจจะทิ้งมันไปไม่ได้
*น้ำทาร์ (Tar water) คือยาในยุคกลางประกอบไปด้วยน้ำมันสนและน้ำ เนื่องจากว่ามันมีรสชาติไม่ดี ความนิยมจึงค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในยุควิคตอเรีย
https://en.wikipedia.org/wiki/Tar_water
“จะว่าไป…ผมควรจะเรียกคุณว่ายังไงดี”? ผมถามพูคิน
“เรียกข้าว่าพลเอก ไม่ก็นายท่าน อะไรก็ได้ตามที่เจ้าอยากเถอะ พวกข้าจะยกโทษให้กับเรื่องหยาบคายเล็กๆน้อยๆ”
“ขอบพระคุณมากครับ ท่านพลเอก”
แม้ว่าผมจะมีปฎิสัมพันธ์กับจอมเวท แต่ผมก็ไม่เคยมีอะไรแบบนั้นกับเมจิคัลเกิร์ลเลย ผมเพียงแค่รู้จักพวกเธอจากข่าวลือเพียงด้านเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าตัวตนของพวกเธอไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง ก็คงจะสนุกมากเลยทีเดียว โดยส่วนตัวแล้วผมรักอะไรแบบนั้น แต่คนทั่วไปคงจะไม่
พูคินและโซเนีย พวกเธอเอาแต่กิน กิน กิน กิน กิน แล้วก็ดื่มอย่างหนักหน่วง จนผมสงสัยว่ามันไปอยู่ตรงไหนในร่างกายที่ผอมเพรียวแบบนี้กันนะ และเสบียงภายในคฤหาสน์หมดก่อนที่พวกเธอจะพอใจเสียอีก เมดรายงานเชิงขอโทษมาว่าพวกเธอไม่มีอาหารเหลือแล้ว และพูคินกับโซเนียก็ดูไม่พอใจ แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะกลายเป็นความโกรธ มันจึงทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ เมื่อผมดูเวลาที่นาฬิกา มันก็เลยเวลาอาหารกลางวันมามากจนเกือบจะถึงเวลาน้ำชาในยามบ่าย
“แบบนั้นคุณจะไขคดีนี้งั้นเหรอครับ ท่านพลเอก?”
“หืม-มมม พวกข้าจะไขมันเองภายในวันนี้”
แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยเหรอ ทันทีเมื่อมาถึงเธอก็ทานอาหารโดยไม่ได้ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุก่อน แถมเธอยังบอกว่าจะไขภายในวันเดียวอีกด้วย? ผมได้ยินว่าเมจิคัลเกิร์ลจะมีพลังพิเศษ แต่ในบ้านหลังนี้ พวกเธอก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์เพื่อไขคดีได้
“คุณรู้เรื่องคดีแค่ไหนเหรอครับ?” ผมถามเธอ
“ไม่เลย บอกข้ามาสิ”
ผมอธิบายทุกอย่างที่เหมือนว่าจำเป็นออกไป แต่ถึงแม้พูคินจะฟัง เธอก็ตอบกลับมาแบบส่งๆ เธอนั้นฟังอยู่อย่างแน่นอน แต่มันก็ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้มีความคิดอะไรกับคดีนี้เป็นพิเศษ แถมกำลังจั๊กจี้โซเนียด้วยการใช้นิ้วเกาใต้คางของเธออยู่อีกด้วย แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เรียกเธอที่มีท่าทีเช่นนี้มาทำงาน
“ใช่ครับ อย่างที่คุณรู้ว่ามันค่อนข้างเป็นสถานการณ์ที่อธิบายได้ยาก” ผมพูด
“อธิบายได้ยาก? จริงรึ?” ในที่สุดพูคินก็หันมาหาผม เธอมองมาอย่างงุนงง
“คุณไม่เห็นด้วยเหรอครับ?”
