Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE - ตอนที่ 7.07 Arc 7 - ตอนที่ 7 - HEART VS. HEART
- Home
- Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE
- ตอนที่ 7.07 Arc 7 - ตอนที่ 7 - HEART VS. HEART
ตอนที่ 7:
HEART VS. HEART
☆ คุมิคุมิ
เมฟิสบอกเธอว่าเมื่อคืนมันเป็น “หายนะ” ชัดๆ เธอบอกว่าอาจารย์ใหญ่สั่งให้นักเรียนแลกเปลี่ยนมาอยู่ที่บ้านด้วย ก่อนอื่นเลย คุมิคุมิส่งรายงานไปยังฐานบัญชาการของผู้คุ้มกันชั้นยอดในเรื่องที่เมฟิสบอกเธอ เธอยังแจ้งลิเลี่ยนด้วย แต่สิ่งที่ลิเลี่ยนตอบมาก็คือ “อ่าา” แล้วก็ “อ่าหะ” ตามปกติ มันหมายความว่ายังไงก็ได้ คุมิคุมิเลยถอนหายใจออกมา เรื่องนี้มันค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่คุ้มเลยที่จะบอกเธอ
พอวันรุ่งขึ้น เมื่อคุมิคุมิเห็นอาเดลไฮลด์ที่โรงเรียน เธอก็บอกเรื่องของเมฟิสไป แต่อาเดลไฮลด์ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรเลย คุมิคุมิถามเธอว่ามีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า และอาเดลไฮลด์ก็บอกว่ามีอะไรที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นอีก เธอบอกว่าเมื่อคืนก่อนที่โรงเรียน ไลท์นิ่งเข้าโจมตีเธอ แล้วพวกเธอก็เกิดสู้กันจริงๆขึ้นมา
ก่อนชั่วโมงโฮมรูมจะเริ่ม สมาชิกกลุ่มสองมานั่งรวมตัวกันที่บันไดด้านหลังโรงยิม เอนหลังพิงกับกำแพง ไม่ก็นั่งบนพื้นเพื่อทำการประชุมฉุกเฉิน การอยู่ในสถานที่แบบนี้ด้วยท่าทางแบบนี้ มันทำให้พวกเธอดูเหมือนเด็กเกเรไม่มีผิด บางทีเธออาจจะไม่ได้คิดไปเองที่เห็นเมฟิสดูร่าเริงก็ได้
“แล้วนักเรียนแลกเปลี่ยนล่ะ?” คุมิคุมิถามเมฟิส
“ชั้นพาเธอไปห้องเรียนก่อนหน้าพวกเราแล้ว บอกไปด้วยว่าถ้าทำตัวดีๆก็จะให้สมุดกับดินสอ คงไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้าไม่ก็ต้องคิดกันอีกที”
พวกเธอทุกคนอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล ลิเลี่ยนนั้นกำลังถักไม้ตีจังหวะและขึงเส้นด้ายในบริเวณโดยรอบอย่างทันท่วงทีเพื่อตรวจจับคนที่เข้ามาใกล้ ฉันล่ะอยากให้ลิเลี่ยนตอนอยู่ในร่างมนุษย์พึ่งพาได้แบบนี้จัง คุมิคุมิคิดในตอนที่วางพิกแอคพิงกับกำแพงของโรงยิม เธอถอดหมวกออกวางเอาไว้ด้านบนด้วย แต่พอได้เห็นว่าอาเดลไฮลด์นั้นไม่ได้ถอดหมวก ดาบ หรือผ้าคลุมออก เธอเอนตัวพิงกับกำแพงไปทั้งแบบนั้น คุมิคุมิก็คิดว่า อ๊ะ คนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอนี่ทำตัวเหมือนอยู่ในสนามรบตลอดเวลาเลย แล้วก็รู้สึกละอายใจที่ตัวเองวางพิกแอคเอาไว้ แม้มันจะอยู่ในระยะที่เอื้อมถึง แต่การหยิบขึ้นมาอีกครั้งคงทำให้รู้สึกอายมาก ดังนั้นเธอจึงปล่อยมันไว้แบบนั้น และเมจิคัลเกิร์ลสี่คนก็เริ่มคุยกัน
“แม่งโคตรเจ๋งเลย อาเดลไฮลด์!”
“เมฟิส เสียงดัง…ไปแล้วนะ” คุมิคุมิพูด
“มันเจ๋งยังไงล่ะนั่น? ที่ชั้นบอกน่ะคือมันแย่สุดๆ”
“ตอนที่เธอบอกว่าแย่เนี่ย…” เมฟิสใช้นิ้วชี้ของทั้งสองมือและหางที่เส้นผมชี้มาที่อาเดลไฮลด์
แต่คนที่ถูกชี้ก็พึมพำออกมาว่า “อะไร…?” ราวกับรู้สึกไม่สบายใจ
“มันแย่หน่อยที่สนุกใช่ไหมล่ะ?” เมฟิสพูดต่อ “ไม่ได้แย่จริงๆอะไรแบบนั้นสินะ?”
“ต่อสู้ด้วยชีวิตมันไม่มีอะไรสนุกหรอก แถมการไม่รู้ว่าเธอโจมตีมาทำไมด้วยนี่มันน่ากลัวนะ นี่เธอคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย?”
“กลัวการต่อสู้เรอะ! ฟังดูไม่เห็นเหมือนคนที่จบจากโรงเรียนกวดวิชามาโอจะพูดออกมาเลยว่ะ!”
คุมิคุมิพูดซ้ำ “เมฟิส เสียงดัง…เกินไปแล้วนะ”
“ในขณะที่ชั้น…” เมฟิสพูดว่า “ต้องใช้เวลาทั้งคืนถามคำถามอีนั่นอีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง แต่อีเวรนั่นแม่งไม่ตอบอะไรเลย ชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวทมนตร์ของตัวเองมันมีผลรึเปล่า แม่งเอ๊ย ดูไม่เหมือนว่าจะฝึกการต่อต้านการทรมาณแบบพิเศษแบบในมังงะมาด้วยเลย พอเวลาผ่านไปค่อนคืน ชั้นก็แน่ใจแล้วล่ะว่าแบบนี้มันไม่ได้ผล แต่ชั้นก็ต้องทำใช่ไหมล่ะ? ถ้าชั้นทำแบบว่า ไม่ได้ผลแล้วพอดีกว่า แบบนั้นคุมิคุมิ ทุกคนเองก็คงผิดหวังเหมือนกันแน่ มั่นใจเลยล่ะ ไอ้นี่แม่งไม่สนุกเลยนะ ประโยชน์เองก็ไม่เห็นจะมี นี่แหละที่ควรเรียกว่าแย่ เธอน่ะยังได้ออกแรงสู้บ้าง ใช่ไหมล่ะ?”
“สรุปแล้วคืออิจฉาเหรอ?” ลิเลี่ยนถาม
“ก็เออสิ ชั้นอิจฉา! เอาโอกาสสู้มาให้ชั้นด้วยเซ่!”
“โอกาสมันมีอยู่ทุกที่นั่นแหละ ชั้นแน่ใจ ถ้าเมื่อคืนเธอมาที่รอบๆโรงเรียน บางทีอาจจะได้สู้ก็ได้” มันยากที่อาเดลไฮลด์จะมีท่าทางจริงจัง แต่ในตอนนี้เธอกำลังเป็นแบบนั้น และมันก็ทำให้แม้แต่เมฟิสเองยังต้องเงียบปาก
ลิเลี่ยนพูดออกมาว่า “แล้ว…” โดยใช้ประโยชน์จากบทสนทนาที่หยุดชะงัก การที่เธอพูดออกมาได้ตรงจังหวะมากๆ มันก็ทำให้คุมิคุมิคิดว่า อยากให้เธออยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลไปตลอดเลย
“ทำไมถึงมาที่โรงเรียนตอนกลางคืนตั้งแต่แรกล่ะ?” ลิเลี่ยนถาม
“ในฐานะเมจิคัลเกิร์ล อย่างน้อยมันก็ต้องลาดตระเวณรอบเขตของตัวเองใช่ไหมล่ะ?”
“นี่เขตของเธอ?” เมฟิสพูดตัด
“ก็เป็นเขตของชั้นน่ะนะ”
“งั้นก็อย่าปล่อยให้มีผู้บุกรุกเข้ามาสิเฮ้ย! แม่ง หงุดหงิดว่ะ ทำตัวอวดเบ่งไปได้ทั้งๆที่โดนไลท์นิ่งไล่เตะมา”
“พวกเราต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้… มากเท่าที่ทำได้นะ” คุมิคุมิพูด
“ไอ้ขี้แพ้!”
“ถ้าจะพูดกันเรื่องต่อสู้ เมฟิส เธอเองก็ต้องระวังตัวเหมือนกัน เมื่อวานเธอทำร้ายเท็ตตี้แถมยังทำคาบนันทนาการพังหมดด้วยสินะ? นั่นน่ะมันเกินไป ชั้นแน่ใจว่าเท็ตตี้ไม่ได้ตั้งใจทำอะไรหรอก แล้วก็ไม่นานมานี้ มันมีเรื่องคาใจชั้นมาพักนึงแล้ว ได้ยินว่าทั้งสองคนมีเรื่องอะไรกันใช่ไหม?”
“ฉันได้ยินว่า… พวกเธอ… เข้าโรงเรียนประถมที่เดียวกัน… แล้วก็กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล… ด้วยกัน”
“อ่า งั้นเหรอ?” อาเดลไฮลด์พูด “เป็นเพื่อนสมัยเด็กงั้นสินะ”
“หุบปากได้แล้วโว้ย! หยุดพูดเรื่องปัญญาอ่อนนี่ซักที! คุยเรื่องไลท์นิ่งกันอยู่ไม่ใช่เรอะ! ห่าเอ๊ย!”
