Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE - ตอนที่ 7.08 Arc 7 - ตอนที่ 8 - วันนี้ไม่อยากกลับบ้าน
- Home
- Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE
- ตอนที่ 7.08 Arc 7 - ตอนที่ 8 - วันนี้ไม่อยากกลับบ้าน
ตอนที่ 8:
วันนี้ไม่อยากกลับบ้าน
☆ คานะ
เมื่ออ่านบทแรกของ สแครป-ไออน นัคเคิลดัสเตอร์ ที่มีจำนวนสิบห้าเล่มจบแล้ว คานะก็หายใจออกมาช้าๆแล้วก็วางเล่มสุดท้ายลงบนเตียง เมฟิสกำลังมองเธอด้วยท่าทางตึงเครียดผิดปกติ
คานะยื่นนิ้วชี้ขวาออกมาแล้วชี้ไปที่ สแครป-ไออน นัคเคิลดัสเตอร์ เล่มสิบห้า “นี่มัน…” ในตอนนี้เธอหายใจออกมาทางจมูก ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปทางประตูสองก้าว เดินกลับมาที่หน้าต่างสามก้าวอีกครั้ง จากนั้นก็หันกลับมา “ยอดเลย”
ความตึงเครียดบนใบหน้าเมฟิสละลายหายไปจนมองเห็นความดีใจ แต่ท่าทางจริงจังของคานะยังคงเดิม เธอยังคงเคร่งเครียดในตอนที่มองไปยังหนังสือ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้า “แต่แบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ?”
“น่าสนใจใช่ไหมล่ะ แล้วมีปัญหาอะไรเรอะ?” เมฟิสถาม
“มันยอดเลยก็จริง… แต่ไม่ใช่ว่ายอดเยี่ยมเกินไปหรอกเหรอ? มันปลุกใจมากเลยนะ แถมน่าติดตามมากเลยด้วย แม้บทแรกจะจบไปและมีข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว แต่เราก็อยากอ่านที่เหลือต่อมากเลย กลุ่มที่จับตัวทัตสึโอะหลังจากที่เขาหนีไปแล้วคืออะไรนะ? สิ่งที่คอยกระซิบริวอิจิจากภายในตัวคืออะไรกันแน่? แล้วบอสในตำนานที่มีฉายาว่านัคเคิลดัสเตอร์อีก…?”
“สรุปแล้วคือ เธอชอบมันสินะ”
“นี่มันปลุกใจมากเกินไปที่จะวางขายแบบสาธารณะได้รึเปล่า? ถ้าประชาชนละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วหมกมุ่นอยู่กับการอ่าน ประเทศชาติก็จะล่มสลายเลยนะ แถมผลงานนี้มันผลิตออกมาเป็นจำนวนมากแล้วก็ขายในตลาดด้วยราคาถูกที่ใครๆก็สามารถซื้อได้ แบบนี้มันจะทำให้การบังคับใช้กฎหมาย—”
“เลิกพูดอะไรที่มันซับซ้อนเหอะ! เอาจริงๆนะ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเธอ”
“มันเกี่ยวกับเรายังไงเหรอ? ถ้าช่วยบอกแบบเจาะจงได้—”
“พอเลย!” เมฟิสยืนขึ้นและตบคานะเข้าที่หลังราวกับเป็นการตำหนิอย่างรุนแรง เมฟิสบังคับให้คานะนั่งลง แล้วเมื่อเธอต้องนั่งลงไปบนเตียงอีกครั้ง เธอก็ลงไปอยู่ข้างเมฟิสโดยทันที นอกจากความรุนแรงเรื่องภาษากายแล้ว ท่าทางของเมฟิสดูสงบ แก้มเองก็ดูผ่อนคลายอย่างผิดปกติ แถมยังยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์ด้วย “ถ้าเธอชอบมันมากขนาดนั้น แบบนั้นก็ควรต้องผ่อนคลายหน่อย ในเวลาแบบนี้น่ะ โอเค ต้องมาคุยกันเรื่องที่อ่าน มาพูดแบบว่า —ตรงนี้น่าสนใจนะ หรือตรงนั้นมันดูเหมือนเป็นการบอกใบ้รึเปล่า กันดีกว่า เอาล่ะ การเตรียมตัวให้พร้อมอีกครั้ง มันคือเรื่องที่แฟนมังงะทำกันเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง”
“งั้นเหรอ แบบนั้นก็มีเหตุผลนะ”
มันมีเรื่องมากมายเท่าภูเขาที่คานะอยากคุย เธอยกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกและคู่แข่งขึ้นมาพูด และเรื่องโหดร้ายชนิดนับไม่ถ้วนที่แก็งค์นักซิ่งที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดบอกว่าเคยทำมา แล้วก็พ่อของตัวเอกที่เป็นอดีตหัวหน้าแก็งค์เป็นคนที่ตรงไปตรงมากับลูกชายตลอดแทนที่จะพูดจาอะไรแบบคลุมเครือ
“ระวังอย่าสปอยอะไรแล้วกัน” เมฟิสตอบอย่างกระตือรือร้น แต่เมื่อเป็นเรื่องโรแมนติกของตัวเอกแล้ว เธอก็ไม่อยากพูดอะไรออกมา แค่พูดว่า “ไม่สนใจ” “ไม่ในแนวแบบนั้น” แล้วก็ “ลืมเรื่องพวกนั้นไปเหอะน่า”
“เราคิดว่ามันน่าสนใจมากนะที่ใครจะเป็นคู่ของตัวเอก”
“นี่มันมังงะนักเลงนะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ —การต่อสู้นะ! เธอจะไปอ่านรอมคอมหรือเรื่องรักอะไรก็ได้ถ้าจะหาความโรแมนติก ทิ้งเรื่องอ่อนแอพวกนั้นไปซะ เพราะมันไม่มีอะไรดีเท่าการต่อสู้ข้างถนนอีกแล้ว”
“การแข่งกันว่ายีนแบบไหนที่จะถ่ายทอดไปยังรุ่นถัดไปนี่นับว่าเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งรึเปล่า?”
“นั่นไม่ใช่การต่อสู้ที่มังงะต่อสู้ควรจะมีซักหน่อย”
“ถ้าเธอไม่พูดเรื่องนี้กับเรา แบบนั้นเราควรจะไประบายความรู้สึกในใจที่ไหนล่ะ?”
“ไม่ต้องดราม่าขนาดนั้นก็ได้ โอเค ลิเลี่ยนเป็นพวกโรแมนติก ดังนั้นบางทีเธออาจจะชอบ เพราะเธอเอาแต่อ่านมังงะแนวรักๆ”
“นั่นเองก็นับเป็นมังงะประเภทนึงใช่ไหม?”