“ข้าน่ะเก่งเรื่องการทรมาณ”
อ่าาา แบบนี้สำหรับผมมันก็สมเหตุสมผลแล้ว การที่เธอมีความเกี่ยวข้องกับผู้ทรงอำนาจและมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยคาวเลือด ผมคิดว่าเธอคงเป็นทหาร นักฆ่า เพชฌฆาต หรืออะไรซักอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเธอเป็นนักทรมาณ แบบนั้นผมก็เข้าใจได้ และมันก็ยังอธิบายเรื่องท่าทีหยิ่งผยองได้อีกด้วย ในดินแดนเวทมนตร์นั้น การที่ขุนนางจะมีตำแหน่งหลายชั่วอายุคนได้มันจำเป็นต้องมีนักทรมาณอยู่ การทรมาณจอมเวทนั้นคือเรื่องต้องห้ามมาระยะหนึ่งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงทำการทรมาณคนธรรมดาอยู่ บางทีเมจิคัลเกิร์ลคนนี้เคยเป็นบุคคลที่มีสำคัญบางอย่างงั้นเหรอ?
“เพราะแบบนั้นข้าถึงเปิดโปงเรื่องโกหกได้” พูคินอธิบาย
“งี้นี้เอง เพราะงานของคุณก็คือการทำให้คนโกหกพูดความจริงสินะครับ”
“การไขคดีเช่นนี้มันไม่ใช่งานหลักของข้า แต่ข้าเองก็ไม่ได้แย่ไปซักทีเดียว”
จู่ๆ ผมก็สงสัยว่า —หากใช้นักทรมาณมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ แล้วมันจะมีการทรมาณเกิดขึ้นรึเปล่า?
พูคินมองมาที่ผม และปากของเธอขยับด้วยความมุ่งร้าย “เจ้าไม่สบายใจรึ?”
“หือ?”
“เจ้าไม่ต้องกังวล คดีง่ายๆเช่นนี้มันไม่จำเป็นต้องทรมาณอะไรหรอก” พูคินยืนขึ้นพร้อมกับผ้าคลุมของเธอโบกสะบัด และเศษอาหารที่อยู่บนโต๊ะก็ปลิวไปที่มุมห้อง “เจ้ารออยู่ที่นี่ ไปกันเถอะโซเนีย ได้เวลาทำงานแล้ว”
ทั้งสองคนออกไปจากห้องที่พวกเธอทำเรื่องวุ่นวายเอาไว้ พวกเธอโยนอาหารไปทั่วทุกที่ระหว่างมื้ออาหาร และผมเองก็มองดูพวกเธอออกไป
สองชั่วโมงผ่านไป ภายนอกนั้นเริ่มมืดแล้ว คบไฟที่อยู่ภายในเองก็ถูกจุด พวกเรามารวมตัวกันที่สถานที่เกิดเหตุตามคำสั่งของพูคิน คำว่า “พวกเรา” หมายถึงตัวผม เพื่อนร่วมงานสองคน พ่อบ้าน เมดสาว เมดที่ค่อนข้างสาว เมดที่ไม่สาว เมดอายุคราวแม่ หญิงซักผ้า เด็กเลี้ยงม้า คนทำอาหาร คนรับใช้คนอื่นห้าหรือหกคน และคุณฮ็อกเกลตันคนที่เอาแต่บ่นและยังมีอารมณ์ฉุนเฉียว ตามด้วยมารรับใช้ เช่นเดียวกับโซเนียที่เป็นผู้ช่วย
เมื่อตรวจดูอย่างถี่ถ้วนว่าคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว พูคินก็เริ่มพูดอย่างจริงจัง —จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาราวกับไม่สบอารมณ์ “ห้องนี้น่ะเล็กเกินไป มันช่างห่างไกลสำหรับการเป็นเวทีที่ข้าจะไขปริศนานี้ได้อย่างสง่างามเสียจริง”
“ท่านพลเอกครับ เรื่องนี้ผมอยากขอความกรุณา… เพราะมันมีจำนวนคนที่เกี่ยวข้องเยอะครับ”