คุมิคุมิมองอาเดลไฮลด์เพื่อห้าม แต่อาเดลไฮลด์ก็กำลังจะเถียงกลับไปอีก จากนั้นเธอก็พยักหน้าให้ลิเลี่ยน ถ้าพวกเธอจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างเท็ตตี้กับเมฟิส พวกเธอก็ควรจะพูดในตอนที่เมฟิสไม่อยู่รอบๆ
เหมือนว่าลิเลี่ยนจะรับรู้สัญญาณของเธอ จากนั้นเธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างราบลื่น “ตอนท้ายไลท์นิ่งไม่เป็นอะไรเลยใช่ไหม?”
“ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หลังจากที่ทุบเข้าไปที่ขมับอย่างแรงแล้ว ชั้นคิดว่า จบซักที คงจัดการได้แล้วแน่ แต่เธอกลับสบายดีแล้ววิ่งกลับบ้านไปเลยซะงั้น”
“ไม่ใช่ว่าจริงๆแล้วเธอหลบได้ไม่ก็ป้องกันการโจมตีไว้ได้ด้วยพลังหรืออะไรซักอย่างเรอะ?” เมฟิสถาม
“ไม่มีทาง ชั้นเห็นรอยยุบที่ขมับเธอด้วย อย่างน้อยก็ต้องหมดสติจนถึงเช้า”
“รอยยุบที่ขมับ…” เมฟิสพูดซ้ำ “ถ้าเกิดตายขึ้นมาจริงๆ คิดจะทำยังไงล่ะ?”
“ก็นะ ชั้นกะจะให้พวกเธอจัดการ ชินกับงานแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”
“นี่คิดว่างานของผู้คุ้มกันชั้นยอดมันรวมถึงการกำจัดศพด้วยเรอะ บ้าป่ะเนี่ย?!”
“นั่นสินะ ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ชั้นก็คิดว่าเธอคงใช้เวทมนตร์อะไรบางอย่าง”
“เวทมนตร์ของไลท์นิ่ง… จริงสิ” ลิเลี่ยนพูด “พลังสายฟ้าใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าลองคิดตามสามัญสำนึกดู” ลิเลี่ยนพูด “มันเป็นไปได้รึเปล่าที่จะใช้ไฟฟ้ารักษาแผลน่ะ?”
“ไม่หรอก”
“แบบนั้น… พูดอีกอย่างก็คือ…” คุมิคุมิไม่เก่งเรื่องการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างรวดเร็ว แต่ก็เพราะแบบนั้นเธอถึงมีเวลาคิดอย่างช้าๆและรอบคอบ ดังนั้นเธอจึงสามารถคาดเดาเหตุผลของปรากฎการณ์ลึกลับที่ไลท์นิ่งไม่ได้รับบาดเจ็บออกมาได้ แต่ถึงเธอจะคิดออก เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างฉะฉาน ดังนั้นคำพูดของเธอมันจึงออกมาช้าๆ “แบบนั้นหมายถึง… เวทมนตร์ของไลท์นิ่ง… จริงๆแล้วเป็นอย่างอื่นรึเปล่า?”
“เอ่อ แต่เธอก็ปล่อยสายฟ้าออกมาทั่วจริงๆน่ะนะ” อาเดลไฮลด์พูด
“ก็… เอ่อ… คือว่า…”
“อ๊ะ จริงสิ ใช่แล้วล่ะ ถ้าสายฟ้ามันมาจากไอเท็มเวทมนตร์ ในขณะที่เวทมนตร์จริงๆของเธอเป็นอย่างอื่นล่ะก็ มันก็จะไม่ขัดแย้งกันเลย” ลิเลี่ยนพูดพร้อมปรบมือ
อาเดลไฮลด์และเมฟิสมองหน้ากันอย่างประหลาดใจแต่พวกเธอก็แน่ใจเช่นกัน เมฟิสตบหลังคุมิคุมิ ยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า “ไม่เลวเลยนี่ คุมิคุมิ” ในขณะที่อาเดลไฮลด์พยักหน้าและพึมพำ “ก็จริง แบบนี้ทุกอย่างก็ลงตัว” คุมิคุมิไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น แต่เธอก็พยักหน้าตามด้วยท่าทางที่ดูเหมือนว่าตัวเองก็คิดแบบนั้นมาตลอด
“ชั้นได้ยินมาว่าการรายงานเรื่องเวทมนตร์ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือรายงานแบบผิดๆ สมัยก่อนมันเป็นเรื่องปกติ” อาเดลไฮลด์พูด
“จริงดิ?” เมฟิสพูด “ทำแบบนั้นได้ด้วย?”
“โอ๊ะ แต่การตรวจลงทะเบียนล่วงหน้าของที่นี่มันเข้มงวด แน่นอนว่าคงตรวจสอบอย่างถูกต้องมาแล้ว ดังนั้นถ้ามีใครโกหกก็จะถูกไล่ออกไปทันที… ชั้นคิดแบบนั้น”
“แต่มันก็ยังเป็นไปได้ว่าตรวจสอบมาแล้ว แต่ก็ปล่อยให้เข้ามาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมนะ” ลิเลี่ยนชี้
“จริงดิ? ทำขนาดนั้นก็ได้เรอะ?”
คนนึงในกลุ่มกอดอกและพยักหน้า อีกคนหนึ่งมองขึ้นไปด้านบนในอากาศ อีกคนส่งเสียงครางออกมา ในขณะที่ —คุมิคุมิ— หายใจออกมายาวๆทางจมูก เรื่องนี้เธอมีอะไรที่ต้องคิดเยอะ “ถ้านั่น… เป็นจุดยืน… ของอาจารย์ใหญ่… ที่ทำแบบนั้น เอ่อ… เป็นไปได้ว่า… จริงๆแล้ว นักเรียน… คนที่ซ่อนเวทมนตร์ของตัวเอง… เอ่อ… ไม่ดีแน่”
“ถ้าพวกเราเชื่อข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะไม่ได้ มันก็แย่มาก”
“วันนี้ไลท์นิ่งจะมาโรงเรียนไหม?” ลิเลี่ยนถาม
“ชั้นว่ามาแน่ แบบไม่สะทกสะท้านอะไรด้วย”
ใบหน้าของเมฟิสบึ้งตึง “ชั้นนึกภาพอีดอกนั่นที่ทำหน้าแบบ ‘เอ๋ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?’ ออกเลยล่ะ”
ตอนการฝึกซ้อมช่วงเช้าใกล้จะจบลง ทั้งสี่คนก็คลายการแปลงร่างแล้วกลับไปยังห้องเรียน ไลท์นิ่งที่อยู่ตรงทางเดินกำลังซุบซิบอะไรบางอย่าง เธอดูไม่ทุกข์ร้อนและมั่นใจเกินกว่าที่คุมิคุมิคิดเอาไว้ แถมยังยิ้มออกมาอย่างสบายๆ
☆ ไซคีเพลน
พอได้ยินข่าวชวนช็อคจากปรินเซสไลท์นิ่งที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสามที่สู้กับอาเดลไฮลด์ที่โรงเรียนตอนกลางดึกเมื่อคืนก่อน ไซคีก็รู้สึกสับสนมากกว่าจะโกรธ เธอคิดว่าคงมีเหตุผลอะไรซักอย่าง แต่คนที่อยู่ในคำถาม —ซึ่งก็คือไลท์นิ่ง— กลับยิ้มออกมาโดยที่ไม่มีความละอายอะไรแม้แต่นิด
“ตอนที่อยู่ในโรงเรียนอาเดลไฮลด์ซ่อนสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้เอาไว้ใช่ไหมล่ะ?” ไลท์นิ่งพูด “ตอนคาบนันทนาการก็เหมือนกัน เธอไม่เคยใช้เวทมนตร์ของตัวเองเลย ดังนั้นฉันเลยคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากทดสอบอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจทำอะไรประมาทหรอก แต่รู้ไหม อาเดลไฮลด์กลับเครื่องร้อนขึ้นมา แถมการที่เมจิคัลเกิร์ลสองคนอยู่ในโรงเรียนยามดึกดื่นเป็นสถานการณ์ที่ดูดราม่าดีด้วย ดังนั้นจะทำอะไรได้ล่ะ? ฉันก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรได้ นอกจากต้องปล่อยให้อาเดลไฮลด์ได้สู้ แน่นอน ฉันรู้ว่าสู้ไปก็ไม่มีอะไรดี”
คำพูดเล็กๆน้อยๆทำให้ไซคีรู้สึกสงสัยว่าสติของเธอยังดีอยู่รึเปล่า เธอวางแผนอะไรอยู่กันแน่ ถ้าตัวเองฆ่าอาเดลไฮลด์ได้หรือถูกอาเดลไฮลด์ฆ่าขึ้นมาล่ะ? ปากของรันยุยและดิโกะยังคงปิดสนิทโดยไม่พูดอะไรเลย ไซคีเองก็ไม่ได้คาดหวังให้ทั้งสองคนบอกอะไรอยู่แล้ว
ไซคีมองไปที่แซลลี่ คนที่มีท่าทางสับสนแต่ยังคงยิ้มออกมาในตอนที่ถามว่า “แบบนั้นก็คือ… แผนที่เธอวางเอาไว้ถูกกลุ่มสองรู้เข้า เลยกลายเป็นการต่อสู้เหรอออ?”