“ก็ใช่ แต่ชั้นไม่ชอบเพราะไม่ใช่แนว”
มังงะมันมีหลากหลายแนวมากกว่าที่คานะจะจินตนาการได้ แต่ที่นี่คืออพาร์ทเมนต์ของเมฟิส สิ่งที่ไม่ใช่รสนิยมของเมฟิสก็จะถูกปฎิเสธไป หากคานะอยากจะจริงจังกับเรื่องมังงะ มันก็จะเป็นเวลาที่เธอต้องบินออกจากรังแห่งนี้ไป แต่ในตอนนี้ แค่มังงะภายในห้องนี้มันก็มากเพียงพอแล้ว ความเพลินใจที่เกินควรมันจะทำให้จิตใจเกิดผิดปกติ เธอเอามือสัมผัสกับแก้มของตัวเองและรู้สึกว่ามันอุ่นเล็กน้อย มันร้อนกว่าอุณหภูมิของเธอตามปกติ นี่เองก็ทำให้ร่างกายของเธอผิดปกติเช่นกัน
เมฟิสแนะนำว่าให้คุยกันเพื่อให้ใจเย็นลง แต่ใจของเธอที่ยังไม่ทันสงบ —กลับร้อนรุ่นขึ้นไปอีก คานะตัดสินว่ามันคงอันตรายหากจะพูดเรื่องมังงะต่อ “ลิเลี่ยนชอบมังงะโรแมนติกใช่ไหม”
“อื้อ นิตยสารของเด็กผู้หญิงเอย การ์ตูนสำหรับผู้หญิงเอย —เธอมีหมดเลย” เมฟิสตอบ “เธอดูเหมือนเป็นคนเงียบๆ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่แค่ชอบเรื่องระหว่างเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง เรื่องของเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายกับเด็กผู้ชายเธอก็โอเค ถึงโชเน็นมังงะแทบจะไม่มีความโรแมนติกเลยก็เถอะ แต่เธอก็จะส่งเสียงออกมาแบบตื่นเต้นว่า ‘ฉากนี้ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้เหรอ?’ ไม่ก็ ‘ดังนั้นอาจจะเป็นการพยายามบอกอะไรบางอย่างว่าชอบก็ได้นะ’ “
“นั่นเองคงเป็นหนึ่งในวิธีที่จะรู้สึกสนุกสินะ”
“แล้วชั้นน่ะไปที่ทำการไปรษณีย์ทุกสุดสัปดาห์เพื่อซื้อแสตมป์สำหรับส่งรางวัล แต่ชั้นก็ไม่เคยชนะอะไรกับเขาเลยซักครั้ง บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะหลอกลวงก็ได้ แฟนระดับฮาร์ดคอร์อย่างชั้นคงมีไม่เยอะอยู่แล้ว ดังนั้นอย่างน้อยก็ควรจะให้ของฟรีอะไรชั้นกลับมาซักหน่อยสิ” เพราะมีคำศัพท์เฉพาะทางออกมาเยอะ มันเลยยากที่เธอตั้งใจจะข้ามมันไป แต่คานะก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถเข้าใจเรื่องที่เมฟิสพยายามพูดได้
คานะลูบเส้นผมของตัวเองด้วยนิ้วชี้ของมือขวา จากนั้นเธอก็เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางแนบเข้าหากันแล้วชี้ไปยังเมฟิส “รู้จักลิเลี่ยนมานานแล้วเหรอ? เหมือนว่ากันรู้จักดีเลย”
“ก็นะ ก็รู้จักตั้งแต่ก่อนเข้ามัธยมต้นแล้ว ถ้าจะนับก็คงไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น”
“แล้วคุมิคุมิ?”
“คิดว่าเหมือนกับลิเลี่ยน สลัดไม่หลุดทั้งคู่”
“อาเดลไฮลด์ล่ะ?”
“ชั้นเจอเธอตอนเริ่มเรียนที่นี่ เธอไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร”
“งั้นแล้วเท็ตตี้?”
เมฟิสนิ่วหน้า จากนั้นก็ยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นบนเตียง พอเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว เธอมองคานะอย่างเย็นชา
“นี่เราพูดอะไรที่ทำให้ไม่พอใจรึเปล่า?” คานะถาม
“ถ้าจะให้พูดมันก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก และก็กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลด้วยกัน”
“พอคิดดูแล้ว เหมือนว่าทั้งสองจะมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันเลย”
“ก็ใช่ หลังจากที่ห่างกันไป เธอก็กลายเป็นตัวของตัวเอง ย้อนไปเมื่อก่อน ไม่ว่าจะไปไหนเธอก็ตามชั้นไปตลอด แล้วพอเกิดอะไรขึ้นก็มาหลบอยู่ข้างหลังชั้น แต่ในตอนนี้มาดูถูกกันงั้นเหรอ? ทำเหมือนตัวเองสำคัญไปได้ เหมือนว่ามีใครก็ไม่รู้ตายแล้วทำให้ตัวเองกลายเป็นราชินีแบบนั้น? แถมยังทำเหมือนว่าเรื่องตอนจำลองการต่อสู้เป็นเรื่องใหญ่ไปอีก น่ารำคาญชะมัด”
“หืมม”
“ว่าแต่ ทำไมเธอถึงได้ถามเรื่องนี้…? เหมือนกับพยายามสอบสวนชั้นเพื่อหาข้อมูลยังไงไม่รู้”
“เราไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นหรอก เรากับเธออยู่กลุ่มเดียวกัน —ซึ่งก็คือพวกเดียวกัน เราเลยเป็นห่วงเรื่องของเพื่อนน่ะ”
“อ่าหะ”
“ไม่ใช่แค่เราหรอก เหมือนว่าคุมิคุมิ ลิเลี่ยน แล้วก็อาเดลไฮลด์เองก็เป็นห่วงด้วย”
“หือ?”
“เท็ตตี้เองก็เหมือนกัน เธอมองมาบ่อยๆด้วยท่าทีเป็นห่วง”
“หา? จริงดิ?”
“เรื่องจริงนะ”
เมฟิสอ้าปากออกกว้างแล้วส่งเสียงประหลาดเข้าหาเพดาน ซึ่งนั่นมันทำให้คานะอยากปิดหูของตัวเอง พอเวลาผ่านไปจนเมฟิสหันกลับมาที่คานะอีกครั้ง คิ้วของเธอเลิกขึ้นไปจนสุดหน้าผาก เธอตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “นี่พยายามทำตัวเป็นทีมคุณแม่รึไงห๊ะ?!”
” ‘ทีมคุณแม่’ นี่คืออะไรเหรอ?”
“แม่งพยายามทำตัวเป็นแม่ชั้นรึไงวะ?! แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกันห๊ะ?! นี่มองชั้นจากมุมไหนกันแน่?! อายุเท่ากันแท้ๆแต่ทำไมต้องมาดูถูกกันด้วย?! อีห่าราก! อีโง่! อีส้นตีน! อีดอกเท็ตตี้!” เมฟิสขว้างหมอนเข้าหากำแพง มันเด้งไปตามพื้น จนมาโดนเข้ากับขอบเตียงแล้วก็เด้งออกไปอีก เมฟิสยืนขึ้นพร้อมความโกรธและแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลผมดำ เธอกำหมัดแล้วเหวี่ยงเข้าไปที่กำแพง แต่ในจังหวะก่อนที่จะโดนนั้น เธอก็หยุดหมัดเอาไว้และถอนหายใจออกมายาวๆ ไหล่เองก็ลู่ลงเช่นกัน
ในตอนที่เธอหันมา เหมือนว่าเธอจะ ‘ใจเย็น’ ลงแล้วตามที่เคยบอกมาก่อนหน้า เธอพูดออกมาอย่างใจเย็นกว่าเดิม แต่มันก็ทำให้อารมณ์ของเธอดูเหมือนจะรุนแรงกว่าเดิมด้วย “ทำไมไม่ห้ามชั้นล่ะ?”
“หมายความว่าไงเหรอ?” คานะถาม
“ชั้นเช่าอพาร์ทเมนต์นี้ หากชั้นต่อยเข้าไปที่กำแพงด้วยแรงของเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ มันคงหายนะแน่”
“ก็เธอเป็นเจ้าของบ้านนี่นา ดังเราคิดว่าให้ทำตามใจชอบคงดีที่สุดแล้ว”
“ฟังดูมีเหตุผลดี แต่เธอนี่พิลึกชะมัด” เมฟิสปล่อยลมหายใจยาวออกมาครึ่งหนึ่งของครั้งก่อนหน้าและนั่งลงข้างๆคานะ เธออ้าขาออกกว้าง วางมือลงบนเข่า แล้วก็เอนตัวมาด้านหน้า ซึ่งนั่นมันทำให้คานะที่อยู่ข้างๆต้องก้มหน้ามองลงมา “เวทมนตร์ของชั้นมันเป็นแบบที่อ้อมค้อมใช่ไหมล่ะ? ไม่ได้เหมาะกับการต่อสู้เลยใช่ไหม?”