“หืม งั้นข้าจะทนก็แล้วกัน ในตอนนี้ข้าจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในเหตุการณ์ครั้งนี้”
ทุกคนในห้องพึมพำออกมา
“คฤหาสน์แห่งนี้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และเหยื่อก็ถูกสังหารโดยใครบางคนภายในห้องที่ล็อคเอาไว้จากด้านใน ทุกคนล้วนแต่เอะอะว่าเรื่องนี้มันดูลึกลับแค่ไหนหรือไม่ก็อธิบายได้ยากยังไง แต่เรื่องลึกลับอันสิ้นหวังที่ทุกคนไม่เข้าใจนี้ สำหรับข้าแล้วมันคืออุบายที่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย”
พูคินเตะโต๊ะยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง ใช่ เธอเตะมันขึ้นมาอย่างน่ากลัว โต๊ะยาวที่ปกติแล้วต้องใช้ชายหลายคนยกปลิวขึ้นไปที่เพดาน ในตอนที่บางคนปิดหู ปิดตา อ้าปากออกกว้าง หลายคนก็แสดงออกมาด้วยความช็อค เมื่อโต๊ะหล่นลงมากระแทกพื้นด้านข้างมันก็เกิดเสียงดังสนั่น และก่อนที่คุณฮ็อกเกลตันเจ้าของโต๊ะจะทันได้ตะโกนใส่เธอนั้น พูคินก็นั่งลงไปเพื่อจับพรมขนสัตว์แล้วฉีกมันออก
คุณฮ็อกเกลตันคงพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่มีคำพูดออกมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างพร้อมอ้าและปิดปาก และเนื่องจากว่าเจ้าของบ้านไม่ได้บ่นอะไรออกมา มันจึงไม่มีใครหยุดพูคิน เมื่อพรมฉีกขาดแล้ว เธอก็กระทืบลงไปบนพื้นโล่งๆพร้อมส่งเสียง “ฮึ” เพื่อทำลายไม้กระดานที่อยู่ตรงนั้นในครั้งเดียว
“จงดู” ปลายนิ้วของเธอชี้ไปยังจุดที่เธอใช้เท้ากระทืบ และพวกเราทุกคนก็เรียงแถวอยู่รอบๆไม้กระดานที่แตกเพื่อมองลงไป
“…หลุม?”
แม้จะมองดูไปที่หลุมที่อยู่ใต้พื้นแต่ก็ไม่รู้ว่ามันมีความลึกแค่ไหน ถึงจะเอาคบไฟมาส่องดูมันก็ยังไม่มากพอที่จะมองเห็นก้นหลุม มันค่อนข้างลึกเลยทีเดียว
“อย่างที่เห็น มันคือหลุมที่เอาไว้เพื่อหลบหนี คนร้ายฆ่าเหยื่อ บิดลูกบิดจากด้านในเพื่อล็อคประตู แล้วเข้ามาทางหลุมหลบหนีที่ซ่อนเอาไว้ใต้พื้นอย่างชาญฉลาดเพื่อหนีออกจากห้อง สำหรับเรื่องที่ว่าหลุมจะไปโผล่ที่ไหนนั้น… ข้าก็ทำการสืบสวนไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน”
พูคินออกมาจากห้องและพวกเราก็ตามเธอไป คุณฮ็อกเกลตันนั้นกำลังกัดฟันแน่นแต่ก็ไม่ได้บ่นเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพื้น พรม และโต๊ะของเขา พวกเราเดินไปตามเฉลียงของคฤหาสน์ ผ่านห้องโถงใหญ่ และเดินออกมาผ่านประตูใหญ่ที่ด้านหน้าเพื่อออกมาข้างนอก คนรับใช้นั้นถือคบไฟอยู่ในมือและเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วแม้จะมีแสงสว่างไม่มาก พวกเราเดินจากสวนไปยังพื้นที่ซักล้างแล้วออกมายังสวนด้านหลัง และในที่สุดพวกเราก็หยุดเดิน