“ที่ว่าแผนนี่ หมายความว่ายังไงน่ะ?” ไลท์นิ่งถาม
“แผนของเธอก็แบบว่า เรื่องนั้นไง อื้อออ ตอนจำลองการต่อสู้เมื่อวาน ที่เอามีดสั้นของตัวเองไปให้กลุ่มหนึ่งและเสนอความร่วมมือน่ะ”
“ฉันเองก็สงสัยนะว่าทำไมเธอถึงยกเรื่องแผนขึ้นมาพูด… ถ้าหมายความตามที่พูด มันก็ไม่ได้ถูกเปิดโปงอะไรหรอก แถมพอพูดแล้ว พวกนั้นยังไม่คืนอาวุธที่ฉันให้ยืมไปเลย ถ้ามีมีดสั้นอยู่ล่ะก็ บางทีเมื่อคืนฉันคงชนะไปแล้วล่ะ”
“เอ่อ นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก…” ไซคีพูด
“ถ้าทำได้ฉันเองก็อยากจะบอกกับทุกคนนะ —อยากจะพูดว่า ‘ดูเหมือนจะกลายเป็นการต่อสู้ซะแล้ว นี่ฉันควรทำไงดี?’ เหมือนกัน แต่มันไม่มีเวลาใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นฉันก็เลยถูกบังคับให้บอกหลังจากเรื่องผ่านไปแล้ว โทษทีนะ”
ไลท์นิ่งที่อยู่ตรงหน้ากำลังขอโทษด้วยรอยยิ้มที่เสมือนกับเป็นนางฟ้า แม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้มีความปรารถนาแบบจริงใจที่จะขอโทษก็ตาม ไซคีก็ไม่สามารถพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้ เธอทำได้แค่บ่นเหมือนเคย และแซลลี่ คนที่พูดเก่งมากกว่าไซคี ก็ไม่สามารถพูดซักไซ้ไลท์นิ่งได้เช่นกัน มีเพียงแค่การพูดเตือนว่า ‘คราวหน้าระวังด้วยนะ’ ในขณะที่รันยุยมองไลท์นิ่งราวกับว่าเธอเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือวีรสตรีที่ลงมือเองโดยไม่ต้องบอกกับคนอื่นก่อน และดิโกะที่อยู่ตรงนั้นและไม่ได้ทำอะไรเลย จากท่าทางของเธอแล้ว มันบอกไม่ได้เลยว่าเธอคิดดีหรือไม่ดีกับไลท์นิ่ง
“น่าเสียดายก็จริงที่ฉันแพ้” ไลท์นิ่งพูดต่อ “แต่ฉันก็ได้เห็นเวทมนตร์บางอย่างของคู่ต่อสู้มา ฉันคิดว่าคราวหน้าที่พวกเรามีการจำลองการต่อสู้ พวกเราก็สามารถใช้มันเป็นความได้เปรียบได้ คราวหน้า พวกเราสามารถจัดการกลุ่มสองได้ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องทำอะไรน่าเบื่ออย่างการไปร่วมมือกับกลุ่มหนึ่ง”
ถ้าจะเปรียบคำว่า “หน้าด้านไร้ยางอาย” ให้เป็นคนล่ะก็ มันก็คือไลท์นิ่งในตอนนี้ มันไม่ใช่แค่การที่เธอคิดว่าตัวเองไม่ได้ผิด —แต่เธอยังพูดอะไรบ้าๆออกมาด้วย แถมมันยังฟังดูน่าเชื่อแบบแปลกๆ อาจโทษได้ว่าเป็นความผิดของหน้าตาที่ไร้ตำหนิจนเกินไปของเธอ เพราะไม่ว่าเธอจะพล่ามเรื่องงี่เง่าขนาดไหนออกมา มันก็กลายเป็นว่าเรื่องที่เธอพูดคือเรื่องที่ถูกต้องไปเสียหมด
ปรินเซสไลท์นิ่ง เด็กสาวที่ไร้ซึ่งความกังวลมากที่สุดในห้องเรียน การมองดูเธอทำให้ไซคีนึกถึงเมจิคัลเกิร์ลบางคน —พัคพั๊คที่เป็นผู้นำของฝ่ายพัค มันเป็นเพราะความไร้เดียงสาแบบเรียบง่ายและความไร้กังวลของตัวเองที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องเสียชีวิต หลังจากที่พัคพั๊คตายไป ขุนนางของฝ่ายพัคที่รักษาระยะห่างจากพัคพั๊คก็ได้เข้ามาควบคุมฝ่าย และหลังจากที่สมาชิกของฝ่ายพัคทุกคนถูกไล่ออกจากโรงเรียนเมจิคัลเกิร์ล ทางฝ่ายก็ส่งนักเรียนกลับเข้ามาได้แค่คนเดียวอย่างลำบากยากเย็น ไซคีถูกบอกมาว่าใครก็ตามที่มาจากฝ่ายก็จะทำให้ผู้คนในโรงเรียนรู้สึกหวาดระแวง ซึ่งมันทำให้พวกนั้นถึงต้องลำบากจ้างฟรีแลนซ์มาเป็นนักเรียนถึงสองปี
สุดท้ายแล้ว ในห้องนี้ก็มีไซคีที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มาจากฝ่ายพัคเพียงคนเดียว และการแค่อยู่ที่นี่มันก็เป็นเหมือนกับเดินอยู่บนเส้นเชือกบนขอบเหว เธอได้เงินมามากเพราะมันจำกัดการกระทำของเธอเป็นเวลาถึงสองปี หากเธอล้มเหลว เธอก็จะได้รับเพียงแค่ค่าจ้างล่วงหน้าและไม่ได้ส่วนที่เหลือ แถมชื่อเสียงของเธอก็จะถูกทำลายลงไปด้วย เพราะแบบนั้นเธอถึงไม่อยากถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความทำอะไรตามใจอยากของไลท์นิ่งจนถูกไล่ออกก่อนจะเสร็จสิ้น
อย่างน้อยก็อย่าลากชั้นเข้าไปเกี่ยวแล้วกัน ไซคีก้มหน้าแล้วบ่นอยู่ในใจ แต่เธอไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินบ้างรึเปล่า ด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง แซลลี่ดูเหมือนจะเป็นคนที่แสดงท่าทีขอโทษมากที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นมันจึงช่วยอะไรไม่ได้
และไซคีก็ยังคงระบายความโกรธที่ไม่มีวันไปถึงเป้าหมายจนกระทั่งการประชุมช่วงเช้าสิ้นสุด กลุ่มสามทุกคนเข้ามาในห้องเรียน และในตอนที่พวกเธอกำลังรอคัลโคโระอยู่นั้น ก็มีบางคนเรียกพวกเธอ ไซคีสงสัยว่าเป็นใครจึงหันไปมอง และอีกฝ่ายก็คือเท็ตตี้ กู๊ดกริป จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ช่าง ทำไมเช้านี้มีแต่พวกบ้าๆทั้งนั้นนะ ไซคีคิดและก็หงุดหงิดมากยิ่งขึ้นในตอนที่สาปแช่งแบบน่ารังเกียจที่สุดเข้าหาเท็ตตี้ด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน
ในตอนที่ไซคีอยู่ชั้นประถมทุกอย่างเองก็น่าเบื่อ ช่วงเวลาแห่งความสนุกมีเพียงตอนที่เธอนินทาด่าว่าคนอื่นกับเพื่อน เหย้าแย่คนอื่น จับกลุ่มพูดจาไม่ดีแบบลับหลัง ระบายความคับแค้น สร้างความสามัคคี จากนั้นก็บอกลาด้วยรอยยิ้ม —และเมื่อเธอรู้ว่าตัวเองชอบอะไรแบบนั้น เธอก็เริ่มทำมันด้วยความต้องการของเธอเอง
แต่ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะคนกลุ่มหนึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์กับอีกกลุ่มได้ จนสุดท้ายเรื่องร้ายๆที่เธอพูดออกมาเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้องก็รั่วไหลออกไปยังห้องอื่นผ่านปากต่อปาก และหลังจากนั้นมันก็เกิดอะไรหลายอย่างขึ้น เธอถูกเปิดโปงว่าชอบพูดจาไม่ดีใส่คนอื่นลับหลัง แถมเพื่อนพ้องที่ชอบนินทาคนอื่นด้วยกันก็แปรเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จนสุดท้ายเธอต้องโดดเดี่ยวอยู่ตัวคนเดียวไปอย่างสมบูรณ์
ไซคีที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลในช่วงเวลาเดียวกันก็เริ่มทบทวนตัวเอง เธอได้ลองทำอะไรหลายอย่าง เช่นใช้อินเตอร์เน็ต หรือเขียนไดอารี่ และอีกมากมาย จนสุดท้ายแล้วเธอก็เริ่มพูดกับตัวเอง การสื่อสารเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ สิ่งสำคัญคือการพูดเรื่องต่างๆออกมาเพื่อระบายความเครียด การพ่นพิษออกมาก็เหมือนขับพิษออกจากร่างกาย
เท็ตตี้ คนที่คงไม่คิดว่าไซคีจะพูดเรื่องไม่ดีทุกอย่างใส่เธอได้ยื่นมีดสั้นของไลท์นิ่งมาให้พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่มีพิษภัยตามปกติ “ขอโทษนะคะ เมื่อวานลืมคืนไปสนิทเลย”
เวลามันแทบจะหยุดเดิน —ทั้งห้องเรียนเงียบสนิท มันไม่ใช่แค่กลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสาม กลุ่มสองเองก็อยู่ที่นี่ด้วย— ราวกับเธอลืมกฎที่สำคัญที่สุดของการต้องคืนของที่ได้มาอย่างลับๆว่าต้องคืนอย่างลับๆไปแล้ว —เธอดึงดูดสายตาของคนทั้งห้องโดยที่ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย อย่างน้อยที่สุด เมฟิสก็มองมาที่พวกเธออย่างสงสัย
พอสงสัยเรื่องกลุ่มหนึ่ง ไซคีก็มองไปที่นั่นและก็เห็นว่ามิส ริลมีสีหน้ากังวล อาร์ลี่กับโดรี่มองไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย ในขณะที่แรปปี้มีท่าทีอย่าง “อ่า ทำไปจนได้” พร้อมเอามือแตะหน้าผาก เหมือนว่าเรื่องที่เท็ตตี้ทำไปไม่ใช่ความคิดของพวกเธอ
ภายในใจของไซคีรู้สึกไม่สงบนิ่ง แต่ไลท์นิ่งกลับใจเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรับมีดสั้นมาพร้อมรอยยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณมากนะ” ต่อให้วันที่อุกกาบาตตกลงมาทำลายโลกทั้งใบ เด็กสาวที่มีเสน่ห์อันแปลกประหลาดคนนี้ก็คงไม่หวั่นไหว ไซคีคิด และเธอก็ทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์
เท็ตตี้ก้มศีรษะให้ไลท์นิ่ง จากนั้นก็หันกลับมาหาเมฟิส แล้วก็ก้มอีกครั้งพร้อมพูดว่า “ขอโทษนะคะ” และคนที่เธอกำลังขอโทษก็มองลงมายังศีรษะของเท็ตตี้อย่างสับสน
ไม่มีทาง ไม่มีทางพูดออกมาแน่ ไซคีคิดในตอนที่มองดูทั้งสองคน และเมื่อเธอได้ยินเท็ตตี้พูดต่อว่า “เรื่องเมื่อวาน” เธอก็ก่นด่าเท็ตตี้อยู่ในใจ
“ตัวของมิส ริลเรืองแสงขึ้นมาตอนท้ายใช่ไหมคะ? นั่นเป็นเพราะว่าพวกเรายืมมีดสั้นมาจากไลท์นิ่ง และมิส ริลก็ใช้เวทมนตร์ของตัวเองดูดซับคุณสมบัติของมีดสั้นเพื่อทำให้ตัวเองส่องแสงได้ขึ้นมา”
เธอพูดออกมาจนได้ ไซคีไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงพูดกับเมฟิสเป็นการส่วนตัว เท็ตตี้ไม่ได้ทำตัวไร้ยางอายเหมือนกับไลท์นิ่ง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หากนั่นไม่ใช่การแสดง มันก็คงเป็นปฎิกิริยาของคนที่กลัวการตอบสนองจากเมฟิส
เหมือนว่าเมฟิสจะคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่มือขวาของเธอก็ชูนิ้วกลางออกมาดันแว่นขึ้นไปเพื่อปรับตำแหน่ง ท่าทางของเธอดูใจเย็น แต่นั่นดูเหมือนลางบอกเหตุไม่มีผิด “…คือจะบอกว่า กลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสามร่วมมือกันเพื่อจัดการกลุ่มสอง?”