“มันเหมาะกับการต่อสู้มากกว่าของเรานะ” คานะชี้
“แต่ เท็ตตี้ ของเธอมันเน้นด้านการต่อสู้มาก ถ้าพวกเราสู้กันตรงๆ เธอก็ตรึงแขนขาชั้นเอาไว้ได้ง่ายๆ จับแค่ครั้งเดียวก็สามารถบดขยี้ชั้นได้ในพริบตาแล้ว”
“ตอนจำลองการต่อสู้เท็ตตี้เองก็ทำได้ดีมากนี่นะ”
“มันเหมือนกับ รู้ไหม ก่อนหน้านี้น่ะ ชั้นเป็นคนที่ปกป้องเธอ แต่จากนั้น พอพวกเรากลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว อ่า —ไม่รู้สิ แบบว่า —เธอมีเวทมนตร์เน้นไปด้านต่อสู้มากเลย”
“เราไม่เข้าใจเลยว่าเธอพยายามจะพูดอะไร”
“เห้อ ช่างเหอะ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่แปลก ใช่ว่าชั้นอยากให้เข้าใจซะที่ไหน ที่สำคัญ มาคุยเรื่องเธอดีกว่า เหมือนว่าเธอนี่ลึกลับน่าดู”
เมฟิสกดนิ้วโป้งขวาเข้ากับริมฝีปากและยืดหลังในตอนนั่งพับขา ผมเปียของเธอขยับไปมา ปลายผมนั้นชี้มาที่คานะ และคานะก็เลื่อนตัวกลับไปเล็กน้อย
“เธอไม่เคยคลายการแปลงร่างต่อหน้าชั้นเลยสินะ?” เมฟิสพูด
“เราไม่เคยทำนะ”
“แบบนั้นไม่ดูลึกลับไปหน่อยเหรอ?”
คลายการแปลงร่างเป็นความเห็นแบบอิสระของเมฟิส และมันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่คานะต้องทำเช่นกัน แต่ถึงแม้เธอจะอธิบายออกไปแบบระมัดระวังและสุภาพ มันก็จะทำให้เมฟิสโกรธและไม่ได้อะไรอยู่ดี นี่คือหนึ่งในกฏที่เธอเรียนรู้มาจากประสบการณ์ในความล้มเหลวจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งแต่เข้ามาในโรงเรียน ในการที่จะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ เธอก็ควรพยายามเข้าเรื่องจากมุมอื่น
“ครั้งหนึ่งเคยมีเมจิคัลเกิร์ลชื่อว่ามาโอแพม” คานะพูด
คิ้วของเมฟิสย่นเข้าหากันอย่างสงสัย เส้นผมของเธอก็หมุนไปรอบๆเป็นวงกลม “ชั้นรู้ เธอคือคนก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชามาโอใช่ไหมล่ะ? แล้วยกเธอขึ้นมาพูดตอนนี้ทำไม?”
“มาโอแพมบอกว่าไม่ควรคลายการแปลงร่างอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะอยู่กับเพื่อน คนรู้จัก หรือคนอื่นๆ”
“ทำไมล่ะ?”
“อ่า เราไม่ได้รู้ถึงขนาดนั้น มันเป็นเรื่องของคนรู้จักของคนรู้จักของคนรู้จัก… ไม่สิ เราคิดว่าเป็นคนรู้จักของคนรู้จักมากกว่า เราเชื่อว่าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่รู้จักมาโอแพม ความทรงจำของเรามันเลือนราง แต่เรามีความรู้สึกว่าตัวเองได้ฟังความสนใจบางอย่างที่อยู่ลึกลงไป แต่มันก็เป็นแค่ข้อมูลจากบุคคลที่สาม ดังนั้นเราเลยไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะขุดลึกลงไปกว่านั้น”
“อะไรล่ะนั่น ก็เหมือน เรื่องของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ไม่ใช่รึไง แบบเดียวกับพวกที่ชอบเริ่มพูดเรื่องผีที่มันน่าสงสัยไม่มีผิด สุดท้ายความน่าเชื่อถือก็ไม่เหลือ”
“ไม่หรอก เราเชื่อว่ามันบอกเราอย่างถูกต้อง ร่างของมนุษย์ไม่ได้มีอะไรนอกจากความอ่อนแอเลย”
“งั้นก็หมายความว่า ชั้น… เดี๋ยวนะ ทุกคนในห้องเรียนแสดงจุดอ่อนให้เธอเห็น แต่ในทางกลับกัน เธอก็ไม่ได้ทำแบบนั้น ชั้นหมายถึง —ถ้าพวกเราทุกคนเป็นทีมเดียวกันจริง แล้วทำไมเธอต้องทำอะไรที่มันไม่เท่าเทียมกับคนอื่นด้วย? มาเปิดใจกันดีกว่าน่า” แก้มของเมฟิสเผยอขึ้นไปเพียงด้านเดียว มันดูเป็นรอยยิ้มที่กล้าหาญ
คานะยิ้มตอบกลับไปด้วยแก้มข้างเดียวอย่างอัติโนมัติ การยิ้มแบบนี้เรียกได้ว่ายิ้มแห้ง หากเธอเปรียบเทียบตัวเองกับเมฟิส คานะไม่คิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะเมฟิสในด้านการพูดได้เลย บางครั้งใช้การขู่ บางครั้งใช้การเยินยอ เมฟิสพยายามจะเปิดประตูเข้าสู่หัวใจของคานะ ด้วยเวทมนตร์ของเธอแล้ว แม้จะพยายามต่อต้านคำพูดมันก็จำเป็นต้องมีความอดทนระดับมหาศาล
“เดี๋ยวพวกเราต้องไปโรงเรียนแล้ว” คานะพูด “เมฟิส เตรียมข้าวเช้าให้หน่อย”
“อื้อ แย่หน่อยนะที่คืนนี้เป็นงานออกกำลังภาคสนาม ดังนั้นเมื่อวานคัลโคโระเลยบอกว่าวันนี้ให้พักผ่อนทั้งวัน”
“…พอพูดถึงแล้ว บางทีอาจจะพูดแบบนั้นออกมาก็ได้”
“อย่านอกเรื่องนะ ใช่ว่าชั้นจะขออะไรที่มันเป็นเรื่องใหญ่ซะหน่อย มาคลายการแปลงร่างดีกว่าน่า?”
คานะไม่แน่ใจเรื่องความแข็งแกร่งของตัวเอง เธอคิดว่ามันเป็นปกติที่จะเชื่อว่าคนที่ถูกขังอยู่ในคุกจะไม่เก่งเรื่องความยับยั้งชั่งใจ
คานะเองก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้ตลอด คำพูดที่เมฟิสพูดออกมา “ถ้าพวกเราทุกคนเป็นทีมเดียวกันจริง” แบบไม่ได้ตั้งใจ ได้คลายบานพับของประตู เขย่าลูกบิด และยังใส่สารหล่อลื่นเข้ามาในรูกุญแจอีกด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็เหมือนกับว่าคานะเป็นคนที่ทำอะไรที่ไม่ดี ความผิดที่ไม่ควรมีกลับเอ่อล้นอยู่ในใจ และการอยากขอโทษก็แอบย่องเข้าหาเธอจากด้านหลังในทันที
เมฟิสสามารถพูดจาได้อย่างลื่นไหล ราวกับเป็นสิ่งที่คาดหวังได้จากการมีตัวตนเสมือนปีศาจ มันคงไม่แปลกเลยหากคานะถูกสัญญาอันตรายบางอย่างผูกมัดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับคุณหมอเฟาสท์ผู้น่าสงสารคนนั้น
คานะเปลี่ยนแผนของเธออย่างมีสติ นี่ไม่ใช่การล่าถอย แน่นอนว่านี่คือการเปลี่ยนแปลง เธอทิ้งรอยยิ้มที่ทำให้เข้ากับเมฟิสไปและเค้นริมฝีปาก ท่าทางจริงจังของคานะเหมือนจะส่งผลกับเมฟิสด้วย เพราะความจริงจังลอยขึ้นมาบนใบหน้า เธอมองกลับมาที่คานะด้วยดวงตาอันแหลม
คานะพูดแต่ละคำออกมาอย่างระมัดระวัง “ในตอนนี้… มันยัง… ไม่ถึงเวลา”
“หือ? หมายความว่าไงน่ะ?”