พูคินกางแขนของเธอออกกว้างและเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานราวกับเป็นนักแสดง “ทางเข้ามันอยู่ที่นี่ ช่างฉลาดเสียจริง—”
มีบางคนที่ส่งเสียงจาม ฮัดชิ้ว ออกมาแบบน่ารักมากๆ โซเนียนั่นเอง เมื่อสายตาของทุกคนหันไปหาเธอ เธอก็ลูบใต้จมูกของเธออย่างเอียงอาย เพราะที่ถุงมือของเธอนั้นเปรอะเปื้อน พูคินจึงขยับมือขวาที่เธอจับเรเปียเอาไว้เพื่อมาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าหน้าอก แล้วก็เช็ดใต้จมูกให้เธอ
จากนั้น พูคินก็พูดต่อโดยที่ไม่สนว่าจะถูกขัดจังหวะรึเปล่า “มีการใช้วิธีอันชาญฉลาดเพื่อปกปิดมัน”
จากนั้นเธอก็สั่งโซเนียให้ขุดดินด้วยพลั่ว และเมื่อขุดลึกลงไปราวหกสิบเซ็นติเมตร มันก็ไปโดนเข้ากับบางอย่างที่ไม่ใช่ดินจนส่งเสียงดังขึ้น โซเนียทิ้งพลั่วไปแล้วเริ่มขุดด้วยมือ จากนั้นเหล่าชายที่รู้สึกทึ่งกับทักษะการใช้พลั่วของเธอก็เข้ามาช่วยเธอโกยดินออกมา จนในที่สุดก็มองเห็นกระดาน สำหรับผมที่มองดูจากด้านบนแล้ว มันก็ดูเหมือนกับเป็นฝา
“ยกมันขึ้น แล้วเจ้าจะเห็น”
หลุมนั้นเต็มไปด้วยความมืดเหมือนกับที่พวกเราเห็นด้านใน หนึ่งในผู้ตรวจสอบคนหนึ่งพูดว่า “เดี๋ยวจะไปดูเอง” แล้วก็กระโดดเข้าไปด้านใน ผมนั่งยองๆเพื่อตรวจสอบหลุมที่สามารถมองเห็นได้จากจุดนี้ เมื่อผมลูบที่ขอบหลุมด้วยนิ้วตัวเอง มันก็มีอะไรบางอย่างเหมือนกับเขม่าสีดำติดมาด้วย ห้านาทีต่อมาผู้ตรวจสอบก็กลับมาพร้อมกับตัวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดิน จากนั้นก็พูดว่า “เหมือนว่ามันจะไปต่ออีก”
“เอ่อ แต่…” พ่อบ้านออลเกรฟไม่แน่ใจอยู่นานราวกับว่ามีบางอย่างที่ยากจะพูดออกมา สายตาของเขาก็มองไปหาเจ้านาย คุณฮ็อกเกลตันที่ปิดตาและปิดปากอยู่
“ใช่ ที่นี่คือด้านหน้าห้องของเจ้า” พูคินก้าวข้ามหลุมแล้วเคาะสองครั้งลงไปที่หน้าต่างจนผ้าม่านที่อยู่ด้านในสั่นไหว จากนั้นเธอก็พูดต่อ “การขุดหลุมจากที่นี่ไปยังห้องนั้น มันจะต้องมีคนที่ขุดดินออกมาแล้วขนออกไป มันคืองานที่ค่อนข้างลำบาก แม้ว่าจะกระทำในยามดึกที่ปลอดจากสายตาและการได้ยินจากผู้อื่น มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับฮ็อกเกลตันจะนอนหลับอยู่ที่นี่โดยไม่สังเกตเห็น”
พูคินทิ้งคำว่า “คุณ” จากชื่อฮ็อกเกลตันไป แต่มันไม่มีใครรวมถึงชายที่เอ่ยถึงตำหนิเธอ พูคินยกแขนของเธอขึ้นช้าๆเพื่อชี้ไปที่เขาแล้วประกาศว่า “เจ้า คือคนร้าย”
ทุกคนที่อยู่รอบเขาถอยไปด้านหลัง คุณฮ็อกเกลตันเองก็ยิ้มออกมาบางๆ เคราของเขาที่ดูแย่อยู่แล้วก็ดูแย่ยิ่งไปกว่าเดิม “มือของชั้นยังคงรู้สึกได้อยู่เลยว่าตอนแทงภรรยาเป็นยังไง… ทุกๆครั้งที่ชั้นอยู่คนเดียว ชั้นคิดว่าถ้าตัวเองได้รับการพิพากษา ความรู้สึกนั้นมันคงจางหายไปบ้าง แต่ชั้น…ชั้นแค่ไปมอบตัวไม่ได้…”