“พวกเราคิดว่า… ถ้าทำแบบนั้นจะได้เปรียบค่ะ” เท็ตตี้พูด
“อื้อหือ เธอนี่คิดอะไรดีๆออกมาได้ด้วยสินะ” เมฟิสหัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่า ออกมา และก่อนที่จะทันได้กระพริบตา สีหน้าของเธอก็กลายเป็นความโกรธแค้นพร้อมกับโจมตีใส่เท็ตตี้ แต่คุมิคุมิก็จับแขนขวา ลิเลี่ยนจับแขนซ้าย ส่วนอาเดลไฮลด์โอบลำตัวจากด้านหลังเอาไว้
คานะก้าวเข้ามาด้านหลังคุมิคุมิอย่างเงียบๆ “นี่เราควรทำยังไง?”
“จับ… ขาเธอไว้ด้วย”
“เข้าใจแล้ว” เธอกอดขาขวาของเมฟิสเอาไว้กับหน้าอก
คุมิคุมิส่งสัญญาณ “หนึ่ง สอง” ออกมา และคนทั้งสี่ที่จับตัวเมฟิสก็ลากเธอออกห่างจากเท็ตตี้ แต่คานะเป็นคนเดียวที่โดนขาซ้ายของเมฟิสเตะเข้าที่ใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่าทางของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ไซคีไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่เช่นกันแต่เป็นคนละแบบ
แม้จะถูกลากออกไป เมฟิสก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีพ่นคำด่าสารพัดอย่าง “อีเหี้ย อีสัตว์ อีเวร” ออกมาแบบไม่หยุดจนถึง “แม่งเอาแต่—” และคุมิคุมิต้องเอามือมาปิดปากไว้ จากนั้นก็ได้ยินแต่เสียงอู้อี้ที่ฟังแล้วไม่รู้ศัพท์
เท็ตตี้คนที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นตัวสั่นในตอนที่มองดูเมฟิส มิส ริลเอามือวางบนไหล่ของเธอ ในขณะที่แรปปี้ดึงแขนเสื้อเอาไว้ แต่เท็ตตี้ก็ไม่ยอม เธอก้าวไปด้านหน้าหาเมฟิสแล้วพูดออกมาด้วยเสียงดัง “เมฟิส ฟังนะคะ เอ่อ เมื่อวานเธอได้สอนอะไรฉันเรื่องนึง”
ห้องเรียนกลับมาเงียบอีกครั้ง เมฟิสหยุดดิ้นแล้ว เด็กสาวที่จับตัวเมฟิสเอาไว้ก็มองมาที่เท็ตตี้พร้อมอ้าปากหวอ กลุ่มสามเองก็มีท่าทางแบบเดียวกัน แม้ว่าจะสงสัยในเรื่องที่เท็ตตี้กำลังจะพูด แต่พวกเธอก็ตั้งใจฟังโดยไม่ให้พลาดแม้แต่คำเดียว
จากนั้นก็มีเสียงกึกกักและประตูก็เปิดออก เสียงของห้องเรียนหยุดลงอีกครั้ง ตามด้วยเสียงอาจารย์ที่พูดว่า “ไม่ได้ยินเสียงระฆังเหรอคะ?” ดังเข้ามาในห้องเรียน พอผ่านไปครู่หนึ่งราวกับเวลาเดินต่อ เหล่าเด็กสาวก็เริ่มเคลื่อนไหวและนั่งลงไปยังเก้าอี้ของตัวเอง คัลโคโระมองพวกเธอด้วยความอยากรู้ แต่คงตัดสินใจว่าไม่ต้องกังวลอะไร เธอพยักหน้าหนึ่งก่อนที่จะเข้ามา
☆ คัลโคโระ
การเห็นหัวหน้ากลุ่มสองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มของเธอเข้ามาห้าม คัลโคโระก็คิดได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นก่อนเริ่มเรียน และไม่ใช่แค่นั้น —เพราะทั้งห้องมีบรรยากาศที่แปลกประหลาด ทุกคนไม่ได้จ้องมองไปที่เมฟิส คนที่ถูกจับตัวเอาไว้เหมือนตัวประหลาด แต่เป็นเท็ตตี้ กู๊ดกริป เธอคงพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เหมือนว่าคัลโคโระจะมาที่ห้องเรียนช้าเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินมัน
คัลโคโระคิดว่าหากจะมีใครที่เป็นคนก่อเรื่อง มันก็คงเป็นคานะ ไม่ก็เมฟิส หรือทั้งคานะและเมฟิสด้วยกัน แต่จริงๆแล้วกลับเป็นเท็ตตี้เหรอ? ความประทับใจของคัลโคโระที่มีต่อเท็ตตี้ว่าจะไม่มีวันก่อปัญหา —ซึ่งความจริงแล้วเธอเป็นคนประเภทที่พยายามจัดการปัญหาด้วยซ้ำ— ยังคงไม่เปลี่ยนไป เท็ตตี้เองก็ไม่ได้ตั้งใจก่อความวุ่นวายตอนจำลองการต่อสู้ด้วย เธอแค่แสดงออกด้วยความปรารถนาดีแบบไม่ทันคิด ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวเพราะพยายามที่จะช่วยเมฟิส
หากเท็ตตี้เป็นคนที่สร้างปัญหาขึ้นมาเอง แบบนั้นมันก็คงไม่ใช่การตัดสินใจของเธอ —แต่เป็นฝ่ายข้อมูลที่เธอทำงานให้เป็นคนที่บอกให้เธอทำรึเปล่า? พอคิดเช่นนี้แล้ว ชอล์กในมือของคัลโคโระก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอามือซ้ายมาช่วยประคองมือขวา ห้ามเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มสั่น ถ้าฝ่ายข้อมูลใช้เท็ตตี้เพื่อทำอะไรบางอย่าง แบบนั้นคัลโคโระก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“…เบลล่า เลซ รวบรวมความโกรธแค้นจากศพ เปลี่ยนมันให้มีรูปร่าง และสามารถขังเมจิคัลเกิร์ลเอาไว้ด้านในได้ ตรงนี้อาจจะออกสอบ จำไว้ด้วยนะคะ” คัลโคโระพูดอะไรบางอย่างที่ปกติแล้วตัวเองจะไม่พูดออกมา เธอใช้นิ้วเคาะกระดานดำครู่หนึ่งเพื่อซ่อนความสับสนและความกลัวของตัวเอง
ถ้าฝ่ายข้อมูลสั่งให้เท็ตตี้ทำ แบบนั้นมันคงแปลกที่จะแจ้งเรื่องนี้ให้ฮัลน่ารู้ แต่ถ้าเธอไม่รายงานไป มันก็จะกลายเป็นความไม่เอาใจใส่ที่อยู่ใต้การดูแลของเธอ หากคัลโคโระสามารถทำให้รู้สึกว่าแทรกมันเข้าไปกับรายงานเรื่องอื่นๆได้ มันก็จะลดโอกาสที่เธอจะไปแตะต้องอย่างไม่สุภาพ ก่อนอื่นเลย เธอควรคิดมาตราการตอบโต้ทุกอย่างที่ทำได้ก่อนที่จะลงมือเขียนรายงาน
“มิส บ็อกซ์ คนที่เป็นนักมวยมีทักษะ สามารถดูดซับเทคนิคจากเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นลูกน้องที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ —เช่นบอทเทิลคัท เกิร์ล ผู้เชี่ยวชาญคาราเต้แบบดั้งเดิมได้ แครนเบอร์รี่ไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เป้าหมายในการทดสอบที่เธอจัดขึ้นก็ยังคง…”
สายตาของคัลโคโระหยุดอยู่ที่คานะที่ดูไร้อารมณ์ คัลโคโระกระแอมออกมาและลบกระดานดำด้วยแปรงเพื่อปกปิด แต่เธอรีบมากจนทำให้ฝุ่นชอล์กกระจายไปทั่ว และมันก็ทำให้เธอไอออกมาจริงๆ
วันนี้ก็เหม่อลอยอีกแล้วเหรอ? เธอสงสัย พอมองกลับไปที่คานะอีกครั้งเธอก็แปลกใจ สมุดเปิดอยู่ตรงและดินสอกำลังขยับอยู่ แม้ว่าคุมิคุมิจะเอาหนังสือเรียนมาให้เธอดูด้วย แต่เหมือนว่าที่เหลือคานะจะเอามาเอง
นี่เธอวางแผนจะเรียนแบบจริงจังงั้นเหรอ? แล้ววันก่อนที่ส่งกระดาษเปล่ามา เธอทำไปเพราะต้องการจะสื่ออะไรรึเปล่า?