“เราจะ… ไม่มีวัน… ยอมแพ้… เรื่องความฝัน”
“หืม?”
“มองเข้าไปในดวงตา… ของเขาสิ นั่นน่ะคือ… แมวป่า”
“เฮ้ เดี๋ยวนะ… นั่นมันคำพูดจากมังงะนี่หว่า!”
“แก๊งค์เดธโร้ดล้วนเป็นสุนัข สมองพวกมันเองก็เหมือนกัน”
“พอได้แล้ว! นี่ชั้นพยายามคุยแบบจริงจังอยู่นะเฮ้ย!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะปกป้องเธอเอง”
“อีห่านี่!” เมฟิสกระโจนเข้าหาจนตัวของคานะล้มลงบนฟูก หางผมของเมฟิสเองก็พุ่งเข้ามา แต่คานะเลื่อนตัวบนเตียงเพื่อหลบหมอนไปด้านข้าง เธอกระโดดลงมา ลงไปใต้เตียง ออกมาแล้วก็ยืนขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าหาชั้นหนังสือเพื่อปาหมอนที่ร่วงลงมาใส่เข้าไปที่ใบหน้าเมฟิส ในตอนที่กำลังหนีอยู่นั้น เธอก็พูดประโยคที่เธอ “อยากลองใช้ดูในซักวัน” ที่เธอได้เรียนรู้มาจากการอ่านมังงะเรื่องนั้นออกมาซ้ำๆ
เมฟิสส่งเสียงร้อง คานะเองก็ก้มหน้า แต่คานะก็กลายมาเป็นคนไล่แทนโดยที่เมฟิสไม่ทันรู้ตัว และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เรื่องคลายการแปลงร่างที่พวกเธอคุยกันก็หายไปราวกับว่าไม่เคยพูดถึงมาก่อน คานะสามารถเปลี่ยนความอันตรายด้านลบของตัวเองให้กลายเป็นบวกได้ด้วยการทำให้เมฟิสโกรธ ทักษะการเจรจาของเธอคงเติบโตขึ้นมากเพราะสามารถชักจูงปีศาจได้
จนในที่สุด คนที่ไล่ตามก็เป็นฝ่ายหัวเราะออกมา “นี่เธอจำคำพูดมากขนาดนั้นในการอ่านครั้งเดียวได้ไงเนี่ย?” แล้วเมจิคัลเกิร์ลสองคนก็เล่นไล่จับกันในห้องเล็กๆต่อกันอีกพักหนึ่ง
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
เพราะงานออกกำลังภาคสนามที่จู่ๆก็ถูกจัดขึ้น เธอจึงมีเวลาว่างมาก เมื่อฟูจิโนะทำสิ่งที่ตัวต้องทำในวันหยุดสุดสัปดาห์ —อย่างการทำความสะอาด ซักผ้า และจัดห้อง— เสร็จหมดแล้ว เธอก็ไม่เหลืออะไรให้ทำอีก ตอนนี้เองก็เร็วเกินไปที่จะทำงานของเมจิคัลเกิร์ล ด้วยชีวิตที่อุทิศให้การเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว ฟูจิโนะก็ไม่มีอย่างอื่นที่เหมือนงานอดิเรกเลย
เธอยังเรียนล่วงหน้า ทบทวนบทเรียนของชั้นเรียนปกติและงานของเมจิคัลเกิร์ล ซ้ำยังจัดเตรียมหลักสูตรของอาร์ลี่และโดรี่ด้วยเช่นกัน พอเธอมองดูเวลา มันก็ยังคงอยู่ที่เลขสิบเอ็ด เมื่อเธอคิดว่าควรจะนัดเด็กสาวในกลุ่มหนึ่งออกไปทานอาหารด้วยกันดีรึเปล่านั้น เธอก็กัดริมฝีปากแล้วก็หันหน้าไปมองปฎิทิน
เดือนพฤษภาคมมันผ่านมาครึ่งเดือน ตั้งแต่ที่เธอเข้าโรงเรียนเมจิคัลเกิร์ลเวลามันก็ผ่านไปร่วมเดือนแล้ว
หากย้อนกลับไปถามตัวเองว่าทำได้ดีรึเปล่านั้น เธอก็สรุปได้ว่าอาจจะไม่ เธอพยายามคืนดีกับเมฟิส แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ทำไม่ได้ เธอทำได้แค่ขอโทษ แต่ยังคืนดีกันไม่ได้
ฟูจิโนะไม่เก่งในการเชื้อชวนคนอื่นให้ทำอะไรหรือทำอะไรกันในกลุ่มเพื่อนมาโดยตลอด สำหรับเด็ก มันคือปัญหาที่สำคัญมาก ในตอนที่เธอเริ่มเรียนชั้นประถม เธอก็ไม่มีเพื่อนเลยจนมักต้องอยู่คนเดียวเสมอ เพื่อนคนแรกของเธอก็คืนเมฟิส —ฟูโกะ ซายามะ หลังจากที่เป็นเพื่อนกันได้ไม่นาน พวกเธอก็เข้าร่วมการทดสอบเมจิคัลเกิร์ลด้วยกัน แม้พวกเธอจะพูดออกมาประมาณว่า “พวกเราคือคู่แข่ง ดังนั้นไม่ว่าใครจะผ่านก็จะไม่แค้นเคืองกัน” เมื่อทั้งคู่ผ่านมาได้จริงๆ ฟูจิโนะก็ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ตอนนั้นมันสนุกจริงๆ
พวกเธอไม่ได้ยิ้มด้วยกันอีกแล้ว ตอนที่พวกเธอกลับมาเจอกันในโรงเรียนเมจิคัลเกิร์ล ทั้งคู่ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเธอคุยกันในเรื่องต่างๆโดยไม่เกี่ยงว่าใครอยู่กลุ่มไหน —จนกระทั่งเดือนเมษายน ความสัมพันธ์ทั้งหมดก็จบสิ้น
การแบ่งแยกกันระหว่างกลุ่มเมื่อเร็วๆนี้อาจพูดได้ว่าเดิมทีมันมาจากตัวของฟูจิโนะเอง เธอจึงต้องทำอะไรซักอย่างกับมัน เธอเองก็รู้ว่าเมฟิสไม่ใช่คนเลว
เธอควรพยายามจะพูดเชิงรุกมากกว่านี้รึเปล่า? แต่ฟูจิโนะก็สรุปไปแล้วว่าตัวเองพูดไม่เก่ง บางทีฉันก็ควรจะโฟกัสไปยังเรื่องที่คุณจอมเวทซาโต้พูดรึเปล่านะ เธอคิดพร้อมกับร่างแผนการคืนดีลงบนกระดาษรายงาน เธอรู้ดีว่าการรวบรวมแผนเข้าด้วยกันไม่ได้หมายความว่าตัวเองสามารถทำอะไรตามแผนได้ แต่เธอก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
☆ ไซคีเพลน
เพราะงานออกกำลังภาคสนามที่จู่ๆก็ถูกจัดขึ้น เธอจึงมีเวลาว่างมาก อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ไซคีคาดหวังเอาไว้ แต่เธอก็ได้รับคำชวนที่ไม่คาดคิดว่าให้มาเจอกันตรงประตูหน้าโรงเรียนและไปยังคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆด้วยกัน เธอจึงตั้งความหวังว่าอีกฝ่ายจะใส่ชุดแฟนซีแบบไหนมากันนะ สุดท้ายมันกลายเป็นชุดเครื่องแบบโรงเรียนที่เรียบง่าย แต่ไซคีเองก็มาในชุดเครื่องแบบโรงเรียนเช่นกัน เด็กสาวชั้นมัธยมต้นในชุดเครื่องแบบสองคนกำลังดื่มชากันในช่วงบ่ายของวันธรรมดา โชคดีที่ไม่มีลูกค้าคนอื่น ทางพนักงานเองก็ไม่ได้ถามอะไรพวกเธอด้วย แม้ว่าพวกเธอจะมีข้ออ้าง เช่นอยู่ในหลักสูตรเตรียมเข้าวิทยาลัยที่กำลังพักกลางวัน แต่ถ้าไม่มีใครพูดอะไร มันก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นแล้ว