เขายังคงก้มหน้าและพึมพำคำพูดออกมาไม่กี่คำออกมา และในทันใดนั้น มารรับใช้ที่อยู่ข้างๆก็เงื้อมือขึ้นและทุบฮ็อกเกลตันลงไปที่พื้น
พูคินดึงดาบของเธอออกมาและมารรับใช้ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ การได้เห็นเธออยู่ในท่าเตรียมสู้ ผมก็เข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงหั่นมันได้ในทันที ในขณะที่สาวใช้กรีดร้องออกมาและคนรับใช้ก็วิ่งหนีไป ผมก็วิ่งเข้าไปหาฮ็อกเกลตันที่นอนจมกองเลือดอยู่ เขาอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว ถ้าจะคิดว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่อีกมันก็คงไร้เหตุผลเกินไป ศรีษะครึ่งบนของเขาแหลกเป็นเสี่ยงๆ และเลือดก็ไหลทะลักออกมาจากการสังหาร
“ปิดคดี ข้าจะเรียกเรื่องนี้ว่าความสุขตลอดกาลก็แล้วกัน”
ผมเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มของพูคินมันสามารถเปลี่ยนเลือดในตัวคนๆหนึ่งให้กลายเป็นน้ำแข็งได้ ผมรีบหลบตาและหันไปยังจุดที่พูคินมองอยู่ ผมมองเห็นออลเกรฟยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่นพร้อมกับท่าทางที่ดูราวกับกลืนตะกั่วลงไป
สังหารภรรยาตัวเอง แต่ก็ยังคงทรมาณด้วยความผิด ฮ็อกเกลตันนั้นสั่งให้มารรับใช้โจมตีใส่ตัวเอง การฆ่าตัวตายของเขาประสบความสำเร็จ แม้สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือรสชาติแย่ๆหลังจากกินไปแล้ว แต่คดีก็ปิดลง หน่วยสืบสวนทั้งหมดถูกหัวหน้าดุด่าเพราะไม่สังเกตเห็นทางลับที่ซ่อนอยู่เลย พวกเขาจึงใช้เวลาทั้งวันไปกับการบ่นเรื่องนี้ที่ร้านเหล้า
พวกเรากลับคืนสู่ชีวิตธรรมดาอันแสนน่าเบื่อ มันยากจนแทบไม่น่าเชื่อมีเหตุการณ์ลึกลับเช่นนั้นเกิดขึ้นในสถานที่อย่างคฤหาสน์ฮ็อกเกลตันที่ที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และตอนนี้พวกเราจากหน่วยข่าวกรองก็ใช้เวลาอีกวันหนึ่งไปกับการเล่นไพ่ลับหลังหัวหน้า
“เมื่อไหร่นายจะคืนแปลชิลลิงซักที่เนี่ย?” ผมถาม “วันเงินเดือนออกมันก็ผ่านมาสามวันแล้วนะ”
“พอชั้นจ่ายค่าเช่าสองเดือนไปแล้ว เงินส่วนใหญ่ที่ได้มาก็แทบไม่เหลือ รอถึงวันเงินเดือนออกรอบหน้าแล้วกันนะ”
ถ้าเขาคิดว่าในวันเงินเดือนออกครั้งหน้ายังต้องจ่ายแค่แปดชิลลิงอยู่เหมือนเดิม เขาก็เป็นคนที่ไร้เดียงสามาก ด้วยเป้าหมายที่จะบีบเขาจนกว่าจะเอาเหรียญกินนี่*มาจ่ายผม ผมจึงเข้าเผชิญหน้ากับเกมไพ่อีกครั้ง แล้วเมื่อเงินกู้แปดชิลลิงกลายเป็นสองชิลลิง พวกเราก็โต้รุ่งกันทั้งคืน มันเป็นแบบนี้อยู่เสมอๆ