“แครนเบอร์รี่ได้บิดเบือนสิ่งที่เดิมทีเมจิคัลเกิร์ลควรจะทำไป : การช่วยเหลือผู้อื่น และผลก็คือ—”
ใช่แล้ว งานออกกำลังภาคสนามยังไงล่ะ อาจจะไม่ได้ในหนึ่งวัน แต่คัลโคโระสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ คานะไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาในการจำลองการต่อสู้ มันจึงเป็นเหตุผลว่าต้องให้เธอใช้งานออกกำลังภาคสนาม คัลโคโระสามารถตามกลุ่มสองไปเพื่อจับตามองคานะได้อีกด้วยเพื่อตรวจดูการกระทำของเธอ สำหรับกลุ่มอื่น ก็นะ เธอจะให้ไปทำอะไรก็ได้แล้วให้พวกเธอมารายงานภายหลัง ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ตอนที่เธอตื่นเต้นเพราะเกิดความคิดดีๆ ชั้นเรียนก็หมดเวลา คัลโคโระรวบรวมรายงานเข้าด้วยกันทันทีและส่งอีเมลออกไป และเธอได้คำตอบกลับมาในทันที
คัลโคโระอ่านคำตอบที่ฮัลน่าส่งมาซ้ำสามรอบ
คำแนะนำของฮัลน่าที่ได้มามันไม่อ่อนโยนเหมือนกับที่สอนว่าให้ช่วยเหลือคนอื่นรอบเมือง —ฮัลน่าบอกว่าพวกเธอควรฝึกซ้อมการต่อสู้ในสถานที่ที่ใหญ่กว่าโรงยิม และเนื่องจากตัวของคานะบอกว่าเธอเรียนรู้จุดอ่อนของโฮมุนครูสหมดแล้ว ในคราวนี้ คัลโคโระต้องทำให้เธอต่อสู้อย่างที่ควรโดยไม่ซ่อนอะไรเอาไว้ให้ได้ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้มันก็ถูก แต่ฮัลน่าได้คำนวนถึงความอันตรายไว้รึเปล่า?
สำหรับสถานที่ ฮัลน่าบอกว่าภูเขาด้านหลังโรงเรียนนั้นเหมาะสม มันไม่มีผู้คนอยู่รอบๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่มันอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมาก
คัลโคโระอดไม่ได้ที่จะนึกถึงมาตราการความปลอดภัยของห้องเรียนหลายอย่างซึ่งมันปล่อยให้เป็นเรื่องของดุลพินิจของผู้ที่เป็นอาจารย์ และเธอก็รู้สึกจริงๆว่า หากเธอพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา เธอก็ต้องขุดมาตราการขึ้นมาให้มากยิ่งขึ้น
งานออกกำลังจะจัดพรุ่งนี้ เตรียมตัวให้พร้อมด้วย
เมื่อคัลโคโระอ่านข้อความสองประโยคจบแล้ว เธอก็มองขึ้นไปยังเพดาน
☆ คานะ
วันนี้ทั้งวันเธอสามารถผ่านมันไปได้อย่างปลอดภัย ซึ่งผิดกับวันก่อน ที่เธอไม่ใช่แค่ถูกคัลโคโระสอบสวนหรือโดนฮัลน่าตำหนิ ถึงวันแรกมันจบลงอย่างปลอดภัยตามความหมายของคำก็จริง ทว่าเมฟิสกับเท็ตตี้ทะเลาะกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็จบในตอนเช้า ไม่ได้ลากไปยาวกว่านั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีโอกาสคุยหรือต่อสู้กันเหมือนกับวันก่อนอีก
แม้คานะจะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่ภายในหัวใจของเธอกลับรู้สึกดีมาก ด้วยการมองการณ์ไกลที่ไม่ได้ยืมแค่ดินสอและยางลบ แต่ฉลาดพอที่จะยืมกบเหลาดินสอมาด้วย เธอยังสามารถคัดลอกเนื้อหาบนกระดานดำทั้งวันได้เหมือนกับคนอื่น คัลโคโระเองก็รู้สึกพอใจที่เธอสามารถส่งการบ้านได้ เมื่อมีบางสิ่งที่คานะไม่รู้ เธอก็ถามมันออกไปจนแน่ใจว่าตัวเองไม่จำอะไรผิดพลาด หากเธอฟุ้งซ่านกับเรื่องต่างๆหรือใจลอยแม้เพียงเล็กน้อย ทุกอย่างมันก็จะพังทลาย ไม่ใช่แค่ตัวคานะเท่านั้น แต่เธอจะสร้างปัญหาให้กลุ่มของเธอ ทั้งห้องเรียน และนำพาอันตรายมาให้ ด้วยการคิดเรื่องแบบนั้นที่มากเกินไป ชีวิตที่โรงเรียนของเธอก็เลยกำลังเริ่มต้นขึ้น
อาจารย์บอกว่าในวันพรุ่งนี้ตอนกลางคืนจะจัดงานออกกำลังภาคสนามขึ้น คานะเขียนมันลงไปในสมุดจด รวมถึงเขียนเตือนว่าอย่าลืมเวลา ต่อให้เธอใจลอยในตอนนี้ มันคงไม่มีปัญหาอะไรหากเธอเห็นที่เตือนความจำนั้น
ในตอนนี้เธอไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอีกแล้ว —เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนอย่างเต็มตัว คานะกลับบ้านพร้อมกับเมฟิสอีกครั้งด้วยความรู้สึกพอใจ
วันนี้เองก็เป็นวันที่สำคัญมาก แต่ระหว่างทางกลับบ้าน เมฟิสก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เธอปิดปากเงียบพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง เมื่อมองดูท่าทางแล้ว คานะก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธออารมณ์ไม่ดี คานะสงสัยว่าถ้าเมฟิสมีปัญหาส่วนตัวบางอย่าง บางทีคานะก็ควรพูดแนะนำอะไรออกไป และความจริงที่ว่าเธอมีเวลาพอที่จะคิดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง มันก็ทำให้รู้สึกพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
“อ๊าาา แม่งเอ๊ยย!”
ทันทีที่กลับมา เมฟิสก็คลายการแปลงร่าง มันใช้เวลาพักหนึ่งกว่าคานะจะรู้ว่าเธอทำแบบนั้น การที่จู่ๆเพื่อนร่วมห้องปรากฏตัวตรงหน้ามันค่อนข้างน่าตกใจ เพราะวันก่อนเอง เมฟิสก็ไม่ได้คลายการแปลงร่างในตอนไปและกลับจากโรงเรียน ดังนั้นคานะจึงคิดว่าปกติแล้วมันเป็นแบบนั้น แต่ในตอนที่คานะกำลังคิดว่าจะรับมือเรื่องนี้ยังไงดี เมฟิสก็เดินไปตามทางเดินจนเข้าไปในห้องตรงสุดทาง พอเวลาผ่านไปจนเธอกลับมา เธอเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อกล้ามเรียบๆพร้อมกับมีไอน้ำที่ลอยขึ้นจากหัว แน่นอนว่าเธอไม่ได้โกรธแต่คงไปอาบน้ำมา
ตอนนี้เส้นผมของเมฟิสเปียกชื้น เธอจึงเป่ามันให้แห้งด้วยไดร์เป่าผม เอาแว่นตาใส่ในกล่องแล้ววางไว้ที่หมอน เธอเอนตัวลงบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาที่ไหล่ หันหลังให้คานะจากนั้นก็ปิดไฟในห้องด้วยรีโมท
คานะเขย่าตัวเมฟิสผ่านทางผ้าห่ม “เดี๋ยวก่อน”
“หนวกหูโว้ย! แม่งเอ๊ย!” เด็กสาวโยนผ้าห่มทิ้ง ลงมาจากเตียงและกระแทกกำปั้นเข้าไปที่สวิตช์เพื่อเปิดไฟ จากนั้นก็กลับมาที่เดิม ทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมปล่อยให้ฝุ่นฟุ้งไปทั้งแบบนั้น ดูจากวิธีที่เธอโกรธ —ใช่แล้ว แม้ว่าเสื้อผ้าจะต่างกัน เธอก็ยังคงเป็นเมฟิสคนเดิมอยู่ดี
“กลางคืนมันเป็นเวลานอน เข้าใจป่ะ! อีหัวกลวงเอ๊ย!” เมฟิสพูด
“แต่ตอนนี้มันยังเป็นตอนเย็นอยู่เลย ไม่ใช่กลางคืนนี่?” คานะถาม
“ให้ชั้นนอนเหอะ”
“แต่เมื่อวานพวกเราคุยกันทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลยนี่”
“คุยกับแกแม่งน่าเบื่อชิบหาย!”
คานะคิดว่าเธอคงรู้ดีกว่าใครอื่นว่าตัวเองเบื่อ แต่มันมีจุดไหนที่เธอจะพูดออกมาชัดๆได้บ้างล่ะ? เธอพยายามแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เมฟิสพยายามพูดคืออะไร แม้ไม่นานมานี้เธอจะเติบโตขึ้นอย่างน่าทึ่ง แต่ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าเหมือนถึงขีดจำกัดแล้ว ความพอใจที่โตขึ้นตลอดวันกลับเหี่ยวเฉาไป แบบนี้ไม่ดีแน่
“เราจะขอบคุณมากเลยถ้าสอนเราว่าอะไรของเราที่มันน่าเบื่อ —และทำไมด้วย” คานะพูด
“ชั้นสอบปากคำแกทั้งคืน แต่แกแม่งไม่พูดห่าอะไรเลย!”
“นั่นคือการสอบปากคำเหรอ?”