เด็กสาวที่อยู่กับเธอก็เป็นคนที่สะดุดตา เธอเป็นคนที่แทบไม่โดดเด่นในห้องเรียนเพราะความงดงามเหนือมนุษย์ของปรินเซสไลท์นิ่ง แต่ร่างมนุษย์ของแซลลี่ ราเว็นนั้นก็ดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้ง่ายๆจนสามารถคิดได้ว่าเธอเป็นนางแบบมือสมัครเล่น อ่า แหงสิ ก็เธอเป็นนี่นา ดวงตาของเธอกลมโต จมูกก็โด่งและได้รูป แม้จะเป็นเด็กสาวคนอื่น ภาพของเธอที่ทำเรื่องประจำวันอย่างการคุยกับไลท์นิ่งก็ถือว่าเป็นอาหารตาแล้ว
“อืออ มีอะไรที่เราอยากคุยด้วยน่ะค่ะ” แซลลี่พูด
“เรื่องที่คุยที่โรงเรียนไม่ได้สินะ? ให้ตายสิ แบบนี้ยุ่งยากแหง” ไซคีตอบ
“นี่ ไซคี อย่าพูดแบบนั้นสิ ไม่คิดว่ามีอะไรแปลกๆบ้างเหรอ?”
ไซคีตอบกลับในทันที “คิดสิ” เธอไม่จำเป็นต้องคิดเลย “ไลท์นิ่งสู้กับอาเดลไฮลด์ และไลท์นิ่งคิดแผนรุมกลุ่มสองตอนจำลองการต่อสู้ —หมายถึงเรื่องนี้สินะ?”
“อ๊ะ เข้าใจเร็วจังเลย อือออ เราหมายถึงเรื่องนั้นแหละค่ะ”
“ฟังนะ สำหรับชั้นแล้วเรื่องนี้มันเป็นปัญหามากเกินไป ยังไงซะพวกเราก็เป็นวัยรุ่น เมจิคัลเกิร์ลก็เป็นพวกประหลาดมาตั้งแต่แรก ดังนั้นมันก็เห็นได้ชัดไม่ใช่เหรอว่าพวกเราเองก็ทำอะไรที่มันแปลกๆอยู่แล้วน่ะ? ชั้นไม่อยากโดนลากเข้าไปยุ่งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆไปทุกเรื่องหรอกนะ ไม่อยากเลย”
“เฮ้ นี่ เราเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้นนะ แต่ว่า…”
พนักงานเข้ามาเสิร์ฟชาพีชสีรุ้ง ดังนั้นการสนทนามันจึงหยุดลงครู่หนึ่ง มันเป็นชาที่ดูสวยงามมาก ชั้นสีมันถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น พวกเธอจึงลุกขึ้นถ่ายภาพไปรอบๆแก้วชา ภาพหนึ่งสะท้อนของแสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากด้านนอกคาเฟ่ และอีกภาพหนึ่งของด้านข้างทั้งสองคนที่ถือแก้ว
พวกเธอกลับมานั่งยังที่ของตัวเองแล้วพูดคุยกันต่อ “นี่ ไซคี อือออ เธอเป็นมืออาชีพก่อนเข้ามาที่โรงเรียนนี้ใช่ไหมคะ?”
“มืออาชีพ?”
“ก็เธอทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในงานปาร์ตี้ครบรอบยี่สิบปี คิวตี้ฮีลเลอร์ นี่? เราน่ะมาจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพราะงั้นเราเลยชอบคิวตี้ฮีลเลอร์ไง”
ไซคีไม่คิดเลยว่าแซลลี่จะรู้จักเธอมาก่อน คิ้วของเธอจึงเกิดรอยย่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ “แล้วมันทำไมล่ะ?”
“อ๊ะ เราคิดว่ามืออาชีพจะบอกได้ซะอีก สำหรับเราแล้วมันดูเหมือนไลท์นิ่งจงใจทำให้เกิดเรื่องต่างๆขึ้นมาเลย เหมือนว่า รู้ไหมคะ เธออาจทำลงไปเพราะมีเป้าหมายบางอย่างก็ได้ อือออ”
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“เราไม่อยากพูดอะไรไม่ดีกับคนไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยสิ แต่…”
“นี่อยากทะเลาะกับชั้นรึไง?”
“ไม่ค่ะ ไม่ ถ้าจะทำแบบนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่เราไม่อยากให้ไซคีไม่พอใจ เอ่ออ รันยุยกับดิโกะดูไม่เหมือนว่าทั้งคู่อยากเข้าไปยุ่งด้วยใช่ไหมคะ แบบนั้นไลท์นิ่งก็จะทำตามที่ตัวเองอยากทำ พวกเราหยุดเธอไม่ได้เลย”
“มัน… ก็จริง”
“นี่ขึ้นอยู่กับแผนและเรื่องที่ไลท์นิ่งทำด้วย แต่ในกรณีที่แย่ที่สุด จินตนาการเรื่องสถานการณ์ที่พวกเราที่เป็นสมาชิกในกลุ่มไม่สามารถเรียนจบได้อีกแล้วออกไหมคะ? อืออ สำหรับเราแล้วมันดูเหมือนว่าไลท์นิ่งพยายามสร้างความแตกแยกในห้องเรียนเลย”
ไซคีไม่ได้พยักหน้า แต่ภายในใจของเธอเห็นด้วย เธอรู้สึกว่าไลท์นิ่งไม่ใช่แค่แสดงความรุนแรงออกมาเพราะอยากทำ เธอไม่ยอมให้กลุ่มสามเป็นมิตรกับกลุ่มอื่นด้วย เธอทำให้เท็ตตี้กับเมฟิสทะเลาะกัน แถมยังไปสู้กับอาเดลไฮลด์เองอีก
“แถมยังมีการที่เธอไปสู้กับอาเดลไฮลด์อีก อืออ” แซลลี่พูดต่อ “มันรู้สึกเหมือนว่าที่นี่มีอะไรบางอย่างอยู่ แถมวิธีที่รันยุยกับดิโกะตอบสนอง มันรู้สึกเหมือนว่าพวกเธอรู้อะไรบางอย่างเลย”
ไซคีคิดว่าแซลลี่มีสายตาในการมองที่ยอดเยี่ยม แต่เธอก็ไม่อยากชมออกมาดังๆ
“ถึงพวกเราจะไม่ทำอะไรจนกว่าจะจบการศึกษา” แซลลี่พูด “ตราบใดที่เรายังทำงานต่อไปได้จนถึงเทอมแรกของภาคเรียนหน้าโดยไม่มีเรื่องอะไรใหญ่ๆเกิดขึ้น แบบนั้น เรา… ใช่แล้ว ราวๆเทอมหน้าหรือหลังจากนั้น หรือหลังจากนั้นไปอีก พวกนั้นอาจจะคุยกันเรื่องที่จะทำให้เราเป็นคิวตี้ฮีลเลอร์ แถมชื่อคิวตี้ฮีลเลอร์ ราเว็นก็ถูกอนุมัติอย่างไม่เป็นทางการแล้วด้วย เป็นชื่อที่ดีเลยใช่ไหมล่ะคะ? ดังนั้นเราเลยไม่อยากถูกลากเข้าไปในปัญหาแปลกๆ อืออ ดังนั้น ไซคี ในฐานะมืออาชีพด้วยกัน โอเคนะ? พวกเราทั้งคู่ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มาร่วมมือกันนะคะ?”