*เหรียญทองคำสมัยศตวรรษที่ 17 ของสหราชอาณาจักร
https://en.wikipedia.org/wiki/Guinea_(coin)
ผมนั้นนอนอยู่บนเตียง พร้อมกับมองขึ้นไปยังเพดานที่เป็นคราบดำของที่พักราคาถูก แล้วคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น
ฮ็อกเกลตันขุดหลุมเพื่อสร้างพื้นที่ที่ไม่มีใครเข้าไปได้เพื่อสังหารภรรยา และเมื่อความจริงถูกเปิดเผยเขาก็ฆ่าตัวตาย เป็นเรื่องที่ง่ายๆ —สำหรับผมแล้วมันดูเป็นเรื่องตลกแสนธรรมดา
ฮ็อกเกลตันนั้นเป็นคนทื่อๆแถมยังงี่เง่า การสังหารภรรยาตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงจะถูกครอบงำด้วยความผิดเขาก็ไม่ใช่คนที่น่ายกย่องอะไรเลย แม้ว่าอาชญากรรมจะถูกเปิดโปงแล้ว ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมเขาถึงยอมรับแบบง่ายๆกันนะ คนอย่างฮ็อกเกลตันที่แม้จะยืนอยู่บนตะแลงแกง เขาก็คงจะยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำอยู่ดี แต่ผมเองก็รู้จักเขาแค่วันเดียว หากผมซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง ผมก็คงจะพูดอะไรอย่าง “ใช่แล้ว นั่นเป็นแค่ด้านเดียวของเขาเท่านั้น จริงๆแล้วเขาก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก” ออกมาอย่างนิ่มนวล แต่ยังไงผมก็มั่นใจว่าเขามันเป็นไอ้บ้าของแท้แน่นอน
เมื่อผมคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ใบหน้าของเมจิคัลเกิร์ลสองคนก็ผุดขึ้นมาในใจ
พูคินและโซเนีย คนที่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับปริมาณอาหารที่มาเสิร์ฟให้
ตอนที่ฮ็อกเกลตันฆ่าตัวตาย ท่าทางของพูคินก็แตกต่างจากความตกใจของคนรอบข้างอย่างสิ้นเชิง… เธอแสยะยิ้มออกมาจนถึงใบหูราวกับว่าสนุกสนาน ราวกับว่าเธอนั้นดีใจ —แค่จำเรื่องนี้ได้มันก็ทำให้ผมสั่นไปทั้งตัวแล้ว
โซเนียนั้นเรียกร้องความสนใจในตอนที่พูคินกำลังพูดอยู่ เธอนั้นเช็ดใต้จมูกของตัวเองและมันก็เปื้อนไปด้วยดิน แบบนี้มันก็หมายความว่าถุงมือของเธอมีดินติดอยู่ ทำไมล่ะ? ไม่ใช่เพราะว่าเธอถูกพูคินสั่งให้ขุดหลุมหรอกเหรอ? ภายในคฤหาสน์มันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ที่ใต้ดินด้านล่างสิ่งก่อสร้างนั้นมันสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างแน่นอน ด้วยเวทมนตร์แล้ว มันก็สามารถขุดอุโมงค์ยาวเพื่อหลบหนีได้ในเวลาสั้นๆโดยที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้เรื่องสิ่งที่ซ่อนอยู่พื้นและประตูลับก็ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ในเวลาอันสั้น แต่พูคินก็ทำลายพื้นที่ปิดบังมันเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ไป เธอบอกว่ามันเป็น “หลุมหลบหนีอันชาญฉลาด” ที่แม้กระทั่งผู้ตรวจการณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการช่าง ก็ยังไม่สามารถค้นหามันเจอแม้จะค้นหาอย่างละเอียดแล้วก็ตาม
และยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการจามของโซเนีย ในตอนนั้นมันดึงดูดความสนใจของทุกคนไปที่เธอ แม้กระทั่งผมเองก็ยังมองไปที่เธอด้วย แต่หลังจากนั้นผมก็หันกลับไปมองที่พูคินในทันที และในตอนนั้น มือขวาของพูคินก็จับด้ามจับของเรเปียเอาไว้ ผมไม่คิดว่าเธอจะจับเรเปียของตัวเองก่อนที่ผมจะหันไปมองโซเนีย และพูคินก็ไม่ใช่คนที่จะตกใจกับการจามอันแสนน่ารักของผู้ช่วยของตัวเองจนเอามือมาวางไว้บนด้ามจับอีกด้วย
เรเปียนั่นมันอะไรกันนะ? หากเมจิคัลเกิร์ลพกดาบเอาไว้ก็แสดงว่ามันมีความหมาย ซึ่งนั่นก็แสดงว่าดาบมันมีเวทมนตร์บางอย่างอยู่แน่ ไม่ใช่แค่มันคมกริบจนหั่นมารรับใช้ออกเป็นชิ้นๆได้เท่านั้น —ตัวอย่างเช่น ถ้าหากมันควบคุมพฤติกรรมของผู้คนได้ มันก็จะอธิบายเรื่องราวได้เกือบทุกอย่าง
หากเธอทำให้โซเนียจาม แล้วใช้จังหวะที่ทุกคนมองไปที่โซเนียเพื่อควบคุมฮ็อกเกลตัน… หากสันนิษฐานว่าเธอจงใจนำคนที่เกี่ยวข้องออกจากคฤหาสน์เพื่อใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แบบนั้นมันก็จะสมเหตุสมผลอีกด้วย
หากเธอใช้เวทมนตร์เพื่อสร้างหลุมในวันนั้น และใช้เวทมนตร์เพื่อควบคุมฮ็อกเกลตันในการทำให้เขารับสารภาพแล้วฆ่าทิ้งเพื่อเพียงแค่ไขคดีล่ะก็… แต่ตราบใดที่ดินแดนเวทมนตร์มีคำรับสารภาพและพยานแวดล้อม พวกเขาก็จะไม่ทำการสืบสวนไปมากกว่านี้ ทุกคนในวันนั้นก็เชื่อว่าฮ็อกเกลตันคือคนร้ายอีกด้วย —ผมเองก็สงสัยว่าถ้าค้นหาไปทั่วทั้งโลก มันจะมีใครที่คิดเป็นอย่างอื่นบ้างไหมนะ
ถ้าการคาดเดาก่อนนอนของผมนี้ใกล้เคียงความจริง แบบนั้นทำไมเธอถึงตีกรอบว่าฮ็อกเกลตันเป็นคนก่ออาชญากรรมล่ะ? เธอนั้นเป็นคนสำเร็จโทษคนร้ายเพื่อความยุติธรรมของสังคมใช่ไหมนะ? มีใครบางคนบอกให้เธอทำ —หรือเธอคือมือสังหารที่มากำจัดฮ็อกเกลตันเพราะเขาเป็นอุปสรรครึเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลข้อไหนมันก็เป็นไปได้ แต่มันก็รู้สึกไม่ค่อยถูกต้องเช่นกัน
นี่คือสิ่งที่ผมคิด ถ้าหากฮ็อกเกลตันเอาอาหารมาให้พูคินทานมากพอ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องพบกับชะตากรรมเช่นนี้ก็ได้
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วใครคือคนร้ายตัวจริงกันล่ะ? ผมตั้งสมมติฐานเอาไว้นับครั้งไม่ถ้วน เอามันมารวมเข้าด้วยกัน ทำลายแต่ละส่วน แล้วเอามันมารวมเข้าด้วยกัน สร้างสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความจริงขึ้นมา ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย แต่มันก็สนุกดี