“โว้เยแอีดอกห่เอ้แม่งเอาจิดิสั”
“ถ้าไม่พูดอะไรที่เราแปลไม่ออก เราเองจะขอบคุณมากนะ”
“ไอ้การที่ใช้เวลาทั้งคืนไปกับการแหย่ กระทุ้ง แล้วสอบปากคำเพื่อให้แกพูดออกมาเหมือนที่จอมเวททำเนี่ย —มันไม่ใช่เรื่องที่ชั้นอยากทำเล้ย โอเค๊? —แต่ไม่ทำก็ไม่ได้อีก! เข้าใจป่ะ?!”
“เราคิดว่าเวทมนตร์ของเธอเหมาะกับการสอบปากคำนะ”
“ก็อย่างที่พูด! น่าเบื่อชิบหาย! ชั้นใช้เวทมนตร์ใส่ทั้งคืน แต่แกกลับไม่บอกอะไรชั้นซักอย่าง! มันไม่มีใครที่ทนได้นานขนาดนั้นเลย เข้าใจไหม? แถมวันต่อมา แกก็ดันเรียนทั้งวันแบบสบายๆได้อีก! แต่ชั้นต้องทำงานทั้งคืนโดยที่ไม่ได้หลับได้นอน แถมโคตรเบื่อด้วย! ห่าเอ๊ย! ไปฝึกอะไรมาป่ะเนี่ย?! นี่แกเป็นสปายรึอะไรซักอย่างใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ว่างานแบบนี้ถ้าทำซ้ำๆประสิทธิภาพจะมากขึ้นเหรอ?”
“ก็! นั่น! แหละ! ที่ชั่นเรียกว่าน่าเบื่อ! ไอ้การที่คนที่ชั้นสอบสวนมาบอกให้ชั้นทำอีกเนี่ย มันบ้าอะไรกันวะ?! อีเหี้ย! แม่งเอ๊ย! ไปตายซะไป๊!” ฝุ่นมันฝุ้งกระจายไปทั่วห้องเพราะว่าเมฟิสชกเข้าที่หมอนทุกครั้งที่พูดออกมา
คานะถอยกลับเล็กน้อยแล้วสัมผัสเบาะที่เธอเคยนั่งเมื่อวันก่อนได้ โชคดีจัง เธอคิดแล้วหยิบมันขึ้นจากนั้นก็วางเอาไว้ที่ก้นเหมือนเมื่อวันก่อน พรมในห้องนี้มันขุยเส้นเล็กๆ ถ้าไม่มีเบาะรองมันก็นั่งไม่สบายเลย
“แก! แกน่ะเป็นนักโทษประหารใช่ไหมล่ะ?!” เมฟิสพูด
“เราไม่ใช่นักโทษประหารซักหน่อย” คานะบอกเธอ
“แกแหกคุกออกมาสินะ!”
“เราไม่ได้หนีออกมานะ”
“งั้นแกก็เป็นนักโทษหัวรุนแรงที่โคตรน่ารังเกียจแน่ๆ!”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราควรเริ่มต้นด้วยการยืนยันนิยามคำว่า ‘หัวรุนแรงที่น่ารังเกียจ’ ของแต่ละคนเหรอ?”
“หยุดถามกลับได้แล้วโว้ย! นี่แกพยายามล้อชั้นเล่นรึไงวะ?! แค่ฟัง! เข้าใจไหม! ตั้งใจหน่อย!”
“เราจะตั้งใจฟังนะ”
“ฟังนะ โอเค๊ แกเป็นนักโทษใช่ไหม? เพราะงั้นชั้นถึงตั้งความหวังไว้สูงเลย แกคิดว่าตัวเองเป็นจุดสนใจใช่ไหมล่ะ? ใครๆก็คิด —ไม่ใช่แค่ชั้น”
คานะไม่เข้าใจ นอกจากข้อยกเว้นบางอย่างแล้ว นักโทษก็ถูกจองจำเอาไว้เพราะเป็นอาชญากรมือสกปรก ดังนั้นนักเรียนที่เข้าโรงเรียนมาเพื่อเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่สมบูรณ์แบบก็ควรที่จะกลัวหรือไม่ก็ดูถูกคนพวกนั้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง เมฟิสคาดหวังว่าเธอจะเป็นจุดสนใจ “ต้องการให้เราน่าสนใจยังไงเหรอ” คานะถาม
“แน่นอน การต่อสู้ไงล่ะ” เมฟิสพูด “คงไม่ใครคาดหวังอย่างอื่นจากเมจิคัลเกิร์ลผู้ชั่วร้ายที่ออกมาจากคุกหรอก”
“การต่อสู้” สิ่งที่คานะทำความเข้าใจได้ก็คือ มันยากที่จะเข้าใจเรื่อง ‘น่าสนใจ’ ที่เมฟิสบอก คานะมีความรู้สึกว่าเข้าใจสิ่งที่ตัวเองควรทำเพื่อเมฟิสรู้สึกพอใจได้เพียงแค่คร่าวๆเท่านั้น แต่การทำตามความปรารถนาของเมฟิสมันก็จะเป็นสร้างอุปสรรคนานาชนิดให้แก่คานะด้วย หากเธอทำตัวเป็นภาระกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นมากและยังทำให้ห้องเรียนชั้น 2F เสียหาย สุดท้ายแล้วมันจะเป็นการทำให้เมฟิสเกลียดเธอรึเปล่า? พอเมฟิสพูดออกมาเสร็จแล้ว เธอก็หมุนคอของตัวเองไปมา
“แบบนั้นจะไม่ทำให้เสียเปรียบคนอื่นมากขึ้นเหรอ?”
“ถ้าไม่รุนแรงเกินไป ชั้นก็จะออกไปจัดการเอง ไม่เป็นไรแน่ และถ้ามันเกิดขึ้น ชั้นเองก็ได้ปล่อยความเครียดด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยล่ะ”
“…มันจะเป็นแบบนั้นเหรอ? เราไม่ค่อยแน่ใจนะ”
“อ๊าาาา! มองชั้นด้วยใบหน้างี่เง่าแบบนั้น แถมยังพูดอะไรน่ารำคาญอีก น่าเบื่อชิบหาย! ไสหัวไปตายห่าได้แล้วไป๊! แม่ง! ทำไมเรื่องดีๆต้องเกิดกับอาเดลไฮลด์คนเดียวด้วยวะ!”
“อาเดลไฮลด์มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเหรอ?”
“อย่ามาถามโว้ย! ชั้นพูดได้ซะที่ไหน! ลืมแม่งให้หมดแล้วใช้ความรุนแรงซะ! ไงๆแกมันก็เป็นนักโทษอยู่ดี!”
“ไม่ใช่ว่าคุกควรเป็นที่ที่บังคับนักโทษให้จริงจังและขยันหมั่นเพียรหรอกเหรอ?”
“เอาอีกแล้วนะ! เฮอะ ช่างแม่งล่ะ! เหนื่อยจะตอบอะไรกับขยะอย่างแกแล้ว!” เมฟิสตะโกนออกมาพร้อมจับผ้าห่มแล้วนอนตะแคงข้าง เธอนอนลงไปพร้อมท่าทีที่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์เสีย คานะถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพัง แม้ว่าพวกเธอจะคุยอะไรไปมากกว่านี้ แต่คานะที่มองไม่เห็นท่าทีของเมฟิส เธอจึงไม่สามารถไปถึงจุดที่ประนีประนอมกันได้ แถมเมฟิสก็ไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ อารมณ์ของเธอจึงไม่ดีขึ้นด้วย ถ้าจะมีอะไรที่เปลี่ยนอารมณ์ของเมฟิสได้ แบบนั้นมันจะเป็นการยกยอรึเปล่า? หากคานะชมเมฟิสทุกอย่าง… บางทีเมฟิสอาจจะใจกว้างให้คานะอยู่ค้างคืนต่อ แม้ว่าเธอจะรำคาญคานะรึเปล่านะ? แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าต่อให้ยกยอไป มันก็จะจบลงด้วยการราดน้ำมันลงกองไฟอยู่ดี สังคมจะเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่าไม่มีทางเลือก
“แบบนั้นก็หมายความว่าเราควรรออยู่แบบนี้จนถึงเช้ารึเปล่า?” คานะถาม
“ชั้นไม่อยากคุยกับแกแล้ว ธาตุอากาศอย่างแก ไม่มีอะไรให้หรอก “
แม้ว่าเมฟิสจะหันหลังให้ คานะก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเธอโกรธ ดูเหมือนว่าไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อยากจะคุยกับคานะ นี่การคลายการแปลงร่างของเมฟิสคือการประกาศว่าจะไม่พูดกับคานะรึเปล่า? ทางจิตวิทยาแล้วก็ฟังดูมีเหตุผล แต่เมฟิสเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ยาก ซึ่งนั่นมันทำให้ตัวขอเธอดูน่าสนใจยิ่งขึ้น แต่คานะคิดว่าการพูดแบบนี้ออกมันก็คงทำให้เมฟิสโกรธเหมือนเดิม
คานะเลื่อนขาที่อยู่ด้านบนเบาะไปด้านข้าง เธอทำแบบนี้เพราะคิดว่าตัวเองต้องนั่งอยู่แบบนี้ไปจนถึงเช้า เธอตัดสินใจว่าควรจะเปลี่ยนท่าให้รู้สึกสบายยิ่งขึ้น ต่อมาเธอก็อยากได้อะไรบางอย่างเพื่อฆ่าเวลา เนื่องจากว่าเธอมีข้อจำกัดมากมายตั้งแต่เริ่ม เธอจึงเคยชินกับการใช้เวลาไปอย่างเกียจคร้านโดยการไม่ได้ทำอะไร แต่ไม่นานมานี้มันเกิดแรงกระตุ้นขึ้นมาก การนั่งอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรคงรู้สึกเจ็บปวดน่าดู เธอหัวเราะตัวเองที่ดูอ่อนโยนขึ้นตั้งแต่ถูกปิดผนึก จากนั้นก็เตรียมใจสำหรับที่จะโดนเมฟิสโกรธอีกครั้ง คานะพูดออกมาว่า “ถ้าบอกว่าไม่อยากคุยกับเรา แบบนั้นเราก็จะยอมแพ้ เพราะเราทำอะไรไม่ได้”
ไม่มีการตอบสนอง
“การคุยกันมันสนุกนะ” คานะพูดต่อ “แต่ถ้าเราสนุกอยู่ฝ่ายเดียว แบบนั้นมันก็ไม่ดี”
เมฟิสพลิกตัวหันหน้ามาหาคานะ ดวงตาของเธอเปิดอยู่ ท่าทางเองก็ดูอันตราย ใบหน้าก่อนการแปลงร่าง ใบหน้าของมนุษย์ที่ยังคงดูแข็งแกร่ง “แกนี่น่าหงุดหงิดชะมัด”
“ขอโทษนะ เราขออะไรหน่อยได้ไหม?”