รอยย่นระหว่างคิ้วของไซคีคลายลงเล็กน้อย เธอเข้าใจในสิ่งที่แซลลี่พูด เธอเองก็อยากเห็นด้วยเหมือนกัน เธอไม่อยากถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความไม่ยั้งคิดของไลท์นิ่งจนถูกไล่ออก ถ้าเรื่องมันเลวร้ายที่สุด เธอก็อยากแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อช่วยตัวของเธอเอง ซึ่งแซลลี่ไม่รวมอยู้ในนั้น แต่ไซคีก็พยักหน้าตามไปด้วยราวกับว่าพวกเธอลงเรือลำเดียวกันแล้ว “ชั้นชอบแบบนั้นนะ เห็นด้วย เอาแบบนั้นแหละ งั้นก็ เมื่อเวลามาถึง พวกเราจะช่วยกันและกัน”
“อ๋า ดีใจจังเลยค่ะที่เร็วแบบนี้… อย่างที่คิดไว้ สมกับเป็นมืออาชีพเลย”
“ก็นะ รู้ไหม สำหรับชั้นแล้วเรื่องนี้มันมีเงินเดิมพันอยู่ เธอเองก็มีเงินเดิมพันอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ถูกเลือกเป็นคิวตี้ฮีลเลอร์คงได้เยอะน่าดูสินะ?”
“อ่าาา ไม่เลยค่ะ อนิเมของเมจิคัลเกิร์ลคือเรื่องของชื่อเสียง”
“หือ? จริงดิ? ไร้สาระชะมัด เสียเวลาเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ”
“ไม่เอาน่า แต่ถึงเธอจะเป็นคิวตี้ฮีลเลอร์ —แต่นั่นไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงเลย รายการมีอยู่เพื่อเอาไว้ทำเงินนะ”
ใบหน้าของแซลลี่เปลี่ยนไปทันที เธอดูแปลกไป เธอถอนหายใจออกมายาวๆจนลมที่พ่นออกมานั้นมันแรงพอจะมาถึงไซคี จากนั้นหายใจเข้ายาวๆแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ “ไซคีคะ โลกใบนี้มีเมจิคัลเกิร์ลสองประเภท เมจิคัลเกิร์ลที่รักคิวตี้ฮีลเลอร์ และเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่เข้าใจว่าคิวตี้ฮีลเลอร์ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน”
อ๊ะ ไซคีคิด เธอเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนหลายครั้ง มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ก้าวลงไปในทุ่งระเบิด
“พวกเราไม่มีเรียนจนถึงตอนเย็นด้วย ดังนั้นคงว่างสินะคะ? อืออ โอเคค่ะ เราจะสอนว่าคิวตี้ฮีลเลอร์ยิ่งใหญ่ขนาดไหนให้เอง ดังนั้นไซคีเองก็จะได้เข้าใจด้วย”
รอยยิ้มของแซลลี่ฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
☆ คุมิคุมิ
เพราะงานออกกำลังภาคสนามที่จู่ๆก็ถูกจัดขึ้น เธอจึงมีเวลาว่างมาก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เธอก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาว่างที่จู่ๆก็มีให้เกิดประโยชน์ยังไงดี คุมิคุมิกลับไปนอนจนเกือบถึงเที่ยง แล้วก็ออกมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้านเพื่อซื้อของสำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็น เธอเอากระเป๋ารีไซเคิลใส่ไว้ในตะกร้าจักรยานและปั่นกลับมายังอพาร์ทเมนท์ ฟังเสียงบันไดเอี๊ยดอ๊าด ควานหากุญแจในกระเป๋าแล้วสอดเข้าไปในรูกุญแจเก่าๆที่ขึ้นสนิมหนา จากนั้นก็เข้าไปในอพาร์ทเมนท์ของตัวเอง
เรื่องห้องเรียนทั้งหมดที่เธอคิด —ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เป็นเรื่องของเมฟิส คุมิคุมิคิดว่าส่วนใหญ่แล้วมันเป็นความผิดของเมฟิส แค่การชี้ให้เห็นมันก็ทำให้เมฟิสโกรธจนพวกเธอไปไหนไม่ได้ ไม่มีใครเลยที่พูดแบบนั้น แต่เธอมั่นใจว่าทั้งห้องเรียนเห็นด้วย
ตั้งแต่ที่เมฟิสกับเท็ตตี้กลับมาเจอกันในห้องเรียน พวกเธอก็ทะเลาะกันทุกครั้งที่มีโอกาส ราวกับว่าเกมการ์ดและการจำลองการต่อสู้ได้ฝั่งเมล็ดแห่งความแตกแยกลงไปในห้องเรียน
แน่นอนว่าคุมิคุมิอยากให้ทั้งคู่คืนดีกัน เธออยากเรียนจบโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น การที่เพื่อนสองคนของเธอทะเลาะกันทำให้เรื่องต่างๆยุ่งยากขึ้น มันไม่มีอะไรดีเลย แต่ปัญหานั้นกลายมาเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวว่าคุมิคุมิพูดไม่เก่งพอที่จะเป็นตัวกลางระหว่างทั้งคู่ ลิเลี่ยนในร่างเมจิคัลเกิร์ลคงตะหนักถึงสถานการณ์นี้ดี ในขณะที่ตัวเองก็พูดจาได้ฉะฉาน แต่เหมือนว่าเธอจะสนใจแค่เรื่องในพื้นที่ของตัวเอง เธอจะแสดงท่าทางแบบรู้แจ้งแล้วพูดอะไรอย่าง “เวลาจะแก้ไขปัญหาให้พวกเราเอง” ออกมาอย่างรอบรู้
ดังนั้นจึงไม่สามารถหวังพึ่งลิเลี่ยนได้ คนเดียวที่คุมิคุมิสามารถหวังพึ่งได้ก็คือตัวเธอเอง แม้เธอจะไม่ได้พูดเก่ง แต่ถ้าเธอพยายามพูดในสิ่งที่ควรพูดออกมาอย่างจริงใจ อย่างน้อยความรู้สึกของเธอก็ควรจะสื่อไปถึงได้ แล้วแบบนั้นควรทำยังไงล่ะ? ในตอนที่คุมิคุมิกำลังคิดเรื่องนี้ เธอก็เปิดตู้เย็นแล้วใส่ของที่ซื้อมาเข้าไป จากนั้นก็ดึงเอาขวดชาบาร์เลย์ที่เธอทำเมื่อวันก่อนออกมาเทใส่ในแก้วเพื่อดื่ม แต่ในระหว่างนั้น มือของเธอก็ลื่นจนเกือบจะทำขวดชาตก แม้ว่าเธอจะจับเอาไว้ได้ แต่น้ำชาก็หกลงบนพื้นอยู่ดี
เธอจะปล่อยให้พื้นเปื้อนไม่ได้ คุมิคุมิจำได้ว่ามีกล่องทิชชู่อยู่บนโต๊ะ เธอจึงเปิดประตูเลื่อนเพื่อเข้าไปในห้องนั่งเล่นและกำลังจะหยิบทิชชู่จากกล่อง แต่เธอก็ไปสบตาเข้ากับคนที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะ
“โอ๊ะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”
คุมิคุมิแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลและจับพิกแอคเตรียมพร้อมในทันที แต่ก่อนที่เธอจะเหวี่ยงลงมา เธอก็ค่อยๆลดพิกแอคลงไปที่พื้น เธอเคยเห็นเมจิคัลเกิร์ลคนนี้มาก่อน เมจิคัลเกิร์ลสไตล์นักทำนายที่มีคริสตัลบอลขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าหน้าตาคือรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ดวงตาและน้ำเสียงที่สดใสที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบาย เธอชื่ออะไรกันนะ? เมื่อก่อนเธอเคยมาเยี่ยมผู้คุ้มกันชั้นยอด คุมิคุมิไม่ได้ถูกแจ้งว่ายศของเธออยู่ระดับไหน แต่คงอยู่ในตำแหน่งสูงแน่ —และก็เป็นคนที่จะทำให้ไม่พอใจไม่ได้ด้วย
ในตอนที่คุมิคุมิกำลังสำรวจจิตใจตัวเองและยืนยันว่าข้อมูลนี้ไม่ผิดแน่ เธอก็จำได้ว่ารุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่าคนๆนี้อาจดูเป็นเด็กในทางที่แปลกๆและบางครั้งก็ทำให้ประหลาดใจ
เมื่อคุมิคุมิใจเย็นลงแล้ว เธอก็นั่งลงที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามผู้หญิงคนนั้น “แล้ว… มีธุระอะไร… กับฉันเหรอ?”