คนร้ายที่ฆ่าคุณนายฮ็อกเกลตัน ใช้กุญแจตู้นิรภัยที่เธอพกเอาไว้จากนั้นก็ขโมยตั๋วสัญญาใช้เงินไป เผาพวกมันจนกลายเป็นขี้เถ้าบนโต๊ะ หรือไม่ก็เผามันที่อื่นแล้วเอาเศษมาทิ้งไว้บนโต๊ะ ตามด้วยผูกเส้นด้ายแช่น้ำมันเอาไว้รอบๆลูกบิดไม่ก็ใส่กาวที่มีประสิทธิภาพสูงเอาไว้ที่นั่น เอาปลายเส้นด้ายลอดผ่านด้านล่างประตูไปไว้ด้านนอก เมื่อออกมาจากห้องก็ปิดประตูจากนั้นก็ดึงเส้นด้ายเพื่อหมุนลูกบิดจากด้านนอก แล้วก็เผาเส้นด้ายเพื่อทำลายหลักฐาน ซึ่งมันก็จะทำให้เกิดขี้เถ้าอยู่ด้านนอกห้องด้วย ในจุดนี้มันต้องทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง ในขณะที่เส้นด้ายส่วนที่อยู่ด้านในห้องก็จะถูกปกปิดเอาไว้จากขี้เถ้าของการเผาตั๋วสัญญาใช้เงิน การเผาตั๋วสัญญาใช้เงินมันมีโอกาสสูงที่จะไม่ใช่เป้าหมายแต่เป็นการปิดบังอำพราง หากคนร้ายไม่อยากอยู่ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยล่ะก็ แบบนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ใช่ลูกหนี้
อาชญากรรมนี้มันมีความเป็นไปได้ว่าเมด คนรับใช้ เด็กเลี้ยงม้า หรือคนทำอาหารเป็นผู้ก่อขึ้นด้วย แต่ยังไงก็ตามผมจำเรื่องของพูคินและออลเกรฟหลังจากที่ฮ็อกเกลตันตายได้ ผมสัมผัสได้รางๆว่าใครคือผู้ร้าย พูคินนั้นรู้ความจริงแต่เธอก็ไม่สนใจ เธอมองทะลุผ่านอาชญกรรมและปล่อยมันทิ้งเอาไว้ เธอแทนที่มันด้วยการสร้างบทละครปลอมๆขึ้นมาเพื่อความพึงพอใจของตัวเอง ซึ่งนั่นต้องเป็นความหมายเรื่องท่าทางของพูคินและออลเกรฟในตอนนั้นแน่ ออลเกรฟคงกลัวเรื่องนี้จนหมดปัญญา
ผมกลิ้งตัวอยู่บนเตียงและยังคงจมอยู่ในความคิด พูคินนั้นอันตรายมาก แค่ตรวจสอบข้อมูลของเธอเพียงเล็กน้อยมันก็ได้ข้อมูลมากมายเป็นภูเขา เห็นได้ชัดว่าก่อนที่ดินแดนเวทมนตร์จะเริ่มเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องสงสัย เธอคือคนที่บ้าบิ่นมาก… ในอีกแง่หนึ่ง เธอเป็นคนที่น่าหลงไหลมากเช่นกัน ตัวของผมที่เบื่อเรื่องงานและเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต เมื่อได้เห็นพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของเธอมันก็ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวิตชีวาขึ้น แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ก็ตาม
หัวหน้าเป็นคนที่ขอให้พูคินจัดการเรื่องนี้ เขาคงรู้ช่องทางการติดต่อเธอ ผมกลิ้งตัวบนเตียงอีกครั้ง และจดเอาไว้ในใจว่าในวันพรุ่งนี้จะถามเรื่องนี้ออกไป