“จะขอบ้าอะไรเอาตอนนี้เนี่ย?”
“เราอยากได้อะไรที่มันฆ่าเวลาได้จนถึงเช้า เราขอยืมพวกกวีนิพนธ์อะไรพวกนั้นหน่อยได้ไหม?”
“กวี… อะไรนะ? ชั้นไม่เข้าใจว่าหมายความว่าไง แต่ถ้าจะอ่านหนังสือ ที่นี่มีเยอะแยะ เลิกทำตัวยุ่งยากซักที ชั้นจะนอนแล้ว แม่งเอ๊ย”
คานะได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านแล้ว เมฟิสบอกว่าเธอจะอ่านอะไรก็ได้ ดังนั้นหากจะหยิบหนังสือเล่มไหน เมฟิสคงไม่บ่นอะไรเธอ ดังนั้นคานะจึงหยิบหนังสือออกจากชั้น พลิกดูราวสองสามหน้า จากนั้นก็ใส่กลับไป เธอหยิบหนังสือเล่มอื่นออกมาและพลิกดูอีกครั้ง ใส่กลับไปดึงออกมาใหม่แล้วก็พลิก เธอทำแบบนี้ซ้ำๆแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเหมือนกัน
คานะเงยหน้ามองเพดาน รอยเปื้อนที่อยู่ตรงนั้นมีรูปร่างเหมือนมนุษย์โกเล็มไม่มีผิด “เมฟิส”
“อะไรห๊ะ?!”
“เราอ่านอะไรไม่ออกเลย”
“หือ?” เมฟิสกระโดดขึ้นจากเตียง ความสับสนและตกใจลอยขึ้นมาบนใบหน้า เธอกระโดดเข้าหาคานะและฉกเอาหนังสือที่ถืออยู่ไปดู ไม่นานท่าทางของเธอก็สงบลง ความสับสนและตกใจที่มีก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ คิ้วของเธอย่นเข้าหากัน คานะยังรู้สึกว่าขนตาของเมฟิสกระตุกด้วย “อ่านได้ ไม่เป็นไรหรอก”
คานะเปิดหนังสือที่ยื่นกลับมาให้แล้วก็ชี้ไปยังภาพที่วาดเอาไว้ในนั้น “เราไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร”
“ก็มังงะธรรมดา”
“มังงะคืออะไรเหรอ?”
ความโกรธบนใบหน้าเมฟิสกลายเป็นความสับสนอีกครั้ง การมองดูคิ้วของเธอที่ขยับไปมาเพียงอย่างเดียวมันน่าสนใจก็จริง แต่ถ้าคานะพูดออกไป มันก็ย่อมทำให้เมฟิสโกรธ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดมันออกมาดังๆ
“หือ? อะไรน่ะ? มุขตลกเรอะ?”
“มุขตลกนี่หมายถึงอะไรเหรอ?”
“นี่เธอไม่รู้จักมังงะ?”
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้ยินคำนี้”
“โกหก ต้องโกหกแน่ๆ”
“เราไม่ได้โกหกนะ” เธอรู้ว่าแม้บางครั้งตัวเองจะไม่ได้พูดความจริงออกมา แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก คานะคิดว่าที่เป็นแค่เรื่องเล็กๆที่สามารถทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นได้
“เอาจริงดิ? คนแบบนั้นมีอยู่จริง…? ชั้นเห็นข่าวออนไลน์หรืออะไรแบบนั้นเมื่อเร็วๆนี้มาว่า มีคนหนุ่มสาวสมัยนี้ที่ไม่รู้วิธีการอ่านมังงะอยู่ด้วย แต่นี่มันต่างกันใช่ไหม?”
“ก่อนที่จะคิดว่าต้องอ่านยังไง เราไม่เคยได้ยินคำว่า ‘มังงะ’ มาก่อนด้วยซ้ำ”
“บ้าแล้ว งั้นเธอก็ยังไม่ได้อ่าน กิก้าแบรนท์, วันหนึ่งของบัคเลอร์ ไม่ก็ เลือดแห่งมาร์กอร์เซียส น่ะสิ แต่จริงๆ มันก็หมายถึงเธอไม่รู้แม้กระทั่งเรื่อง บิทตี้คิทตี้ หรือ มารุมารุ ด้วย— หวา นี่มันบ้าไปแล้ว”
“เราขอโทษจริงๆที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องสำคัญแบบนี้มา แต่ทุกเรื่องก็เป็นข้อมูลใหม่สำหรับเราเลย”
เมฟิสนั่งไขว้ห้างลงบนเตียงพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าเธอกำลังใช้ความคิดอยู่ ชายกระโปรงเลิกขึ้นมาถึงเข่าจนมองเห็นกางเกงใน แต่คานะก็เรียนรู้แล้วว่าถ้าพูดเรื่องกางเกงในออกมาก็จะทำให้เมฟิสโกรธ ดังนั้นเธอจึงรออยู่เงียบๆในตอนที่มองใบหน้าและกางเกงในของเมฟิส
“หือ?” ในที่สุดเมฟิสก็พูดออกมา “เพราะว่าเธออยู่ในคุก อยู่ในนั้นตลอดเวลา เลยไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับมัน เดี๋ยวนะ ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็หมายความว่าเธอถูกขังอยู่นานแล้วน่ะสิ?”
“ไม่ผิดหรอกที่เราไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับมันเลย” คานะตอบ
“อืมม แต่เธอเข้าใจภาษาสินะ? พูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่อง แต่ไม่ใช่ว่าอ่านอะไรไม่ออกแบบนั้นใช่ไหม?”
“มันมีเวทมนตร์แปลภาษาอยู่น่ะ ทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจคือต้องอ่านยังไง ที่ภาพมันมีประโยคเขียนเอาไว้ก็จริง แต่มันไม่มีหมายเลขที่บอกว่าต้องอ่านตรงไหนตามลำดับ เราเองก็ไม่แน่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่ามันควรอ่านตามลำดับรึเปล่า สัญลักษณ์ที่เข้าใจยากเองก็มีอยู่ทั่วไปหมด เราคิดว่าตัวอักษรที่เหมือนกับคำพูดและมีวงกลมล้อมรอบคือบทสนทนาที่ตัวละครพูด แต่วงกลมมันเปลี่ยนไปตลอด เหมือนว่ามันต่างกันไปตามสถานการณ์”
“อ่าา ใช่ โอ๊ะ หืม เหมือนว่าชั้นไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยแหะ ชั้นแค่อ่านมันตามปกติ แต่พอเธอพูดถึงแล้ว บางทีอาจจะมีกฏที่แบบว่าไม่ต้องพูดก็เข้าใจอยู่เยอะเหมือนกัน”
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือทำไปแบบไม่รู้ตัว เมฟิสก็จัดชายกระโปรงของตัวเองด้วยมือขวา ไขว้ขาไปทางอื่นและเอนหลัง จากนั้นก็โน้มตัวมาด้านหน้าอีกครั้งและหยุดก่อนที่ใบหน้าจะสัมผัสกับคานะ “นั่นก็แสดงว่า เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกอันกว้างใหญ่ของมังงะเลย ซึ่งหมายถึงแนวมังงะที่อ่านและแนวมังงะที่จะชอบ ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับชั้นงั้นสิ หืม นั่นยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ?”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ!” เมฟิสกอดอก มองขึ้นไปที่เพดาน แล้วก็ถอนหายใจออกมา คานะเองก็มองไปที่เพดานเช่นกัน แต่มันไม่ได้มีอะไรอยู่ที่นั่นนอกจากรอยเปื้อนและหลอดไฟที่เต็มไปด้วยคราบ
“ฟังนะ เมจิคัลเกิร์ลมักจะชอบเมจิคัลเกิร์ลใช่ไหม?”
“แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเหรอ?”
“อือ ก็ใช่ ชั้นเข้าใจ แต่มันก็ไม่แปลกหากจะมีคนที่ไม่ได้ชื่นชอบเมจิคัลเกิร์ลจริงๆอยู่ใช่ไหมล่ะ? ก็นะ ชั้นหมายถึงตัวชั้นเองนี่แหละ ชั้นชอบมังงะต่อสู้มากกว่าเมจิคัลเกิร์ล ชั้นชอบการใช้ไหวพริบเวลาใช้ความสามารถในการสู้ ชั้นชอบการใช้หมัดสู้กับหุ่นยนต์ ชั้นชอบการต่อสู้ที่มีเทคนิคลับ และที่ชั้นชอบมากเลยก็คือมังงะที่มีพวกสมองกล้ามที่แข่งปล่อยพลังกัน ชอบเหมือนกับมังงะที่สู้ไปเรื่อยๆ และที่ยอดเยี่ยมของยอดเยี่ยมที่สุดก็คือมังงะนักเลง”
คานะไม่เข้าใจการรักการต่อสู้มากขนาดนั้น แต่มันคงหมายความว่าคานะอ่อนแอจนมองไม่เห็นความสุขในการต่อสู้
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงชอบต่อสู้เหรอ?” คานะถาม
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“ขอโทษ” คานะตัวเกร็งเพราะคิดว่าตัวเองทำให้เมฟิสไม่พอใจอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเมฟิสที่มองขึ้นไปยังเพดานจะไม่ได้ใส่ใจนัก
“อย่างโรงเรียนกวดวิชามาโอหรืออะไรที่มันเจ๋งๆ” เมฟิสพูด “รู้จักพวกนั้นบ้างรึเปล่า?”
“เราเคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“อาเดลไฮลด์ไปที่นั่นมา แต่ตอนนี้หายไปแล้วล่ะ พวกนั้นทำอะไรแบบมังงะที่ต่อสู้กันเองแล้วจากนั้นจู่ๆก็ตัดสินใจเลิกแล้วก็จบ ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ ถ้าชั้นมีสิทธิเข้าร่วมด้วย แน่ใจว่าถ้าได้ไล่เตะพวกนั้นคงสนุกแน่”
“จะบุ่มบ่ามไม่ได้นะ”
“ก็นะ เหตุผลหลักๆที่ชั้นอยากไล่เตะไอ้พวกโรงเรียนกวดวิชามาโอก็คือชั้นไม่ชอบการทำตัวของเจ้าพวกนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าชั้นอยากให้เรื่องแบบในมังงะต่อสู้เกิดขึ้นเหมือนกัน เพราะชั้นไม่เคยมีการต่อสู้จริงเลย ดังนั้นมันก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอ่านมังงะเพื่อลดความอยาก” เมฟิสยืนขึ้น และหันหน้าเข้าหาชั้นหนังสือ เธอก้มหน้าพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ดึงเอาหนังสือสองสามเล่มออกมา เธอพลิกหน้ากระดาษเพื่อดูเนื้อหา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ ชูนิ้วโป้งขึ้นแล้วชี้ไปที่เตียง “มาสิ ชั้นจะสอนความลุ่มลึกของวัฒนธรรมมังงะให้เอง”
“นั่นคือเรื่องสำคัญเหรอ?”
“อื้อ แน่นอนสิ ถ้าเธอไม่รู้จักมังงะ ชีวิตจะเสียเปล่าไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลย”
“แปดสิบเปอร์เซ็นต์นี่ฟังดูเยอะจัง สำหรับการอ่านอย่างเดียว”
“โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แค่ความบันเทิงเท่านั้น ในโลกแสนอุบาทนี่ ถ้ามีคนประเภทที่ถูกคนอื่นไล่ให้ไปตายอยู่ทุกวันได้พบว่าชีวิตยังมีสิ่งเล็กๆที่สามารถรู้สึกสนุกได้ พอคนพวกนั้นคิดว่าตัวเองจะตายไม่ได้จนกว่าจะได้อ่านมังงะตอนต่อไป แบบนั้นก็จะไปหาคนอื่นที่สามารถคุยเรื่องเดียวกันได้ เช่น ตอนของสัปดาห์นี้แม่งโคตรเจ๋ง แบบนั้นมันก็เหมือนแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิตแล้ว ไม่สิ บางทีอาจจะมากกว่านั้นอีก ชั้นไม่รู้หรอกว่าชีวิตเธอเป็นยังไง แต่บางทีคงไม่มีความสุข ชั้นหมายถึง ก็เธออยู่ในคุกนี่นะ”
“เราไม่รู้ว่าความสุขของเราคือเป้าหมายหรือว่า—”
“โอเค พอเท่านั้นแหละ มานี่เลย มาตรงนี้” เมฟิสนอนลงบนเตียงและตบมือลงข้างตัว คานะก้มตัวลงไปข้างๆเธอ สายตามองไปที่หน้ากระดาษที่เมฟิสเปิดอยู่ นี่คือจุดเริ่มต้นการศึกษาแบบเฉพาะทางของเธอในหลายๆเรื่อง เช่นการแบ่งช่อง กรอบคำพูด และสัญลักษณ์ต่างๆ กลิ่นของผ้าปูนอนนี้ไม่เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลแต่เหมือนกับเด็กสาวก่อนการแปลงร่างมากกว่า*
*ฉบับ PlatFleece จะตัดประโยคที่คานะพูดเรื่องกลิ่นผ้าปูที่นอนของเมฟิสออก
☆ สโนไวท์
อาร์ลี่ทำงานของตัวเองได้เป็นอย่างดี มันไม่ใช่ว่าเดิมทีเธอถูกออกแบบมาให้รวบรวมข้อมูล การบอกว่าเธอถูกสร้างมาเพื่อต่อสู้จะถูกต้องกว่า แม้เธอจะรายงานอย่างมีความสุขว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” หรือ “เพื่อนของเราพูดแบบนั้น” มันก็เป็นข้อมูลที่ยอดเยี่ยม แต่การขุดลงให้ลึกมันก็ยาก
ตัวตนของคานะที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมันน่าสงสัยมาก แต่เพราะก็เพิ่งย้ายเข้ามา พวกเธอจึงยังไม่รู้เรื่องสำคัญอะไรมาก เหมือนว่าการทะเลาะกันระหว่างเท็ตตี้กับเมฟิสจะเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีต แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมันก็ย่อมดึงดูดความสงสัยเป็นธรรมดา มันยังเป็นไปได้ว่าการทะเลาะกันระหว่างเท็ตตี้และเมฟิสคือเรื่องส่วนตัวโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการทำให้อาร์ลี่สงสัยในเรื่องนี้มันย่อมมีผลเสียมากกว่าผลดี และที่สำคัญ หลังจากที่ได้เห็นอาร์ลี่สนุกสนานไปกับช่วงเวลาในโรงเรียนพร้อมรอยยิ้ม “สิ่งจำเป็น” อย่างการสำรวจและสืบสวนของเธอเหมือนจะมากเกินไปหน่อย
สโนไวท์หมุนดินสอกดสองครั้งรอบนิ้ว เธอคิดเรื่องที่จริงจังทั้งหมดนี้ภายในห้องที่ให้ความรู้สึกดูเป็นทางการ ขนาดเองก็ประมาณห้องประชุมมันเลยทำให้รู้สึกอึดอัด สโนไวท์วางผ้าเช็ดตัวลงบนโต๊ะยาว ถอดรองเท้าออก และวางเท้าลงไปบนผ้าเช็ดตัว พร้อมกับเอนหลังพิงเก้าอี้ เธอทำแบบนี้ด้วยความคิดที่ว่าอย่างน้อยก็อยากให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้น
เธอเงยหน้ามองไปยังเพดาน มันมีจุดเล็กอยู่ประปรายราวกับกำแพงของห้องดนตรี
เธอยังรวบรวมข้อมูลจากทางอื่นนอกจากอาร์ลี่ด้วยเช่นกัน
ต้องขอบคุณเบร็นด้าและแคทเธอรีนที่ออกไปลาดตระเวณตอนดึก สโนไวท์จึงได้พบว่าอาเดลไฮลด์และไลท์นิ่งได้สู้กันเป็นการส่วนตัว
มานาส่งข้อมูลของเธอผ่านมาทางหน่วยสืบสวนที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องโดยตรง บางทีคงเป็นเพราะพ่อของเธอที่เป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้
ดีลูจรู้ว่าปรินเซสไลท์นิ่งชักใยอยู่เบื้องหลังฝ่ายวิจัยและพัฒนา สโนไวท์สามารถบอกได้จากเสียงในหัวใจของเธอที่กำลังกัดฟันเหมือนกับที่เธอทำอยู่
สโนไวท์ยังได้ข่าวมาจากภายในฝ่ายโอสเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทดลอง นั่นก็คือเรื่ององค์กรวิจัยของฝ่ายโอสที่เป็นข่าวลือว่าทำการค้นคว้าและทดลองแบบผิดจรรยาบรรณทุกประเภทที่มี มีการทดลองมนุษย์เป็นอันดับแรก เนื่องจากว่าอาจารย์ใหญ่ฮัลน่าก็มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายโอส พวกนั้นจึงมีเส้นสายในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลและจัดการเรื่องโฮมุนครูสรักษาความปลอดภัยให้ในราคาขายส่ง และในช่วงไม่กี่วันมานี้ จำนวนและคุณภาพของโฮมุนครูสรักษาความปลอดภัยก็เพิ่มมากขึ้น ถ้าพวกมันมาก่อนที่ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลจะเปิดมันคืออีกเรื่อง แต่การที่มันกลับมาถึงหลังจากห้องเรียนเปิดไปแล้วหนึ่งเดือนเป็นเรื่องที่น่าสงสัย สโนไวท์มีความรู้สึกว่ากำลังมีบางอย่างคืบคลานเข้ามา
เมื่อสโนไวท์ได้ยินเสียงในตอนที่กำลังใช้ความคิด เธอก็รู้สึกไม่แน่ใจจนลุกขึ้นยืน เธอมองตรงไปข้างหน้ายังที่ที่เธอได้ยินเสียง ชาโดว์เกลกำลังขันน็อตให้แน่นด้วยประแจของเธอ มีสิ่งกลไกมากมายกระจายอยู่รอบตัว แต่ไม่มีใครที่จะดุเธอเพราะว่าทำห้องรก พวกเธอปล่อยชาโดว์เกลที่จ้องมองไปที่เครื่องจักรพร้อมกำลังขัน เชื่อมต่อ และเสริมอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างว่างเปล่าไว้คนเดียว
สโนไวท์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันคงเป็นจินตนาการของเธอเอง เธอคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงอิเล็กทรอนิกส์แหลมสูงพึมพำว่า “ปอน” อย่างคุ้นเคย แต่มันไม่มีทาง ตอนนี้ยังหาตัวฟาลไม่พบ
เธอหันความสนใจกลับมายังเรื่องสำคัญที่อยู่ในมือ
เธอไม่มีหูตามากพอที่โรงเรียน เธอจำเป็นจึงต้องมองดูให้ใกล้ชิดมากที่สุดเท่าที่ทำได้ และจากนั้น เธอจะเตรียมตัวไว้หากมันเกิดอะไรขึ้น เธอจะทำการแทรกแซงได้ในทันที
เสียงในหัวใจดังเข้ามาจากทางเดิน สโนไวท์เอาเท้าลงจากโต๊ะ ปรับท่านั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางเรียบเฉยราวกับว่าเธอนั่งอย่างถูกต้องมาโดยตลอด