“การตอบสนองยอดเยี่ยมเลย ดีใจนะที่ได้มาบ้านของเธอ” หญิงสาวพูด
“เอ่อ… เรื่องธุระ?”
“ฉันไม่รังเกียจชาบาร์เลย์หรอก”
คุมิคุมิรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้งจนเข่าของเธอกระแทกเข้ากับโต๊ะ ในร่างเมจิคัลเกิร์ลมันไม่ได้เจ็บก็จริง แต่มันน่าอาย หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าปิดปากตัวเองเอาไว้แถมไหล่เองก็สั่น ซึ่งมันทำให้คุมิคุมิอายหนักขึ้นกว่าเดิม
คุมิคุมิเทชาบาร์เลย์ลงไปในแก้วแล้วก็ดันเข้าไปหาผู้มาเยือนตรงหน้าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นแค่ชาบาร์เลย์ชงเย็นแบบลดราคา แต่หญิงสาวก็ยกมันขึ้นจิบด้วยท่าทางที่ราวกับว่าอร่อยมาก
“ความจริงแล้ว” ผู้มาเยือนพูด “ฉันมาที่นี่ในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะขอร้อง อ๊ะ ฉันตรวจดูในอพาร์ทเมนท์เรียบร้อยแล้วล่ะว่าไม่มีอุปกรณ์ดักฟังอยู่ ดังนั้นสบายใจได้”
“อ่า… ขอบคุณนะ”
“เรื่องห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลที่เธอเข้าไปน่ะ แผนเดิมมันถูกจัดขึ้นโดยฝ่ายพัค หลังจากที่พัคพั๊คตายไปแล้ว ฝ่ายโอสจึงฉกเอาโครงการนี้มา แต่ฝ่ายโอสก็ไม่เคยตระหนักถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเรื่องนี้เลย ก็นะ —ฉันเองก็ไม่รู้จนถึงเมื่อเร็วๆนี้เหมือนกัน ดังนั้นจะไปว่าอะไรไม่ได้หรอก แล้วก็ สุดท้ายแล้วห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเป็นเพียงแค่ฉากที่พัคพั๊คตั้งใจจะใช้มันเป็นแผนสำรองสำหรับกอบกู้ดินแดนเวทมนตร์ พัคพั๊คไม่ได้คิดเอาแผนสำรองขึ้นมาใช้ แม้จะเสียชีวิตไปในแผนหลักของตัวเอง แต่แผนสำรองก็ไม่ได้ถูกลบหายไป หากมันเป็นไปได้ด้วยดีก็สามารถนำแผนกลับมาใช้ใหม่ได้ แล้วก็… ฉันอยากขอความร่วมมือจากเธอน่ะ”
เนื่องจากคุมิคุมิจดจ่ออยู่กับการจำทุกอย่างที่หญิงสาวพูดออกมาโดยไม่ให้ลืมไปซักคำเดียว ดังนั้นเธอจึงยังไม่ได้คิดถึงเรื่องของเนื้อหาและเข้าใจแต่เพียงว่าถูกขอให้ทำอะไรบางอย่าง
☆ คัลโคโระ
แค่คิดถึงการที่เด็กนักเรียนทุกคนมารวมตัวกันในห้องเรียนตอนกลางคืนในร่างเมจิคัลเกิร์ล มันก็ทำให้คัลโคโระรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาแล้ว แต่เธอก็ยั้งความรู้สึกนั่นเอาไว้ในตอนที่เปิดดูรายชื่อ
เธอรู้สึกค่อนข้างหนักใจตั้งแต่ตอนเริ่มเตรียมงานออกกำลังนี้แล้ว เริ่มด้วยการตรวจสอบพื้นที่ภูเขาเบื้องต้น เธอไปยังพื้นที่มากกว่าร้อยจุดที่ดูเหมือนมีความสำคัญเป็นพิเศษ ซ่อนกล้องเวทมนตร์เอาไว้ และทำรายการของเรื่องที่น่าเป็นห่วงออกมา พอเธอทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อย เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองถูกบังคับให้ออกไปลงสนามไม่มีผิด
เธอคิดแผนนี้ขึ้นมาในการพยายามให้ตัวเองมีภาระงานน้อยลง แต่เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าฮัลน่าเพิ่มความทุกข์ที่เดิมทีไม่มีอยู่เข้ามามากขึ้น
คัลโคโระเรียกชื่ออาร์ค อาร์ลี่ เธอตอบกลับมาด้วยเสียงที่เหมือนกับนกร้องแต่ก็มีพลัง เธอเรียกคานะเป็นคนต่อไปตามลำดับอักษร คำตอบเงียบๆของเธอไม่ต่างจากวันก่อน เมื่อสายตาของคัลโคโระมองไปที่คานะ เธอก็ตัวแข็งทื่อ มันเลยทำให้เธอใช้เวลานานเกินจำเป็นกว่าจะเรียกคุมิคุมิที่เป็นคนถัดไป เมื่อเรียกชื่อคุมิคุมิแล้วเธอก็กระแอมออกมา จากนั้นก็เรียกชื่อต่อตามปกติ
ในตอนที่เรียกชื่อคลาสสิคคัล ลิเลี่ยน เธอก็เหลือบมองไปที่คานะ เธอไม่ได้มองผิด คานะแตกต่างจากเมื่อวาน เส้นผมของเธอที่ยุ่งได้ถูกมัดเป็นโพนี่เทลเข้าด้วยกัน —มันเป็นเวทมนตร์อะไรรึเปล่านะ? มันแย่เกินไปที่จะเรียกว่าแฟชั่นด้วย โซ่ที่ห้อยลงมาจากด้านหน้าชุดเครื่องแบบมีลูกบอลหนามแหลมอยู่ตรงปลาย ของพวกนี้ บางทีมันอาจเรียกว่าแฟชั่นได้ แต่สนับมือทองเหลืองที่มือขวาของเธอนี่เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากอาวุธ
ทำไมชุดของเธอถึงเปลี่ยนในชั่วข้ามคืนนะ? กฎของโรงเรียนมันควรจะมีหัวข้อที่บอกว่าห้ามเสริมหรือดัดแปลงเครื่องแต่งกายอยู่สิ แต่ถึงคัลโคโระจะใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อให้เธอกลับมาใส่ชุดเก่า คานะจะฟังรึเปล่า? เพราะมันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอเพิกเฉยกฎโรงเรียนเที่ต้องคลายการแปลงร่างในชั่วโมงปกติด้วย
คนต่อไปก็คือเมฟิส เฟเลส ฮัลน่าบอกคัลโคโระไว้ว่าคานะไปอยู่ที่บ้านของเมฟิส เพราะแบบนั้นเธอจึงรู้ ดังนั้นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดคงไม่ใช่ว่าคานะได้รับอิทธิพลจากเมฟิสที่สนใจเรื่องนักเลงหรอกนะ? แค่มองดูเมฟิสก็บอกได้ว่า เธอนั้นรู้สึกพอใจไม่ก็อารมณ์ดีอยู่
หากเมฟิสมีอิทธิพลต่อคานะ แบบนั้นการหยุดเธอไว้คือเรื่องที่ดีที่สุด ประเภทของนักเรียนที่คัลโคโระรับมือได้ง่ายไม่ใช่ประเภทแบบเมฟิสแน่นอน เธอหัวเราะออกมาแบบเงียบๆเพราะการเป็นอาจารย์ต้องพยายามไม่ให้นักเรียนดีๆถูกดูดกลืนโดยนักเลง จากนั้นเธอก็เรียกชื่อของแรปปี้ ทิป และเธอก็ตอบกลับมาเสียงดังตามปกติ
“เอาล่ะค่ะ” คัลโคโระเริ่มพูด “คืนนี้จะเป็นงานออกกำลังภาคสนามเหมือนกับที่ดิฉันได้อธิบายไปก่อนหน้านี้”
นักเรียนทุกคนมากันครบ แม้ว่าจะเป็นอีเวนท์ที่จัดขึ้นแบบกระทันหันก็ตาม ฮัลน่าคงไม่โกรธเธอเรื่องจำนวนคนที่เข้าร่วมแล้ว
“ตำแหน่งคือภูเขาด้านหลังโรงเรียนค่ะ ให้เตรียมพร้อมยังจุดที่กำหนดพร้อมกับกลุ่มของตัวเองไว้ งานจะเริ่มตอนห้าทุ่มครึ่ง เอาล่ะ ทุกคนไปได้แล้วค่ะ”
พอยืนยันว่านักเรียนทุกคนออกจากห้องเรียนแล้ว คัลโคโระก็มุ่งหน้าไปยังห้องปฎิบัติการ ด้วยชื่อแล้วมันคือห้องที่เอาไว้สำหรับปรับแต่งโฮมุนครูสที่หลักๆเอาไว้ใช้ในการทดลอง ซึ่งมันไม่สามารถใช้งานได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่สองคนที่ทำงานอยู่ภายในโรงเรียน —ซึ่งก็คือฮัลน่าและคัลโคโระ
คัลโคโระรูดคีย์การ์ดส่วนบุคคลผ่านเครื่องอ่านที่อยู่ด้านบน จากนั้นก็ก้มตัวเล็กน้อยเพื่อเลื่อนคีย์การ์ดที่ใช้ร่วมกันผ่านเครื่องอ่านที่อยู่ด้านล่าง ประตูเลื่อนเปิดออก แสงไฟสว่างขึ้นโดยอัติโนมัติ และของเหลวที่ถูกประตูกั้นเอาไว้ก็ไหลเข้ามาหาเท้าของเธอ ฝีเท้าของคัลโคโระหยุดนิ่ง
เธอต้องใช้เวลาอยู่ครู่กว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มันเกิดขึ้นแล้ว มีร่างของชายนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะยาวของห้องปฎิบัติการ อายุดูเหมือนอยู่ในช่วงยี่สิบตอนปลาย สวมชุดจอมเวทพื้นฐานที่มีผ้าคลุมกับหมวกสามเหลี่ยม และมีของเหลวที่ไหลหยดลงมาจากร่างผ่านผ้าคลุมที่ดูชุ่ม —เลือดนั่นเอง—
คัลโคโระก้าวเข้ามาในห้องผ่านบ่อเลือดที่อยู่บริเวณเท้า เข้าหาร่างของชายคนนั้นจากด้านข้างเพื่อตรวจดูชีพจรและลมหายใจ เขาตายแล้ว ร่างเองก็เย็นไปเรียบร้อย หลังจากเสียเลือดไปมากขนาดนี้มันไม่มีทางที่เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีก
ไหล่ของคัลโคโระสั่น เธอหยุดมันไม่ได้ อากาศที่หายใจเข้าและออกก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเลือดจนทำให้เธอรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม เธอหลับตาลงแล้วก็เปิดออก
ก่อนอื่นเธอต้องรายงานเรื่องนี้ เธอเข้าไปหาสัญญาณเตือนภัยที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องแต่ก็หยุดลงครึ่งทาง อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยมีรอยบุ๋มขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งมันน่าจะเกิดจากบางสิ่งที่ไม่มีคม
ชีพจรของคัลโคโระเต้นรัว เธอควรจะเป็นคนเดียวที่ใช้คีย์การ์ดเปิดเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครอื่นนอกจากร่างของชายที่นอนคว่ำหน้า แบบนั้นเขาก็เป็นคนที่ทำลายอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยงั้นเหรอ? ทำไมกันล่ะ?
ในตอนนี้เธอต้องทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ เธอดึงเอาเมจิคัลโฟนออกมา เธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเพื่อติดต่อไปยังภายนอก แต่เมจิคัลโฟนของเธอกลับใช้การไม่ได้ ทำไมกัน? มันไม่สมเหตุสมผลเลย
ทำยังไงดี? เธอมองไปทางขวา จากนั้นก็มองมาทางซ้าย มองไปรอบๆอย่างกระสับกระส่ายจนเห็นสิ่งที่อยู่ตรงมือของชายคนนั้นที่ห้อยลงมา เธอดันแว่นของตัวเองขึ้นแล้วเอาใบหน้าเข้าไปใกล้กับหลังมือ มันคือรอยสัก เธอเคยเห็นเครื่องหมายแบบนี้มาก่อน สมาชิกของสถานที่แห่งนั้นจะสักเอาไว้ที่หลังมือเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็น
คนของห้องทดลองนี่นา…!
คัลโคโระตรวจสอบการตั้งค่า ตัวเลขที่แสดงผลอยู่บนจอเธอไม่เคยเห็นมันมาก่อน เธอกดคีย์บอร์ดแต่มันก็ไม่ตอบสนอง ตัวเลขมันยังคงเคลื่อนไหว คัลโคโระไม่ได้อนุญาตอะไรแบบนี้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ฮัลน่าไปประชุมอยุ่ที่สำนักงานใหญ่ เธอไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน และเพราะว่าคัลโคโระติดต่อเธอไม่ได้ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ดุลยพินิจของตัวเอง ด้วยอัตรานี้ ทั่วทั้งภูเขาจะเต็มไปด้วยโฮมุนครูส —โฮมุนครูสที่มีการตั้งค่าไม่เหมือนกับที่ต้องใช้ในงานออกกำลังภาคสนามเลย
อ๊ะ จริงสิ… ถ้าดิฉันใช้มาสเตอร์ยูนิท… มันจะทันเวลาไหมนะ?
คัลโคโระที่รีบวิ่งออกจากห้องเกือบลื่นเพราะเลือดเจิ่งนองอยู่บนพื้น